วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๒๕



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            สองทุ่มครึ่ง

            ต่อให้เชื่อว่างานเลี้ยงศิวาดลคืนนี้ ต้องเกิดเรื่องเกินคาดหมาย พิจิก เมษาก็ไม่อาจแบ่งแยกสมาธิไปสนใจ ครุ่นคิด

            งานตรงหน้าคือหาเรือนลับ ที่ปิศาจนายทองกบดาน หลบซ่อนให้เจอ เพื่อปิดผนึกอาคม ตัดกำลังหนึ่งในสอง ของผู้ร้ายในเงาให้เรียบร้อยเสียก่อน



            พิจิกแต่งกายสีดำกลมกลืนกับความมืด ยืนอยู่ริมกำแพงด้านในศิวาดล คุยโทรศัพท์กับปู่เผด็จ

            “ปู่ส่งพิกัดไปให้ทางมือถือแล้วนะ เห็นหรือยัง?”

            “เห็นแล้วครับ คิดว่าจากจุดที่ผมยืนตรงนี้ น่าจะไปถึงไม่เกินห้านาที”

            “ดี...ไปถึงเรือนลับของมันแล้ว จัดการได้เลย”

            “ครับปู่” พิจิกรับคำก่อนวางสาย

            ปู่เผด็จสั่งนายเดชา คนขับรถและบอดี้การ์ดขับรถเลียบกำแพงศิวาดลด้านนอกตั้งแต่บ่าย ระหว่างนั้นใช้ศาสตร์การคำนวณ ผสมกับจิตสัมผัสออกควานหาพิกัด จุดที่ตั้งเรือนลับ เพื่อช่วยทุ่นเวลาหลานชาย

            ผู้เฒ่าใช้เวลาสามสี่ชั่วโมง กว่าจะได้พิกัดที่ตั้ง กำหนดจุดลงบนแผนที่ศิวาดล ก่อนส่งให้หลานชายทางโทรศัพท์มือถือ

            เวลาสองทุ่มครึ่ง ปู่เผด็จนั่งอยู่ในรถริมกำแพงศิวาดลใกล้จุดที่ตั้งเรือนลับมากที่สุด นัยน์ตาหลับลง จิตสงบ สมาธิตั้งมั่น เปิดสัมผัสทางใจออกกว้าง คอยตรวจตรามองหาผู้ร้ายในเงา และช่วยเป็นกำลังเสริมให้หลานชาย

            ห่างจากจุดจอดรถปู่เผด็จไม่ไกล รถปู่คงคาค่อยเคลื่อนตัวมาจอดสนิท ดับเครื่องยนต์รอคอยเวลา

            งานนี้สองปู่เตรียมตัวมาเพื่อช่วยหลานรักของตนเต็มที่



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ปู่คงคาให้นายแหลม คนขับรถพามาจอดซุ่มริมกำแพงศิวาดล ไม่ห่างจากจุดจอดรถปู่เผด็จมากนัก รอเวลาจนถึงสองทุ่มสามสิบห้า หลานสาวไลน์มาบอกว่า ‘พร้อมทำงาน’

            ปู่คงคาจึงเริ่มให้ความช่วยเหลือ

            นายแหลมถูกสั่งให้นำค้างคาวที่เก็บไว้ในกระสอบหลังรถออกมา ค้างคาวเหล่านี้ถูกฝึกมาเป็นพิเศษเพื่อให้สามารถจดจำคลื่นเฉพาะตัวของปิศาจร้ายในศิวาดลอย่างแม่นยำ

            พอเมษาไปยืนรอยังจุดนัดหมาย ส่งไลน์มาบอกว่า ‘พร้อมทำงาน’ กระสอบค้างคาวถูกนำออกจากหลังรถ ปู่คงคาลงไปถอนมนตร์สะกดค้าวคาว จากนั้นสั่งปล่อยพวกมันให้ออกไปนำทางหลานสาว

            เมษาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายดูทะมัดทะแมงคล่องตัวกว่าชุดเด็กเสิร์ฟ มองเห็นฝูงค้างคาวบินเป็นเส้นตรงไปทางเนินจุดชมวิวแห่งหนึ่งในศิวาดลจึงเร่งฝีเท้าตามโดยไม่ลังเล

            เรือนลับในศิวาดลย่อมมีคลื่นเฉพาะปิศาจร้ายชัดเจนกว่าจุดอื่น ค้าวคาวฝูงนี้จะพาเมษาไปยังเรือนลับเพื่อปิดผนึกอาคมอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาเอง

            งานนี้ผู้เฒ่ายอมมาถึงศิวาดล ร่วมมือกับหลานสาว พร้อมคอยเฝ้าระวังป้องกันจากด้านนอก เพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่ข้อผิดพลาด การปิดผนึกอาคมคืนนี้จะพลาดไม่ได้เด็ดขาด



            ฝูงค้างคาวนำทางเมษาลัดเลาะเส้นทางภายในศิวาดล ก่อนพวกมันจะบินวนเหนือสิ่งปลูกสร้างอย่างหนึ่ง แล้วถลาร่อนลงมาเกาะตามชายคาจนดูดำมืดไปหมด

            เมษามองสิ่งปลูกสร้างตรงหน้า ถอนใจเบา ร่างกายเตรียมพร้อม...คำเตือนของพิจิกยังก้องในหัว...

            ...ความเคลื่อนไหวของพวกเราอยู่ในสายตาผู้ทรงเวทในเงา...

            ถึงรู้อย่างนั้นก็ถอยไม่ได้ เปลี่ยนแผนไม่ได้ สติสมาธิมั่นคงไม่หวั่นไหว ใจบังเกิดความฮึกหาญ เป็นไงเป็นกัน ต่อให้รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมองดูอยู่...งานนี้หล่อนจะไม่ยอมพลาดพลั้งเด็ดขาด

            สายตามองเห็นชายหนุ่มคู่แข่งก้าวมาถึงในเวลาเดียวกัน สองหนุ่มสาวสบตา แววท้าทายฉายอยู่ในนั้น

            เวลาขณะนี้...สองทุ่มสี่สิบห้านาที



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            สิ่งปลูกสร้างตรงหน้าสองหนุ่มสาวเป็นศาลาแปดเหลี่ยม ตั้งอยู่บนเนินดินสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลสาบและคฤหาสน์ศิวาดลได้อย่างสวยงาม

            ศาลาแปดเหลี่ยมลักษณะนี้มีหลายแห่งกระจายทั่วศิวาดล ส่วนใหญ่จะตั้งไว้ตามจุดชมวิว หรือไม่ก็จุดพักร้อนสำหรับคนมาเที่ยวชมต่าง ๆ

            ศาลานี้ดูเผิน ๆ ไม่ต่างจากศาลาแปดเหลี่ยมหลังอื่น ยกเว้นมีค้างคาวฝูงหนึ่งเกาะห้อยหัวตามชายคาแลดำครืดไปหมด

            เรือนลับที่สุดอาจเป็นสถานที่เปิดเผยที่สุด...สิ่งที่ต้องการซุกซ่อน ไม่จำเป็นต้องเร้นสายตาผู้คน แต่อาจเป็นสถานที่ผู้คนผ่านไปมา จนไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตาเลยก็ได้

            ถ้าพิกัดปู่เผด็จไม่ชี้ชัด ฝูงค้าวคาวปู่คงคาไม่พามาที่นี่ พิจิก เมษาคงยากเชื่อว่ามันเป็นเรือนลับที่เร้นกายปิศาจร้ายที่สุดในศิวาดล!

            ทั้งสองก้าวตรงไปยังศาลาแปดเหลี่ยมด้วยความระมัดระวัง จิตสัมผัสแผ่ออกกระทบคลื่นพลังงานมืดดำเจือจางที่กระจายออกมาจากกลางศาลา

            ห่างจากศาลาเพียงสามก้าว คลื่นดำมืดแผ่ความเข้มข้นออกมาระลอกใหญ่ ส่งผลให้ฝูงค้างคาวที่เกาะตามชายคาแตกกระจายบินหนีเสียงดังพึ่บพั่บ

            และแล้ว...เจ้าของสถานที่ก็ปรากฏตัว

            ร่างนั้นเป็นเงาเลือน ๆ ตอนแรก จากนั้นค่อยชัดเจนขึ้น เห็นเป็นชายร่างเล็กผอมบาง ตัวไม่สูงนัก สวมเสื้อคอกลมสีขาว นุ่งกางเกงแพร เส้นผมดำสนิท ใบหน้าขาวจนดูเผือดซีด คิ้วเรียงเป็นเส้นรับกับดวงตาสวยคมแบบไทยแท้ จมูกปากรับกันได้รูป

            นี่คือ...นายทอง...น้องชายพระยาคงเวท ปิศาจร้ายแห่งศิวาดล!

            นายทอง หรือคุณทอง นับเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง อายุยังน้อย รูปร่างเล็กบอบบาง ท่าทางขี้โรค ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับทอประกายเยียบเย็น มืดดำของความคับแค้น เกลียดชัง และเต็มไปด้วยความลุ่มหลง มัวเมาในอำนาจของตนอย่างยิ่ง

            พิจิก เมษายืนอยู่นอกศาลา นัยน์ตาจับจ้องร่างที่ยืนเด่นกลางศาลาแปดเหลี่ยมอย่างไม่ยอมให้คลาด สังเกตอากัปกิริยา พยายามอ่านใจ ดูท่าทีอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน มีแผนการใดเล่นงานพวกตน

            เชื่อว่าปิศาจร้ายตนนี้ ต่อให้พลังถดถอยเกือบหมด ก็ไม่มีทางรามือ ยอมถูกปิดผนึกอาคมง่าย ๆ แน่

            “หลานไอ้แก่สองตัวนั่นมาแล้วรึ” ใบหน้านั้นหันมาถาม เสียงกังวานกลางกะโหลกผู้ฟัง

            หลานรักฟังคนอื่นเรียกปู่ตนเองแบบนี้อดขัดหูไม่ได้

            “คุณ...ทอง...ดูไม่แก่นะ” เมษาเอ่ยปาก จงใจกระทบอีกฝ่ายว่าตายตั้งแต่อายุน้อย

            “รู้จักชื่อข้าอย่างนี้ แสดงว่าคงรู้แล้วสิว่าข้าเป็นใคร” อีกฝ่ายไม่สนใจวาจาตีกระทบ

            “คุณทอง...น้องชายคนเล็กพระยาคงเวท ตายตั้งแต่ยังหนุ่ม มีวิชาอาคมแต่ก็นำมาใช้ในทางที่ผิด” พิจิกพูดบ้าง

            ใบหน้าหันขวับ ดวงตาคมปลาบมีเพลิงโทสะฉายอยู่ในนั้น

            “ผิดหรือถูกใช้อะไรมาตัดสิน เด็กรุ่นหลังอย่างพวกเอ็งไม่เข้าใจหรอก”

            “จะบอกว่าไม่เข้าใจก็คงไม่ได้ ผมเชื่อว่าคนที่เรียนอาคมก็น่าจะให้สัจจะคล้ายกัน” พิจิกพูด

            คราวนี้เมษากล่าวเสริมเป็นลูกคู่ชายหนุ่ม

            “ข้อแรก...ข้าพเจ้าจะตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ไม่ใช้วิชาที่เรียนไปในทางที่ผิด”

            “ข้อสอง...ข้าพเจ้าจะใช้วิชาที่เรียนเพื่อเกื้อกูล ปัดเป่าทุกข์ภัยแก่ผู้ลำบาก ไม่หวังลาภสักการะ” พิจิกพูดต่อ

            เมษาสรุปข้อสุดท้าย

            “และข้อสุดท้าย วิชาที่เรียนใช้เพื่อกำราบคนชั่ว ไม่ทำร้ายคนดีแม้สักคนเดียว”

            จบวาจาสัจจะของผู้เรียนเวท บังเกิดความเงียบงันชั่วขณะ

            “สิ่งที่คุณทำ...” พิจิกจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “ทั้งผูกล่ามวิญญาณดวงอื่นเป็นข้าทาส สังหารผลาญชีวิตผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล...อย่างนี้คงไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอกมั้งว่าผิดหรือถูก”

            “หึหึ...” เสียงหัวเราะหยามหยันดังจากฝ่ายปิศาจ ลมหมุนเย็นเยียบพัดเวียนรอบศาลา อุณหภูมิลดลงรวดเร็ว บรรยากาศโดยรอบมืดทะมึน หนาแน่นราวกับใครเอาหมึกดำมาป้าย

            ยังไม่ถึงเวลาสามทุ่มตรง พลังปิศาจยังหลงเหลือ สถานที่แห่งนี้ถูกจำกัดบริเวณ เสมือนแดนสนธยา ที่ใช้กักขังจอมเวทหนุ่มสาวทั้งคู่

            เมษามองปิศาจร้ายอย่างประเมิน ดูว่าอีกฝ่ายจะเดินเกมอย่างไร...แล้วนึกได้ พวกเธออยู่ในสายตาผู้ทรงเวทในเงา เพราะฉะนั้น หากเดินตามเกมพวกมันย่อมมีโอกาสพลาดพลั้ง ติดกับดัก...

            ...ต้องเดินเกมในเรื่องที่มันคาดไม่ถึง...

            เวลายังไม่ถึงสามทุ่ม พลังมืดยังไม่ลงแตะขีดต่ำสุด

            เมษาล้วงมือลงกระเป๋า หยิบดินกลางเรือนจากในถุงขึ้นมากำแน่น สวดบริกรรมคาถาสั้น ๆ สามจบ แล้วเดินขึ้นศาลา ก้าวผ่านปิศาจร้ายอย่างไม่เกรง คุกเข่าตรงกึ่งกลางศาลา นำก้อนดินในมือโป๊ะลง จากนั้นร่ายมนตร์ปิดผนึกอาคมทันที ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาสามทุ่ม

            พิจิกมองการกระทำหญิงสาวโดยไม่ทักท้วง เข้าใจเจตนาของเธอ...เวลายังไม่ถึงสามทุ่มก็จริง แต่พลังปิศาจลดน้อยลงจนแทบทำอะไรพวกเขาไม่ได้แล้ว

            พวกมันต้องคิดว่าเขาคงลงมือในเวลาฤกษ์ยามพอดี เมษากลับแหกกฎ ทำพิธีก่อนเวลาไม่ยอมให้มันตั้งตัว

            ปิศาจนายทองเหลียวมองตามร่างหญิงสาว แววตาปรากฏรอยหวั่นขึ้นวูบหนึ่ง กับวิธีการอุกอาจ ตัดสินใจรวดเร็วเกินคาดขนาดนี้...ทว่า...รอยหวั่นนั้นจางหายฉับพลัน แปรเปลี่ยนเป็นรอยเล่ห์กลยากหยั่งถึง

            มือเมษาประกบทับก้อนดิน บทสวดปิดผนึกดวงวิญญาณถูกสาธยาย เปล่งอาคมกล้า ไม่ใส่ใจทุกสิ่งรอบตัว

            “พวกเอ็งคิดว่า พลังมืดถดถอย...ทั้งข้า...และ ‘มัน’ จะยอมรามือให้ปิดผนึกอาคมง่าย ๆ โดยไม่ทำอะไรอย่างนั้นรึ” คุณทองพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย จงใจกระทบโสตประสาทเมษา ฟังบาดหูชวนขนลุก

            “พวกเอ็งไม่คิดว่าข้ากับมัน วางแผนอื่นเลยหรือ...โดยเฉพาะแผนจัดการไอ้แก่สองตัว ที่จอดรถอยู่ข้างกำแพงศิวาดล!”

            เพียงเท่านี้เสียงสาธยายมนตร์ขาดชะงัก สมาธิสะเทือนวูบ เมษาเงยหน้ามองปิศาจร้าย พบรอยสาสมใจในแววตา จากนั้นมันก็เริ่มจู่โจม...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ปู่เผด็จ ปู่คงคาจอดรถริมกำแพงศิวาดลไม่ห่างกันนัก เพียงแต่ต่างฝ่ายล้วนไม่สนใจกันและกัน

            ทั้งสองเข้าสมาธิ ส่งจิตออกรับรู้เหตุการณ์หลานชาย หลานสาวพอได้ยินนายทองเอ่ยถึงพวกตน ใจเกิดความวิตกวูบหนึ่ง ถอนสมาธิออกมา ลืมตารับรู้สภาพรอบกายตนเอง

            นายเดชา คนขับรถปู่เผด็จกำลังรอให้เจ้านายลืมตาขึ้นมาพอดี เพราะบนถนนนอกรถขณะนี้ มีนักเลงกลุ่มหนึ่ง ถือไม้เดินแยกย้ายเข้ามาประกบรถทั้งสองคัน

            จอมเวท...ผู้ร้ายในเงาไม่จำเป็นต้องใช้คาถา อาคมจัดการศัตรูเพียงอย่างเดียว ในเวลาที่พลังมืด มนตร์ดำอยู่ในขั้นต่ำสุด จนเกือบเหมือนคนธรรมดา การจ้างนักเลงมาดักตี ทำร้าย น่าจะเป็นวิธีที่ง่ายดายกว่า

            โดยเฉพาะการจ้างวานนั้น กระทำผ่านโดยใช้ชื่อมหาเศรษฐีผู้มีอิทธิพลอย่างนายศิวา...

            พอปู่เผด็จลืมตาขึ้นมา นายเดชาค่อยคลายใจ ดวงตาไม่แสดงอาการหวั่นไหว มือเอื้อมไปที่เอว แตะกระบอกปืน ส่วนมืออีกข้างแตะปุ่มคลายล็อค เตรียมเปิดประตูลงไปประจันหน้า

            “ใจเย็น...” น้ำเสียงปู่เผด็จบอกความมั่นคง พร้อมรับมือสถานการณ์พลิกผัน

            นายเดชาละมือจากข้างเอว สายตาไม่คลาดจากกลุ่มนักเลงนอกรถ นัยน์ตาแลลึกฉายแววกล้าแบบนักเลงเก่า เตรียมพร้อมปะทะ แม้จะมีแค่ตัวคนเดียว

            ปู่เผด็จหยิบโทรศัพท์ กดส่งไลน์ข้อความสั้น ๆ ออกไปแล้วนั่งนิ่ง มองแก๊งนักเลงมายืนล้อมรถด้วยอาการใจเย็น



            บนรถอีกคันหนึ่ง...

            นายแหลม บอดี้การ์ดและคนขับรถปู่คงคาหยิบปืนจากใต้คอนโซลรถ แววตากราดมองนักเลงเจ้าถิ่นนับสิบที่ล้อมรถด้วยแววตากร้าว บ่งบอกความเป็นนักสู้ไม่เคยแพ้ใคร

            ปู่คงคาถอนใจแผ่วเบา พอรับรู้สภาพการณ์ด้านตนเองก็หยิบโทรศัพท์กดหมายเลขคุ้นเคย

            “ไอ้ชาติเหรอ” น้ำเสียงเรียกเจ้าของค่ายมวยอย่างคุ้นเคย

            “ครับท่าน” เสียงตอบรับทันที แสดงว่าเตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว

            “บอกพวกเด็ก ๆ ให้มาเก็บกวาดขยะรอบรถหน่อยสิ” คำสั่งเรียบสั้น

            “ทันทีครับท่าน” คำตอบรับบอกความมั่นใจเปี่ยมล้น

            นักเลงเจ้าถิ่นล้อมรถปู่คงคาทุกด้านจนดูมืดดำ หนาแน่นไปหมด บางคนเคาะกระจกรถอย่างอุกอาจ บ้างใช้เหล็กกลมเคาะตามตัวถัง ล้อรถข่มขู่ หวังให้ผู้อยู่ด้านในแตกตื่น ลนลานหนีออกมา

            นายแหลมกระชับปืนในมือแน่น เกือบยิงสวนใส่ตัวหัวหน้าแก๊งที่ดูถมึงทึง ข่มขู่มากกว่าคนอื่น

            “ถ้ามันยังไม่ฟาดกระจกรถเรา ก็อย่าเพิ่งทำอะไร” ปู่คงคาสั่งเรียบ ๆ ไม่มีรอยตระหนกในน้ำเสียงสักนิด

            ลูกไม้นี้ไม่เกินคาดหมาย ถ้าพิจิก เมษามีสองผู้เฒ่าเป็นกองหนุน ช่วยเหลือ ผู้ร้ายในเงาทั้งคู่ต้องวางแผนจัดการพวกตน โดยไม่จำเป็นต้องใช้มนตร์ดำ อาคม เพื่อตัดกำลังเสริมฝ่ายตรงข้าม

            สองผู้เฒ่าบนรถคันละคัน ไม่นึกห่วงสวัสดิภาพตนเอง หวั่นใจเล็กน้อยเกี่ยวกับหลานชาย หลานสาวที่กำลังเผชิญหน้ากับปิศาจร้าย ที่มีผู้ทรงเวทในเงาหนุนหลัง

            ต่อให้พวกมันปราศจากมนตร์ดำ อาคมร้ายชั่วคราว ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะวางแผนร้ายกาจใดมารับมือ...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            จู่โจม

            ร่างเล็กบาง ใบหน้าซีดเผือดขยายร่างออกมาหลายสิบร่าง แบ่งส่วนหนึ่งกระโจนเข้าใส่หญิงสาวที่ปิดผนึกอาคมอยู่กลางศาลา อีกส่วนโผนออกมาภายนอกมุ่งทำร้ายชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้า

            เมษาไม่ขยับเคลื่อนหนี นั่งคุกเข่ากลางศาลา สองมือยังประกบปิดผนึก สติกลับมาในช่วงเวลาคับขัน เปล่งคำอาคมออกมาสองคำสั้น ๆ

            ร่างนายทองที่กระโจนใส่ล้วนละลายหาย บอกให้ทราบเป็นแค่ร่างมายา

            พิจิกยืนนิ่งกับที่ ปลายเท้าจิกพื้นมั่น ใจเพิกเฉยต่อเงาร่างนับสิบที่โผนเข้าใส่ นัยน์ตาแลตรง ทรงสติ ปิศาจนับสิบที่กระโจนเข้าทำร้ายล้วนสูญสลาย กลายเป็นควันจาง ๆ

            วิญญาณร้ายกลับยืนที่เดิม นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมา หาแผนการทำร้ายหนุ่มสาวทั้งสอง

            เมษาไม่ใส่ใจ ตั้งสมาธิสวดบริกรรมคาถาปิดผนึกต่อ ลมแรงพัดอู้ ๆ ฝุ่นทรายปลิวว่อนเข้ามาปะทะโดยรอบ เสื้อผ้าปลิวพะเยิบ หวังฉุดร่างหญิงสาวให้หลุดลอยออกไป

            พิจิกไม่หวั่นต่อกระแสลม ก้าวขาเข้าไปในศาลา ทันใดนั้นร่างปิศาจก็ยืดตัวสูงขึ้น สูงขึ้นจนทะลุหลังคา ส่งเสียงหัวเราะฮ่า ฮ่า ฮ่า ดังสะเทือนลั่น

            มันยกเท้าจะกระทืบยังร่างหญิงสาวที่คุกเข่าสาธยายมนตร์ปิดผนึกกลางศาลาแปดเหลี่ยม ทว่ารอบร่างเมษามีแสงสีขาวเรืองฉาบคลุม มนตร์ปิดผนึกช่วยคุ้มครองเธอจากอำนาจผีร้าย

            สามทุ่มตรง

            เมษาบริกรรมคาถาถึงรอบสุดท้าย พิจิกเพ่งสายตามองดวงวิญญาณที่ปราศจากฤทธิ์ชั่วคราว มือล้วงลงไปในกระเป๋า หยิบดินกลางเรือนส่วนของตนออกมา ดินเหล่านั้นร่วนซุยแห้ง เมื่อบิออกจึงเป็นก้อนเล็กเต็มฝ่ามือ

            ชายหนุ่มกำดินไว้ในมือ ริมฝีปากสวดมนตราผนึกวิญญาณ...สำหรับเขา การปิดผนึกอาคม ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีเดียวกับเมษา

            ดินกลางเรือนถูกซัดออกไปปะทะร่างสูงเหนือหลังคาแปดเหลี่ยม เสียงร้องดังลั่น...

            โอ๊ย...โอ๊ย...ไม่...ไม่...

            เสียงกรีดร้องโหยหวนดังผสานเสียงสวดสาธยายมนตร์ของพิจิก ร่างสูงราวเปรตค่อยหดย่อตัวลงทีละน้อย พยายามกระโจนหลบทางซ้าย หนีทางขวา ก้อนดินในมือชายหนุ่มถูกซัดตามเป็นระยะโดยไม่พลาด

            ทุกครั้งที่ดินกลางเรือนปะทะร่างปิศาจนายทอง เนื้อดินต่างเข้าเคลือบติดร่างมันทีละน้อย หนึ่งก้อน สองก้อน สามก้อน ยิ่งดินถูกซัดมากเท่าไหร่ ร่างปิศาจยิ่งถูกพอกด้วยดินหนามากขึ้นเท่านั้น

            เสียงร่ายเวทจากพิจิกเป็นพลังขับดันให้เนื้อดินกระจายตัวครอบคลุมร่างฝ่ายตรงข้ามรวดเร็ว หนาแน่นจนมันหมดเรี่ยวแรงกระโจนหนี ต้องยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่หน้าศาลา เรือนลับของตนเอง

            วิธีการปิดผนึกของเมษา พิจิก ถึงจะเป็นมนตราสำนักเดียว ใช้ดินกลางเรือนพระยาคงเวท เป็นธาตุสำคัญในพิธีเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่าง

            เมษาจงใจใช้ดินกลางเรือนเข้าวางตรงจุดกึ่งกลางเรือนลับ ร่ายมนตร์ผนึกอาคมอย่างตรงไปตรงมา ปิศาจนายทองไม่อาจเร้นกายหนีหาย อีกทั้งไม่สามารถทำอันตรายต่อเธอได้

            พิจิกกลับใช้อีกวิธี ในเวลาสามทุ่มตรง พลังปิศาจนายทองเหลือแค่ศูนย์ สภาพไม่ต่างจากวิญญาณ สัมภเวสีเร่ร่อนทั่วไป ไม่มีฤทธิ์เดชอำนาจหลงเหลือมาต่อกร ขัดขวาง

            ชายหนุ่มจงใจซัดดินกลางเรือนเข้าใส่ร่างปิศาจโดยตรง ใช้อาคมกำกับทำให้ดินกลางเรือนเป็นเสมือนผนึกอาคมอันใหม่ ค่อย ๆ เคลือบคลุม กักขังปิศาจร้ายโดยไม่อาจหลุดรอด

            เมษาไม่สนใจวิธีปิดผนึกแบบพิจิก สติ สมาธิอยู่กับบทสวดรอบสุดท้าย จิตดิ่งลึกลงไปยังจุดกลางเรือนลับ เพื่อฉุดรั้งวิญญาณร้ายดวงนี้ลงไปกักขัง ทำหน้าที่ตนให้สมบูรณ์

            พิจิกอาจใช้ดินกลางเรือนครอบคลุม พันธนาการมันได้ เมษากลับเป็นผู้ลากมันลงในผนึกอาคมอย่างสง่าผ่าเผย

            การแข่งขันครั้งนี้ ย่อมตัดสินผลได้แล้วว่า...ระหว่างเขากับเธอ...ใครคือผู้ชนะแท้จริง

            กระแสดึงดูด หมุนวนตรงจุดกึ่งกลางเรือนลับ คล้ายเป็นการเปิดฝาผนึกขนาดใหญ่ เพื่อฉุดลากวิญญาณร้ายและบริวารลงไปคุมขัง

            เสียงร้องโหยหวนของปิศาจนายทองดังสะท้อนไปมา...เหล่าสมุนที่แต่งกายชุดโบราณค่อยโผล่หน้ามาทีละตน สายโซ่ที่ข้อเท้ารางเลือน บอกว่าอำนาจผู้เป็นนายอ่อนด้อย ถดถอย แทบหมดสิ้น แต่มันยังไม่ยอมขาดหาย ยามใดปิศาจนายทองถูกดูดลงผนึก เหล่าภูตผีที่เหลือ ย่อมถูกลากตามไปด้วย

            เมษายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา หันฝ่ามือไปทางปิศาจนายทองที่ยืนนิ่งหน้าศาลา มืออีกข้างยังประกบดินกลางเรือน ตรงจุดกลางเรือนลับโดยไม่ขยับ กระแสดึงดูดภายในหลุมแผ่ออกมาให้รู้สึก บอกให้ทราบ ฝาผนึกถูกเปิดออกพร้อมเต็มที่แล้ว

            พิจิกซัดดินจนหมดจึงหยุด ปิศาจถูกเคลือบทั้งร่างเหลือตั้งแต่คอขึ้นไป ใบหน้ามันบิดเบี้ยวเหยเก ฝ่ามือเมษาที่หันทางมันมีกระแสดึงดูดรุนแรง รั้งร่างมันให้ลอยขึ้น เข้าไปยังกึ่งกลางศาลาอย่างช้า ๆ

            พิจิกไม่ขัดขวางขั้นตอนการดึงปิศาจลงผนึก ยอมให้เมษาทำตามวิธีตนเอง เห็นดินที่เคลือบร่างปิศาจกำลังลามสู่ลำคอก็พอใจ

            การที่ปิศาจนายทองถูกกักขังครั้งนี้ ต่อให้มีบริวารถูกลากลงไปด้วย มันก็ไม่มีโอกาสทำร้าย ข่มเหงวิญญาณดวงอื่นอีกแล้ว ดินกลางเรือนที่เคลือบคลุมมันอยู่นี้ จะเป็นเหมือนผนึกอาคมอีกชั้น ทำให้มันปราศจากพิษสงใดอีก

            มือข้างขวาเมษาประกบบนดินกลางศาลา มืออีกข้างใช้ดึงดูดปิศาจนายทองเข้ามาหา กระแสหมุนวนจากส่วนลึกใจกลางเรือนลับแผ่ปะทะฝ่ามือหญิงสาวเป็นระยะ

            งานปิดผนึกอาคมใกล้สำเร็จ เมษามั่นใจ ตนเองทำพิธีโดยไม่มีข้อบกพร่อง ไม่ประมาทมองข้ามสิ่งใด...ทว่า...เหตุไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น

            ในฉับพลันนั้นมีพลังมืดดำเกรี้ยวกราดรุนแรง แทรกซึมมาพร้อมกับกระแสหมุนวนจากใจกลางเรือนลับอย่างรวดเร็ว พลังนั้นไม่มีที่มา ไม่รู้เกิดจากไหน ส่งมาจากใคร...จู่ ๆ มันผุดขึ้นกลางกระแสเรือนลับ แล้วพุ่งเข้าใส่กลางฝ่ามือเมษาเต็ม ๆ จากนั้นแผ่ไปทางฝ่ามืออีกข้าง สู่ร่างปิศาจนายทองถนัดถนี่...

            พลังมืดนั้นเป็นผลร้ายต่อเมษา แต่เป็นผลดีกับปิศาจนายทองชนิดคนละเรื่อง...ก้อนดินที่เคลือบร่างของมันปริแตก แล้วพุ่งกระจายเข้าใส่ร่างพิจิกเต็มที่ ไม่เหลือหนทางให้หลบพ้น

            ด้วยความที่ปู่เผด็จย้ำสอนหนักหนาว่า ‘ห้ามประมาท’ พิจิกจึงคอยระวังตัวทุกขณะ แม้ในยามที่มั่นใจว่าการปิดผนึกอาคมราบรื่น ไร้อุปสรรค

            เหตุการณ์พลิกผันเกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาที จิตสัมผัสเขารับรู้ถึง ‘ของ’ สิ่งชั่วร้ายมนต์ดำ ที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้เรือนลับอย่างสงบเงียบนานปี

            ‘ของ’ ชิ้นนั้นถูกสร้าง ซุกซ่อนมาสิบกว่าปี ตั้งแต่เพิ่งสร้างศิวาดลเสร็จใหม่ ๆ ผู้จัดการคือนายศิวา ทำตามคำสั่งผู้ทรงเวทในเงา ซึ่งตนไม่เคยเห็นหน้า

            สิ่งชั่วร้ายนี้เร้นกายอย่างสงบงัน ไม่เผยร่องรอยกลิ่นอาย กระแสดำมืดออกมาสักนิด รอคอยให้มีการปิดผนึกอาคมอีกครั้ง...เมื่อมีการเปิดฝาผนึก เท่ากับเป็นการสะกิดเรียกให้มันฟื้นตื่น และแผลงฤทธิ์ออกมาทันทีโดยไม่มีใครรู้ ไม่ทันระมัดระวังตัว

            ขณะที่พิจิกรับรู้ว่ามี ‘ของ’ เร้นลับซุ่มรอในหลุมเรือนลับ... ‘มัน’ ก็พุ่งเข้าจู่โจมเมษา ถ่ายทอดสู่ปิศาจนายทอง และกระเด็นเป็นก้อนดินซัดสาดใส่เขาแล้ว

            สิ่งที่พิจิกทำได้คือกระโดดหลบโดยเร็วที่สุด!

            ชายหนุ่มคล่องแคล่ว รวดเร็วก็จริง แต่ยังช้าไปวูบหนึ่ง...ต้นแขนมีเศษดินติดอยู่เล็กน้อย เชื้อมนตร์ดำจาก ‘ของ’ นั้นแทรกซึมเข้าร่างรวดเร็ว

            พิจิกตั้งสติมั่น ใช้กำลังสมาธิทั้งหมดที่มีสะกดสั่ง ‘รีด’ เอามนตร์ดำจากของร้ายให้ไหลกลับ บริกรรมอาคมสำทับ เพื่อขับไล่มันออกไปอย่างทันท่วงที

            ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า...ปิศาจนายทองหัวเราะร่า ร่างมันยังมีดินกลางเรือนเกาะบริเวณช่วงขา แต่ไม่มีปัญหาสำหรับการหลบเร้น หนีหายเพื่อพักฟื้น รอเวลาอาคม มนตร์ดำฟื้นฟู จะได้กลับมาจัดการศัตรูทั้งสองให้สิ้นซาก

            พิจิกหันไปทางเมษา...ผู้หญิงที่เขาห่วงมากที่สุด

            หญิงสาวโดน ‘ของ’ เข้าร่างอย่างจัง ไม่มีทางรีดเร้น ขับไล่ง่ายดาย

            ชายหนุ่มรีบขึ้นไปบนศาลา ประคองร่างเธอขึ้นไว้แนบอก เส้นผมกระเซอะกระเซิง ร่างกายเย็นเฉียบ ใบหน้าเผือดปราศจากสีเลือด ฟันสั่นกระทบดังกึก ๆ

            พิจิกขบริมฝีปากแน่น ข่มกลั้นจิตใจที่กำลังว้าวุ่น หวาดกลัว ให้กลับสู่ความสงบโดยเร็ว

            ...ทว่า...มันช่างแสนยากเข็ญ...

            ผู้หญิงคนเดียวที่กำหัวใจเขาไว้ อยู่ในสภาพร่อแร่ ปางตาย ยากช่วยเหลือเช่นนี้ จะให้เขามีสติ ตั้งมั่นได้อย่างไร



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP