วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๒๓



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เช้าวันนี้ ขณะแพรพลอยพิจารณาแยกเสื้อผ้า เลือกชุดที่จะแต่งในแต่ละช่วงเวลางานออกมา แม่บ้านเข็มทองก็เข้ามาในห้องพร้อมกับภาพวาดลายเส้นขาว-ดำใส่กรอบขนาดใหญ่

            “รูปอะไรจ๊ะป้า” แพรพลอยมองรูปนั้นชั่วครู่ ก่อนขมวดคิ้วสงสัย

            “นี่เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของคุณดลดาราที่ดิฉันเพิ่งหาเจอค่ะ”

            “ทำไมถึงเป็นภาพลายเส้นขาว-ดำแบบนี้ล่ะ ภาพอื่นพลอยเห็นเป็นภาพเขียนสีน้ำมัน”

            “นี่เป็นภาพร่างดินสอของเธอค่ะ คุณดลตั้งใจวาดภาพนี้ให้เป็นสีน้ำมันเหมือนกัน แต่เธอเสียชีวิตก่อน”

            แพรพลอยมองภาพนั้นนิ่ง ๆ ชั่วขณะ เหลือบตามองคุณแม่บ้านเหมือนต้องการหยั่งเชิงว่ามีเจตนาใด จึงนำภาพขาว-ดำมาให้ดู

            “ป้าจะให้พลอยนำรูปนี้ไปโชว์ด้วยหรือ?” ถามอย่างสงสัย

            “นี่เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของคุณดลดาราค่ะ” พูดอย่างนี้เท่ากับยืนยันชัดเจน ผลงานชิ้นสุดท้ายแบบนี้ ต่อให้เป็นภาพลายเส้นดินสอ จะไม่นำออกมาแสดงให้ผู้คนชมได้อย่างไร

            แพรพลอยพยักหน้าเข้าใจ

            “ก็ดีจ้ะป้า ถ้างั้นพลอยว่าเก็บรูปนี้ไว้โชว์หน้างาน ตรงประตูเข้าห้องจัดเลี้ยงเลยก็แล้วกัน”

            “ค่ะ” แม่บ้านรับคำสั่ง

            “มีอะไรแนะนำพลอยอีกมั้ยคะ” คำถามซ่อนการท้าทายลึก ๆ

            ในเมื่อเธอยอมเดินตามความต้องการแม่บ้านใหญ่ขนาดนี้ ยังมีสิ่งใดที่อีกฝ่ายอยากให้เธอกระทำอีก

            หากเป็นปกติ แม่บ้านเข็มทองย่อมอ่านอารมณ์ในน้ำเสียงนั้นออก และพร้อมหยุดปากไม่นำเสนออะไรต่อ หนำซ้ำยังออกตัวปฏิเสธ ไม่กล้าชี้นำเจ้านาย

            ครั้งนี้แม่บ้านใหญ่กลับพูดหน้าตาเฉย ราวกับรอให้ผู้เป็นนายออกปากแบบนี้เช่นกัน

            “ค่ะ...ดิฉันมีชุดที่สวย เหมาะกับงานเลี้ยงคืนนี้มาให้คุณพลอยเลือกด้วย”

            สองสตรีสบตากัน หยั่งเชิง ท้าทายลึก ๆ

            “ลองเอามาดูก็ได้จ้ะป้า ถ้ามันสวยกว่าชุดที่พลอยเลือกไว้ ก็จะลองแต่งดู”

            แพรพลอยรับคำง่ายดาย...ง่าย...จนแม่บ้านใหญ่เกิดรอยพิศวงในแววตาแวบหนึ่ง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            หนึ่งสัปดาห์ที่ศิวาไม่ได้กลับบ้าน เขามีงานต้องสะสาง ภารกิจจำเป็นหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องตามจับมือปืน เพื่อนำเป็นพยาน สืบหาตัวคนบงการ

            รุ่งเช้าเมื่อสัปดาห์ก่อน มีกระดาษเขียนข้อความสั้น บอกเบาะแสมือปืน ให้รู้ว่าตอนนี้หนึ่งในสามได้ลอบกลับมาบ้านเกิดตนแล้ว

            นายศิวาจึงนำเบาะแสนั้นแจ้งตำรวจที่รู้จักทันที

            นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเชื่อถือข้อมูลจากบุคคลนิรนาม!



            ตอนศิวาดลก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ เขาไปตรวจงาน ดูความเรียบร้อยกับดลดาราตามปกติ...

            วันนั้นเขาเดินแยกกับดลดารา และทีมวิศวกรก่อสร้าง เพื่อสำรวจดูภายในคฤหาสน์ เดินเวียนดูตามห้องต่าง ๆ ทีละชั้น รู้สึกเหมือนอยู่ในเขาวงกต อากาศรอบตัวผิดแปลกจากเดิม มึนเบลอ ง่วงงุนบอกไม่ถูก แล้วจู่ ๆ ก็ต้องชะงักงันเมื่อเห็นว่าตนเองไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ที่กำลังก่อสร้างอีกต่อไป

            เบื้องหน้าศิวาเป็นเรือนไม้โบราณไม่คุ้นเคย บรรยากาศรอบตัวเหมือนกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง อาจด้วยความมึนงง รู้สึกจริงกึ่งฝันจึงไม่ตกใจเท่าที่ควร ค่อยเดินตามพื้นไม้กระดานกว้างขัดมันออกไปจนถึงระเบียงนอกชาน

            เสียงดนตรีหวีดหวิวลอยมากับสายลม นัยน์ตามองเห็นชายหญิงแต่งกายอย่างคนโบราณ ข้อเท้าถูกล่ามด้วยโซ่เส้นใหญ่เชื่อมต่อกัน

            คนเหล่านั้นบ้างนั่งคุกเข่า บ้างนั่งพับเพียบหันหน้าไปยังร่าง ๆ หนึ่งซึ่งนั่งกึ่งเอนนอนเด่นสง่าบนตั่งกว้าง แขนหนุนหมอนขวานอย่างสบายอารมณ์

            ศิวาจำรายละเอียดคนที่นั่งบนตั่งไม่ได้มากกว่านี้ ทั้งที่เขาโดดเด่นขนาดนั้น เนื่องจากมีเงาดำเบลอ ๆ ฉาบทาครอบคลุม ไม่อาจเห็นรูปร่างหน้าตาชัดเจน ได้ยินแค่กระแสเสียงกังวานก้อง ฟังอู้ ๆ ในหู

            “เอ็งรึ...เป็นคนที่มาอยู่ใหม่” เสียงถามมีอำนาจ ชวนให้อยากคุกเข่าลงรับฟัง

            “ครับ” ศิวาตอบลอย ๆ แทบไม่มีสติ

            “เออ...ขอบใจที่ช่วยปรับชัยภูมิ ทำให้สถานที่นี้เปลี่ยนแปลงมากมาย จนศัตรูข้าจดจำไม่ออก”

            ศิวาไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้น รู้แค่อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้ายต่อตนเอง

            “ผม...ปรับชัยภูมิ...เปลี่ยนแปลง...ศัตรู...อะไรไม่เข้าใจ” เขามึนงง

            “เอ็งไม่ต้องรู้หรอก...แต่เพราะเรื่องนี้ ข้าจึงถือเป็นบุญคุณ ไม่ให้พวกบริวารไปยุ่มย่าม วุ่นวายกับการสร้างเรือนของเอ็ง”

            “เรือน...” ศิวาพึมพำ นึกถึงคฤหาสน์ศิวาดลที่กำลังก่อสร้าง

            “เออ...เรือนที่เอ็งเหยียบอยู่นี่แหละ...เดิมเคยเป็นเรือนที่ข้าเคยอยู่...จนไอ้พวกสารเลวนั่นมากักขังพวกข้า แล้วรื้อเรือนทิ้ง”

            ศิวาแทบไม่รู้เรื่องในคำบอกเล่านั้นเลย เขาแค่สงสัย คนพวกนี้เป็นใคร มีจุดประสงค์ใด?

            “ที่ข้ามาเจอเอ็งวันนี้ ก็เพื่อมาบอกกล่าวให้รู้ความ...” ฝ่ายที่ไม่เปิดเผยตัวเอ่ยปากราวกับล่วงรู้ความคิด

            “บอก...อะไร” ศิวางุนงง กึ่งอยากรู้

            “ถึงพวกข้าจะออกจากผนึกอาคมได้แล้ว แต่กำแพงมนตราของพวกมันยังล้อมรอบอาณาเขตนี้อยู่ ทำให้พวกข้าไปไหนไกลไม่ได้”

            ถึงฟังคำบอกเล่าไม่เข้าใจเลย ศิวาก็รู้สึกว่า มันไม่น่าใช่เรื่องดีสำหรับเขา

            “ข้าจึงอยากให้เอ็งสร้าง ‘เรือนลับ’ ให้ข้าสักแห่งในบริเวณนี้” คำสั่งแท้จริงมาแล้ว

            “เรือน...ลับ” ศิวาทวนคำ มึนงงจนแปลความหมายง่าย ๆ ไม่ออก

            “ใช่...เป็นเรือนเล็ก ๆ ขนาดไม่ใหญ่กว่าศาลเพียงตา แต่ต้องอำพรางภายนอก ไม่ให้คนทั่วไปรู้ว่านั่นเป็นที่ตั้งเรือนลับของข้า”

            เขาอยากถาม...สร้างเรือนลับเพื่ออะไร เหตุใดต้องทำให้มันลึกลับ แปลกประหลาดอย่างนี้

            “ไม่ต้องถาม!” เสียงตวาดอย่างรู้เท่าทันความคิดอีกฝ่าย “ทำตามข้าสั่งก็พอ”

            นั่นเป็นเสียงสุดท้ายก่อนนายศิวาจะหมดสติ ไม่รู้สึกตัว



            เจ้าของศิวาดลรู้สึกตัวอีกครั้ง พบว่ากำลังยืนเคว้งอยู่บนชั้นสอง ในหัวสับสนระหว่างเรื่องจริงกับความฝัน มองรอบตัวอีกครั้ง ทบทวนความทรงจำ พบดลดารากับทีมวิศวกรเพิ่งขึ้นมาหา

            ทุกคนไม่แตกตื่น ตกใจในการหายตัวไปของเขา ดลดาราบอกว่า เขาแยกกับคณะไม่กี่นาทีเท่านั้น

            ศิวากลับรู้สึกตนเองใช้เวลาหลุดไปอีกโลกนานกว่านั้น

            หลังจากทบทวนครู่ใหญ่ ศิวาสลัดความกังวลสงสัยออกไป เชื่อว่ามันเป็นแค่ฝันกลางวัน ตอนหมดสติชั่วคราว

            พอกลับไปทำงานที่กรุงเทพ พบจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ หัวซองจดหมายเขียนข้อความ...

            สิ่งที่คุณเห็นในศิวาดลไม่ใช่ความฝัน

            เรื่องราวที่เขาไม่ปริปากบอกใคร กลับปรากฏบนโต๊ะทำงาน

            ศิวาเปิดซองจดหมาย พบกระดาษแผ่นหนึ่ง บนหัวกระดาษเขียนว่า ‘เรือนลับ’ ในบรรทัดต่อมาได้อธิบายรูปแบบ วิธีการสร้าง และวิธีซ่อนเร้นมันจากสายตาผู้รู้เห็นทั่วไป

            พออ่านจดหมายจบ ศิวาออกไปถามเลขาหน้าห้อง ว่าใครเป็นคนนำจดหมายฉบับนี้มาส่ง ปรากฏว่าไม่มีใครรู้ และไม่มีใครเข้าห้องเขาตลอดเวลาที่ออกไปตรวจงานศิวาดล

            ห้องทำงานนายศิวาไม่มีกล้องวงจรปิด จึงไม่อาจบันทึกภาพผู้นำส่งจดหมายฉบับนี้ได้ ทำให้ครุ่นคิดหนัก ควรจัดการอย่างไรต่อไป

            เรื่องราวความฝันถูกทบทวน รายละเอียดการพูดคุยถูกย้อนมาให้คิด...ศิวาไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่าย ๆ และไม่ใช่คนปฏิเสธเรื่องราวเหนือธรรมชาติชนิดหัวชนฝา

            เขาส่งคนไปสืบหาข้อมูลเจ้าของที่ดินเดิมของศิวาดล สั่งให้หารายละเอียดทุกแง่มุมมากที่สุด

            นั่นทำให้เขารู้จัก ‘เรือนพระยาคงเวท’ และเหตุการณ์ปราบผี รื้อเรือนทิ้งในปีสองพันห้าร้อย

            ข้อมูลที่ได้ มีส่วนใกล้เคียงกับคำบอกเล่าในฝัน...

            ศิวากลับไปศิวาดลเพื่อพิสูจน์ความฝันตน ตอนช่วงกลางวัน แดดแผดจ้า คนงานรับประทานอาหาร ไม่มีใครอยู่ในบริเวณก่อสร้าง

            เขาเข้าไปในคฤหาสน์คนเดียว หยุดยืนกลางห้องโถงที่ยังไม่ได้ตกแต่งรายละเอียด พื้นที่เหยียบเป็นปูนยังไม่ปูหินแกรนิต เกลื่อนด้วยฝุ่นทราย

            ศิวาตั้งสติ กวาดตามองรอบตัว ช่วงเวลากลางวัน ดวงตะวันฉายร้อนแรง แสงสว่างส่องมาถึงภายในห้องโถงกระจ่างจ้า ขับไล่ความหวาดหวั่นในใจ เขาเอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำด้วยเสียงไม่ดังนัก

            “ถ้าหาก...เรื่องที่ผมเห็นครั้งก่อนเป็นความจริง...” เขาหยุดวาจาชั่วขณะ “พิสูจน์ให้ผมเห็นสิ”

            สิ้นคำพูด รอบกายบังเกิดความเย็นเยียบขึ้นมา แสงสว่างภายในหรี่ลงจนรู้สึกได้ ลมอู้ ๆ พัดเข้ามาหอบหนึ่ง ก่อนเกิดกระแสลมหมุนตรงพื้นกลางห้องโถงชั่วขณะ

            พอกระแสลมจางหาย แสงสว่างกลับคืน อากาศเย็นคลายตัว...ทว่า...ตรงหน้าศิวา กึ่งกลางห้องโถงนั้น ปรากฏกองฝุ่นเรียงเป็นตัวอักษรมองเห็นชัดเจน

            เรือนลับ

            ขนลุกซู่ ใจหายวาบ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยกมือพนมไหว้อย่างผู้น้อยพึงกระทำต่อผู้ใหญ่ ขับรถกลับที่ทำงานโดยมีคำถามซ้ำ ๆ ในหัว

            ...นี่เขากำลังเผชิญเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่ใช่หรือไม่...

            พอนึกทบทวนเรื่องราวในฝัน ผนวกกับข้อมูลที่ได้จากลูกน้อง จึงเกิดข้อสรุปราง ๆ

            ...เป็นไปได้ที่เขาอาจเผชิญหน้ากับ ‘เจ้าที่’ เดิมของศิวาดล...

            เท่าที่รู้มา หากใครปฏิบัติตัวต่อ ‘เจ้าที่’ เป็นอย่างดี จะได้รับผลเป็นความเจริญรุ่งเรือง

            กลับมาถึงโต๊ะทำงาน พบซองจดหมายสีขาววางไว้บนโต๊ะ เขายังไม่เปิดอ่าน เดินออกไปถามเลขาหน้าห้องก่อน พอได้รับคำยืนยันว่าไม่มีคนส่งจดหมาย ไม่มีใครเข้ามาในห้องเขาตลอดช่วงเวลาที่ไม่อยู่ ศิวาค่อยเปิดซองนั่น

            ภายในซองมีกระดาษเขียนข้อความไม่ยาวนัก

            เมื่อได้รับการพิสูจน์แล้ว ก็ทำตามความต้องการของ ‘เจ้าที่’ คุณด้วย” เพียงประโยคแรกก็ยืนยันว่าคนเขียนสามารถหยั่งรู้กระทั่งความคิดในหัวของเขาได้

            นอกจากนี้ ในซองจดหมายยังบรรจุเหรียญรูปตัวอักษรโบราณที่อ่านไม่ออกเอาไว้

            ส่วนเหรียญอาคมนี้ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจ เมื่อสวมไว้จะป้องกันภูตผีปิศาจนานา วิญญาณร้ายไม่สามารถทำอะไรคุณได้

            ศิวาหยิบเหรียญอาคม รูปตัวอักษรโบราณมาไว้ในมือ เพียงแรกสัมผัสก็มีความอบอุ่นแล่นวูบสู่ใจ รู้สึกยินดี พอใจเหมือนได้รับของล้ำค่าชิ้นหนึ่งในชีวิต

            ยิ่งบอกว่าเหรียญนี้สามารถป้องกันภูตผี ขับไล่ปิศาจร้ายได้ ทำให้รู้สึกอุ่นใจ เพราะต่อให้ ‘เจ้าที่’ ไม่มีเจตนาร้ายต่อเขาและคนในศิวาดล ส่วนลึกในใจยังอดหวาดหวั่นไม่ได้

            การได้เหรียญอักษรโบราณ ย่อมหมายถึงได้รับอาวุธสำคัญไว้ป้องกันตัว...

            ศิวาเรียกคนงานที่สนิทสนมไว้ใจได้ นำแบบของ ‘เรือนลับ’ ในจดหมายฉบับแรกให้ไปสร้าง พอสำเร็จเรียบร้อยก็กลับไปถาม ‘เจ้าที่’ ในห้องโถงเดิมอีกครั้ง

            “จะให้ผมนำเรือนลับของคุณไปไว้ที่ไหน”

            ศิวาดลกว้างขวางขนาดนี้ หากไม่กำหนดจุดต้องการ เขาคงคิดเองไม่ออก

            ลมพัดมาอีกวูบ ฝุ่นทรายบนพื้นแปรเป็นตัวอักษรอีกครั้ง



            หลังจากทำตามความต้องการของ ‘เจ้าที่’ เรียบร้อย ศิวาก็ไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จากบุคคลนิรนามอีก

            ศิวาดลสร้างเสร็จตามกำหนดการ ระหว่างการก่อสร้างไม่เกิดเรื่องประหลาดพิสดาร คล้ายกับเจ้าที่พอใจในเรือนลับของตน จนคร้านสนใจยุ่งเกี่ยวเรื่องราวของมนุษย์

            การมาอยู่ศิวาดล เป็นเหมือนพระราชาได้มาพำนักพระราชวังของตนเอง ทุกสิ่งราบรื่นลงตัว มีความสุขจนคนรอบข้างล้วนอิจฉา

            หนำซ้ำตั้งแต่สวมเหรียญอาคม อักษรโบราณติดตัว กิจการธุรกิจยิ่งเจริญรุ่งเรืองกว่าเดิม บริษัททำกำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จนคิดฝันทำการใหญ่ ขยายกิจการไปยังธุรกิจด้านอื่นอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจ เพื่อจุดหมายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลกให้ได้

            การก้าวไปยังธุรกิจด้านอื่น ต่อให้มีเงินทุนมหาศาล ก็ยังมีคู่แข่งในสนามที่อยู่มานาน เชี่ยวชาญตลาดมากกว่า ทำให้การแข่งขันธุรกิจดุเดือด เงินทุนที่เตรียมไว้ต้องร่อยหรอ ขาดทุนแทบม้วนเสื่อกลับตั้งแต่ยกแรก

            จู่ ๆ ข้อความจากบุคคลนิรนามก็กลับมาอีกครั้ง

            ขอความช่วยเหลือจาก ‘เจ้าที่’ ของคุณสิ

            ศิวาแทบลืมเลือนจดหมายนิรนาม เจ้าที่ศิวาดลไปแล้ว พอได้เห็นอีกครั้งก็เกิดอาการลังเล หวั่นไหว ส่วนลึกในใจเขาไม่คิดว่าวิญญาณ ภูตผีจะสามารถช่วยเหลือสิ่งใดในทางธุรกิจได้

            ทว่ายามนี้เข้าตาจน มีหนทางใดให้กระทำก็น่าลองดู



            กลางดึกสงัด ศิวาลอบไปยัง ‘เรือนลับ’ โดยไม่มีใครรู้ ถอนใจยาว ไม่แน่ใจก่อนพึมพำเบา ๆ

            “ผมอยากให้คุณช่วยเรื่องธุรกิจครั้งนี้ครับ”

            สายลมชืดเย็นพัดผ่านร่าง เสมือนการตอบรับคำขอ...ไม่มีเสียงพูดก้องในหัว ไม่มีการแปรอักษรจากฝุ่นทราย            

            คืนนั้น ศิวาฝันว่าได้กลับไปนั่งคุกเข่าอยู่บนระเบียงนอกชานเดิม เหล่าคนโบราณรายล้อม ตรงหน้าคือ เจ้าที่ซึ่งนั่งบนตั่งพูดคุยกันแบบนายเหนือกับลูกน้อง

            “ข้าช่วยเอ็งก็ได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

            “แลกกับอะไรครับ”

            “อะไรก็ได้...ที่ข้าต้องการอย่างหนึ่ง...ในศิวาดล”

            ขณะนั้นศิวาคิดถึงสมบัติ ข้าวของมีค่าต่าง ๆ ที่ตนสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวชั้นใต้ดิน แต่ละชิ้นมูลค่านับล้าน บางชิ้นเป็นสิบล้าน และบางชิ้นอาจแตะถึงหลักร้อยล้าน

            พอเทียบมันกับมูลค่า ผลประโยชน์ที่จะได้รับเมื่อยึดครองธุรกิจตัวใหม่ รู้สึกว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง

            “ได้ครับ”

            หลังตอบรับหนักแน่นเช่นนั้น ศิวาตื่นขึ้นกลางดึก เหงื่อซึมเต็มใบหน้า พอลูบเหงื่อลงมา ปลายนิ้วสัมผัสเหรียญอักษรโบราณที่ห้อยคอ ได้ยินเสียงกังวานในหัวชัดเจน

            สัญญา” เสียงกระหึ่ม ยืนยันว่าข้อตกลงนั้น ไม่ใช่มีแค่ในความฝัน

            เช้าวันต่อมา ศิวาพบเอกสารข้อมูลปึกหนึ่งอยู่ในซอง วางบนโต๊ะเรียบร้อย

            ในซองนั้นมีเอกสารข้อมูลเชิงลึกของคู่แข่งทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นจุดเด่นจุดด้อย รวมถึงจุดอ่อนที่เขาสามารถใช้เล่นงานง่ายดาย ที่สำคัญในมีกระทั่งพาสเวิร์ด รหัสผ่านสำหรับเข้าถึงข้อมูลความลับ แผนการตลาดของคู่แข่ง ซึ่งหากมีรหัสนี้ แฮกเกอร์ในบริษัทเขาสามารถใช้เจาะข้อมูล สืบความลับคู่แข่งได้ทุกอย่าง

            ทุกสิ่งที่ได้รับจากบุคคลนิรนาม ช่วยให้เขาสามารถเหยียบย่างสู่ธุรกิจอีกแขนงได้อย่างมั่นคง แข็งแรง วางแผนเอาชนะคู่แข่งได้ไม่ยาก

            ศิวาเคยนึกสงสัย บุคคลปริศนา กับเจ้าที่ศิวาดลมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร เหตุใดบุคคลปริศนาจึงบอกให้เขาขอความช่วยเหลือจาก ‘เจ้าที่’ ทั้งที่ข้อมูลทางธุรกิจที่ได้ล้วนมาจากบุคคลปริศนารายนั้นทั้งสิ้น

            มันอาจมีอะไรซับซ้อนกว่าที่เข้าใจ ตอนนั้นศิวายังไม่คิดค้นหาคำตอบ ตราบใดที่ตนเองยังได้รับประโยชน์อยู่



            พอถึงวันนี้ ศิวาได้รับข้อความบนโต๊ะถึงเบาะแสหนึ่งในมือปืน เขาจึงไม่คิดสงสัย พร้อมนำข้อมูลนั้นไปบอกตำรวจเพื่อตามจับมือปืนรายนี้ให้สำเร็จ

            มือปืนถูกจับภายในเวลาอันสั้น ศิวาต้องไปชี้ตัว ติดตามการขยายผล สอบสวน เพื่อหาตัวคนบงการจ้างวาน งานนี้ศิวาไม่ยอมพลาดเด็ดขาด เพราะหมายถึงสวัสดิภาพในชีวิตตน

            การสืบหาหลักฐาน ตามรอยข้อมูลที่มือปืนให้ไว้ล้วนทำอย่างสงบเงียบ ไม่เป็นข่าว นั่นทำให้หนึ่งสัปดาห์ของศิวาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลากลับมาดูการเตรียมงานที่ศิวาดลได้เลย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            วันงานเปิดรั้วศิวาดล

            ศิวาเคลียร์งานเสร็จ ตรวจสอบผลการสืบสวน เห็นก้าวหน้าอย่างน่าพอใจ จึงกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่คอนโดฯ เพื่อเข้างานทันทีโดยไม่จำเป็นต้องอาบน้ำแต่งตัวใหม่

            ทันทีที่รถแล่นผ่านประตูรั้ว ในใจเกิดสังหรณ์แปลก เหรียญห้อยคอแผ่รอยอุ่นจาง ๆ เป็นการบอกเตือน

            พอลงจากรถ ก้าวเข้าห้องโถง ตกใจแทบเก็บอาการไม่อยู่ เมื่อเห็นภาพวาดฝีมืออดีตภรรยาถูกจัดแสดงอย่างสวยงาม หนำซ้ำยังมีภาพสุดท้ายของเธอ...ดลดารา...ประดับบนฝาผนัง มองมาด้วยสายตาเยาะหยัน รอยยิ้มเย้ยบนใบหน้านั้นราวกับใบมีดเฉือนเชือดเนื้อหนังเขาอย่างสะใจ

            นายศิวาตั้งสติ ฝืนยิ้มพูดคุยกับแขกในงานตามปกติ เสแสร้งแสดงท่าทางชื่นชมภาพเขียนร่วมกับคนอื่น ในใจเริ่มเดือดปุด ๆ อยากเห็นหน้าคนจัดงานเสียเดี๋ยวนี้

            พอมาถึงหน้าห้องจัดเลี้ยง พบภาพวาดลายเส้นขาว-ดำตั้งตระหง่านตรงหน้าประตู รู้สึกราวเห็นอสูรกายปรากฏโดยไม่ทันตั้งตัว ใจสะเทือนคาดไม่ถึงรุนแรง

            ศิวาไม่เคยคิดว่าจะมีภาพเขียนชิ้นนี้อยู่ในโลก!

            ภาพขาว-ดำวาดด้วยดินสอนั้น เขียนเป็นรูปสถานที่อันสวยงามแห่งหนึ่ง ‘น้ำพุเทรวี’ อันมีชื่อเสียงในกรุงโรม ด้านหน้าน้ำพุมีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เพิ่งหันมามองสบตากันเป็นครั้งแรก

            แววตาของเขาและเธอบอกความพิศวงงงงวย เปิดเผยความรู้สึกพอใจ ยินดีในรักแรกพบครั้งนี้อย่างไม่รู้ลืม

            คนทั่วไปอาจมองไม่ออกในทันที หนุ่มสาวในรูปเป็นใคร เพราะเป็นภาพวาดเสี้ยวใบหน้าด้านข้าง อีกทั้งยังเน้นที่สีหน้าแววตาอารมณ์ จนกลายเป็นจุดดึงดูดใจ

            เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นนานมากแล้ว มีคนที่จดจำมันแค่สองคน คือเขากับดลดารา!

            นี่คือภาพที่ดลดาราเคยบอกว่าจะเขียนเพื่อติดฝาผนังห้องโถง ก่อนเธอจะเสียชีวิต

            ภาพนี้ถูกตั้งชื่อล่วงหน้าไว้แล้วว่า ‘ศิวาดล’

            ความตกตะลึง แปลกใจคาดไม่ถึงกับการได้เห็นภาพตรงหน้า ทำให้ศิวาสับสน พลุ่งพล่านบอกไม่ถูก

            กระทั่งมีคนทักว่า แพรพลอย ภรรยาคนปัจจุบันปรากฏตัวแล้ว ศิวาค่อยหันหน้าไปทางบันได สิ่งที่เห็นจุดเพลิงโทสะขึ้นมารวมกับความพลุ่งพล่านในใจ จนใกล้เป็นกระแสความร้อน เกรี้ยวกราดพร้อมเผาผลาญทุกคนรอบกาย

            แพรพลอยยืนโดดเด่นบนชานพักบันได แสงไฟจับร่างดูสว่างพร่างตา เธอสวมชุดราตรีเข้ารูปสีขาว มีลายฉลุลูกไม้ละเอียดประณีต รูปทรงออกแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสริมให้ผู้สวมใส่เด่นสง่ากว่าใคร

            ศิวาไม่เคยเห็นแพรพลอยสวมชุดนี้มาก่อน แต่เขาเคยเห็นผู้หญิงคนหนึ่งชอบแต่งชุดราตรีสีขาวลักษณะคล้ายแบบนี้ออกงานมาแล้ว

            มันไม่ใช่ชุดเดียวกันแน่นอน เพียงแต่สไตล์การออกแบบ การเข้าทรง ลวดลายฉลุ ดูเสมือนเป็นชุดที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์คนเดียวกัน

            เมื่อแพรพลอยยืนอยู่ตรงนั้น ศิวารู้สึกราวกับเห็นภาพดลดาราซ้อนอยู่ราง ๆ ยามนี้สองสตรีคนละภพกลายเป็นเงาสะท้อนกันและกัน ลอกแบบ รสนิยมออกมาจนน่าตระหนก

            นั่นยิ่งก่อไฟโทสะ กราดเกรี้ยวในใจศิวาเป็นทบทวีคูณ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP