วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๒๗



cover siwadol


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เมษารับรู้ ซึมซาบเรื่องราว จากการถ่ายทอดทางจิตอย่างครบถ้วนเข้าใจ นิ่งอึ้งครู่ใหญ่ ทำอะไรไม่ถูก

            หากหล่อนดื้อดึง ฝืนถอนของให้พิจิก รับรองชายหนุ่มต้องร่ายเวทสร้างเกราะคุ้มภัยแก่เธอ อย่างที่ปู่เผด็จเคยทำแน่นอน

            ถ้าถอนของไม่สำเร็จก็ดีไป...แต่ถ้าสำเร็จขึ้นมาของนั้นจะถูกเหวี่ยงไปที่ใด

            ...ปู่เผด็จ ปู่คงคา พ่อแม่เธอ พ่อแม่พิจิก พี่ธันวา หรือเจ้มีนา...

            ทุกคนล้วนเป็นคนในครอบครัวที่สองหนุ่มสาวรักและผูกพันอย่างยิ่ง...ไม่มีทางยอมเสี่ยงให้พวกเขาตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด

            สมัยก่อน ปู่เผด็จไม่เคยใช้อาคมนี้ ไม่คิดว่ามันจะมีความเสี่ยงรุนแรง อันตรายเกินคาด จึงร่ายเวทออกไปเพื่อช่วยเหลือเพื่อนโดยไม่คิดมาก

            มาวันนี้พวกเธอรู้แล้ว มันอันตรายแค่ไหน ไม่มีทางยอมซ้ำรอยความผิดพลาดอย่างเดิมเด็ดขาด

            ...ถ้าเช่นนั้น ควรทำอย่างไรดี?...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            รถปู่เผด็จ ปู่คงคาจอดหน้าคฤหาสน์ศิวาดลในเวลาไล่เลี่ยกัน

            แรกทีเดียว สองผู้เฒ่าตั้งใจสั่งคนขับรถให้บุกไปจนถึงจุดปิดผนึกอาคมทันที แต่ทางเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนำเหล็กมากั้นถนน บังคับให้รถบุคคลภายนอกมาจอดได้แค่บริเวณหน้าคฤหาสน์ ไม่ยอมให้รุกล้ำถึงอาณาเขตส่วนอื่นเด็ดขาด

            หากสองผู้เฒ่าจะเข้าไปช่วยหลานชาย หลานสาว จำเป็นต้องฝ่าแผงกั้นเข้าไป ซึ่งรับรองต้องเกิดเรื่องโกลาหลใหญ่โตตามมา แถมอาจโดนสกัดจับในเวลาอันสั้น ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้อยู่ดี

            ขณะสองผู้เฒ่าสั่งคนขับให้จอดรถ นึกวางแผนต่อไป พอดีเกิดเสียงหวีดร้องดังลั่นมาจากภายในคฤหาสน์

            ไม่นาน ผู้คน แขกเหรื่อจำนวนมากต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงออกมาอย่างสับสน วุ่นวายราวกับผึ้งแตกรัง

            ...เสียงหวีดร้องลั่นอื้ออึงขนาดนี้มาจากสาเหตุใด...งานเลี้ยงศิวาดลคืนนี้...เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นกันแน่?...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ภายในห้องจัดเลี้ยง ก่อนเวลาสามทุ่ม

            เสียงไวโอลินดังหวีดหวิว คลอเสียงขับขานบทเพลงแสนหวาน ท่วงทำนองไพเราะจากนักร้องชื่อดัง ทำให้แขกในงานดื่มด่ำล่องลอยไปกับเสียงเพลงอย่างมีความสุข

            บทเพลงล่องลอยภายในห้องจัดเลี้ยง และลอดออกมานอกห้องกระทบหูแม่บ้านใหญ่ที่ยืนดูรูป ‘ศิวาดล’ ภาพลายเส้นดินสอที่อยู่หน้าประตู

            สีหน้าคุณแม่บ้านไม่เคร่งดุไร้ความรู้สึกเช่นเคย แววตามีรอยอ่อนโยนชั่วแวบ ริมฝีปากขยับพูดเบา ๆ ตั้งใจส่งถึงผู้ฟังที่อยู่อีกภพภูมิ

            “ดิฉันคงช่วยได้เท่านี้ ที่เหลืออยู่ที่คุณดลแล้วนะคะ”

            ช่วยเท่านี้’ นอกจากดลดาราแล้ว มีแต่ตัวคุณแม่บ้านเอง ที่รู้ว่าเธอช่วยเหลือดลดารามากแค่ไหน นานเพียงไร ช่วยด้วยความรู้สึกผิด ที่ประมาทกลับมาศิวาดลช้าเกินไป จนไม่อาจปกป้องรักษาชีวิตผู้เป็นนายได้

            เพียงแต่...ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด แม่บ้านเข็มทองรับรู้การมีอยู่ของ ‘ดลดารา” ในอีกสภาวะ แทบจะพร้อมกับรับรู้อำนาจของปิศาจคุณทองกับภูตผีข้าทาสบริวารเหล่านั้น

            แม่บ้านเข็มทองรู้ว่าเจ้านายตนโดนผูกตรวนเป็นทาส ไม่มีอิสระ ต้องอยู่ร่วมกับพวกมัน คอยรับใช้ปิศาจนายทอง ภายในเกราะกำแพงมนตราที่ล้อมรอบศิวาดล

            เธอพยายามหาทางช่วยเหลือผู้เป็นนายให้หลุดรอดจากตรวนอาคมนายทอง แต่ด้วยกำลังเพียงคนเดียวไม่อาจทำอะไรได้ เคยนึกอยากหนีจากศิวาดลให้พ้น เพื่อไม่ต้องรับรู้ความทุกข์ยากลำบากของชีวิตอีกภพภูมิ จิตใจกลับตัดไม่ขาด รู้สึกเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบตนที่ต้องคอยช่วยเหลือดลดารา

            สิบกว่าปีที่ผ่านมา แม่บ้านเข็มทองทำได้เพียงลอบให้ความช่วยเหลือดลดาราอย่างลับ ๆ พยายามไม่ให้ทั้งผู้คน และภูตผีตนอื่นล่วงรู้



            ก่อนถึงงานเปิดรั้วศิวาดล...ดลดาราบอกว่าต้องการความช่วยเหลือ เพราะวันนั้นอำนาจมืด พลังปิศาจนายทองจะหดหายเป็นเวลาถึงหกชั่วโมง เป็นโอกาสเดียวที่เธอจะสามารถ ‘ทำอะไรบางอย่าง’ ได้

            แม่บ้านใหญ่ไม่ขัดข้อง ยอมให้ความช่วยเหลือทุกอย่าง แม้กระทั่ง...เป็นร่างทรงวาดรูป

            ภาพ ‘ศิวาดล’ ลายเส้นขาว-ดำรูปสองหนุ่มสาวหน้าน้ำพุเทรวี เป็นเพียงแค่ความทรงจำดลดารายามมีชีวิต เธอยังไม่ได้ลงมือวาดมันสักลายเส้นเดียว

            วันนี้...ดลดาราต้องการใช้ภาพศิวาดลกระตุ้นความทรงจำนายศิวา ภาพที่มีแต่เธอกับเขารู้เบื้องหลังความนัย...

            เพียงแต่ภาพนี้ยังไม่มีการวาดจริงขึ้นมา เธอจำเป็นต้องอาศัย ‘มือ’ ของใครสักคนชั่วคราว ช่วยให้ภาพเสร็จสมบูรณ์

            แม่บ้านเข็มทองยินยอมอย่างเต็มใจ ภาพนี้จึงเสร็จทันวันงานพอดี

            นอกจากเป็นร่างทรงวาดภาพ แม่บ้านใหญ่ยังชักจูงแพรพลอยหลายอย่าง จนงานเปิดรั้วศิวาดลเป็นอย่างที่เห็น หนำซ้ำจงใจเลือกชุดราตรีในแบบที่ดลดาราชอบมานำเสนอให้เธอสวมใส่ เพื่อกระตุ้น จี้ใจดำนายศิวาอย่างชัดเจน

            ทุกคนเข้าไปในงานหมดแล้ว แม่บ้านเข็มทองไม่มีเรื่องต้องกระทำอีก ที่เหลือดลดาราจะจัดการเอง

            หญิงกลางคนละสายตาจากภาพที่เขียนด้วยมือ...แต่ไม่ใช่ฝีมือตน แล้วหันหลังเดินไปทางห้องครัว...

            ...งานของแม่บ้านใหญ่ยังไม่หมดลงแค่นี้...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ห้องครัวศิวาดล

            วันนี้แม่ครัวใหญ่ทั้งสองอย่างป้าแมว และป้าเพลินต้องมาลงครัวร่วมมือกัน จัดเตรียมอาหาร เครื่องดื่มเป็นพิเศษสำหรับแขกโต๊ะวีไอพี

            ห้องครัวกว้างในคฤหาสน์ดูแคบไปถนัดตาเมื่อสองแม่ครัวพร้อมด้วยลูกสมุน ผู้ช่วยคนสนิทต่างทำงานหน้าที่ตนแบบแข่งกับเวลา

            แม่บ้านเข็มทองยืนแค่หน้าประตูครัว มองไปรอบ ๆ ก่อนเอ่ยปากถาม

            “เรียบร้อยมั้ย”

            “เรียบร้อยค่ะ” ป้าแมวอายุหกสิบกลาง ๆ สูงวัยกว่าแม่บ้านเข็มทอง แต่ให้ความเคารพ ยำเกรงในฐานะแม่บ้านใหญ่เหมือนกับคนงานในศิวาดลทุกคน

            “เรื่องอาหารบนโต๊ะวีไอพีเรียบร้อยแล้ว แต่ของแขกทั่วไป ทางโรงแรมกำลังทยอยส่งขึ้นไปเป็นชุด ๆ ค่ะ” ป้าเพลินอธิบาย เธอมีหน้าที่ประสานงานกับทีมอาหารจากโรงแรมด้วย

            “สมยศอยู่ไหน?” แม่บ้านใหญ่ถามถึงพ่อบ้านศิวาดล

            “ออกไปสั่งพวกรักษาความปลอดภัยให้ปิดกั้นถนน ไม่ให้คนนอกหลงเข้าไปในส่วนอื่นของศิวาดลตอนนี้ค่ะ” ป้าแมวเป็นคนตอบ

            แม่บ้านเข็มทองฟังคำอธิบายพร้อมกวาดสายตาดูการทำงานพวกลูกจ้างสาว ๆ ในครัวอย่างจับผิด พอไม่เห็นข้อบกพร่องใด ๆ จึงเอ่ยปากสั้น ๆ

            “ถ้ามีธุระด่วนอะไร โทรเรียกฉันแล้วกัน” คุณแม่บ้านบอกแค่นั้นก็หันกลับเตรียมปลีกตัว

            “คุณแม่บ้านจะไปไหนคะ” ป้าเพลินเผลอหลุดปากถาม

            แม่บ้านใหญ่หันมามองด้วยแววตานิ่งเรียบ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาตอบ แม่ครัวที่อายุมากกว่าตนเองก็รีบหลบตา นึกอยากบ่นพร้อมตบปากตัวเอง...กูไม่น่าถามเล้ย!...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ภายในห้องจัดเลี้ยง...ยังไม่ถึงเวลาสามทุ่ม

            แขกผู้มาร่วมงานกำลังเพลิดเพลินกับบทเพลงไพเราะ อาหารรสชาติเยี่ยม...

            บนเวทีมีการแสดงดนตรี ร้องเพลงขับกล่อมจากนักร้องมีชื่อเสียงหลายท่าน บทเพลงหลากหลายทั้งเพลงร่วมสมัย และบทเพลงอมตะ

            อาหารที่เสิร์ฟแขกทั่วไปมาจากโรงแรมระดับห้าดาว รสชาติเยี่ยม ชวนลิ้มลองทุกเมนู ส่วนบนโต๊ะวีไอพีจะเพิ่มอาหารหากินยาก เจาะจงให้ถูกปาก ถูกรสนิยมของแขกสำคัญผู้ร่วมโต๊ะแต่ละท่าน

            งานเลี้ยงนี้จึงนับว่าถูกใจได้รับคำชื่นชมจากแขกผู้ร่วมงานทุกคน

            มีนานั่งร่วมโต๊ะกับทีมงานที่มาบันทึกภาพงานเปิดรั้วศิวาดล จิบเครื่องดื่มเพียงเล็กน้อย พอเห็นผู้การพฤกษ์ เข้ามาในงานพร้อมสารวัตรธงรบ จึงรีบลุกขึ้นไปทักทาย

            “สวัสดีค่ะพ่อพฤกษ์ พี่ธง...”

            ผู้การพฤกษ์กับพ่อมีนาเป็นเพื่อนรัก เพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน ต่อให้รุ่นปู่บาดหมาง แต่รุ่นพ่อยังกลมเกลียวมีสัมพันธ์อันดี หญิงสาวจึงเรียกขานอีกฝ่ายเหมือนเป็นบิดาตนเอง

            “งานนี้อยู่ครบทั้งพี่ทั้งน้องเลยนะ” ท่านผู้การทักอารมณ์ดี

            “แสดงว่าพ่อพฤกษ์เจอหมวยเล็กแล้ว” หญิงสาวรู้ทัน

            “เห็นอยู่หน้างานกับเจ้าจิก...นี่ถ้าเจ้าธันมาด้วยอีกคนก็ครบทีมพอดี” ผู้การแหย่

            “หนูไม่ขอร่วมทีมกับลูกชายคนโตพ่อพฤกษ์หรอกค่ะ” มีนารีบตอบทันควัน

            “แหม...พ่อจะยกลูกชายคนโตรูปหล่อสุดให้ฟรี ๆ เลยนะ แถมสินสอดเต็มที่ แล้วแต่จะเรียกเลย...ยังไม่เอาอีกเหรอ” คนเป็นผู้ใหญ่กว่าสนุกที่ได้แหย่ลูกสาวเพื่อน

            “พ่อพฤกษ์มาร่วมงานนี้เฉย ๆ หรือมีงานอื่นด้วยคะ” มีนาหันมองสารวัตรธงรบที่มาด้วยพร้อมเอ่ยถามเพื่อเปลี่ยนประเด็น

            หญิงสาวได้รับหน้าที่จากปู่คงคาให้มาช่วยเหลือเมษา ไม่แน่ว่าพ่อพิจิกอาจได้รับหน้าที่แบบนี้จากปู่เผด็จเหมือนกัน

            คราวนี้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไม่ตอบ ลอบสบตาสารวัตรลูกน้องแล้วอมยิ้ม

            มีนาเห็นอย่างนี้จึงไม่เอ่ยปากซักไซ้ถามต่อ...พ่อหล่อนเป็นนายตำรวจระดับเดียวกับพ่อพิจิก รู้ดีว่า...หากเป็นเรื่องงานแล้ว ต่อให้เป็นลูกเมียก็บอกไม่ได้

            นายตำรวจทั้งสองเดินไปนั่งโต๊ะวีไอพี ห่างจากมีนาแค่โต๊ะเดียว บนโต๊ะนั้นมีแขกระดับผู้ใหญ่หลายท่าน ต่างคนรู้จักสนิทสนมกันดี

            ครู่หนึ่งนายศิวามานั่งร่วมโต๊ะด้วย พูดคุยอย่างเป็นกันเอง แต่สีหน้าท่าทางขณะคุยกับนายตำรวจทั้งสองแฝงความระวังตัว ระวังคำพูดในระดับหนึ่ง

            มีนาสังเกตสนใจ...แต่แล้ว...เสียงเพลงบนเวทีก็หยุดลง ร่างสูงระหงในชุดราตรีสีขาวโดดเด่นของแพรพลอยก็เดินขึ้นบนเวทีอย่างงามสง่า พร้อมรอยยิ้มชวนหลงใหล

            “ต่อไปนี้...เป็นการแสดงชุดพิเศษ ซึ่งจะทำให้แขกทุกท่านรู้จัก ‘ศิวาดล’ ดีกว่าเดิม ทุกท่านจะได้รู้เห็นศิวาดลในรูปแบบแตกต่างจากเดิม...ขอเชิญรับชมได้แล้วค่ะ”

            เสียงปรบมือจากแขกผู้ร่วมงานดังกึกก้อง แสงไฟหรี่ลงจนสลัว เสียงไวโอลินกรีดดังหวีดหวิวชวนให้จิตใจสะท้านสะเทือน เสียงขับร้องบทเพลงดังขึ้นมาอย่างนุ่มนวล อ่อนโยน...

            ...จันทร์...กระจ่างฟ้า...นภาประดับด้วยดาว...

            ...โลกสวยราว...เนรมิตประมวล...เมืองแมน...

            ...ลมโชยกลิ่น...มาลา...กระจายดินแดน...

            ...เรียมนี้แสน...คะนึงถึงน้อง...นวลจันทร์...







บทที่ ๑๗



            บทเพลงแสนไพเราะ น้ำเสียงอ่อนหวานมีพลังกังวานทั่วห้อง แพรพลอยชะงักหันมองบนเวทีที่สลัวราง ไม่มีร่างผู้ขับขานเพลงแสนหวานนี้ พอหรี่ตามองรอบห้อง เห็นแขกส่วนใหญ่ไม่แปลกใจสงสัย แทบทุกคนล้วนตกอยู่ในภวังค์คีตา

            หญิงสาวขยับตัวกลมกลืนกับเงามืดข้างเสา สังเกตความเป็นไปอย่างใจเย็น

            ...นี่ไม่ใช่บทเพลงเปิดตัวศิวาดลอย่างที่เธอกำหนดไว้!...

            การแสดงชุดนี้ตามแผนจะเริ่มต้นด้วยดนตรีบรรเลง จังหวะสนุกกระตุ้นความสนใจผู้ชม จากนั้นฉายภาพโฮโลแกรมของคฤหาสน์ศิวาดลขึ้นกลางเวทีเพื่อสร้างความตื่นตาตื่นใจ

            ตามด้วยเสียงบรรยายประวัติความเป็นมาของศิวาดล ประกอบกับการฉายภาพบนจอ แสดงเรื่องราวมุมมองใหม่ของสถานที่นี้ โดยเน้นให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์เชิงศิลปะ ทั้งด้านสถาปัตยกรรม และประติมากรรมที่ประดับประดาทั่วบริเวณอย่างมีรสนิยม

            ระหว่างฉายภาพบนจอก็จะมีการตัดสลับกับการฉายภาพโฮโลแกรมรูปปั้น งานประติมากรรมเด่น ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของศิวาดลแต่ละชิ้น ภาพวาด จิตรกรรม ผลงานสำคัญที่สร้างชื่อเสียงให้ดลดารา จะถูกนำมาปรากฏบนเวทีราวกับถูกเสกด้วยเวทมนตร์

            ในเมื่อธีมงานถูกเปลี่ยนเป็น ‘ศิวาดลคือดลดารา’ งานเปิดรั้วศิวาดลครั้งนี้ จึงเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า ศิวาดล คืองานศิลป์ชิ้นโบว์แดง จิตวิญญาณทั้งหมดของศิลปินที่ชื่อดลดารา

            ทว่า...เพียงแค่ดนตรีเปิดงานก็ผิดเพี้ยนจากที่วางไว้ชนิดคนละเรื่อง



            งามใดหนอ...จะพอทัดเทียบ...เปรียบน้อง

            เจ้างามต้องตาพี่...ไม่มีใครเหมือน

            ถ้าหากน้อง...อยู่ด้วย...และช่วยชมเดือน

            โลกจะเหมือน...เมืองแมน...แม่นแล้ว...นวลเอย...



            แพรพลอยรู้จักเพลงนี้เป็นอย่างดี ได้ยินคุ้นหูตั้งแต่เด็ก น้ำเสียงกังวานใสขับขานคลอเสียงไวโอลินฟังบาดหัวใจ ถ่ายทอดความรู้สึกหวนไห้ คะนึงหา เสียดลึกถึงกลางใจผู้ฟัง กระแสเสียงนั้นมีพลังดึงดูดใจพาให้ผู้ฟังเคลิบเคลิ้มลืมตัว

            เพลงนี้...เสียงร้องเช่นนี้ แพรพลอยจำได้แม่นยำ เพียงแต่ไม่เข้าใจ เหตุใดผู้ขับขานบทเพลงถึงไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง

            เพลงจบ เสียงดนตรียังบรรเลงเอื่อย ๆ แว่วหวาน บนเวทีมีละอองควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมา อุณหภูมิในห้องลดลงจนเย็นเยียบ กึ่งกลางกลุ่มหมอกควันมีบางสิ่งปรากฏขึ้น ลักษณะเหมือนภาพโฮโลแกรมสามมิติ แต่มันชัดเจนเห็นรายละเอียดเล็กน้อยจนน่าทึ่ง

            มันเป็นเรือนไม้โบราณสองชั้นใหญ่โตกว้างขวาง ขรึมขลัง งดงามในแบบของตน

            เรือนพระยาคงเวท” เสียงหนึ่งกังวานบรรยายบอกเล่า แขกทุกคนได้ยินชัด ไม่มีใครแตกตื่นสงสัย ทุกคนคล้ายหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ทำตัวเสมือนผู้ชมละคร โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ

            ดวงตาแพรพลอยทอแววประหลาด รอยยิ้มแปลกผุดขึ้นมา



            ตั้งแต่เพลง ‘คิดถึง’ ดังขึ้นคนจัดงานอีเว้นท์ก็รีบเหลียวมองหาเจ้าของงาน ด้วยแสงไฟที่สลัวรางจึงยังไม่เห็น กระทั่งเรือนพระยาคงเวทปรากฏ มีแสงสว่างรำไร ค่อยพบหญิงสาวยืนนิ่งอยู่ในเงาสลัวใกล้เวที จึงรีบเข้าไปหาทันที

            “คุณพลอยคะ เกิดอะไรขึ้นไม่รู้...ทำไมไฮไลท์ของงานเราถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้”

            “แก้ไขไม่ได้หรือคะ” แพรพลอยถามเสียงเรียบ

            “เราพยายามเต็มที่ตั้งแต่เพลง ‘คิดถึง’ ขึ้นมาแล้วค่ะ ไม่รู้ว่ามันดังมาจากไหน เครื่องโฮโลแกรมของเราก็ไม่ทำงาน ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาฉายภาพบนเวทีแบบนี้ได้ยังไง”

            “ช่างมันเถอะค่ะ” แพรพลอยบอกง่าย ๆ

            “อุ้ย...ได้เหรอคะ แล้วภาพไฮไลท์สำคัญทั้งหมดที่เราเตรียมมาจะทำยังไง” อีเวนท์มือทองมึนงง ไม่เข้าใจ ไม่อยากให้ตนเองเสียชื่อเสียงจากงานนี้

            “ปล่อยไปเลยค่ะ” แพรพลอยยิ้มให้อีกฝ่าย “เขาอยากทำอะไรให้เขาทำไปเลย”

            “แสดงว่าคุณพลอยรู้ใช่มั้ยคะว่าเป็นฝีมือใคร” นักจัดอีเว้นท์สีหน้าไม่พอใจ

            “คุณไก่พาทีมงานไปรับประทานอาหารให้สบายเถอะค่ะ ถือว่างานคืนนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว พลอยพอใจในผลงานทั้งหมดของคุณมาก ส่วนเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดคุณไก่แน่นอน มันเป็นปัญหาของพลอยเอง เพราะฉะนั้นคุณไก่ไม่เสียชื่อหรอกค่ะ พลอยรับรองได้”

            เมื่อเจ้าของงานพูดเช่นนี้ นักจัดอีเว้นท์มือทองได้แต่ถอนใจ ยอมเลี่ยงจากไป...ทว่า...แต่ละก้าวที่เธอเดินไปจนถึงโต๊ะอาหาร สติความรู้สึก การรับรู้เรื่องราวของเธอก็ขาดเป็นช่วง ๆ ปะติดปะต่อไม่ถูก

            พอนั่งลงที่โต๊ะ สายตามองไปยังเวที จิตใจก็ถูกตรึงอยู่กับภาพเรือนนั้น ราวต้องมนตร์สะกด...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP