สารส่องใจ Enlightenment

ธาตุทั้งสี่ (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร



ธาตุทั้งสี่ (ตอนที่ ๑)


นี่ พวกเรากรรมฐานต้องพิจารณา
ห่วงนั่นห่วงนี่ คานั่นคานี่ว่าเป็นตัวของเรา ก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง
ท่านชี้ให้เห็นอย่างนั้นดอก ถ้าเห็นแล้วจิตมันก็ถอนอุปาทานขันธ์
มันก็ไม่วุ่นไม่วายไม่เดือดไม่ร้อน ไม่ยุ่งไม่เหยิง ไม่ข้องไม่คาซี่
เห็นแล้วมันก็เลิกก็ละ ก็วางได้ซี่ แน่ะ จิตมันก็พ้นทุกข์ได้ซี่
ที่ไม่พ้นทุกข์ก็เพราะมันข้องมันคาอยู่ พิจารณาดูซิ
ชักบังสุกุลให้คนเป็นคนดีนั่นแหละฟัง ไม่ใช่ชักคนตายให้ไปสวรรค์
คนตายนั้นไปแล้ว จะอยู่ทำไมนั่น ถ้ายังอยู่มันก็ติง (เคลื่อนไหว) เป็นแล้วไม่ใช่เรอะ
เอาไฟเผามันก็ต้องอุ๊ย นี่ไฟไหม้แล้วมันก็ยังเฉยอยู่นั่น
ถ้ายังอยู่มันก็ต้องร้องโอ๊ย ๆ ว่ามันยังอยู่
กามาวจรัง กุสลัง จิตตัง รูปารัมณัง วา สัททารัมณัง วา
คันธารัมณา วา รสารัมณัง วา โผฏฐัพพารัมณัง วา ธัมมารัมณัง วา

จะเอาธรรมอันใดเป็นอารมณ์ เอารูป เอาเสียง เอากลิ่นเอารสเป็นอารมณ์
ตายไปแล้วจะไปอยู่ยังไง พอดับแป๊บนี่ขาดปั๊บ ติดเกาะใหม่แล้ว ไม่อยู่แล้ว
ยังงั้นดอก ให้มันรู้ยังงั้น



เรื่องชักบังสุกุลนี่แต่ก่อนมีนิทานอยู่ ในพระสูตรท่านว่า
มีนางสิริมา รูปสวยรูปงาม พระภิกษุทั้งหลายที่ยังเป็นปุถุชนอยู่
พอเห็นนางสวยงามกระนั้นก็รักก็ใคร่ชอบใจยินดี จนไปบิณฑบาตไม่ได้
แน่ะ เพราะรักใคร่ชอบใจในรูปอันนั้น อยู่มานางนั้นตายไป ดับขันธ์ลงไป
พระพุทธองค์ทรงออกอุบายให้คนไปนิมนต์พระเหล่านั้นมาพิจารณา
อย่างที่อธิบายมาแล้วนั่นแหละ
ภโวภวัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิดนั้นไม่เที่ยงทั้งหมด
มีแต่น้ำเน่าน้ำเหลืองไหลยังงี้แหละ
อิมัง กัมมัฏฐานัง ภเวติ กรรมฐานต้องพิจารณาดู
นี่ใครจะเอาบ้างล่ะรูปอย่างนี้ ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหาก็ใครจะเอาล่ะ ให้เปล่า ๆ ก็เถอะ
พอพระเหล่านั้นไปเห็นแล้ว มีความสังเวชสลดใจ
จิตของท่านก็สงบ ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมด แน่ะ เป็นยังงั้น


เพราะฉะนั้นการพิจารณาศพมีผลานิสงส์มาก จึงได้นิมนต์พระไปบังสุกุล
ทีนี้พระรับนิมนต์ไปบังสุกุลกลับไปเพ่งเอาเงินเอาทองเขา
มันก็ใช้ไม่ได้น่ะซิ ฮึ มันเป็นเสียยังงั้น
ท่านให้ปลงกรรมฐาน ให้พิจารณาเพื่อจะได้ผลานิสงส์มาก
ผู้ที่เห็นอย่างนั้นแล้วจิตมันไม่ข้อง จิตมันไม่คาอะไรซักอย่าง
จิตมันละ มันวางโม๊ด มันไม่มีอะไรข้องไม่มีอะไรคา
ครือกัน (เหมือนกัน) กับผู้ที่ดับขันธ์ไปแล้ว
มีลูก ลูกจะร้อง แม่จะไป พ่อจะไป ขอให้พ่ออยู่นำลูกนำเต้าก็ไม่ได้
ลูกจะไป ก็ขอให้อยู่นำพ่อนำแม่ไม่ได้
หรือสามีจะไป ขออยู่นำภรรยาก่อนก็ไม่ได้ ภรรยาจะไป ขออยู่นำสามีก่อนก็ไม่ได้
แน่ะ ขอกันไม่ได้เลย เอาแต่ของใครของมัน
นี่ มันเห็นเช่นนี้แล้ว มันก็ไม่หลง ยังงั้นดอก



เดี๋ยวนี้เราหลงวุ่นวายเดือดร้อนกันอยู่นี่แหละ
หลงสมมติว่านี่ก็ของตัว นั่นก็ของตัว นี่ก็ของกู นั่นก็ของกู
เขาต่อนกเขาน่ะ ของกู๊ ของกู๊ ของกู๊ ไปโม๊ด
ตัวของกูไม่มีใครกู้ เอาไม่ได้สักอย่าง ของกู๊ ของกู๊ นั่นเด้อ
จงดูแม่ออก (ผู้หญิง) นั่นเป็นต้น ของกูที่ไหนเล่า
แม่ออกเป็นลม ว่าเป็นตัวตนของเรา ก็ลองบอกมันอย่าให้เป็นลมซี่ มันฟังไหม
นี่แหละความหลงละ เข้าใจไหมล่ะ อธิบายให้ฟัง
เขาชักบังสุกุลไม่ได้ชักให้คนตายไปสวรรค์ ชักให้คนที่อยู่ดี ๆ นี่แหละเห็น
เห็นแล้วจะได้มีศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใส
จะได้ให้ทาน รักษาศีล ภาวนาต่อไป


เมื่อพิจารณาแล้ว ปลงธรรมสังเวชแล้ว บางคนก็ได้สำเร็จ
นั่นคือน้อมเข้ามาหาตน พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่ได้อะไรจริงสักอย่าง
ได้ยศก็มียศอยู่ที่ไหน ได้ทรัพย์สมบัติก็ได้ที่ไหน
ได้ลูกได้หลานได้ที่ไหน ได้บ้านได้ช่องได้ที่ไหน ไม่ได้อะไรจริงสักอย่าง
นั่นแหละข้อสำคัญคือทิ้งให้โม๊ด เข้าใจไหมล่ะอธิบายให้ฟัง



เอ้า ต่อไปนี้ให้นั่งเข้าที่พิจารณาให้มันเห็น เทศน์ให้ฟังแล้ว
เพ่งพิจารณาให้มันรู้ให้มันเห็นว่าจริงหรือไม่จริง
นั่งทำจิตให้สงบ อย่าส่งไปข้างหน้ามาข้างหลัง นั่งให้สบาย
อยากร่ำอยากรวย พิจารณาให้มันเห็นว่าใจของเราเป็นอยู่ยังไง มียังไงอธิบายให้ฟังแล้ว
เรามาอาศัยธาตุทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟมาประชุมกันเข้า
เราถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นที่ไหนเล่า เพ่งดูซิ
เราห่วงอะไร เราคาอะไร เราข้องอะไร ให้เพ่งพิจารณา


เมื่อกายเราสบายแล้วบริกรรมภาวนา เคยภาวนาอันใดก็เอานั่นก็ได้
หรือนึก พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้ว รวมเอา พุทโธ พุทโธ คำเดียว
อย่าส่งใจไปข้างหน้ามาข้างหลัง ทั้งซ้ายทั้งขวา ข้างบนข้างล่าง
ตั้งไว้เฉพาะท่ามกลางตรงที่รู้ พุทโธ พุทโธ อยู่นั้น อย่าส่งใจไปอื่น
หลับตางับปากแล้วก็เพ่ง ทำใจให้สงบ
เราอยากสุขอยากสบาย อย่าไปนึกทุกข์นึกยาก สิ่งไรทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา
อย่าส่งใจไป ตั้งไว้เฉพาะส่วนที่รู้ ความรู้นี่แหละสำคัญ
มันไม่เป็นของแตกของทำลายของฉิบหาย เป็นผู้รู้อยู่ภายใน
เพ่งดูให้รู้ว่ามีอยู่จำเพาะตนของตน สุขทุกข์ ดีชั่ว เป็นความสมมติทั้งหมด
สุขก็ว่าเอาเอง ทุกข์ก็ว่าเอาเอง ดีก็ว่าเอาเอง ชั่วก็ว่าเอาเอง
อย่าไปว่าอะไรซี่ เย็นร้อนเราก็ว่าเอาเองทั้งหมด
อย่าไปว่า วางใจให้สบายเท่านั้นแหละ เรื่องจึงจะดี



เมื่อจิตเป็นกุศล จิตมันว่างหมด จิตมันสบาย จิตดีมีความสุขความสบาย
ที่เรามานี้ต้องการความสุข ความสบาย ต้องการความพ้นทุกข์เท่านั้น
เราจะเอาอะไรสุขสบายล่ะนอกจากใจของเราสงบ
เมื่อใจของเราสงบแล้ว ความสุขความสบายก็เกิดที่นั่น ไม่ได้เกิดที่อื่น
ไม่ได้สุขสบายเพราะวัตถุข้าวของทั้งหลายต่างๆ
ใจเราสบายเท่านั้นแหละความสุข เมื่อใจเราสบายแล้ว ทำอะไรก็สบาย
ทำมาหากิน ค้าขาย การอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็สุขก็สบาย


ธรรมนั้นก็นำความสุขความสบายให้
ไปในชาติใดภพใดธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม
ถ้าจิตเราไม่ดี ทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน
หนักหน่วงง่วงเหงาหาวนอน เดือดร้อนฟุ้งซ่านรำคาญ
นั่นกรรมนั้นก็นำสัตว์ทั้งหลายตกทุกข์ได้ยาก
แม้เรานั่งอยู่อย่างนี้ก็เป็นทุกข์ได้ ไม่ใช่อื่นไกล กรรมนั้นเองนำความทุกข์ยากให้เรา
เราจึงต้องเลิกต้องละ อย่าไปยึดเอาซี่ สิ่งที่ทุกข์ที่ยาก วางให้หมดละให้หมดซี่



ต่อไปนี้จะไม่อธิบาย ต่างคนต่างเพ่ง วางใจให้สบายๆ
ได้ยินเสียงอะไรก็ตามให้รู้ไว้สัญญาไว้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอันตรายแล้ว
เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน วางใจให้สบาย สบาย
… … … (นั่งสงบ)



ทำจิตให้สบาย อยากสุขอยากสบาย อย่าสำคัญมั่นหมาย
ต้องการหายโรคหายภัยก็อธิษฐานเอา ตั้งสัจจะบารมีของเรานี่แหละ
จะตัดบาปตัดกรรม ไม่มีวิธีอื่น เราต้องทำจิตให้สงบ
ถ้าจิตเราไม่สงบแล้ว มันก็ไปก่อกรรมก่อภัยก่อเวร
พอจิตเราสงบแล้วมันก็ไม่มีกรรม ความชั่วทั้งหลายไม่มี มีแต่ความสุข ความสบาย
เราต้องการความสุขความสบายจะไปหากับทรัพย์สมบัติไม่มีหรอก
มีแต่ที่ใจเราสงบ พอใจเราสงบแล้วมันได้รับความสุขความสบาย
ก็หายโรคหายภัยหายกิเลสจัญไรหมดน่ะซี่ เคราะห์ทั้งหลายมันก็หายหมด


ต่อไปนี้หมั่นทำนะนี่น่ะ ได้ยินไหมล่ะ
ถ้าเราหัวใจยังอ่อน เราก็ตั้งมันให้แข็งขึ้น ตั้งหลักตั้งฐานขึ้น
มันแล้วกับใจของเรา สำเร็จกับใจของเรา
สิ่งทั้งหลายทั้งหมดใจถึงก่อน ใจเป็นรากฐาน ใจเป็นประธาน มันไม่ได้เป็นเพราะอื่น
เราปล่อยใจมันอ่อน มันก็อ่อน ต่อไปอย่าให้มันอ่อนนะ
ทำใจให้เข้มแข็ง พิจารณาให้หมดที่ได้อธิบายให้ฟังแล้ว
สังขารร่างกายอันนี้ไม่ใช่เป็นตัวของเรา
ถ้าเป็นตัวของเรามันก็ไม่เป็นไปเพื่อโรคเพื่อภัยน่ะซิ
เราอยากหายโรคหายภัยก็ต้องทำใจให้สงบ
ถ้าใจเราสงบ โรคภัยทั้งหลายมันก็หายไป เรื่องมันเป็นยังงั้น
ถ้าใจไม่สงบแล้ว มันไปก่อกรรมก่อเวรอยู่งั้น ก่อภัยอยู่ยังงั้น มันก็ไม่หมดซักที
ความจะหมดภัยเกิดเพราะจิตของเราไม่มีภัย จะหมดกรรมเพราะจิตของเราไม่มีกรรม
จะหมดความชั่วก็เพราะใจของเราไม่มีความชั่ว จะหมดทุกข์ก็เพราะจิตเราไม่ทุกข์
แน่ะ เป็นยังงั้น มันหมดตรงนี้ คือจิตของเราไม่ทุกข์แล้วจะเอาอะไรมาทุกข์ล่ะ
จิตของเราไม่ชั่วจะเอาความชั่วมาจากไหนล่ะ มันก็ไม่มีน่ะซิ



ต่อไปต่างคนต่างทำ พิจารณาให้มันรู้มันเห็น อย่างนี้จึงเรียกว่าฟังธรรม
ธรรมทั้งหลายทั้งหมดใครเป็นผู้ทำให้เรา ไม่มีใครทำให้ เราทำเอง
นี่เรามาอยู่อย่างนี้เป็นที่วิเวกที่สงบภัยทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงต้องฟังดู
ไม่มีใครเรียกร้องเราไปเอาอะไรซักอย่าง เขาไม่ได้บอกให้เราไปทำสักอย่าง
บาปกรรมทั้งหลาย สุขทุกข์ทั้งหลาย ความดีความชั่วทั้งหลาย เราเป็นผู้ทำเอาเอง


นี่แหละพิจารณาดู เราว่ามาไกลจากบ้านจากเมืองนั้น
คิดดูแล้วมันไม่ไกล มันอยู่แค่ดวงใจของเรานี่เอง
บ้านก็ดีเมืองก็ดี อะไรๆ ก็ดีมันอยู่ในใจของเรานี่แหละ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มาแก้ที่ดวงใจทั้งหมด
เมื่อดวงใจไม่มีอะไรแล้ว สิ่งทั้งหลายมันก็หมดไป ข้อนี้แหละให้หมั่นพิจารณา
ที่พึ่งของเรา ที่อยู่ของเรา ที่อาศัยของเราอยู่ที่ไหน ทำไมเราจึงทุกข์จึงยากต้องพากันบ่น
สิ่งทั้งหลายเขาไม่ได้ทุกข์ไม่ได้ยาก มันยากที่หัวใจเท่านี้
ว่ามันจน สิ่งทั้งหลายไม่ได้จน มันจนที่ดวงใจเท่านี้ ไม่ได้จนที่อื่น
พอดวงใจจนแล้วละก็จนหมด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้น



ถ้าดวงใจเราไม่จนก็ไม่มีอะไรจน ถ้าดวงใจเราไม่ทุกข์ก็ไม่มีอะไรทุกข์
ถ้าดวงใจไม่ยากก็ไม่มีอะไรยาก เรื่องมันเป็นยังงั้น
สิ่งทั้งหลายเขายากอะไร เขาไม่ได้ว่าอะไร
เขาไม่ทุกข์ไม่ยากอะไรซักอย่าง เขาเฉยๆ อยู่หมด
เงินทองเขาก็ไม่ได้บอกเราไปเอาเขา เขาไม่ได้บอกเราไปเที่ยวหา
ข้าวน้ำโภชนาหารเขาก็ไม่ได้บอกให้เรารับประทาน เขาบอกไหมล่ะ ข้าวน่ะ
เขาว่าหรือว่าพวกเธอไม่รับประทานฉัน ฉันจะไปตีปากนะ ข้าวเขาเฉยๆ ไม่ใช่เรอะ
เงินนี่เขาบอกหรือว่าเธอไม่เก็บฉันจะตีมือนะ เขาไม่ได้ว่า เขาอยู่เฉยๆ
ทิ้งตากแดดตากฝนเขาก็อยู่อย่างนั้นแหละ เรื่องมันเป็นยังงั้น
แต่เราอยากได้มันเองหรอก อยากได้เราก็เป็นผู้หมั่นผู้ขยันซี่
ใจมีความสุข ใจมีความสบายซี่


เมื่อใจมีความสุขความสบาย สิ่งทั้งหลายมันก็สบายนะ เรื่องสำคัญมันเป็นอย่างงั้น
หายเมื่อยหรือยังล่ะ จะนอนก็นอนเพ่งดูหัวใจจนหลับ
ใจมีพุทโธแล้วเป็นใหญ่กว่าเขาหมด ใหญ่กว่าพระอินทร์ พระพรหม
เทวบุตร เทวดา ยักษ์ กุมพน กุมภัณฑ์ พญาครุฑ พญานาค
พุทโธนี่ของเล็กน้อยเมื่อไหร่ล่ะ ใจเราเป็นใหญ่กว่าทั้งหมดล่ะนะ
เรื่องเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหมล่ะ เอ้าเลิกกันได้



ถอดจากแถบบันทึกเสียงของคุณวรรณดี ตั้งตรงจิต
จากพระธรรมเทศนาแสดงที่สำนักสงฆ์ถ้ำขาม
ม.ร.ว.ส่งศรี เกตุสิงห์ ผู้ถอด อวย เกตุสิงห์ ผู้เรียบเรียง)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก “อาจาโรวาท” ฉบับพิมพ์ปี ๒๕๕๐


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP