วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๒๑



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เวลาโพล้เพล้รอยต่อระหว่างกลางวันกลางคืน ดวงอาทิตย์เพิ่งลับฟ้า ยังพอมีแสงสว่างทาทาบท้องฟ้าให้เห็น สีสันบนโลกดูขมุกขมัวไม่มืดมิด ไม่สว่างไสว

            พิจิกแต่งตัวออกจากห้อง มองผ่านระเบียงไปยังลานกว้างหน้าตึกพักคนงาน มองเห็นร่างเลือนรางของคนแต่งชุดโบราณเดินกระจัดกระจาย ปะปนกับกลุ่มคนงานศิวาดล

            ภายใต้แสงสนธยาเช่นนี้ แยกแยะแทบไม่ออกว่าระหว่างมนุษย์กับภูตผี!

            ยกนาฬิกาขึ้นดู...เวลาขณะนี้ ๑๘:๓๐ น.

            ช่วงเวลาที่พลังมืดถดถอย จะเริ่มตั้งแต่ ๑๘:๐๐ น. ถึง ๒๔:๐๐ น.

            ภายในเวลาหกชั่วโมง เหล่าภูตผีที่ถูกจองจำ ล่ามโซ่จะเป็นอิสระชั่วคราวภายในกำแพงมนตราที่ล้อมรอบศิวาดล ส่วนปิศาจร้ายที่ควบคุมพวกมัน อาจหลบเร้นซ่อนกาย วางแผนป้องกันไม่ให้ตนเองโดนนำมาผนึก กักขังอีกครั้ง

            พลังมืดจะค่อย ๆ ลดทอนลงจนถึงจุดต่ำสุดในเวลา ๒๑:๐๐ น. แล้วจะค่อยเพิ่มขึ้นจนสู่ปกติเมื่อเวลาเที่ยงคืน

            ดังนั้นพิธีปิดผนึกอาคม ควรกระทำในเวลาสามทุ่มตรง

            ก่อนหน้าจะกระทำพิธีนี้ ต้องนำดินจากกลางเรือนพระยาคงเวทให้ได้ก่อน ซึ่งข้อนี้พิจิกไม่เป็นห่วง เขาวางแผนจัดการไว้แล้ว

            ชายหนุ่มอมยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อนึกถึงแผนการของตนเอง...

            ลงบันไดตึกออกไปทำงาน สายตามองที่ชานพักบันได พบเงาเลือน ๆ สีเทาสองร่างยืนอยู่ ใบหน้านั้นแหงนเงยขึ้นมองเขา สีหน้าซีดจาง ดวงตาไร้ประกาย กระแสหม่นหมองลอยเอื่อยโดยรอบ

            พิจิกไม่รู้สึกหวาดหวั่น ในใจมีความเมตตา เอ่ยปากเบา ๆ

            “คุณโสภี คุณพรนรี...มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

            ชายหนุ่มจดจำทั้งสองได้...โสภี พยาบาลส่วนตัวที่เขากับเมษาพบเป็นศพอยู่ห้องโถงใหญ่ ส่วนพรนรี เคยมาเคาะประตูพาเขาไปดูพิธีกรรมพิเศษของแม่บ้านเข็มทองที่บ้านน้อยกลางป่า

            ช่วงเวลาที่ดวงวิญญาณเป็นอิสระชั่วคราว คาดไม่ถึงทั้งคู่จะมาหาเขา

            พิจิกลงบันไดมายืนที่ชานพัก ห่างวิญญาณสองดวงแค่ก้าวเดียว มองเห็นพยาบาลโสภียังสวมชุดเดิมในวันตาย ส่วนพรนรีก็ยังใส่ชุดโรงพยาบาล อย่างที่เห็นเมื่อคราวก่อน

            จอมเวทหนุ่มยิ้มอ่อนโยน เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

            “มีอะไรอยากให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”

            บรรยากาศหม่นซึมจากวิญญาณทั้งสองแผ่มากระทบ ริมฝีปากพยาบาลโสภีขยับเอ่ยวาจา ทว่าไม่มีสรรพเสียงหลุดลอดกระทบหู พรนรีมีสีหน้าอึดอัด กระวนกระวายใจ อ้าปากพะงาบอยากบอกอะไรบางอย่าง กลับไร้กระทั่งเสียงแว่ว แผ่วเบา

            ทั้งคู่พยายามปรากฏตัวเต็มที่แล้ว หากพิจิกไม่มีกำลังสมาธิพอ คงไม่อาจเห็นภาพได้นานเท่านี้ การสื่อสารข้ามภพภูมิมิใช่เป็นเรื่องง่ายดาย จึงยากบอกกล่าววาจาต่อกัน

            ชายหนุ่มยื่นสองมือไปข้างหน้า แล้วก้มศีรษะเป็นเชิงอนุญาต เชิญชวน วิญญาณทั้งสองรับรู้ความหมาย ค่อยยื่นมือของตนออกมา ประกบมือพิจิกไว้คนละข้าง

            จอมเวทหนุ่มช่วยเชื่อมต่อการสื่อสารมากสุดเพียงเท่านี้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมษาไม่มีเวลาอาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเหมือนพิจิก

            พอแขกผู้เยี่ยมชมเข้าพักผ่อนในห้องรับรองชั้นสองศิวาดลจนหมด พวกลูกจ้าง คนงานที่ต้องทำหน้าที่เสิร์ฟอาหาร เครื่องดื่มในงานตอนค่ำต้องรีบกลับไปทำภารกิจส่วนตัว แล้วมาเตรียมตัวให้พร้อมเวลาทุ่มครึ่ง

            ช่วงเวลาช่องว่างนี้ เมษาต้องรีบทำพิธีรวมธาตุ นำดินกลางเรือนขึ้นมาโดยเร็วที่สุด

            วันงานเปิดรั้วศิวาดลผู้คนพลุกพล่าน ทั้งคนงานศิวาดล คนงานจากโรงแรมที่มาจัดเตรียมอาหาร แขกวีไอพีที่มาตั้งแต่บ่าย และผู้ที่จะมาร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำ

            ตารางงานค่อนข้างแน่น พอมีเวลาว่างตอนนี้ จำเป็นต้องทำพิธีฯ นำดินขึ้นมาทันที เพื่อใช้ปิดผนึกอาคม ตอนสามทุ่ม...ก่อนที่พลังมืดจะเพิ่มพูน จนสู่ปกติ

            การลงไปทำพิธีรวมธาตุที่ห้องใต้ดิน จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ไม่ผิด...

            วันนี้ศิวาดลไม่เข้มงวด แขกผู้มีเกียรติสามารถเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวชั้นใต้ดินที่มีของสะสมหายาก ภาพเขียนจากศิลปินมีชื่อเสียงได้ตามสบาย

            เมื่อแขกที่มางานสามารถเดินลงห้องใต้ดินง่าย ๆ การทำพิธีรวมธาตุตรงห้องเก็บไวน์ ก็อาจถูกพบไม่ยากเช่นกัน

            ปู่คงคาจึงวางแผนล่วงหน้า ให้มีนาขออนุญาตแพรพลอย เข้าไปถ่ายทำ บันทึกเทปในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวที่ชั้นใต้ดินเพื่อนำออกอากาศ ซึ่งทางเจ้าของบ้านไม่ขัดข้อง

            ทำให้เวลานั้นเมษาสามารถปะปน ทำตัวกลมกลืนลงไปห้องใต้ดินโดยไม่เป็นที่สังเกต และช่วงเวลาถ่ายทำบริเวณห้องสำคัญในชั้นใต้ดินนี้ มีนาสามารถใช้สิทธิโปรดิวเซอร์ ขออนุญาตกันคนนอกไม่ให้เข้ามาก้าวก่าย ยุ่มย่ามได้ชั่วคราว

            เปิดโอกาสให้เมษาทำพิธีอย่างสะดวก ปราศจากคนรู้เห็น รบกวน

            เวลา ๑๘:๑๕ น. เมษาออกจากห้องครัวศิวาดล กำลังจะไปหามีนาที่จุดนัดพบ ตรงทางลงห้องใต้ดิน พอผ่านห้องโถงใหญ่ที่กลายเป็นแกลอรี่ชั่วคราวก็ต้องชะงักเท้า หันไปมอง ‘ใคร’ บางคน

            ขณะนี้แขกวีไอพีเกือบทั้งหมด อยู่ที่ห้องพักรับรองชั้นสอง หลงเหลือแค่สองสามราย ออกไปถ่ายรูปทะเลสาบด้านหลัง ห้องโถงแกลอรี่จึงปราศจากผู้คน

            บุคคลที่เมษาเห็น เป็นร่างสีเทาเลือน ๆ ยืนดูรูปบนฝาผนังอย่างเหม่อลอย ใบหน้าของวิญญาณดวงนั้น ไม่แตกต่างจากใบหน้ารูปภาพบนฝาผนัง

            ...เธอคือดลดารา...

            เมษาล้วงกระเป๋า กำเข็มกลัดดลดาราไว้หลวม ๆ ปลายนิ้วลูบตรงพลอยสีแดงเบา ๆ ใช้สัมผัสเป็นสื่อเพื่อติดต่อผู้เป็นเจ้าของแท้จริงของมัน

            ดลดาราเบือนหน้าจากรูปตนเองมายังหญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้

            พลอยสีแดงส่งกระแสคลื่นบางเบาให้รู้สึก เมษาตั้งสมาธิรับคลื่นการติดต่อนั้นด้วยใจเปิดกว้าง ผ่อนคลาย ทอดสายตามองร่างสีเทาเลือน ๆ ตรงหน้าจนกระทั่งเริ่มเห็นสีสัน รายละเอียดของ ‘เธอ’ มากขึ้น

            การสื่อสารข้ามภพระหว่างเมษากับดลดารา สะดวกชัดเจนกว่าปกติ เพราะมีเข็มกลัดดลดาราเป็นสื่อ

            “เธอจะลงไปทำพิธีที่ห้องใต้ดินหรือ?” ดลดาราไม่ได้ขยับปาก กระแสเสียงแว่วผ่านความรู้สึกเข้ามาเอง

            “ค่ะ” เมษาตอบวาจานั้นในใจ

            “ถ้าคืนนี้ พิธีของเธอสำเร็จ คิดว่าจะกักขัง ‘มัน’ ได้จริงหรือ?” คำถามเหมือนรู้แล้วว่า เมษามีแผนการพิธีกรรมอย่างไร

            “ค่ะ...แต่มันน่าจะเป็นการกักขังคุณด้วยเหมือนกัน” เมษาลำบากใจที่จะบอกเช่นนั้น เธอรู้สึกว่าภูตผีที่เห็นทุกตน รวมทั้งดลดารา ไม่ได้เลวร้าย สร้างความเดือดร้อนแก่ใคร อาจเป็นเหยื่อของปิศาจร้ายด้วยซ้ำ

            แต่หากจะกำราบ กักขังปิศาจร้าย จำเป็นต้องพ่วงสมุนที่ไม่เต็มใจเหล่านี้ด้วย

            ดลดารายิ้มแปลก ไม่มีรอยหวั่นเรื่องที่ตนจะโดนปิดผนึกอาคมร่วมกับปิศาจตนนั้น

            “มัน...ทั้งสองน่ากลัวกว่าที่เธอคิด กล้าแข็งกว่าเธอประเมินเอาไว้...ฉันไม่กลัวถูกกักขังในผนึกอาคมหรอก...ถ้าจะกลัว...ก็กลัวเธอทำพิธีไม่สำเร็จมากกว่า”

            เมษาสะดุ้งวาบ เกิดสังหรณ์ร้ายในใจ

            “คุณมีอะไรแนะนำฉันมั้ยคะ” เมษาไม่ได้ถือดีว่ามีวิชาอาคม เธอพร้อมรับคำแนะนำเสมอ

            “รู้มั้ยว่าฉันตายยังไง” ดลดาราย้อนถามกลับ

            เมษาฉุกคิดสงสัย ตามข้อมูลที่ค้นมา ดลดาราเสียชีวิตด้วยอาการเจ็บป่วย

            “คุณไม่ได้ป่วยตายหรือ?” ถามอย่างสงสัย

            “นั่นสิ ป่วยด้วยโรคอะไรล่ะ”

            คำพูดและสีหน้าที่แสดงออกมาทำให้เมษามองเห็นคำตอบราง ๆ

            ภรรยาสามคนของนายศิวาล้วนเสียชีวิตแตกต่างกัน ดลดาราเสียชีวิตด้วยอาการป่วย รายาเกิดอุบัติเหตุ พรนรีผูกคอตายที่โรงพยาบาล และพยาบาลส่วนตัวของแพรพลอย ภรรยาคนที่สี่...เสียชีวิตจากการกินยาเกินขนาด

            เป้าหมายการมาศิวาดลครั้งนี้คือปิดผนึกอาคม กักขังผีร้าย เมษาจึงศึกษาข้อมูลประกอบเพียงเท่าที่ปรากฏในข่าว ไม่เคยสนใจสืบหาสาเหตุการตายแท้จริงของ ‘นายหญิง’ ทั้งสามของศิวาดล เพราะคิดว่าไม่เกี่ยวกับงานตน

            ถึงตอนนี้ คำถามจากดลดารากระตุกใจให้คิด ตั้งสมมุติฐานบางอย่างในใจ...

            ลักษณะการตายเหล่านั้นแตกต่างกันก็จริง แต่อาจมี ‘อะไร’ บางอย่างที่สามารถ สร้างรูปแบบการตายออกมาอย่างที่คนร้ายต้องการให้เป็นก็ได้...

            หากสมมุติฐานในใจเมษาเป็นความจริง เบื้องหลังการตายของนายหญิงศิวาดลนับว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            พยาบาลโสภี พรนรีไม่อาจสื่อสารตรงไปตรงมาด้วยวาจาอย่างดลดารากับเมษา แต่พวกเธอสามารถถ่ายทอดประสบการณ์ผ่านสัมผัสเชื่อมต่อ ก่อให้เกิดนิมิตในหัวพิจิก

            ชายหนุ่มรับรู้ มองเห็นเรื่องราวแทบทุกฉากสำคัญในชีวิตของพรนรี...

            ตั้งแต่แรกพบ เกิดความรักกับนายศิวา...

            วันที่ก้าวมาเป็นนายหญิงคนที่สามของศิวาดล

            ความสุขที่ได้รับในช่วงสองเดือนแรก เหมือนอยู่ในสรวงสวรรค์ ลูกจ้าง คนงานทุกคนให้เกียรติ เคารพยกย่องเธอ ต่อให้แม่บ้านเข็มทองจะมีท่าทีเฉยเมย เหมือนไม่แยแส แต่ก็กระทำตามคำสั่งของเธออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนนายศิวาก็ทุ่มเทความรัก เอาใจใส่ราวกับเธอเป็นเจ้าหญิง คนสำคัญในพระราชวังของเขา

            จนมาถึงเดือนที่สาม พรนรีถึงได้รู้...หุบเหวนรกเป็นอย่างไร

            มันเริ่มจากความฝันกึ่งจริงอันน่าสะพรึง เห็นศิวาดลกลายเป็นเรือนไม้โบราณ พบคนแต่งกายชุดโบราณน่ากลัวส่งเสียงร้องข่มขู่ชวนขนหัวลุก

            ความฝันเช่นนี้ตามหลอกหลอนในเวลาตื่น หล่อนเห็นคนโบราณอยู่แทบทุกหนทุกแห่งในศิวาดล ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวัน หรือตอนกลางคืน

            มันปรากฏเพียงชั่วแวบแล้วเร้นหาย เคยบอกต่อนายศิวาผู้เป็นสามีก็ไร้ผล เขาบอกว่าเธอตาฝาด ไม่สนใจ

            แม่บ้านเข็มทองพูดจาหนักกว่านั้น...

            ถ้าเจออะไรขนาดนั้นจริง ฉันก็เตือนคุณได้แค่ประโยคเดียวคือ ‘ออกไปจากศิวาดลเสีย

            พรนรีรู้สึกเหมือนตนเองอยู่โดดเดี่ยวในแดนสนธยา ทุกคนรอบตัวกลายเป็นคนแปลกหน้า การมองเห็นโลกความจริงซ้อนกับโลกความฝันบ่อยครั้งโดยไม่มีใครเชื่อถือ ทำให้หล่อนหวาดกลัวจนไม่กล้าหลับตานอน พร่ำร้องขอความช่วยเหลือทุกครั้งที่มองเห็นผีปรากฏตัว

            นายศิวายอมทำบุญบ้าน นิมนต์พระมาสวดเพื่อให้ภรรยาสบายใจ แต่พอหลังจากนั้น พรนรีกลับเห็นศิวาดลกลายเป็นเรือนไม้โบราณ ทั้งที่เป็นเวลากลางวันแสก ๆ ภูตผีคนโบราณดาหน้าเดินเข้ามาหาเธออย่างข่มขู่ ประสงค์ร้าย

            พรนรีกรีดร้องดังลั่น โวยวายอาละวาดน่ากลัว จนถูกนำส่งโรงพยาบาล

            ที่โรงพยาบาลนั้น พรนรีไม่เห็นภูตผีคนโบราณอีกแล้ว ทว่าในหัวกลับมีเสียงแปลก ๆ ตะโกนร้องซ้ำ ๆ ให้เธอฆ่าตัวตาย เชิญชวนให้มาอยู่โลกหลังความตายด้วยน้ำเสียงชวนขนหัวลุก

            เธอพยายามฝืน ไม่ยอมทำตามเสียงในหัว พอยิ่งดึกเสียงนั้นยิ่งชัดเหมือนมีคนมากระซิบข้างหู พูดจาเกลี้ยกล่อม เชิญชวน ร้องเรียก ข่มขู่สารพัด สุดท้ายสติขาดผึง...เธอยอมทำตามเสียงเรียกร้อง ผูกคอตายกลางห้องพักคนป่วย แล้วกลับมาอยู่ในศิวาดลโดยไม่รู้ตัว...

            พิจิกซึมซับ รับรู้เรื่องราวของพรนรีจบ ภาพในหัวก็ตัดมาเรื่องของพยาบาลโสภี...

            เมื่อนึกสังหรณ์ว่า หากสืบสาวการตายของพยาบาลโสภี จะนำไปสู่ตัวจริงของผู้ร้ายในเงาได้ พิจิกจึงสอบถามเรื่องราวของพยาบาลคนนี้จากลูกจ้าง คนงานที่สนิทจนได้รายละเอียด ข้อมูลมากพอสมควร

            พยาบาลโสภีเป็นญาติห่าง ๆ ของแพรพลอย อยู่ศิวาดลได้ประมาณหกเดือน

            ช่วงแรกทำหน้าที่พยาบาลประจำบ้าน ดูแลห้องพยาบาล คอยจ่ายยาสามัญทั่วไปแก่ลูกจ้างที่ป่วยไข้ ปฐมพยาบาลเบื้องต้นกับรายที่เกิดอุบัติเหตุ สำหรับกรณีที่อาการป่วยเกินกำลัง ก็จะแนะนำส่งลูกจ้างรายนั้น ๆ ไปโรงพยาบาล

            ต่อมาขึ้นไปอยู่ตึกใหญ่ ดูแลสุขภาพแพรพลอยเป็นหลัก จะแวะมาห้องพยาบาลช่วงบ่าย เย็น หรือตอนมีคนงานมาขอความช่วยเหลือ

            นิสัยส่วนตัวเป็นคนเงียบ ๆ เก็บตัวไม่ค่อยพูดจาสุงสิงกับใคร พวกคนงานไม่รักไม่เกลียด ถ้าไม่เจ็บป่วยก็ไม่รู้สึกว่าเธอมีตัวตน

            ได้ยินเรื่องราวอย่างนี้ พิจิกจึงไม่รู้จะเริ่มต้นสืบสาวจากจุดใด

            เมื่อมีสัมผัสเชื่อมต่อกันเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มมองเห็นภาพในคืนที่พยาบาลโสภีเสียชีวิต

            หลังจากเสร็จภารกิจดูแลแพรพลอย เธอชงนมอุ่นมาดื่มก่อนนอนตามปกติ แล้วนั่งอ่านหนังสือในห้องพักส่วนตัว จิบนมสลับกับอ่านหนังสือโดยไม่สนใจโลกภายนอก จนกระทั่งแว่วเสียงเรียก...

            โสภี...โสภี” เสียงผู้หญิงคล้ายแพรพลอย

            พยาบาลโสภีชะงัก ขมวดคิ้วคิดว่าหูแว่ว เพราะถ้าแพรพลอยต้องการตัวเธอจะโทรศัพท์เรียก ไม่ตะโกนลงมาจากชั้นสามแน่นอน พอเข้าใจอย่างนั้นก็ดื่มนมต่อจนหมดแล้วค่อยเปิดอ่านหนังสือ

            ...ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...เสียงเคาะประตู

            เธอคิดว่าแม่บ้านเข็มทองมาขอยา จึงลุกขึ้นเปิดประตู แต่ไม่พบใคร ออกมายืนนอกห้องเหลียวมองตามทางเดิน รู้สึกวังเวงแปลก ๆ

            กำลังจะกลับเข้าห้อง ได้ยินเสียงเดิมเรียกอีกครั้ง

            โสภี...โสภี” เสียงผู้หญิงก้องในหัว

            คราวนี้พยาบาลโสภีขยับขาโดยอัตโนมัติ ส่วนหนึ่งในใจเหมือนโดนอำนาจบางอย่างชักจูงให้ก้าวไปบนทางเดิน ไม่มีแรงต้านทานขัดขืน ปล่อยให้ร่างกายถูกคำสั่งในหัวชี้นำจนยากปฏิเสธ

            มาถึงหัวบันไดทางลงไปห้องโถงชั้นล่าง สายตากระทบเงาร่างดำสนิท เร้นตัวหลังเงามืด เพียงยื่นมือออกมากวักเรียกเธอให้เดินลงบันไดไปช้า ๆ

            โสภีตัวชา ขนลุกซู่ ความกลัวแผ่ซ่านจับใจ พยายามฝืนเกร็งขาต่อต้าน ก้าวถอยหลังอยากกลับห้องเต็มกำลัง ร่างกายไม่ยอมเชื่อฟัง ขาก้าวลงบันไดอย่างจำยอม ขณะที่เงาดำเคลื่อนตัวนำหน้าด้วยความพอใจ

            มาถึงชั้นล่าง ห้องโถงดับไฟมืด มีแสงสีส้มเหลืองส่องลอดจากนอกหน้าต่างเข้ามาพอเห็นภายในรำไร เธอเดินไปเรื่อย ๆ ไม่มีจุดหมายจนถึงกลางห้องโถง

            จู่ ๆ ขาสองข้างก็หยุดนิ่ง ชะงักงัน พลังมืดจากภายนอกกระโจนเข้าใส่ราวกับเป็นสัตว์ร้ายตะปบเหยื่อ ร่างสะดุ้งเฮือก บังเกิดความทุกข์ทรมานแล่นทั่วร่าง เหมือนถูกเข็มน้ำแข็งชอนไชไม่ปราณี

            เธอไม่อาจส่งเสียงตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ อาการทุรนทุรายเกิดขึ้นภายใน สุดท้ายทรุดตัวลงกับพื้น ลิ้นจุกปาก ดวงตาเบิกค้างสภาพเหมือนคนโดนยาพิษ

            สำนึกสุดท้ายก่อนชีวิตสิ้นสุดคือ เสียงหัวเราะประหลาดแว่วผสานกับเสียงดนตรีที่ฟังโหยหวน พร้อมวาจากังวานชัดเจน...

            “นี่คือการทักทาย...ยินดีต้อนรับ...ทายาทสองตาแก่!...”

            พิจิกสะดุ้ง หนาวเยือก สองมือที่ประกบมือเขาค่อยเลือนราง ถอยออก ชายหนุ่มมองดวงวิญญาณทั้งสองด้วยแววตาเจ็บปวด เข้าใจ

            ...การมาถึงของเขากับเมษา ไม่เป็นความลับต่อ ‘ผู้ร้ายในเงา’ คนนี้เลย...

            หนำซ้ำยังจัดการต้อนรับอย่างน่าหวั่นใจ สยดสยองตั้งแต่คืนที่สองทันที!

            ...พยาบาลโสภีอาจยังมีชีวิตอยู่ ถ้าพวกเขาไม่เข้ามาศิวาดล...

            ความเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของมัน...พิจิกสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ ความกลัวบังเกิดขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนได้สติ ปลุกแรงใจการต่อสู้ให้กลับคืนมา

            ช่วงเวลาพลังมืดถดถอย วิญญาณที่ถูกควบคุมมีอิสระชั่วคราว จึงมาบอกเล่ารายละเอียด สาเหตุการตาย เพื่อขอความช่วยเหลือ และสืบหาผู้ร้ายตัวจริงให้เจอ

            เวลานี้พิจิกรู้แล้ว พยาบาลโสภีไม่ได้เสียชีวิตด้วยยาชนิดใดเลย เธอโดน ‘ของ’ จากผู้ทรงเวทภายนอกส่งมาทำร้ายอย่างที่ปู่คงคาเคยโดนมาแล้ว

            จุดประสงค์ของมัน...ไม่ใช่ทักทายทายาทสองปู่ แต่เป็นการข่มขู่ แสดงศักยภาพตน!

            อีกทั้งยังมีบางคนในศิวาดล ร่วมมือจงใจสร้างหลักฐานปลอม ด้วยการใส่เศษยานอนหลับลงในแก้วนม หรือกระทั่งปลอมผลชันสูตรศพ เพื่อให้มีสาเหตุการตายพิสูจน์ได้ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหา ข้อสงสัยตามมาภายหลัง

            ผู้ร่วมมือนั้นอาจรู้จักตัวจริงของพิจิก เมษา หรือไม่รู้จักก็ได้...แล้วแต่ว่า ‘ผู้ร้ายในเงา’ นั้นจะยอมเปิดเผยแค่ไหน

            ชายหนุ่มไม่หวั่นเกรงว่าจะถูกเปิดเผยตัวตน เพราะหากเขาและเมษาถูกจับได้ว่าปลอมตัวมา ผู้ที่เปิดโปงพวกเขานั่นแหละ ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ร้ายในเงา และเป็นคนเดียวกับช่วยมันสร้างหลักฐานปลอมเช่นกัน

            ส่วนการตายของพรนรีไม่เกี่ยวกับพวกเขาแน่นอน...

            ภรรยาคนที่สามของนายศิวาน่าจะโดนอาคมบางอย่างครอบงำตั้งแต่ฝันเห็นปิศาจในเรือนพระยาคงเวท จากนั้นคอยกลั่นแกล้งเธอเป็นระยะจนแทบเสียสติ ก่อนรีบปลิดชีวิตเธอทันทีที่ออกไปอยู่นอกอาณาเขตศิวาดล

            สิ่งที่บังคับ สะกดสั่งพรนรีน่าจะเป็น ‘ของ’ อีกประเภทที่มุ่งทำร้ายจิตใต้สำนึก เรื่องพวกนี้ภูตผี ปิศาจในศิวาดลไม่น่ากระทำได้

            มันเป็นฝีมือของผู้ร้ายในเงา

            จากการตายสองรายที่ได้รู้ ทำให้พิจิกตั้งข้อสงสัย ปิศาจร้ายที่ควบคุมภูตผีในศิวาดล กับผู้ร้ายในเงาต้องมีความสัมพันธ์ หรือไม่ก็มีข้อตกลงบางอย่างระหว่างกัน จึงร่วมมือให้ความช่วยเหลือ...ฆาตกรรม...นำวิญญาณไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาเป็นสมุนมากมายขนาดนี้

            เจตนาเบื้องหลังพวกมันคืออะไรกันแน่?




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมษามาถึงหน้าห้องเก็บไวน์โดยไร้อุปสรรค ไม่เกิดปัญหาระหว่างทาง

            หลังจากดลดาราตั้งคำถามให้คิด...เธอป่วยด้วยโรคอะไร?...วิญญาณดวงนั้นก็เลือนหายไป ทิ้งข้อสงสัยคำเตือนไว้ในใจ แต่หญิงสาวจำเป็นต้องเก็บมันไว้ก่อน เพื่อจะได้มีสมาธิกับงานข้างหน้า

            มีนาเป็นผู้ช่วย ดำเนินตามแผนการไม่ผิดพลาด ตรงต่อเวลา และอำนวยความสะดวกให้น้องสาวลงมาชั้นใต้ดินโดยไม่ผิดสังเกต

            คณะถ่ายทำรายการกำลังบันทึกเทปภายในพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว โดยมีแพรพลอยเป็นพิธีกรจำเป็น คอยแนะนำ บอกเล่าเกี่ยวกับที่มาของสะสมแต่ละชิ้นอย่างมีสีสัน

            คนไม่เกี่ยวข้องถูกกันออกจากชั้นใต้ดินชั่วคราว เมษามีเวลาไม่เกินสิบห้านาทีสำหรับประกอบพิธีรวมธาตุ และรีบออกจากชั้นใต้ดิน ก่อนการถ่ายทำเสร็จ



            เมษาเข้ามาในห้องเก็บไวน์ มองจุดที่เป็นกึ่งกลางเรือนพระยาทรงเวทด้วยสายตามุ่งมั่น...ครั้งนี้หล่อนจะไม่พลาดอย่างคราวก่อน

            หยิบถุงผ้าใบเล็กออกจากกระเป๋า...ของชิ้นนี้มีนานำมาให้...เป็นของที่ปู่คงคาเตรียมไว้พิเศษ ในนั้นมีขี้เถ้าธูปได้รับการปลุกเสก โอมอ่านมนตราทุกวันตลอดหนึ่งสัปดาห์ สามารถใช้ป้องกันภูตผี มนตร์ดำร้ายมารบกวนขณะทำพิธี

            เมษาโรยฝุ่นขี้เถ้าธูปรอบจุดทำพิธีประมาณสามเมตร ขณะโรยก็บริกรรมคาถากำกับซ้ำ ไม่ให้สิ่งแปลกปลอมใดหลุดรอดเข้ามาได้

            เสร็จจากวางแนวป้องกัน ค่อยคุกเข่าลงตรงหน้าจุดกึ่งกลางเรือน หยิบถุงดิน ขวดใบเล็กบรรจุน้ำออกมาวางเตรียมทำพิธี

            ทันใดนั้น สายตากระทบกับสิ่งแปลกปลอมที่โรยบาง ๆ ตรงจุดกึ่งกลางเรือนพระยาคงเวทพอดี

            “ไอ้หมาจิก!” เสียงเข่นเขี้ยวดังลอดไรฟัน

            สิ่งที่โรยตัดหน้าเป็นฝุ่นดินเคลือบอาคม...ฝีมือคู่แข่งแบบไม่ต้องสืบ

            พิจิกคงลอบมาจัดการตั้งแต่เมื่อวาน แรกทีเดียวน่าจะมาทำพิธีรวมธาตุ แต่โดนสกัดขัดขวางจากผู้ทรงเวทในเงา จึงแค่โรยฝุ่นบางส่วนจากก้อนดินทั้งหมด แล้วเคลือบอาคมเอาไว้เป็นสื่อเชื่อมต่อกับดินก้อนใหญ่ของตน

            หากเมษานำดินของตนมาทำพิธีรวมธาตุ ฝุ่นดินที่ชายหนุ่มทิ้งไว้จะสามารถเชื่อมต่อ รวมเป็นเนื้อเดียวกับดินของเมษาได้ทันทีและส่งผลไปถึงดินอีกส่วนที่พิจิกเก็บไว้...ทำให้เขาได้ดินจากกลางเรือนพระยาทรงเวทโดยไม่เปลืองแรง

            เห็นอย่างนี้แทบอยากกวาดดินของเขาทิ้งไปให้หมด แต่ก็รู้มันเปล่าประโยชน์ พิจิกเคลือบอาคมไว้ตรงจุดนี้แล้ว ต่อให้เช็ดดินจนเกลี้ยง กระแสอาคมเขาก็ยังเชื่อมต่อไปยังก้อนดินที่ชายหนุ่มติดตัวอยู่ดี

            ถ้าจะขัดขวางพิจิกจริง ๆ ต้องทำพิธีถอนอาคมที่เขาเคลือบไว้ ออกไปก่อน ซึ่งนั่นจะทำให้หล่อนเสียเวลาเป็นเท่าตัว

            เมษาถอนใจเฮือกใหญ่...

            “เออ...เล่นกันแบบนี้ ต่อให้ชนะมันก็ไม่น่าภูมิใจหรอกเว้ย” หญิงสาวพึมพำหวังให้ชายหนุ่มคู่แข่งได้ยิน

            สลัดความหงุดหงิดขัดใจออกไป ตั้งสมาธิมั่น เทน้ำลงไปยังฝุ่นดินที่พิจิกโรยไว้ จากนั้นเทดินในถุงของตนตามลงไป ธาตุน้ำธาตุดินผสานรวมตัว เนื้อดินเหลวทั้งหมดกลายเป็นก้อนเดียวกัน

            สายใยยึดเหนี่ยวด้วยวารีธาตุ เชื่อมโยงดินบนพื้นคอนกรีต กับดินใต้ดิน บังเกิดแรงดึงดูดเหนี่ยวนำ เสมือนเป็นเนื้อเดียวกัน

            อาคม มนตราถูกเปล่งออกมา...แผ่วเบา



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP