สารส่องใจ Enlightenment

รู้อสุภะ รู้อย่างไร (ตอนที่ ๓)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาดจ.อุดรธานี

เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑



รู้อสุภะ รู้อย่างไร (ตอนที่ ๑)
รู้อสุภะ รู้อย่างไร (ตอนที่ ๒)


เมื่อธรรมชาติที่เคยเสกสรรโดยไม่รู้ตัว
ว่าเป็นของประเสริฐอัศจรรย์เป็นต้น ได้สลายตัวลงไปแล้ว
สิ่งที่ไม่ต้องเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของประเสริฐ หรือไม่ประเสริฐ ก็ปรากฏขึ้นอย่างเต็มที่
ธรรมชาตินั้นคือความบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์นั้นเมื่อเทียบกับจิตอวิชชาที่ว่าเป็นของประเสริฐเลิศเลอแล้ว
จิตอวิชชานั้นจึงเป็นเหมือนกองขี้ควายกองหนึ่งดีๆ นี่เอง
ธรรมชาติที่อยู่ใต้อวิชชาซึ่งหุ้มห่ออยู่นั้น
เมื่อเปิดเผยตัวขึ้นมาแล้ว จึงเป็นเหมือนทองคำธรรมชาติ
ทองคำธรรมชาติกับกองขี้ควายเหลวๆ นั้น
อันไหนมีคุณค่ากว่ากันเล่า แม้แต่เด็กอมมือก็ตอบได้
อย่าว่าแต่จะมามัวเทียบเคียงให้เสียเวลาและขายความโง่อยู่เลย



นี่ละการพิจารณาจิต เมื่อถึงขั้นนี้แล้วเป็นขั้นที่ตัดขาดจากภพจากชาติซึ่งมีอยู่กับจิต
ตัดขาดจากอวิชชาตัณหาทั้งมวล อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา
ตัดขาดไปเป็นอวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา
สงฺขารนิโรโธ สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ
…. เป็นต้น
จนกระทั่ง เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส, นิโรโธ โหติ
เมื่ออวิชชาดับแล้ว สังขารสมุทัยก็ดับและดับตามๆ กันไป ดังท่านแสดงไว้นั่นแล
สังขารที่ปรุงประจำขันธ์ก็กลายเป็นสังขารล้วนๆ ไปไม่เป็นสมุทัย
วิญญาณที่ปรากฏขึ้นภายในจิตก็เป็นวิญญาณล้วนๆ ไม่เป็นวิญญาณสมุทัย
วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ, นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ, สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส
อะไรที่เป็นรูปเป็นนาม เป็นสฬายตนะสัมผัสต่างๆ
ล้วนแล้วแต่เป็นหลักธรรมชาติของมันเอง
ไม่ทำความกำเริบให้แก่จิตใจดวงเสร็จสิ้นไปแล้วนั้น
จนกระทั่งถึง เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส, นิโรโธ โหติ.
คำว่า เอวเมตสฺส เกวลสฺส สิ่งทั้งมวลที่กล่าวมานั้นได้ดับลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง
เรียกว่า นิโรธเต็มภูมิ


การดับกิเลสตัณหาอวิชชา ดับโลกดับสงสารจะดับที่ไหน
ถ้าไม่ดับที่ตัวจิตซึ่งเป็นตัวโลกตัวสงสาร
ตัวอวิชชาตัวเกิดแก่เจ็บตาย เชื้อของความให้เกิดแก่เจ็บตายก็ได้แก่
ราคะตัณหามีอวิชชาเป็นตัวสำคัญ มีอยู่ที่จิตดวงนี้เท่านั้น
เมื่อดับอันนี้ให้ขาดกระเด็นออกไปจากจิตใจหมดแล้วก็ นิโรโธ โหติ เท่านั้น
นี่แหละงานแห่งการประพฤติปฏิบัติตามหลักศาสนาของพระพุทธเจ้า
ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้คงเส้นคงวา
ไม่มีที่ใดยิ่งหย่อนในบรรดาหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว
ว่าจะไม่ทันกลมายาของกิเลสประเภทต่างๆ เป็นไม่มี
จึงเรียกว่าเป็น มัชฌิมาปฏิปทา
เป็นธรรมที่เหมาะสมกับการแก้กิเลสทุกประเภทตลอดไป
จนกิเลสไม่มีเหลือหลอด้วยอำนาจแห่งมัชฌิมาปฏิปทานี้ จงพากันเข้าใจอย่างนี้



การปฏิบัติตนให้ถือธรรมข้อนี้ เพราะความพ้นทุกข์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเหนือโลกทั้งสาม
เราเห็นโลกทั้งสามนี้ว่าอะไรเป็นสิ่งวิเศษวิโสกว่าความหลุดพ้นแห่งใจจากทุกข์ทั้งมวลเล่า
เมื่อทราบชัดด้วยเหตุผลแล้ว ความเพียรก็จะได้คืบหน้ากล้าตายต่อสงคราม
ตายก็ตายไปเถอะ ตายด้วยการรบการพุ่งชิงชัยกับกิเลสอาสวะ
ซึ่งเคยครอบงำหัวใจเรามานาน
ไม่มีธรรมบทใด ไม่มีเครื่องมือใดที่จะสามารถฟาดฟันหั่นแหลกกิเลสนี้ให้จมลงไปได้
เหมือนมัชฌิมาปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้เลย



ฉะนั้นคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ จึงเป็นที่อบอุ่นใจ
เป็นที่แน่ใจเป็นที่สนิทใจว่าได้ทรงบำเพ็ญทั้งเหตุทั้งผล ทุกสิ่งทุกอย่างมาโดยสมบูรณ์
จึงได้นำธรรมมาสอนโลก
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม
ก็ตรัสไว้ชอบแล้วด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง
คือตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุมแล้ว
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
พระสงฆ์สาวกท่านดำเนินตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า
โดยไม่ย่อหย่อนอ่อนกำลัง จนสามารถคว่ำกิเลสออกจากใจ
กลายเป็นใจที่เลิศประเสริฐขึ้นมาเป็นสรณะของพวกเรา
ก็ไม่พ้นจากการปฏิบัติตามหลักปฏิปทานี้เลย
ด้วยเหตุนี้ขอให้เราทั้งหลายจงฟังให้ถึงใจ
อย่าสนใจใฝ่หาเรื่องหลอกเรื่องลวง เรื่องปลอมแปลงทั้งหลายซึ่งมีเต็มโลกเต็มสงสาร
ให้สนใจใฝ่ธรรมของจริงปฏิบัติของจริง เราจะเห็นของจริงขึ้นกับใจไปเรื่อยๆ
ในท่ามกลางแห่งของปลอมซึ่งมีอยู่ภายในใจและมีอยู่เต็มโลก
อย่าพากันสงสัยจะเป็นความอาลัยเสียดายกิเลสไม่มีที่สิ้นสุด



การปฏิบัติธรรมให้มุ่งทางด้านนามธรรม
คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นสำคัญยิ่งกว่าด้านวัตถุ
ด้านวัตถุนั้นพอเป็นพอไปเพียงได้อาศัยก็พอแล้ว
อยู่สถานที่ใด คนเราเกิดมาจากมนุษย์ มาเป็นพระก็มาจากคน
คนเขามีบ้านมีเรือน พระก็จำต้องมีที่พักที่อาศัยพอบรรเทาเป็นธรรมดา
ควรทำพอได้อาศัยเท่านั้น อย่าทำให้หรูหรา
อย่าทำแข่งโลกแข่งสงสารมันเป็นการสั่งสมกิเลสขึ้นมา
ปรากฏชื่อลือนามไปในทางโลก ไปในทางกิเลสหัวเราะเยาะ
ให้ปรากฏชื่อลือนามด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ศรัทธา ความเพียร
ให้ปรากฏชื่อลือนามในการบำเพ็ญแก้หรือถอดถอนตน
ให้พ้นจากกิเลสกองทุกข์ในวัฏสงสาร
นี้ชื่อว่าเป็นผู้เพิ่มอำนาจวาสนาของตนโดยตรงอย่างแท้จริง
อย่าได้ละความพากเพียรของตน
จงเอาให้ตลอดรอดฝั่งแห่งวัฏวนวัฏวุ่นให้ได้ในชีวิตอัตภาพนี้
ซึ่งเป็นที่แน่ใจกว่ากาลสถานที่และอัตภาพอื่นใด



และอย่าลืมเวลาไปที่ไหนๆ อย่าเป็นบ้าการก่อสร้าง ไปที่ไหนก่อสร้างยุ่งไปหมด
และเป็นบ้าก่อสร้างทั่วไปหมดน่าอิดหนาระอาใจ
พอมองเห็นหน้ากัน เป็นยังไงศาลา เป็นยังไงโรงเรียนจวนเสร็จแล้วยัง สิ้นเงินเท่าไร
เวลาจะมีงานทีไรและมีงานอะไรๆ กว้านบ้านกว้านเมืองกวนบ้านกวนเมืองเขา
ให้ต้องมาสิ้นเปลืองวุ่นวายด้วยอยู่ไม่หยุดหย่อน
ให้เขาพอมีเงินและผ่อนเงินทองเข้าถุงบ้าง
เขาเสาะแสวงหามาแทบล้มแทบตาย
เพียงได้ห้าได้สิบมาแทนที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย
เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงหลานเลี้ยงเหลนและสิ่งจำเป็นอื่นๆ บ้าง
และทำบุญให้ทานตามอัธยาศัยบ้าง
กลับกลายเก็บกวาดเอามาช่วยพระเพราะการเรี่ยไรรบกวน
จนหมดไม้หมดมือและยุ่งไปตามๆ กัน นี้มันเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมือง
ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่พาทำและไม่สั่งสอนให้ทำอย่างนั้น
ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจเอาไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้พาทำอย่างนี้
นี่มันศาสนวัตถุ ศาสนเงิน มิใช่ศาสนธรรมตามเยี่ยงอย่างของศาสดา



เราดูซิ กุฏิของพระหลังเท่าภูเขาอินทนนท์นี่
หลังหนึ่งมีกี่ชั้น สูงจรดฟ้าโน่น หรูหราขนาดไหน มันน่าสลดสังเวชขนาดไหน
แม้แต่กุฏิผมนี้ผมก็ยังอดละอายไม่ได้เหมือนกันทั้งๆ ที่ผมก็จำใจอยู่
ผมต้องทนละอายหน้าด้านเอาบ้าง เพราะเขาส่งเงินมาให้ทำโดยไม่บอกไว้ล่วงหน้าก่อน
ละอายตัวเองที่ขอทานเขามากินประจำชีวิต แต่กุฏิหอปราสาทในแดนสวรรค์สู้ไม่ได้
ทั้งๆ ที่เขาผู้ให้ทานอยู่กระต๊อบหลังเท่ากำปั้นนี่
ที่ถูกที่เหมาะสมกับพระผู้เห็นภัยเป็นนิสัย ที่พักที่อยู่ อยู่ที่ไหนอยู่เถอะ
พอหลวมตัวนอนได้นั่งได้แล้วอยู่ไปเถอะ
แต่เรื่องการทำความพากเพียรนั้นขอให้มีความหนักแน่นมั่นคง มีความขยันหมั่นเพียรบึกบึน



อย่าให้เสียเวลาเพราะงานใดๆ มาเป็นอุปสรรคได้
เพราะงานนอกนั้นส่วนมาก มันเป็นงานทำลายงานจิตตภาวนาเพื่อฆ่ากิเลสทำลายกิเลส
ซึ่งเป็นงานใหญ่โตประจำตัว ประจำใจของพระผู้มุ่งต่อแดนหลุดพ้น
ไม่เยื่อใยในการกลับมาเกิดมาตายเพื่อแบกหามกองทุกข์น้อยใหญ่ในภพชาตินั้นๆ อีกต่อไป
ภัยใดไม่เท่าภัยที่กิเลสครอบหัวใจ บังคับถูไถให้เป็นไปได้ทุกอย่างที่ธรรมไม่พึงประสงค์
ทุกข์ใดไม่เท่าทุกข์ของคนมีกิเลสกดคอ
ไม่สู้กับกิเลสคราวบวชนี้จะสู้เวลาตายแล้วได้หรือ
ความเป็นอยู่ของชีวิต ธาตุขันธ์นั้นพออดพอทนได้
แต่ขออย่าทนให้กิเลสกดคอต่อไป
เป็นความไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับพระลูกศิษย์ตถาคต



อะไรๆ จะพอเป็นพอไปหรือขาดแคลนขนาดไหน
ขอให้เล็งพระตถาคตเป็นสรณะอยู่เสมอ
อย่าให้สิ่งไม่จำเป็นสำหรับพระหรูหรามากเกินเหตุเกินผล
เช่น สร้างอะไรก็สร้างเสียจนแข่งโลกแข่งสงสารเขา
จนกลายเป็นบ้าชื่อเสียงเกียรติยศแบบลมๆ แล้งๆ
แต่ธรรมหากรอกใจพอฟื้นจากสลบไสลบ้างไม่สนใจสร้างกัน
โลกเขาอยู่บ้านหลังเล็กๆ เพียงไอจามก็จะล้ม อยู่กระท่อมห้อมหอ
ได้อะไรมาก็อุตส่าห์แย่งปากแย่งท้องแย่งลูกหลานมาทำบุญให้ทานกับพระ
แต่พระอยู่ตึกอยู่ร้านกี่ชั้น หรูหราโอ่อ่ายิ่งกว่าพระมาจากแดนสวรรค์
เหมือนไม่ใช่คนที่เคยอยู่บ้านกับพ่อ-แม่หลังเล็กๆ มาก่อนไปบวชเป็นพระเลย
ทั้งไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นเครื่องประดับประดาตกแต่งแข่งกับโลกเขา
มันน่าละอายโลกเขายิ่งกว่าลูกสะใภ้ละอายย่าขณะจาม
เผลอผายลมทางทวารล่างหลุดออกอย่างแรงแทบสลบไป
ทั้งๆ ที่ศีรษะโล้นๆ ไม่ได้คิดถึงศีรษะตนบ้างเลย มิใช่มันด้านเกินไปแล้วหรือพวกเราน่ะ
นั่นไม่ใช่หลักของศาสนาที่สอนให้นักบวชแก้กิเลส
เพราะความเห็นภัยในสิ่งประโลมโลก รกรุงรังแก่ศาสนาและหัวใจพระเรา
จึงขออย่าพากันคิดกันทำ จงทำความรู้สึกตัวไว้เสมอ
นี้ไม่ใช่หลักธรรมเพื่อแก้กิเลสให้เห็นประจักษ์ใจ
แต่เป็นเครื่องส่งเสริมให้พระลืมตัวเมามัวมั่วสุมกับเรื่องของกิเลส
ซึ่งไม่ใช่เรื่องของพระ



หลักธรรมของพระแท้อันดับหนึ่ง
รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา. ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย

บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนาแล้วให้เธอทั้งหลาย
เที่ยวอยู่ตามรุกขมูล ร่มไม้ ชายป่าชายเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ที่แจ้ง ลอมฟาง
อันเป็นสถานที่เหมาะสมแก่การฆ่ากิเลสทำลายกิเลสให้สิ้นซากไปจากใจเถิด
จงอุตส่าห์พยายามทำอย่างนี้จนตลอดชีวิตนะ
นอกนั้นเป็นสิ่งเหลือเฟือ ดังที่ว่า อติเรกลาโภ เป็นต้น
เป็นสิ่งนอกจากความจำเป็นอันดับแรก



งานที่ทรงให้ทำก็ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา
นอกจากนั้นก็ว่าไปถึงอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น
กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ปอด พังผืด
ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ซึ่งมีอยู่กับตัวเรา
ท่านทั้งหลายจงพยายามคลี่คลายสิ่งเหล่านี้
ให้เห็นแจ้งชัดเจนตามหลักความจริง ที่มันมีอยู่เป็นอยู่ด้วยปัญญา
ท่านทั้งหลายเมื่อได้ทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยสติปัญญาอันเต็มภูมิของวีรบุรุษแล้ว
ความหลุดพ้นจากทุกข์อันเป็นสมบัติมหาศาลนั้น จะเป็นของท่านทั้งหลายเอง
นั่นฟังซิ มันห่างไกลกันไหมกับพวกเราที่ชอบสะดวกสบายกับของเศษๆ เดนๆ
ที่ท่านสอนให้ละให้ทิ้งด้วยธรรมทุกบททุกบาททุกปิฎกน่ะ



พวกเรานี่มันเป็นคู่แข่งศาสนธรรมเสียเอง
อะไรที่ธรรมตำหนิมันกลับหรูหราไปหมด ประชาชนญาติโยมสู้ไม่ได้
ของดิบของดีเขาเอามาทำบุญให้ทาน เขากินอะไรใช้อะไรก็พอทำเนา
ขอให้ได้ของดีมาทำบุญให้ทานพระก็เป็นที่พอใจตามนิสัยของนักแสวงบุญ
แต่พระเรากลับเป็นนักหรูหรา กุฏิก็อยู่ดีๆ เครื่องใช้ไม้สอยก็มีแต่ของดิบของดี
นอกจากนั้นยังมีวิทยุ ยังมีเทวทัตโทรทัศน์ และยังมีรถยนต์กลไกแถมเข้าไปอีก
ดูตามหลักธรรมวินัยของพระเราแล้วน่าสลดสังเวชเหลือประมาณ
ทำไมพากันคิดฆ่าพระพุทธเจ้าแบบสดๆ ร้อนๆ ได้ลงคอ
ด้วยความโอ่อ่าท่าใหญ่ของพระ
อันเป็นความดื้อด้านไม่ยอมรู้สึกตัวเลย มันน่าละอายที่สุด



ทุกท่านขอให้คำนึงเรื่องเหล่านี้ให้มาก
ถ้าเราบวชเพื่ออุทิศต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ
มิใช่บวชมาเพื่อเป็นคู่กรรมคู่เวรต่อศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า
ขอให้คำนึงถึงอรรถถึงธรรม ถึงการดำเนินของพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าเรื่องใดๆ
สมัยใดก็ตามไม่มีเยี่ยมยิ่งกว่าพุทธสมัย ธรรมสมัย สังฆสมัย ที่พาดำเนินมา
อันนี้เป็นหลักใหญ่โตมาก ให้ท่านทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามหลักพุทธสมัยเถิด
ผลอันชุ่มเย็นพึงใจจะเป็นที่ยอมรับกับหลักแห่งสวากขาตธรรม นิยยานิกธรรม ไม่มีทางสงสัย



นี่ก็ได้ปฏิบัติมาพอสมควร เป็นผู้น้อยผมก็เคยได้เป็น
ไปศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์ เฉพาะอย่างยิ่งท่านอาจารย์มั่น ฟังจริง ๆ ฟังท่านพูด
ท่านจะพูดทีเล่นทีจริง เป็นธรรมดาของลูกศิษย์กับอาจารย์
เราจะไม่มีฟังเล่น จะมีแต่ฟังจริงอย่างฝังใจตลอดมา
มีความเคารพรักความเลื่อมใส ความกลัวท่านมากที่สุด
ยึดเอาทุกแง่ทุกมุม ที่จะพึงประพฤติปฏิบัติได้
ได้มาสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหานี้ก็เพราะอำนาจครูบาอาจารย์ที่ท่านให้การสั่งสอนมา



เพราะฉะนั้นการปฏิบัติในวัดของเรานี้ แม้จะผิดแผกแตกต่างกับวัดทั้งหลายบ้าง
ผมก็แน่ใจตามหลักเหตุผลและหลักธรรมวินัย จึงไม่สะทกสะท้าน
ผมไม่ได้คิดว่าเป็นการทำผิด เพราะมีแบบมีฉบับที่ได้รับมาจากศาสนธรรม
และจากครูบาอาจารย์ทุกสิ่งทุกอย่าง อันเป็นแบบฉบับมาดั้งเดิมอยู่แล้ว
จึงได้พาหมู่เพื่อนดำเนินเรื่อยมาอย่างนี้
ผิดถูกประการใดจะต้องพูดกันตามหลักเหตุผล
ความเกรงอกเกรงใจกันนั้นเป็นเรื่องของโลกเป็นเรื่องของบุคคล
ไม่ใช่เรื่องของธรรมของวินัยอันเป็นหลักดำเนินตายตัวด้วยกัน
การพูดกันโดยอรรถโดยธรรมเพื่อให้เป็นที่เข้าใจและปฏิบัติถูกนั้นเป็นธรรมแท้
เพราะฉะนั้น คำว่า ลูบหน้าปะจมูกจึงไม่มีในธรรมทั้งหลายของผู้มุ่งต่อธรรมด้วยกัน



การแสดงธรรมก็เห็นสมควรขอยุติเพียงแค่นี้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา https://bit.ly/2LRLolp


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP