วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
ศิวาดล ๒๖
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
ปู่เผด็จ ปู่คงคาไม่แสดงท่าทางทุกข์ร้อนที่มีนักเลงกลุ่มใหญ่ล้อมรถ เคาะกระจก ส่งเสียงก่อกวน ข่มขู่
บอดี้การ์ดที่นั่งหลังพวงมาลัยกำปืนไว้ในมือ ไม่แสดงอาการใด กระทำตามคำสั่งเจ้านาย นิ่งเฉย ใจเย็น...รอคอย
หากนักเลงล้อมรถไม่แสดงอาการรุกรานมากกว่านี้ พวกเขาจะยังไม่เปิดฉากโจมตี
เมื่อเห็นเหยื่อนั่งในรถไม่มีท่าทางทุกข์ร้อน พวกนักเลงกลับกังวลใจเสียเอง คำสั่งที่ได้รับคือข่มขู่ให้ตกใจกลัว ขับไล่ให้หนีหาย แต่เหยื่อทั้งไม่ตกใจ ไม่ขับรถหนีไปไหน อย่างนี้ควรจัดการอย่างไร
“ฟาดกระจกรถมันเลย” หัวหน้านักเลงออกคำสั่ง พร้อมถอยห่างจากรถ
ท่อนเหล็กถูกเงื้อเตรียมฟาด บอดี้การ์ดในรถขยับปืนพร้อมยิงสวน ทันใดนั้นเสียงบรื้น ๆ ๆ ก็ดังสนั่นลั่นถนน แสงไฟหน้ารถมอเตอร์ไซค์หลายสิบคันกราดเป็นทางยาว
มือที่เงื้อง่าหยุดชะงัก หันไปมองแก๊งมอเตอร์ไซค์กลุ่มใหญ่ที่แบ่งขบวนเป็นสองสาย เข้ามาโอบล้อมนักเลงที่ล้อมรถทั้งสองคัน
“ลุย!” ไม่ต้องรอให้พวกมอเตอร์ไซค์ลงมือ หัวหน้านักเลงเจ้าถิ่นก็ออกคำสั่งทันที
การตะลุมบอนเกิดขึ้นรวดเร็ว ความวุ่นวายต่อยตีปะทะ ทำให้บนถนนกลายเป็นสมรภูมิขนาดย่อม
ปู่เผด็จ ปู่คงคานั่งนิ่งในรถ ไม่ออกไปดูเหตุการณ์ภายนอก นายเดชา นายแหลมจึงต้องประจำที่คอยคุ้มครองเจ้านาย
สองผู้เฒ่าไม่มีสมาธิส่งจิตออกไปดูการทำงานหลานรัก ในใจมีสังหรณ์แปลกรุมเร้า จนกระทั่งการต่อสู้ภายนอกสงบลง แก๊งมอเตอร์ไซค์เป็นฝ่ายชนะ นักเลงเจ้าถิ่นหนีหายกระเจิดกระเจิง
ปู่เผด็จส่งไลน์สั้น ๆ
...เรียบร้อยแล้วชาติ...สั่งพวกเด็กกลับได้เลย...
พอส่งไลน์เสร็จ ใจเกิดอาการสะดุ้งวาบอย่างแรง ชะโงกหน้าสั่งคนขับรถทันที
“เดชา ขับรถเข้าศิวาดลเดี๋ยวนี้!”
“ครับ” บอดี้การ์ดรับคำโดยไม่ถามเหตุผล
บัตรเชิญงานเปิดรั้วศิวาดลถูกล้วงจากกระเป๋า โยนไปให้ตรงเบาะหน้ารถ ปู่เผด็จคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องเข้าไปในเขตศิวาดล แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงให้สารวัตรธงรบขอบัตรเชิญเข้างานเผื่อไว้ใบหนึ่ง...คิดไม่ถึงต้องใช้มันจริง ๆ
ขณะปู่เผด็จแล่นรถออกจากที่...รถปู่คงคาก็วิ่งปราดไปทางประตูหน้าคฤหาสน์ศิวาดลอย่างรวดเร็ว
บอกให้ทราบ...ผู้เฒ่าบนรถคันนั้นเกิดสังหรณ์ร้ายไม่ต่างจากปู่เผด็จเช่นกัน...
บทที่ ๑๖
ร่างในอ้อมแขนพิจิกเย็นเฉียบ สั่นระริก หัวใจชายหนุ่มปวดร้าวมือโอบกระชับร่างน้อยแนบอกแน่น หวังให้ความอบอุ่นจากกายตนถ่ายทอดสู่หญิงสาว
จิตใจว้าวุ่นสั่นระรัว หวาดกลัวทำอะไรไม่ถูก สติสมาธิที่ฝึกฝนมายี่สิบกว่าปีแตกกระสานซ่านเซ็น ไม่อาจรวมตัวติด สมองว่างกลวงคิดอะไรไม่ออก
ขบริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ ความหวาดกลัวครั้งนี้มันรุนแรงเกินตั้งรับ รู้สึกคล้ายตนเองกลับกลายเป็นเด็ก ตอนพลาดพลั้งทำเมษาลื่นล้มแขนหัก
วันนั้นเขากลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวปู่จะดุด่า กลัวพ่อแม่ทำโทษ กลัวเมษาจะเป็นอะไรมากมาย กลัวเท่าที่ความคิดปรุงแต่งในหัวเด็กคนหนึ่งจะคิดได้
เขายืนหน้าซีด ใจสั่นเกาะประตูห้องพยาบาล นึกบนบานศาลกล่าว ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวลขอให้เมษาปลอดภัย...ถ้าเธอปลอดภัย เขาจะไม่ดื้อไม่ซน เป็นเด็กดีอยู่ในโอวาททุกคน...
พอเห็นเมษาปลอดภัย แค่เข้าเฝือกเดินออกจากห้องด้วยสีหน้าสดใส หัวอกก็ผ่อนคลาย ใจรับรู้ขึ้นมาเดี๋ยวนั้นว่า เด็กผู้หญิงคนนี้ มีความสำคัญต่อเขามากแค่ไหน
...การเอ่ยปากบอกว่าจะรับผิดชอบเมษาไปตลอดชีวิตนั้น หัวใจเขาคิดจริงจัง ไม่ใช่วาจาพล่อย ๆ ของเด็กเจ็ดแปดขวบแน่นอน...
ทว่าวันนี้...ผู้หญิงที่เขาเอ่ยปากว่าจะรับผิดชอบไปตลอดชีวิตกลับนอนทอดร่างอยู่ในอ้อมแขน อาจไม่มีชีวิตอยู่ถึงพรุ่งนี้เช้าด้วยซ้ำ...คำมั่นที่เคยเอ่ยไว้...ไม่สามารถรักษาได้แล้วจริงหรือ?
พิจิกข่มความฟุ้งซ่านในหัวลง มองเห็นความผิดพลาดตนเองมากมาย
ฝ่ายตรงข้ามเล่นลูกไม้คล้ายเดิม ซ่อน ‘ของ’ ไว้คอยลอบทำร้ายพวกเขามานับสิบปี ขนาดได้ยินเรื่องราวเพลี่ยงพล้ำของปู่ทั้งสองมาก่อน ก็ยังพลาดท่าแบบเดิมได้อีก
พลาดพลั้ง...อย่างไม่น่าให้อภัย
ความพลาดพลั้งครั้งนี้เกิดจากการวางแผนอันแยบยล เนิ่นนาน ตั้งแต่ฝัง ‘ของ’ ชั่วร้ายไว้ที่เรือนลับปิศาจคุณทอง ซุกงำพลังร้ายเอาไว้จนมิดเม้น ไม่มีใครสัมผัสรับรู้ได้
พวกมันรู้ว่าพิจิก เมษาจะมาปิดผนึกอาคมที่เรือนลับคืนนี้ จึงสั่งนายศิวาให้จัดเวรยาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพอเป็นพิธี ไม่ปล่อยให้ว่างโล่งจนน่าหวาดระแวง ซึ่งฝีมือระดับสองหนุ่มสาวย่อมเร้นกาย ลอดหูตาเวรยามเหล่านั้นโดยไม่ลำบากเปลืองแรง
พอมาถึงเรือนลับ ก็ให้ปิศาจนายทองออกหน้า ขัดขวางต่อสู้ อีกทั้งล่อหลอกเล่นงานกำลังเสริมอย่างปู่ทั้งสองที่นอกกำแพง เพื่อให้พิจิก เมษาไม่รู้สึกว่าการปิดผนึกอาคมง่ายดายเกินไป ทั้งที่จริงหากพวกมันทุ่มเทกำลังนักเลงตัวจริงมารุมขัดขวางสองหนุ่มสาว การปิดผนึกอาคมครั้งนี้อาจไม่สำเร็จง่ายดายก็ได้
พวกมันจงใจปล่อยให้ผู้ทรงเวทหนุ่มสาวร่ายอาคม ปิดผนึกอาคม เพราะเชื่อมั่นใน ‘ของ’ มนตร์ดำที่เตรียมไว้อย่างยิ่ง กับดักชิ้นนี้ร้ายกาจ ไร้ร่องรอย และยากจะมีจอมเวทผู้ใดแก้ตก ต่อให้สองผู้เฒ่าร่วมมือกันก็ไม่อาจแก้ไขได้
มนตร์ดำที่แฝงมากับ ‘ของ’ ครั้งนี้ ร้ายกาจกว่าสมัยปู่คงคาโดนนับสิบเท่า!
เพียงแค่พิจิกโอบร่างเมษาไว้ในอ้อมแขน สัมผัสในใจก็รู้ว่าระดับความรุนแรงของมนตร์ดำมันซึมลึก แผ่ซ่านไปทั่วร่างเธอแล้ว หนำซ้ำพลังมืดนี้ยังเกาะตัวหนาแน่น ลำพังพลังจิตของตนไม่มีทางขับไล่ แก้ตกได้เลย
...ทำอย่างไรดี...
ขณะเกิดคำถาม ต้นแขนมีอาการเจ็บแปลบ ชาซ่านขึ้นวูบหนึ่ง ปลุกความมึนซึมให้มีสติ รู้สึกตัวขึ้นชั่วขณะ หันมองต้นแขน พบรอยดินกระเซ็นใส่ มีเชื้อมนตร์ดำที่เพิ่งขับออกฉาบทาบางเบา...แล้วความคิดก็สว่างวาบขึ้น
เขาไม่สามารถ ‘ถอนของ’ ออกจากร่างเมษา แต่มีมนตราบทหนึ่ง ใช้เชื่อมโยงดึงดูดระหว่างมนตร์ดำต่อมนตร์ดำได้ ต้นแขนเขามีเชื้อมนตร์ดำเคลือบคาจาง ๆ มันสามารถเชื่อมต่อ และใช้อาคมดึงดูดมนตร์ดำในร่างหญิงสาวได้เช่นกัน
วิธีนี้...ใกล้เคียงกับที่ปู่เผด็จเคยใช้ช่วยปู่คงคามาเมื่อสิบกว่าปีก่อน!
ครั้งนั้นผู้ทรงเวทในเงาส่งของมาในรูปแบบอื่น...ล่อหลอกให้ปู่คงคาเผลอทักจนของเข้าร่าง ส่วนปู่เผด็จรู้ตัวทัน ใช้อาคมตวาดขับไล่จนตนเองปลอดภัย
‘ของ’ ในครั้งนั้นไม่รุนแรงซับซ้อนเท่านี้ แต่สามารถปลิดชีพปู่คงคาในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง หนทางช่วยเหลือมีเพียงเส้นเดียว...ต้องใช้อาคมถอนของออกมา
ปู่เผด็จตั้งสมาธิเตรียมช่วยถอนของออกจากร่างปู่คงคา พอจิตเข้ากระทบมนตร์ดำ ก็รู้ว่า ‘ของ’ ลักษณะนี้ไม่เหมือนอาคม ไสยเวททั่วไป
ปกติหากผู้มีอาคมสามารถ ‘แก้ตก’ ถอนของออกจากร่างเหยื่อสำเร็จ...ของหรือมนตร์ดำนั้น จะย้อนคืนสู่ผู้ส่ง...เจ้าของอย่างฉับพลัน ทำให้ฝ่ายนั้นถึงตายทันที
ทว่า ‘ของ’ ในร่างปู่คงคานี้ ผิดแผกจากที่อื่น หากผู้ทรงเวทใดกล้าถอนมันออกจากร่างเหยื่อ ของชิ้นนั้นจะถูกเหวี่ยงกลับมายังผู้ถอนของทันที
ปู่เผด็จรับรู้ความร้ายกาจของมันทันทีที่จิตสัมผัสถึง...สองผู้เฒ่าเป็นเพื่อนรัก เพื่อนตายที่กล้ามอบชีวิตให้กันอยู่แล้ว ปู่เผด็จจึงตัดสินใจใช้กำลังสมาธิทั้งหมดของตน เข้าถอนของจากร่างปู่คงคาทันที
ยามนี้ปู่คงคาเจ็บปวดปางตาย สมองมึนเบลอ ไม่อาจรับรู้เรื่องราวรอบตัว จึงไม่รู้การกระทำของเพื่อนรัก ไม่อาจเอ่ยปากคัดค้าน ขัดฝืน
มนตร์ดำครั้งนั้น ไม่ร้ายกาจหนาแน่นเท่าวันนี้ ‘ของ’ จึงถูกถอนออกมาง่ายดาย เพื่อให้มันเหวี่ยงกลับเข้าร่างปู่เผด็จทั้งหมด ไม่เหลือค้างในร่างปู่คงคาแม้สักน้อยนิด...
เหตุการณ์วันนั้น กำลังย้อนกลับมาในวันนี้
พิจิกก้มมองใบหน้าหญิงสาวในอ้อมแขน รอยยิ้มอ่อนหวานผุดขึ้น มองเธอคล้ายกับว่าจะได้เห็นกันเป็นครั้งสุดท้าย
ถามว่าเขาลังเลที่จะดึงดูดมนตร์ร้ายจากร่างหญิงสาวหรือไม่...ไม่เลย...เพียงแต่ขอเวลาสั้น ๆ ได้มองหน้าเธอให้เต็มตา ซึมซับจดจำช่วงเวลานี้ไว้ เพื่อให้ใจมีความสุขในวาระสุดท้าย
พิจิกจับมือหญิงสาวขึ้นมาทาบบนต้นแขนเขา สมาธิยังแตกซ่านไม่อาจรวมตัวติด สูดลมหายใจยาวลึกระลึกถึงคำสอนของปู่
...จิตที่มีความสุข เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ...
‘ความสุข’ พิจิกนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ สมัยเด็ก จิตใจค่อยคลี่บาน แล้วคิดถึงการได้ช่วยชีวิตเธอ การใช้ชีวิตตนเองต่อชีวิตผู้หญิงในอ้อมแขน จิตใจก็บังเกิดความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นมา
ใจพิจิกอบอุ่น เป็นสุขจากการให้...ช่วยเหลือผู้หญิงที่เขารัก ไม่ว่าผลตามมาจะเป็นอย่างไร ไม่มีวันนึกย้อนเสียใจเด็ดขาด
ความสงบบังเกิดขึ้นในใจ รวมจิตที่กระจัดกระจายเข้ามาทีละน้อย มือจับฝ่ามือหญิงสาวประกบต้นแขนตนเองกระชับแน่น ริมฝีปากขยับร่ายมนตราเชื่อมต่อดึงดูดมนตร์ดำเข้ามาเป็นสายเดียวกัน
นิมิตในหัวมองเห็นมนตร์ดำ ของอาถรรพณ์ในร่างเมษากระเพื่อมไหวคล้ายระลอกน้ำ มีความขุ่นข้น ดำมืด แฝงกระแสรุนแรงเผ็ดร้อน แผ่ขยายกว้างเสมือนบึงน้ำขนาดใหญ่
อาคมของพิจิกเป็นการรวมกระแสดำมืดของมันให้บิดตัวเป็นเกลียว เข้ามาเชื่อมต่อเชื้อมนตร์ดำบนต้นแขนตน พอมันเชื่อมต่อกันติดแล้ว กระแสมนตร์ดำอันร้ายกาจก็ไหลทะลักเข้ามาอย่างรุนแรงเอง
พิจิกใช้สมาธิ อาคมกำหนดทิศทางกระแสคลื่นมนตร์ดำนั้นให้ผ่านทางต้นแขน แล้วไหลลงสู่ปลายนิ้วทีละนิ้วจนเต็ม จากนั้นเอ่อล้นขึ้นมาถึงข้อมือ ลามต่อมายังแขน...รู้ว่ามันเป็นภัยร้าย แต่ค่อย ๆ ใช้สมาธิจำกัดบริเวณมันอย่างใจเย็น
บึงมนตร์ดำหลากไหลไปในทิศทางเดียว จำกัดอยู่แค่ที่แขนทั้งข้างของพิจิก มันท่วมข้อมือ แขน แผ่ซ่านจนเห็นร่องรอยสีดำสนิทที่ลุกลามกินบริเวณขึ้นมาอย่างไม่ยอมหยุดยั้ง
มนตร์ดำในร่างเมษายังไม่หมด พิจิกร่ายเวทจนถึงบทสุดท้าย ปล่อยให้กระแสมนตร์ดำดึงดูดกันเอง สำรวมจิตตั้งมั่น เร่งกระแสของมันให้เร็วขึ้นอีก เพราะรู้ว่าตนเองไม่อาจควบคุมสมาธิได้นานนัก หากความเจ็บปวดทรมานบุกจู่โจมขึ้นมาก่อนดึงดูด ‘ของ’ จากเมษาหมด ความพยายามที่กระทำมาจะสูญเปล่าทันที
ความเจ็บปวดทรมานเป็นตัวทำลายสมาธิอย่างน่ากลัว ฝีมือระดับพิจิก เมษาก็ยังไม่อาจก้าวผ่านทุกขเวทนาทางกายได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
สุดท้ายทั้งคู่อาจกลายเป็นศพอยู่บนศาลาแห่งนี้โดยคนทั่วไปไม่ทราบสาเหตุ...
รอยสีดำบนแขนพิจิกลามสูงขึ้นเรื่อย ๆ สีของมันเข้มจนน่ากลัว ลุกลามรวดเร็วจนน่าหวั่นใจ
พอมันลามมาถึงต้นแขนชายหนุ่มก็หยุดนิ่ง ไม่ขยับเคลื่อนต่อ ใบหน้าพิจิกขาวจนซีด เหงื่อผุดพราว ดวงตายังคงทอประกายจ้า
มนตร์ดำในร่างเมษาถูกดึงดูดมาอยู่ที่แขนพิจิกหมดแล้ว ชายหนุ่มรวบรวมกำลังสมาธิที่เหลือร่ายอาคมสะกด ‘ของ’ พวกนั้นให้จำกัดอยู่ที่แขน ไม่ยอมให้ลุกลามจู่โจมหัวใจ
เวลาสามทุ่มเศษ อำนาจมนตร์ดำเพิ่งขยับเคลื่อน ยังไม่อาจเปล่งพลังเต็มที่ พิจิกจึงยังพอยับยั้ง สกัดกั้นไม่ให้มนตร์ดำร้ายแผ่กระจายลุกลามทั่วร่างได้ หากเลยเวลาเที่ยงคืน อำนาจมืด มนตร์ดำเปล่งอานุภาพเต็มที่ ตอนนั้นเขาคงไม่รอด
ชายหนุ่มขยับร่างให้หญิงสาวนอนหนุนตักในท่าสบาย แขนข้างที่บรรจุมนตร์ร้ายตกห้อยไร้เรี่ยวแรง หนำซ้ำความเจ็บปวดกำลังแผ่ซ่านขึ้นเรื่อย ๆ
ร่างกายเมษาอบอุ่นดังเดิม อาการหนาวสั่นหายไป ใบหน้าค่อยมีสีเลือด ลมหายใจเข้าออกตามปกติ เห็นอย่างนี้แล้วพิจิกค่อยคลายใจ ระบายยิ้มโล่งอก
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ตั้งแต่พลาดท่าโดนของเข้าร่าง เมษารู้สึกเหมือนมีเข็มน้ำแข็งนับล้านชอนไชทั่วร่าง สติสมาธิแตกซ่าน ความเจ็บปวดจู่โจมรุนแรง คล้ายมหาคลื่นโถมซัดไม่ทันให้ตั้งตัว
ความที่ถูกฝึกฝนทางจิตมาตั้งแต่เล็ก จิตจึงพยายามไขว่คว้าหาหลักยึด ทั้งร่างมีแต่ความเจ็บปวดทรมาน ร่างกายเต็มไปด้วยทุกขเวทนา เจ็บปวดแทบทนไม่ไหว ไม่มีกระทั่งเรี่ยวแรงดิ้นทุรนทุราย กายทั้งกายหนาวเหน็บ ฟันกระทบดังกึก ๆ กล้ามเนื้อ อวัยวะทุกส่วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
มึนเบลอ เคว้งคว้าง จิตใจทุรนทุรายอยากหนีความทุกข์ตรงหน้าให้พ้น ๆ และแล้ว ชั่ววูบแห่งสติ ได้ยินเสียงคำสอนของปู่ดังก้อง...
...ทุกข์ให้รู้ ไม่ใช่ให้ละ...ตั้งมั่นรู้ทุกข์ ไม่วิ่งหนีความทุกข์...
ประกายสติฉายแวบ จิตใจค่อยได้หลักยึด แยกตัวผู้รู้ออกมาดูทุกขเวทนา เห็นร่างกายเป็นแค่ร่างกลวง ๆ เห็นทุกขเวทนาเป็นแค่สิ่งที่มาอาศัย เกาะกุมร่างกลวงนี้ และจิตใจถูกแยกออกมาเป็นผู้รู้ ผู้ดูอีกส่วนหนึ่ง
เกิดความรับรู้ว่า...ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ทุกขเวทนาที่เกิดนี้ก็ไม่ใช่เรา...กระทั่งจิตใจที่เป็นผู้รู้ ผู้ดูอยู่นี้ก็ยังเกิด-ดับเป็นขณะ ไม่อาจยึดถือเป็นเราได้เลย
จิตใจผ่อนคลายตั้งมั่นท่ามกลางทุกขเวทนารุมเร้า...ช่วงเวลาไม่นานนักก็มองเห็นความทุกข์ถูกดึงดูดออกไปช้า ๆ คล้ายบึงน้ำกว้างถูกสูบออกจนค่อยเหือดแห้ง
นิมิตเห็นกระแสคลื่นสีดำสนิท บิดเป็นเกลียวไหลออกทางฝ่ามือ แล้วซึมเข้าไปยังต้นแขนพิจิกที่ประกบอยู่ จิตกระจ่างรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจน เพียงแต่ไม่อาจขยับตัว ไม่สามารถเอ่ยปากคัดค้านห้ามปราม
สุดท้ายมนตร์ดำในร่างถูกสูบออกจนหมด ไม่เหลือรอยทุกขเวทนาในร่างกาย เมษาปลุกตนเองให้ตื่นด้วยสติคมกริบ รู้สึกตัวชัดเจน
ลืมตาพบตนเองนอนหนุนตักพิจิก ใบหน้าเขาก้มมองมาด้วยแววตาเป็นห่วงกังวล รอยยิ้มผลิบานทีละน้อยเมื่อเห็นหล่อนลืมตาอย่างปลอดภัย
“เจ็บ...ตรงไหนมั้ย” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงแหบพร่า
เมษาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองชายหนุ่มเต็มตา
“แก...ทำอย่างนี้...ทำไม”
สายตาแลเลื่อนลงมาเห็นแขนของเขาข้างหนึ่งเป็นสีดำเข้ม ปล่อยห้อยหมดสภาพ ใบหน้าเผือดซีดจนน่ากลัว ใจวิบวับ ก้อนแข็ง ๆ แล่นขึ้นมาจุกตันลำคอ พูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ควรบอกต่อเขาอย่างไร
“จะถามทำไม” น้ำเสียงพิจิกแผ่วเบา อ่อนโยน “ในเมื่อ...แกก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว”
โดนย้อนกลับเช่นนี้ เมษาสะอื้นในอก...ใช่...หล่อนรู้คำตอบดี...จะถามทำไม ในเมื่อหล่อนรู้สิ่งที่อยู่ในใจเขาอยู่แล้ว
เมื่อเขาแสดงความจริงใจอย่างนี้...หล่อนควรตอบแทนอย่างไร?
“ฉัน...” เมษาสะกดก้อนสะอื้นลงในอก ตั้งสติรวบรวมสมาธิ “ฉันจะถอนของให้แก”
“อย่า!” พิจิกรีบห้ามทันที
“ทำไม”
“ของที่มันวางกับดักนี้ ไม่ธรรมดา” ชายหนุ่มตอบเพียงเท่านี้ ไม่มีแรงพูดต่อ
เมษาค่อยได้สติ นึกทบทวนตอนที่ของเข้าร่าง แล้วเพ่งมองแขนชายหนุ่ม ใช้จิตสัมผัสกลุ่มมนตร์ดำที่เกาะกุมแขนท่อนนั้นไว้
วูบหนึ่งจึงได้คำตอบ...มนตร์ดำนี้ร้ายกาจ รุนแรงอย่างยิ่ง ตอนอยู่ในร่างเธอ พิจิกก็ไม่อาจถอนออกมาได้ ต้องใช้วิธีมนตร์ดำดึงดูดมนตร์ดำออกมาเอง
‘ของ’ อาถรรพณ์ร้ายกาจที่ถูกถ่ายเทมายังร่างพิจิกนั้น มันถูกสะกดด้วยอาคม ประกอบกับเป็นช่วงเวลาพลังมืดยังตกต่ำ จึงยังไม่แสดงอานุภาพรุนแรงออกมา
แต่ความเป็นจริง มันคือระเบิดเวลาอันน่าสะพรึง ไม่มีใครถอดสลัก แก้ไขได้ พอถึงเวลาพลังมืดขึ้นสู่จุดสูงสุดมันจะระเบิดออกมาโดยที่ใครก็ไม่อาจยับยั้งได้
ถึงรู้อย่างนี้เมษาก็ยังดื้อดึง ต่อให้ใครจะบอกว่าอาคมของตนไม่อาจถอนมันได้ ก็ยังอยากลอง
“ฉันไม่ยอมให้แกมาเสียสละตัวเองแบบนี้” หญิงสาวจ้องตาเขาแน่วแน่ แววตาบอกชัด ไม่ยอมให้เขาตายโดยไม่ช่วยเหลือเด็ดขาด
สูดลมหายใจ จิตตั้งมั่น ริมฝีปากขยับกำลังจะสวดอาคมถอดถอน...
พิจิกเอ่ยปากค้านทันที
“หมวยเล็ก...เราจะทำผิดพลาดอย่างปู่ไม่ได้”
วาจานี้ทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก
“ความผิดพลาด...” เมษาทวนคำ มองชายหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ
พิจิกจ้องตาหญิงสาวเขม็ง เขาไม่มีเรี่ยวแรงกล่าววาจายืดยาว ด้วยจิตที่ยังทรงสมาธิของตน ประกอบกับจิตใจหญิงสาวก็มีกำลังสมาธิค้างคาเตรียมพร้อม
เรื่องราวสำคัญจึงถูกถ่ายทอดแบบจิตสู่จิต โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจา
เรื่องความผิดพลาดที่พิจิกจะเล่านั้น มันเกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ปู่เผด็จ ปู่คงคาบาดหมางใจกันมาจนถึงทุกวันนี้...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
“ผมมีเรื่องอยากให้ปู่บอกเล่า...อธิบายเพิ่มเติมด้วยครับ” นี่เป็นวาจาที่พิจิกเอ่ยถามปู่เผด็จตอนพูดคุยเพื่อวางแผนครั้งล่าสุด
“เรื่องอะไร”
“ผมอยากรู้...เหตุการณ์หลังจากปู่เล้งโดนของ...ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น...แล้วทำไมพวกปู่ถึงโกรธกัน”
ปู่เผด็จนิ่งอยู่นาน ก่อนตัดสินใจเล่าเรื่องราวสำคัญให้หลานชายฟัง
“ปู่กับไอ้เล้งไม่เคยโกรธกัน” ผู้เฒ่าเริ่มต้น “แต่มันลำบากใจ...ที่จะเห็นกันเป็นเพื่อนอย่างเดิมได้”
วันที่ถูกหลอกให้มาปิดผนึกอาคมครั้งที่สอง ฝ่ายตรงข้ามวางแผนจนสามารถปล่อยของเข้าร่างปู่คงคาสำเร็จ ตอนนั้นปู่เผด็จรู้ตัวว่า ถ้าถอนของให้ปู่คงคา มนตร์ร้ายนั้นจะเข้าตัวเอง แต่ท่านก็ยอมช่วยเหลือเพื่อนโดยไม่ห่วงชีวิต
ปู่คงคาฟื้นขึ้นมาเห็นเพื่อนเป็นแบบนั้นจึงพยายามหาทางช่วยเหลือ ท่านและปู่เผด็จใช้สมาธิร่วมกันขับไล่มนตร์ดำนั้นให้ไปรวมอยู่ที่ขาข้างหนึ่งของปู่เผด็จสำเร็จ ยับยั้งอำนาจของมันได้ชั่วคราว
ปู่คงคาปลุกนายหลง คนขับรถให้ฟื้นจากการถูกสะกด เพื่อจะได้พาสองผู้เฒ่ากลับบ้าน หาวิธีถอนของออกจากร่างอย่างปลอดภัย
เพราะ ‘ของ’ ที่ผู้ทรงเวทในเงาใช้นั้นไม่เหมือนใคร
ปกติ ‘ของ’ ทั่วไปที่ผู้มีอาคมใช้เล่นงานกันมักเป็นวัตถุที่จับต้องได้เช่นหนังควาย ตะปู สิ่งอัปมงคลต่าง ๆ ซึ่งหากมีคน ‘แก้ตก’ ของชิ้นนั้นจะย้อนคืนผู้ส่งทันที
แต่ ‘ของ’ ที่ปู่คงคา ปู่เผด็จโดนนั้น มันไม่ใช่วัตถุจับต้องได้อย่างหนังควาย ตะปู มันเป็นมนตร์ดำอันร้ายกาจแบบพิเศษ ไร้รูป จับต้องไม่ได้จึงมีความพิเศษพิสดารกว่าหลายเท่า
การถอดถอน แก้ไข จึงยากเย็นลำบากกว่าหลายเท่าเช่นกัน
นายหลงฟื้นตัวจากการถูกสะกด รีบขับรถออกจากศิวาดล โดยมีผู้เฒ่าทั้งสองอยู่เบาะหลังรถ ปู่คงคาคอยช่วยควบคุมมนตร์ดำที่ขาปู่เผด็จไม่ให้ลุกลามไปไกล
ทว่า...ยังไม่ทันออกถึงถนนใหญ่ ก็มีรถกระบะคันหนึ่งจงใจขับมาชนรถสองผู้เฒ่าจนพลิกคว่ำตกถนน...เจ้าของรถคันนั้นไม่รู้ตัวว่าตนเองทำอะไรลงไป เพราะโดนสะกดจากผู้ร้ายในเงา!
นายหลงบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถช่วยเหลือเจ้านายทั้งสอง ปู่เผด็จขาหัก แต่มีสติพอจะรู้ว่ามนตร์ดำในร่างกำลังลุกลามสูงขึ้น จนใกล้จู่โจมหัวใจแล้ว
ปู่คงคาติดอยู่ตรงเบาะหลังข้างปู่เผด็จ บาดเจ็บเล็กน้อย มีสติเรี่ยวแรงมากกว่าทุกคน รู้ว่าเพื่อนกำลังคับขันอันตราย ท่านรู้ว่าปู่เผด็จโดนมนตร์ดำเพราะช่วยถอนของให้ตนเอง ด้วยนิสัยลูกผู้ชาย จึงไม่ยอมให้เพื่อนรักมาตายแทนเด็ดขาด
เวลานั้นไม่มีหนทางอื่นให้เลือก ปู่คงคาร่ายเวทถอนของออกจากร่างปู่เผด็จทันที
ปู่เผด็จไม่ต้องการให้มนตร์ดำนั้นวกกลับไปยังเพื่อนรักอีกครั้ง เพราะมันจะทำให้ความพยายามทั้งมวลสูญเปล่า ท่านจึงตัดสินใจกระทำเรื่องเสี่ยงที่สุดในชีวิต
...ร่ายเวทสร้างเกราะคุ้มร่างปู่คงคา...
ปู่เผด็จไม่อาจห้ามเพื่อนร่ายอาคมถอนของช่วยเหลือตน แต่ท่านก็ไม่ยอมให้พลังร้ายย้อนกลับไปฆ่าปู่คงคาอีกรอบ จึงตัดสินใจใช้เวทมนตร์เกราะคุ้มภัย
เวทมนตร์คุ้มภัยนี้ สามารถสกัดป้องกันไม่ให้ ‘ของ’ มนตร์ดำใด ๆ เข้าตัวได้ แต่มันจะถูกเหวี่ยงออกไปอย่างไร้ทิศทาง อาจไปโดนบุคคลอื่น...หรืออาจไม่โดนใครก็ได้...เป็นเรื่องที่ไม่สามารถกำหนด ควบคุมได้เลย
ปู่เผด็จไม่เคยใช้มนตรานี้ เพราะไม่รู้ผลลัพธ์จะดีหรือร้าย แต่ในยามนี้จำเป็นต้องเสี่ยง...ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
สองผู้เฒ่าร่ายเวท เปล่งอาคมด้วยจิตใจแน่วแน่ ทรงอานุภาพ ไม่มีใครหยุดยั้งยอมแพ้
ผลคือ...มนตร์ดำถูกถอนจากปู่เผด็จสำเร็จ กระทบถูกเกราะอาคมที่คุ้มร่างปู่คงคา...แล้วเหวี่ยงออกไปยังบุคคลที่ใครก็คาดไม่ถึง
...คุณย่าประนอม...ภรรยารักของปู่คงคา...
เวลานั้นสองผู้เฒ่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทันทีที่ร่ายเวทจบบท อาคมส่งผลสำเร็จก็หมดเรี่ยวแรง หมดสติจนกระทั่งผ่านไปร่วมชั่วโมงมีรถแล่นผ่าน ถูกพาส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา...
นายหลงเสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล ปู่เผด็จขาหักเข้าเฝือก ปู่คงคาบาดเจ็บเล็กน้อย แต่พอกลับถึงบ้าน รู้ข่าวว่าเมียรักตาย...โลกทั้งใบก็มืดลงในพริบตา...
สองผู้เฒ่าเห็นผลลัพธ์จากการร่ายเวทช่วยเหลือกันและกัน เป็นผลลัพธ์อันแสนเจ็บปวดที่ใครก็คาดไม่ถึง ไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น
ความสูญเสีย ผิดหวังครั้งนี้สองผู้เฒ่าต่างมองอีกฝ่ายเป็นคนผิด
...ถ้าปู่เผด็จไม่ร่ายเวท สร้างเกราะคุ้มภัย ‘ของ’ นั้นย่อมไม่ถูกเหวี่ยงไปสู่คุณย่าประนอม...
...แต่ถ้าปู่คงคาไม่พยายามฝืนถอนของออกจากร่างปู่เผด็จ ทั้งที่เจ้าตัวไม่ยินยอม ของนั้นก็ไม่มีทางหลุดลอดไปถูกย่าประนอมเช่นกัน...
ถึงใจหนึ่งจะคิดเช่นนั้น...ส่วนลึกข้างใน สองผู้เฒ่าย่อมรู้กระจ่างแก่ใจ ตนเองมีส่วนผิดไม่น้อยกว่ากัน ดังนั้นในงานศพคุณย่าประนอม จึงมีคำพูดจากปากอดีตเพื่อนรัก
“มึงไม่ใช่เพื่อนกู!”
“เออ!”
วาจานี้ไม่ใช่เป็นการกล่าวโทษคนผิด แต่เป็นการลงโทษตนเอง
ทั้งสองไม่ได้โกรธเคืองกัน เพียงแต่ไม่อาจมองหน้าสนิทใจเหมือนเดิม ด้วยบาดแผล ความสูญเสียครั้งนี้มันสร้างความเจ็บปวดจนไม่อาจกลับเป็นเพื่อนรักกันได้อย่างเดิมอีกแล้ว
นี่คือจุดบาดหมางสำคัญของสองชายชรา
พิจิกรู้เบื้องหลังความบาดหมางอย่างนี้จึงไม่มุ่งหวังเอาชนะคะคานหญิงสาว ปล่อยให้เธอนำหน้าตามสบาย หนำซ้ำยังใช้วิธีสอดประสาน ร่วมมือกันอย่างแนบเนียน
น่าเสียดาย...สุดท้ายทั้งคู่ก็ยังพลาดท่าเสียที มาอยู่ในจุดที่พวกผู้เฒ่าเคยเผชิญมาแล้ว
สถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|