วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๓๐


 

cover siwadol


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            คืนที่ศิวาโดนมือปืนบุกยิงถึงบ้าน ดลดาราเห็น ‘คุณ’ เป็นคนเปิดโอกาสให้มือปืนทั้งสามเข้ามาอย่างแนบเนียนมันทำให้เธอรู้ว่าสามีตนหมดประโยชน์กับคนเหล่านี้แล้ว

            เธอจึงทำใจกล้าเข้าไปขอร้องบางเรื่องกับ ‘คุณ’

            “คืนวันงานเปิดรั้วศิวาดล พลังพวกคุณถดถอย แต่พวกฉันยังพอมีความสามารถอยู่บ้าง...ขอโอกาสนี้ให้ฉันกับพวกเมียเก่าศิวา ได้แก้แค้น...เอาคืนเขาบ้างได้ไหม”

            “พวกเธอจะทำอะไรได้”‘คุณ’ มองมาด้วยแววตาดูหมิ่น

            “คืนนั้นมีคนมาจากหลายวงการ ฉันกับพวกนั้นจะฉีกหน้ากากนายศิวาให้ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง”

            ‘คุณ’ นิ่งครู่หนึ่ง แววตาบอกถึงแผนการบางอย่างถูกวางกะทันหัน หลังได้ยินเรื่องขอร้องนี้

            สุดท้าย ‘คุณ’ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มฉายชัดถึงเล่ห์กล วางหมากอีกชั้น ที่ดลดารามองเห็นแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้

            “น่าสนใจนะ” เสียงบอกอารมณ์ดี “ตกลง...แต่งานนี้ฉันต้องขอร่วมสนุกกับพวกเธอด้วยเหมือนกัน”

            ดลดาราไม่มีทางปฏิเสธ นอกจากยอมให้แผนการนี้ถูกควบคุมโดย ‘คุณ’ อีกชั้น แม้พลังมืดอีกฝ่ายจะถดถอย แต่พลังจิตในการสะกดยังพอมี...เมื่อรวมกับการสร้างบรรยากาศ ใช้เสียงดนตรี ให้ภูตผีช่วยเหลือ เซอร์ไพรส์ชุดใหญ่ที่ดลดาราต้องการจึงดำเนินมาจนถึงฉากสุดท้ายได้ในที่สุด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ขณะการบรรยาย ประกอบฉายภาพด้วยพลังพิเศษ ผู้ชมส่วนใหญ่ล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจสะกด รู้สึกตัวเพียงครึ่ง ๆ พวกเขามองเห็น รับรู้เรื่องราวครบถ้วนไม่ตกหล่น เพียงแต่ร่างกายไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ใจคล้อยตามเรื่องราวที่เห็น ตกใจกับภาพเบื้องหลังความรุ่งเรืองของนายศิวา

            ไม่มีใครสามารถแสดงความรู้สึกออกทางกิริยา สีหน้า แววตา จนกระทั่งดลดารา...รายา...พรนรีปรากฏตัวบนเวที!

            พวกเธอทั้งสามดูยืดยาว สูงกว่าคนธรรมดาประมาณช่วงตัวหนึ่ง รูปร่างผอมบาง สวมชุดวันที่เสียชีวิต ใบหน้าซีดเซียว แววตามาดหมาย จ้องตรงยังโต๊ะที่นายศิวานั่งอยู่

            เวลานั้น...ทุกคนในห้องจัดเลี้ยงเหมือนโดนปลดพันธนาการฉับพลัน อำนาจภายนอกที่ควบคุมร่างกายปลิดปลิว หลุดหาย

            ทุกคนรู้สึกตัวพร้อมกัน บรรยากาศอึมครึม หม่นมัวปกคลุมโดยรอบ สายตาทุกคู่มองบนเวที เห็นร่างสูงคล้ายเปรตสามตนกำลังเดินเรียงหน้ากระดานลงมาช้า ๆ

            ไม่มีใครคิดว่า อดีตนายหญิงทั้งสามจะปรากฏตัวในลักษณะเช่นนี้

            ...กรี้ดดดด...

            หญิงสาวขวัญอ่อนใกล้เวทีกรีดร้องเป็นคนแรก จากนั้นค่อยมีเสียงคนอื่นหวีดร้องดังลั่นตามมา แทบทุกคนลุกพรึบจากเก้าอี้ หาทางหนีออกจากห้องจัดเลี้ยง

            ความโกลาหลเกิดขึ้น...นายศิวาจ้องมองอดีตภรรยาทั้งสามที่กำลังเดินมาหา โดยไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ศาลาแปดเหลี่ยมที่ตั้งเรือนลับ

            หลังจากถ่ายทอดความลับของสองผู้เฒ่า พิจิก เมษาต่างเงียบงัน หาหนทางเอาตัวรอด ทบทวนวิชาอาคมทั้งหมดที่เรียนมา ยังไม่อาจหาวิธีขจัดมนตร์ดำในร่างออกไปโดยปราศจากผลข้างเคียงได้

            ทั้งสองมั่นใจ ปู่พวกเขาถ่ายทอดวิชาให้จนหมดไม่มีเก็บงำ ซุกซ่อน ดังนั้นต่อให้ปู่เผด็จ ปู่คงคาอยู่ตรงนี้ก็ไม่สามารถช่วยเหลือพิจิกโดยไม่ทำร้ายคนอื่นได้เลย

            ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มค่อยถอนใจเบา ขยับตัวนั่งในท่าสบายขึ้น รู้สึกมีเรี่ยวแรงกว่าเดิม

            “เรื่องที่น่าดีใจตอนนี้คือ พลังมืดยังไม่มีกำลังพอ อาคมฉันพอจะสะกดมันได้จนถึงเที่ยงคืน” เขายิ้มบาง ๆ

            “แกไม่ต้องพูดได้มั้ย” เมษาตวัดเสียงขุ่นเคือง รู้สึกว้าวุ่นกังวลใจ

            “ตอนยังพอมีแรงพูดจาแบบนี้ ฉันอยากคุยกับแกว่ะ” พิจิกส่งรอยยิ้มทั้งที่ใบหน้าซีด

            หลังจากพักผ่อนทบทวนวิชาครู่หนึ่ง เรี่ยวแรงค่อยฟื้นฟูขึ้นมา

            “แกต้องมีแรงพูดคุย...กัดกับฉันไปอีกนาน ไม่ต้องห่วงหรอก” หญิงสาวพูดเหมือนให้กำลังใจตนเอง

            “ฉันมีความสุขชะมัด ตอนทะเลาะกับแก” ชายหนุ่มพูดลอย ๆ สายตาไม่ปกปิดความรู้สึกในใจ

            “ไอ้บ้า...” เมษาเข้าใจความหมายในสายตาคู่นั้น “เก็บแรงไว้ทะเลาะกันวันอื่นเถอะ”

            “ทะเลาะกันตอนนี้ดีกว่า ฉันอยากเห็นหน้าแกตอนโมโห” พิจิกจงใจแกล้งดื้อดึง

            “ฉันไม่มีอารมณ์มาทะเลาะ...โมโหใส่แกหรอก” เมษาตอบกลับด้วยอารมณ์อึดอัด เขาช่วยเธอจนเสี่ยงใกล้ความตายขนาดนี้ แค่สะกดใจไม่ร้องไห้ด้วยความเสียใจยังแสนยากเย็น จะมีอารมณ์พูดคุย ทะเลาะกันได้อย่างไร

            ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ พลางสูดลมหายใจเรียกเรี่ยวแรงคืนมา เมษามองด้วยแววตาเป็นห่วง ริมฝีปากเม้มสนิท อาการภายนอกพิจิกตอนนี้ดูไม่น่าเป็นห่วงก็จริง แต่ระเบิดเวลาในตัวเขาอาจระเบิดได้ทุกเมื่อ



            ขณะทั้งสองยังไม่มีวาจากล่าวแก่กัน เสียงหวีดร้องก็ดังแว่วมาจากทางศิวาดล

            พิจิก เมษาลุกขึ้นยืนเหลียวมองทางต้นเสียง ไม่สามารถเห็นอะไรชัดเจน นอกจากแว่วเสียงกรีดร้องจากหญิงสาวตามมาเป็นทอด ๆ

            “สงสัยคุณดลดาราคงเปิดตัวเซอร์ไพรส์ของจริงแล้วมั้ง” พิจิกถอนใจ เดาเหตุการณ์ออกหลายส่วน

            “พวกเธอไม่มีปัญญาหักคอใครตายได้หรอก” เมษารู้ขอบเขตความสามารถวิญญาณระดับนี้พอสมควร

            “แต่ถ้าเสียงร้องดังมาถึงนี่ได้ แสดงว่าในห้องจัดเลี้ยงคงชุลมุน วิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิง อาจเหยียบกันตายได้นะ” ชายหนุ่มคาดเดาอย่างมีอารมณ์ขัน

            “เจ้มีนกลัวผีขนาดหนัก น่าจะแอบมุดใต้โต๊ะมากกว่าวิ่งหนีผี อาจนั่งกอดตะกรุดที่ปู่ให้ไว้แล้วสวดมนตร์ไล่ผีอยู่ก็ได้” เมษาคาดการณ์กึ่งปลอบใจตนเอง

            “พ่อฉันไล่ผีไม่เป็น แต่เขาไม่กลัวผี น่าจะมีสติพอไม่เหยียบใคร แล้วก็คงไม่ถูกใครเหยียบเหมือนกัน” พิจิกพูดพร้อมขยับตัวเตรียมเดินลงจากศาลา

            เมษาเห็นอย่างนั้นก็เดาใจอีกฝ่ายออก ต่อให้พูดจาคาดการณ์ในทางดีขนาดไหน พิจิกก็อดไปดูเหตุการณ์ด้วยตาตนเองไม่ได้

            “เดินไปตึกใหญ่ไหวเหรอ” หญิงสาวถามหยั่งเชิง เห็นชายหนุ่มมีเรี่ยวแรงกลับคืนมาขนาดนี้ ก็ยังไม่มั่นใจหากเขาต้องออกแรงมากเกินไป

            “ถ้าไม่ไหว แกจะช่วยอุ้มฉันไปมั้ย” ชายหนุ่มหันมาหลิ่วตาถาม ท่าทางกวนประสาท

            “แกพักที่นี่ก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันไปดูเอง แล้วจะกลับมาบอก...” เมษาไม่สนใจท่าทางชวนหาเรื่องของเขา พูดจาจริงจังโดยไม่ประฝีปากอย่างเคย

            “ถ้าเปลี่ยนกัน...แกเป็นฉัน...แกจะยอมนั่งรอฟังข่าวเฉย ๆ มั้ย” พิจิกย้อน

            พูดอย่างนี้เมษานิ่งอั้น เธอกับเขานิสัยใจร้อนพอกัน เป็นห่วงคนในครอบครัวไม่น้อยกว่ากัน หากเปลี่ยนเป็นเธอ...รับรองไม่ยอมนั่งรอเหมือนกัน

            “เออ...เรื่องของแก” เมษาหงุดหงิดใส่ “ถ้าไม่ห่วงตัวเองก็ตามใจ”

            พูดจบก้าวพรวด ๆ ลงบันไดนำหน้า ไม่สนใจชายหนุ่มจะมีแรงเดินตามหรือไม่

            พิจิกก้าวขาตามสองสามก้าวก็ชะงัก มองเห็นเงาดำ ๆ ของชายฉกรรจ์ห้าคนก้าวออกมาจากเงามืด โอบล้อมศาลาแปดเหลี่ยมเอาไว้

            “หมวยเล็ก” ชายหนุ่มส่งเสียงเรียก

            เมษารู้สึกตัวตั้งแต่หางตามองเห็นเงาร่างผู้ชายตัวโตสี่ห้าคนกำลังก้าวมาทางศาลานี้แล้ว ในใจเกิดสังหรณ์ร้าย ผู้ทรงเวทในเงาไม่มีทางปล่อยเธอกับพิจิกออกไปง่าย ๆ แน่

            การที่ปิศาจนายทองหายตัวไป ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวพวกตน แต่เป็นการถอยเพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มนักเลงที่เตรียมไว้ ได้เข้ามาซ้ำเติม ในกรณีสองหนุ่มสาวรอดจากแผนการตอนต้น

            “เฮ้อ...คิดถึงพี่ธันชะมัด...” พิจิกพึมพำพอได้ยินกันสองคน

            เมษาถอนใจ...สถานการณ์อย่างนี้ เขายังมีอารมณ์พูดถึงพี่ชาย...แต่เธอเข้าใจความหมายในวาจานั้น

            ถ้าเป็นปกติ แค่นักเลงตัวโตห้าคน พิจิก เมษาสองคนรับมือไม่ยาก...ทว่าตอนนี้แค่ประคองตัวไปตึกใหญ่ ไม่แน่ว่าพิจิกจะไปไหว ให้หญิงสาวคนเดียวรับมือผู้ชายห้าคน มันหนักแรงเกินไป

            พิจิกจึงนึกถึงพี่ชายตนเองขึ้นมา...จิตแพทย์หนุ่มยิ้มยาก พูดน้อย แต่ต่อยหนัก!

            มีไม่กี่คนรู้หรอกว่า...คุณหมอหนุ่มท่าทางเงียบ ๆ รายนี้ ฝีมือการต่อสู้ไม่แพ้น้องชายเลย เพราะฝึกฝน ซ้อมมวย เรียนศิลปะการต่อสู้มาด้วยกันตั้งแต่วัยรุ่น หลังจากปู่ทั้งสองไม่ลงรอยกัน

            พิจิกมั่นใจ หากธันวาอยู่ที่นี่ เขาจะไม่ห่วงเรื่องความปลอดภัยเลย

            ในเมื่อสิ่งที่คิดไม่มีทางเป็นจริง จำเป็นต้องเอาตัวรอดในสภาพร่างกายไม่พร้อม...

            พิจิกตั้งสติรวดเร็ว ระบายลมหายใจแผ่ว รวบรวมสมาธิจนมีกำลัง ขจัดความอ่อนล้าในร่างกายออกไป เหลือตรงแขนที่กักขังมนตร์ดำเต็มเปี่ยม

            ยืนนิ่งชั่วอึดใจ จากนั้นใช้กำลังสมาธิเข้าไปกระตุ้น เร่งเร้าพลังแฝงในร่างออกมาจนบังเกิดอาการชาช่านตามแขนขา รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ร่างกายมีความสมบูรณ์ประมาณครึ่งหนึ่งจากเวลาปกติ

            พลังแฝงเร้นในร่างนี้ ถูกนำมาใช้ได้ไม่นานก็จะเหือดแห้ง หมดแรง ฉะนั้นเขาต้องใช้กำลังเฮือกนี้อย่างรวดเร็ว คุ้มค่าที่สุด



            นักเลงทั้งห้าได้รับคำสั่งให้เข้ามาแฝงตัวในศิวาดลตั้งแต่ตอนเย็น พวกมันไม่ได้รับคำสั่งจากนายศิวาโดยตรง แต่เป็นเสียงสั่งทางโทรศัพท์อีกที

            การแฝงตัวเข้ามาไม่ยาก เพราะมีหัวหน้ารักษาความปลอดภัยศิวาดลคอยอำนวยความสะดวก สั่งให้เขาซุ่มรอฟังคำสั่งในบริเวณไม่ห่างศาลาแปดเหลี่ยม จนเมื่อครู่ได้รับโทรศัพท์สั่งงานให้มาจัดการ ‘เก็บ’ หนุ่มสาวสองคนที่ศาลาแปดเหลี่ยมแห่งนี้

            พวกมันทั้งห้ายืนเรียงโอบล้อม ปิดทางหนีสองหนุ่มสาว สีหน้าปราศจากความรู้สึกใด ๆ

            “มีอะไรหรือเปล่าพี่” เมษาทำใจดีสู้เสือ ใช้น้ำเสียงคนงานสาวบ้านนอกเอ่ยถาม

            ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบ มองตรงมาอย่างประเมินว่าจะจัดการอย่างไรให้รวบรัด รวดเร็วที่สุด

            “แหม...มาล้อมกันแบบนี้ พวกหนูทำอะไรผิดเหรอ บอกกันก่อนก็ได้”

            หญิงสาวพยายามพูดถ่วงเวลา เชื่อว่าพิจิกคงพยายามฟื้นฟูเรี่ยวแรง ดึงพลังแฝงเร้นในร่างออกมาใช้ยามคับขัน

            “กูไม่รู้หรอก...พวกมึงทำอะไรผิด” หนึ่งในห้าเอ่ยเสียงราบเรียบ “อย่าโทษกันเลย พวกกูก็ทำตามคำสั่งเหมือนกัน”

            จบคำพูดทั้งห้าเริ่มลงมือ มีดปลายแหลมเสียบตรง หวังตัดขั้วหัวใจหญิงสาวทันที ไม่ให้ทุกข์ทรมานเนิ่นนาน

            เมษาเบี่ยงตัวหลบ อาศัยจังหวะฝ่ายตรงข้ามประมาท ฟันข้อมือด้วยเทคนิคเฉพาะตัวจนมีดร่วงลงกับพื้น แล้วฟันศอก ตามด้วยเข่า ไม่ยอมให้ผู้พลาดพลั้งได้ตั้งตัว

            ทางด้านพิจิกต้องรับมือชายฉกรรจ์สามคนด้านหลัง อาวุธเป็นมีดขนาดถนัดมือ สังหารเหยื่อเงียบเชียบ ไม่เอิกเกริก

            พิจิกสูดลมหายใจเรียกเรี่ยวแรงเฮือกใหญ่ ตอนนี้เหลือมือใช้งานได้ข้างเดียว ต้องต่อสู้ด้วยชั้นเชิง ประสบการณ์เหนือกว่า ปลายมีดฉวัดเฉวียนผ่านหน้า สลัดความเป็นห่วงเมษาออกไป หลบหลีกว่องไว ตอบโต้รุนแรงเท่าที่กำลังจะมีให้ ในใจต้องการเร่งเผด็จศึกโดยเร็ว ก่อนพลังแฝงในร่างจะเหือดแห้งก่อน

            เมษาบุกจู่โจมนักเลงรายแรกด้วยมือเปล่า จนฝ่ายนั้นมือเท้าเรรวน ตอบโต้ไม่ถูก นักเลงอีกคนรีบสอดมีดแทรกเข้ามา ขัดจังหวะการต่อสู้ ทำให้นักเลงมือเปล่ามีเวลาพักหายใจ

            ปลายมีดพุ่งแทงไม่ปราณี หญิงสาวหลบหลีกพลางตอบโต้ตามสถานการณ์ แต่ผู้หญิงมือเปล่าหนึ่งคนกับชายฉกรรจ์มือเปล่าหนึ่ง ถือมีดอีกหนึ่ง ดูยังไงก็เสียเปรียบหลายขุม เธอจึงอาศัยจังหวะเหมาะสม กับร่างกายที่เล็ก ประเปรียว กลิ้งตัวลงไปคว้ามีดของนักเลงที่ทำตกตอนแรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

            การต่อสู้ครั้งนี้หวังป้องกันตัว เอาชีวิตรอด หนทางใดทำให้พลิกเป็นฝ่ายเสมอหรือมีเปรียบ ต้องงัดมาใช้ทันที

            เมื่อมีดอยู่ในมือ เมษามีกำลังใจขึ้น ตวัดมีดคล่องแคล่วอย่างคนเคยฝึกฝนมานาน ต้านรับสองชายตัวโตอย่างไม่เสียเปรียบกัน

            นักเลงทั้งสองคิดไม่ถึง ผู้หญิงตัวเล็ก ท่าทางซื่อ ๆ บอบบาง จะกลายเป็นแม่เสือร้าย พอมีดอยู่ในมือ ก็เหมือนติดเขี้ยวเล็บครบ เข้าโรมรันต่อสู้ไม่กี่นาทีก็เรียกเลือดจากฝ่ายตรงข้ามได้หลายแผลแล้ว



            ทางด้านพิจิกเป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าข้างเดียว มีดสามเล่มของพวกนักเลงถูกเขาจัดการจนหลุดมือตั้งแต่ยกแรก แล้วเตะทิ้งเข้าพงหญ้าจนหมด จากนั้นใช้เข่าศอกแข้งขาเป็นหลัก อาศัยชั้นเชิงลีลามวยที่เรียนมาอย่างเต็มที่

            นักเลงทั้งสามพลาดพลั้งเสียท่า โดนเข้าไปหลายศอก ไม่นับแข้งขา เข่า น่าเสียดายที่เรี่ยวแรงพิจิกลดลงเรื่อย ๆ กำลังไม่เด็ดขาดเท่าตอนปกติ พวกมันจึงแค่มึน ตอบโต้เปะปะ อาศัยคนมากกว่าจึงเวียนเข้ามาต่อสู้ได้ ไม่ถึงขั้นโดนน็อค รวดเดียวสามคน

            การต่อสู้ไม่กี่นาทีของพิจิก ทำให้พลังแฝงในร่างลดทอนลงรวดเร็ว หากฝืนสู้ต่ออีกไม่นานคงหมดแรง จำเป็นต้องหาวิธีจัดการนักเลงหนึ่งในสามให้หมอบทันที เพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม

            ปึก...ผัวะ...

            พิจิกมองเห็นโอกาสเมื่อนักเลงหนึ่งในสามเข้ามาจังหวะเหมาะพอดี จึงเหวี่ยงขาเตะก้านคอเต็มแรง ส่งผลให้ฝ่ายนั้นหลับกลางอากาศ ล้มตึงหมดสติ

            เมษาใช้ความสามารถเฉพาะตัว ตวัดปลายมีดหลอกล่อ ฟันสันมือใส่ข้อมือนักเลงถือมีดอีกคน จนมันตกพื้นแล้วตวัดปลายเท้าเขี่ยมันตกหายในเงามืดอย่างรวดเร็ว

            ตอนนี้เมษารับมือหนึ่งต่อสองก็จริง แต่มีอาวุธในมือคนเดียว นับว่าได้เปรียบอยู่บ้าง

            พิจิกจัดการนักเลงมือดีรายหนึ่งสลบเหมือดในเวลาอันสั้น อาจทำให้พวกที่เหลือนึกขยาด ถอดใจ ยอมยุติการต่อสู้โดยเร็ว

            ทว่า...มันไม่เป็นอย่างนั้น

            พอนักเลงสองคนเห็นเพื่อนโดนเตะก้านคอจนสลบ ก็โถมเข้าใส่พิจิกอย่างเสือจนตรอก หวังปิดบัญชี จัดการหนุ่มหน้าใสโดยไม่สนใจวิธีการ

            มีดในมือเมษา ไม่ได้ทำให้นักเลงมือเปล่าทั้งสองเกิดความระย่อ พวกมันกลับทุ่มเทเสี่ยงตาย บุกเข้ามาพร้อมกัน แบบไม่เห็นเธอเป็นผู้หญิงอีกต่อไป

            พิจิก เมษารับมือหนักแรงกว่าเดิม สู้ชนิดเลือดเข้าตา ถอยขึ้นมาบนศาลาจนหลังชนกัน เหลียวมองสบตา เกิดกำลังใจขึ้นมาเฮือกใหญ่ ก่อนผละไปรับมือคู่ต่อสู้ตนเอง คิดว่ามันคงยืดเยื้ออีกครู่ใหญ่กว่าจะรู้ผล

            แต่แล้ว...ผลการต่อสู้ปรากฏรวดเร็วเกินคาด

            ผัวะ ผัวะ ปึก ปึก

            ผู้ช่วยโผล่มาสองราย พร้อมไม้ขนาดเหมาะมือ แยกย้ายขึ้นบนศาลา ฟาดนักเลงทั้งสี่จากทางด้านหลังชนิดตรงจุด ส่งผลให้พวกมันหมดสติ ฟุบลงไปกองกับพื้นทันที

            พิจิก เมษาหลังชนกันถอนใจเฮือกใหญ่ เหน็ดเหนื่อยแทบยืนไม่ไหว มองผู้มาช่วยทั้งสองอย่างไม่เชื่อสายตา

            “ลุงชาติ” เมษาเอ่ยทัก

            “คุณสมยศ...” พิจิกไม่อยากเชื่อ พ่อบ้านศิวาดลที่สวมแว่น ท่าทางคงแก่เรียนจะมีฝีมือขนาดฟาดครั้งเดียวทำเอานักเลงตัวโตลงไปกองกับพื้นได้

            “เป็นยังไงบ้างคุณหนู...คุณพิจิก” ลุงชาติรีบเข้ามาดูหลานชายหลานสาวผู้มีพระคุณ

            พิจิกขยับตัวถอยห่างจากเมษาไปยืนพิงเสา แววตายามหันสบกันทอประกายแปลกกว่าเดิม

            “ลุงชาติมาได้ยังไง” เมษาเอ่ยถาม สายตาเหลือบมองพ่อบ้านที่ตามมาด้วย

            “ปู่คุณหนูสั่งให้ลุงมาน่ะสิ...” ลุงชาติตอบพลางสำรวจร่องรอยบาดเจ็บหญิงสาวเป็นอันดับแรก

            “เอ่อ...ลุง...ชาติ” เมษาขยิบตา แล้วมองไปทางพ่อบ้านศิวาดลที่เดินมายืนข้างหลังเจ้าของค่ายมวย

            “อ้อ...” คราวนี้ลุงชาติเข้าใจในสัญญาณ “คุณหนูไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้ยศมันรู้เรื่องหมดแล้ว”

            “หา...” คนที่อุทานกลับเป็นพิจิกที่กำลังยืนพิงเสาอย่างหมดแรง

            เสียงอุทานเรียกชายทั้งสองให้หันมาดู

            “คุณพิจิก...ไหวมั้ย” เพียงแวบแรกมองมา นักสู้ผ่านสมรภูมิหลายเวทีย่อมดูออกว่าชายหนุ่มเจ็บตัวหนัก

            “ผมน่ะพอไหว...แต่...” ชายหนุ่มมองพ่อบ้านพลางยิ้มแหย

            “ผมจำเป็นต้องบอกไอ้ยศมันน่ะ ไม่งั้นคงอาศัยให้มันช่วยเหลือไม่ได้” ลุงชาติอธิบายแล้วตบไหล่หลานชายที่ยืนเงียบมาตลอด

            “ไม่ต้องห่วงเรื่องผมรู้ความลับที่พวกคุณปลอมตัวเข้ามาหรอก” นายสมยศพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “เพราะน้าชาติบอกว่า พวกคุณคงอยู่ที่นี่อีกแค่คืนนี้ เดี๋ยวก็กลับไปกันหมดแล้ว”

            พิจิก เมษามองเจ้าของค่ายมวยผู้เป็นอาจารย์อย่างคาดคั้นปนอ่อนใจ การปิดผนึกอาคมยังไม่สำเร็จ จะออกไปจากศิวาดลทั้งอย่างนี้ได้ยังไง

            “ลุง...ผมยัง...” พิจิกไม่ทันพูดจบ ลุงชาติก็แทรกขึ้นมาก่อน

            “เราออกไปจากที่นี่ก่อนดีมั้ย” ผู้สูงวัยกว่ามองเหล่านักเลงที่นอนกระจัดกระจาย “ไอ้พวกนี้อาจฟื้นขึ้นมาตอนไหนก็ได้...สงสัยเรื่องอะไรเดี๋ยวลุงจะเล่าให้ฟังระหว่างทาง”

            “ระหว่างทาง...ลุงจะพาเราไปไหน” เมษาถามบ้าง

            “เดี๋ยวก็รู้...ตอนนี้รีบไปก่อนเถอะ...เอ้าไอ้ยศนำทาง”




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            งานคืนนี้ลุงชาติ และเด็กในสังกัดถือเป็นกองกำลังลับสำคัญ ที่สองผู้เฒ่าเตรียมเอาไว้กรณีฉุกเฉิน แบบไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้า

            ลุงชาตินับถือผู้เฒ่าทั้งสองเป็นเหมือนเจ้านายอยู่แล้ว จึงจัดวางกำลังไว้สองชุดเพื่อสนับสนุนสองฝ่ายโดยไม่จำเป็นต้องขัดแย้ง แบ่งแย่งกัน

            ปู่เผด็จ ปู่คงคาเชื่อว่าผู้ร้ายในเงาน่าจะวางแผนหลายชั้น หากเล่ห์กล มนตร์คาถาไม่ได้ผล ก็ต้องใช้กำลังเข้าจัดการ เพราะความไม่ประมาทอย่างนี้ สองผู้เฒ่าจึงรอดพ้นจากแก๊งนักเลงนอกกำแพงศิวาดลอย่างสบาย

            ส่วนตัวลุงชาติได้รับคำสั่งจากปู่คงคาให้แอบเข้ามาตั้งกองบัญชาการ สั่งการอยู่ในเขตศิวาดล ซึ่งนอกจากสะดวกในการสังเกต ส่งข่าวความเคลื่อนไหวแล้ว ยังง่ายต่อการสั่งการ และเป็นหูเป็นตาแทนสองผู้เฒ่าให้ช่วยดูแลหลานทั้งสองคนด้วย

            งานนี้ลุงชาติจึงขอความร่วมมือจากนายสมยศ หลานชายผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่

            การหว่านล้อม ชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยเหลือนั้น จำเป็นต้องบอกเล่าเรื่องราว ภารกิจต่าง ๆ ให้เข้าใจ ซึ่งพอสมยศรู้เรื่องแล้ว ถือว่าเป็นพวกเดียวกันห้ามบิดพลิ้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เลยยอมช่วยเหลือ อำนวยความสะดวกอย่างไม่มีทางเลือก

            ลุงชาติพูดให้ความหวังอีกว่า...เมื่อภารกิจของหลานผู้มีพระคุณทั้งสองเสร็จสิ้นในคืนนี้ พวก ‘ลูกจ้างกิตติมศักดิ์’ คงจะออกจากศิวาดลทันที ไม่อยู่ให้ลำบากใจอีกต่อไป



            เมื่อปู่เผด็จ ปู่คงคาเกิดสังหรณ์ว่าจะเกิดเหตุร้ายแก่หลานตน ก็รีบเข้ามาในศิวาดลทันที แต่ไม่สามารถขับรถมาถึงศาลาแปดเหลี่ยมได้ เพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกั้นถนนภายใน ไม่ให้รถบุคคลภายนอกขับเข้าไปในส่วนอื่นของศิวาดล

            ปู่คงคาจึงรีบโทรศัพท์บอกให้ลุงชาติเข้ามาดูแลหลานสาวตนก่อน ซึ่งในจังหวะนั้นเกิดเสียงกรีดร้องในห้องจัดเลี้ยง ผู้คนแตกตื่นแห่กันออกมาวุ่นวาย

            ลุงชาติเสียเวลาครู่ใหญ่กว่าจะลากนายสมยศ ให้ออกมานำทางไปศาลาแปดเหลี่ยมสำเร็จ ยังดีที่มาถึงทันเวลาก่อนพิจิกจะหมดแรงต่อสู้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)

            


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP