ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

อยากถอนคำสาปแช่งที่เคยแช่งผู้อื่นไว้ จะต้องทำอย่างไร



ถาม
– ดิฉันเคยโกรธและสาปแช่งใครบางคน แต่วันนี้ได้ให้อภัยเขาแล้ว
และไม่อยากให้เขาต้องเป็นไปตามคำสาปแช่งนั้น จะมีทางแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ


บางคนมีความรู้สึกว่าตัวเองปากศักดิ์สิทธิ์
เพราะว่าแช่งใครไปแล้วมักจะมีผลตามนั้นนะ
อันนี้พอพูดถึงเรื่องนี้ มันต้องพูดถึงสิ่งลึกลับที่มันพิสูจน์เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้
แล้วก็มันก็ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ทราบได้เป็นสากล
เพราะว่าเราจับทุกคนมาเป็นตัวตั้ง
แล้วก็มาทดลองหาข้อสรุปกันไม่ได้แบบวิทยาศาสตร์นะครับ



แต่เราพูดอย่างนี้ก็แล้วกันว่าสิ่งใดก็ตามเราทำไปแล้ว
มันจะเกิดผลหรือไม่เกิดผลอะไรก็แล้วแต่
มันจะมีประสิทธิภาพน้อยหรือประสิทธิภาพมาก มันไปลบล้างไม่ได้
แต่มันสามารถเจือจางได้ด้วยของใหม่
คือของเก่ากับของใหม่นี่ผสมกันได้นะ
เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสนะ
เปรียบเทียบเหมือนกับบาปเก่าเป็นก้อนเกลือนะครับ
แล้วถ้าเราใส่น้ำเติมเข้าไป ยิ่งมากเท่าไหร่
หนึ่งแก้วนะมันก็เจือจางระดับหนึ่ง ยังเค็มอยู่
แต่ถ้าหนึ่งโอ่ง แบบนี้แม้เกลือจะยังอยู่เป็นก้อนเล็กๆ นั้น
แต่ก็แทบจะไม่ได้รสเค็ม
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าหากว่าเราไม่สบายใจ
ที่เคยไปก่อบาปก่อกรรมอะไรไว้นะ เคยไปแช่งใครเขาไว้
ก็หัดที่จะชื่นชมหรือว่าอวยพรนะ ทำในสิ่งที่เป็นตรงกันข้ามกันน่ะ
เคยทำบาปไว้อย่างไรก็ทำบุญให้เป็นตรงกันข้ามกันแบบนั้นนะ



อย่างถ้าคุณสวดอิติปิโสด้วยความเข้าใจ
ว่าเราสรรเสริญเรากล่าวคำยกย่องพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์
ว่ามีคุณวิเศษอย่างไรบ้าง
ถ้าใจเกิดความเบิกบาน เกิดความชุ่มชื่น เกิดความรู้สึกสว่าง โล่ง
ก็จำลักษณะจิตลักษณะใจแบบนั้น
ไปอวยพรหรือว่าไปพูดดีนะ ให้เกิดความรู้สึกดีๆ กับคนที่เราเคยสาปแช่ง
หรือว่าไม่ต้องเคยสาปแช่งก็ได้ คนทั่วไปก็ได้ ทำให้มากๆ

จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่าเรามีฤทธิ์ เรามีอำนาจในการทำให้คนอื่นรู้สึกดี
เรามีความสามารถทำให้ชีวิตคนอื่นนะมีความสว่างขึ้นนิดหนึ่งทันทีที่เราพูดไป
ตัวนี้แหละที่มันเริ่มจะเหมือนกับน้ำที่มาละลายเกลือนะ
เหมือนกับความสามารถที่มันเป็นความสว่างมาขับไล่ของเดิมที่มันเป็นความมืด
ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ ความมืดยิ่งหายไปมากขึ้นเท่านั้นนะครับ
อันนี้ก็เหมือนกับถ้าเรามีความสามารถในการอวยพรคนได้แล้ว
เพื่อที่จะแก้ความรู้สึกผิดก็อาจจะไปอวยพรให้เขาเกิดอะไรที่มันดี
ที่มันเป็นไปในทางเจริญนะครับ


ทีนี้มาทำความเข้าใจกันในขั้นสุดท้ายว่า
คนเราไม่เป็นไปตามปากของใครนะ
ยกเว้นแต่ว่าบาปของเขาบุญของเขามันจะให้ผลตามนั้นอยู่แล้ว
สอดคล้องกับคำอวยพรหรือคำสาปแช่งของเราอยู่แล้ว
การสาปแช่งของเรามันเป็นพลังชนิดหนึ่งในธรรมชาติ
การอวยพรของเราก็เป็นพลังชนิดหนึ่งในธรรมชาติเช่นกันนะ
ธรรมชาติด้านมืดหรือธรรมชาติด้านสว่าง
ซึ่งมันไม่ได้มีผลขนาดที่จะเป็นมือไม้ไปบิดชีวิตของเขาให้มันเพี้ยนไป
หรือบิดเบี้ยวไปจากที่มันควรจะเป็นได้



แต่มันมีผลทางใจที่ทำให้มันเกิดแรงอัดนะ
หรืออย่างถ้ามีเขาเรียกว่ามีวาจาสิทธิ์ มีประกาศิต
อันเกิดจากการสั่งสมตบะบารมีมา พูดคำไหนนะทำคำนั้นได้ตลอดชีวิต
พวกนี้เวลาสาปแช่งใครอะไรออกไป บางทีมันเป็นพลังนะ
ซึ่งถ้าหากว่าผู้รับพลังปะทะนั้นมีบุญอ่อนนะ ไม่มีกำแพง
บางทีมันก็อาจจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นมาได้จริงๆ
แต่ทีนี้ส่วนใหญ่ต้องเป็นระดับที่ว่าผู้บำเพ็ญตบะมาทั้งชีวิตนะ บำเพ็ญคุณงามความดีมา
ในขณะที่ผู้ถูกสาปแช่งนี่ไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรเลย ไม่ได้มีกำแพงที่จะมาขวาง
บางทีมันก็คล้ายๆ กับ เราชกด้วยหมัด ถ้าหมัดของเรามีกำลัง
แล้วคนที่รับหมัดนี่ไม่ได้มีกำลังต่อต้าน บางทีมันก็ล้มไปได้

ก็เปรียบเทียบอย่างนั้นก็แล้วกัน


แต่เขาจะไม่ใช่ว่าเราพูดอะไรไป มันจะเป็นไปตามนั้นได้ทุกครั้ง
หรือว่าเป็นอย่างนั้นได้จริงเสมอไปนะ
มันมีเหตุปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างนะครับ
ซึ่งคุณแค่ทำไว้ในใจว่าเราจะเป็นผู้รักษาศีล
เป็นผู้ให้มหาทาน เป็นผู้ให้ความปลอดภัยแบบไม่จำกัดนะ
ตรงนี้มันก็จะรู้สึกถึงพลังของความปลอดภัยที่ออกไปจากตัวเรา
ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยกับใครแม้ด้วยพลังวาจาที่เป็นทุจริต

อันนี้ถ้าทำตลอดชีวิตที่เหลือ
มันก็จะช่วยให้ความรู้สึกผิดหรือว่าอะไรที่นึกว่ามันจะไปเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า
มันเจือจางลงได้ มันหายไปได้



แต่อย่าไปกังวลมากนะ เพราะว่าถ้ารู้สึกผิดหรือกังวลมากๆ
บางทีมันก็มีจิตต่อเนื่องที่ไปผูกไว้
ตัวความกังวลนั้นน่ะ มันเป็นสายใยด้านมืดชนิดหนึ่ง



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP