วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๒๐



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            งานเปิดรั้วศิวาดล

            งานนี้แบ่งออกเป็นสามช่วงใหญ่ เริ่มตั้งแต่ตอนบ่าย จะมีการจัดเที่ยวชมบริเวณโดยรอบศิวาดล แนะนำสถานที่ จุดสำคัญ สิ่งปลูกสร้าง เปิดโอกาสให้คณะเยี่ยมชมได้ถ่ายรูป บันทึกเทปโดยไม่หวงห้าม

            ช่วงที่สอง เวลาเย็น หลังกลับจากเที่ยวชมโดยรอบ จะเป็นการนำชมภายในคฤหาสน์ศิวาดล โดยด้านหน้าจะจัดซุ้มแจกของชำร่วย แสดงภาพถ่ายสถานที่ มุมสวยงามต่าง ๆ ในอาณาเขตนี้

            ช่วงที่สาม เวลาค่ำ จัดงานเลี้ยงภายในห้องจัดเลี้ยงใหญ่ของศิวาดล สามารถจุแขกรับเชิญได้นับร้อยคน โดยมีการแสดงบนเวที ดนตรี โชว์ต่าง ๆ เพื่อสร้างความบันเทิงแก่ผู้ร่วมงาน ก่อนปิดท้ายด้วยคำกล่าวขอบคุณจากนายศิวา และแพรพลอยผู้เป็นเจ้าของบ้าน

            งานนี้นายศิวายกหน้าที่ดูแล ควบคุม กำกับทั้งหมดให้แก่แพรพลอย ซึ่งหญิงสาวได้จ้างนักจัดอีเวนท์มือหนึ่งของประเทศให้ดำเนินการ โดยตนเองเป็นคนคอยดูแลอีกทีหนึ่ง

            ส่วนนายศิวามีงานสำคัญต้องสะสางหลายเรื่อง ทำให้ต้องออกจากศิวาดลไปดูแลงานที่กรุงเทพฯ และจำเป็นต้องค้างที่คอนโดกลางกรุงฯ บ่อย ๆ

            นอกจากนี้ คดีบุกยิงคราวนั้นก็มีความคืบหน้าไม่น้อย สามารถรู้ตัวมือปืนทั้งสาม แต่ยังไม่อาจจับกุมได้ เนื่องจากพวกนั้นหนีไปกบดานอยู่ประเทศเพื่อนบ้านตั้งแต่คืนเกิดเรื่อง

            ส่วนผู้จ้างวาน มีผู้ต้องสงสัยเข้าข่ายหนึ่งราย ซึ่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ โดนนายศิวาประมูลงานตัดหน้าสำเร็จ หนำซ้ำยังโดนดำเนินคดีเรื่องฮั้วประมูล และการให้สินบนอยู่            

            แม้ยังไม่อาจหาหลักฐานพยานเอาผิดผู้ต้องสงสัยรายนี้ แต่ทางตำรวจได้จับตาดูเป็นพิเศษ หากเขาขยับตัวทำอะไรผิดปกติ หรือพบหลักฐานการติดต่อมือปืนเมื่อใด ก็สามารถขอหมายศาลจับกุมทันที

            ด้วยเหตุนี้นายศิวาจึงอยู่นอกศิวาดล ไม่ว่างมาดูการเตรียมงานต่าง ๆ กระทั่งในวันงานเปิดรั้วศิวาดล เขายังสามารถปลีกตัวมาร่วมงานได้ในช่วงเวลาค่ำเท่านั้น




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            รถรางนำเที่ยวถูกนำมาใช้เป็นรถขบวนพานักข่าว ตัวแทนค่ายละคร นักจัดอีเวนท์แถวหน้า และกลุ่มเซเลปคนดังที่ได้รับเชิญให้มาเที่ยวชมภายในศิวาดล

            แพรพลอยรับหน้าที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์ นั่งบนรถหัวขบวน คอยอธิบายแนะนำ บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ภายในศิวาดลอย่างละเอียดมีสีสัน

            มีนาและทีมงานรายการนั่งรถคันแรก คอยบันทึกภาพแพรพลอย และผู้ร่วมชมศิวาดลเพื่อนำไปใช้ตัดต่อออกอากาศในรายการของตน

            ขบวนรถมาจอดยังเนินสวยเหนือทะเลสาบ มองเห็นคฤหาสน์ศิวาดลเป็นฉากหลัง แพรพลอยพาคณะเที่ยวชมไปยืนยังจุดชมวิวเพื่อถ่ายรูป บอกเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่าง ๆ

            โปรดิวเซอร์สาวปล่อยให้ช่างภาพตามบันทึกเทปนายหญิงศิวาดล และแขกรับเชิญโดยไม่คิดเข้าไปกำกับ ควบคุมเช่นเคย

            หญิงสาวเกร่ไปหาคนขับรถหนุ่มที่นั่งหลังพวงมาลัยคนเดียว ท่าทางไม่สนใจใคร

            “จะมาจีบผมเหรอเจ้” พิจิกทักเสียงเบาเมื่อเห็นหญิงสาวเข้ามาหา

            “ถ้าไม่อยากได้แกเป็นน้องเขยล่ะก็...ฉันจีบแกไปนานแล้วล่ะ” มีนาหยอกล้อด้วยอารมณ์ขัน สายตามองรอบตัว พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจจึงเอ่ยปากชวนคุยต่อ

            “วันนี้เป็นไง...พร้อมมั้ยล่ะ” โปรดิวเซอร์สาวถาม

            พิจิกเหลือบตามองอมยิ้ม

            “เจ้รู้เหรอ วันนี้ผมจะทำอะไร” ชายหนุ่มถามหยั่งเชิง

            “เธ่อ...ฉันก็มีส่วนในแผนวันนี้เหมือนกันนะยะ...ถึงจะเป็นคนละฝั่งกับแกก็เถอะ” พูดอย่างภูมิใจ

            “ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” พิจิกเตือน

            “ถ้าเสร็จงานนี้ แกจะได้กลับไปเป็นคุณหมอจริง ๆ สักทีใช่มั้ย” หญิงสาวชวนคุยต่อ

            “ตอนนี้ผมไม่ใช่หมอจริง ๆ ตรงไหน” ถามแหย่

            “ฉันว่าตอนนี้แกเหมาะที่จะเป็นคนขับรถดีกว่าว่ะ...ลองเปลี่ยนอาชีพสักปีก็ดี” มีนาหยอกล้อ

            พิจิกยิ้ม นัยน์ตาพราวระยับ

            “ถ้าหมวยเล็กมันยังสนุกที่จะเป็นแม่ครัว...ผมก็อยู่เป็นคนขับรถเพื่อนมันก็ได้”

            “นั่นแน่...” หญิงสาวดักคอ “ยอมเปิดเผยใจจริงแล้วสิ”

            “ผมไม่เคยปิดบังอะไรนี่” พิจิกสบตามีนา...กับผู้หญิงที่รู้จักเขาตั้งแต่เกิด ย่อมไม่อาจซ่อนความรู้สึกต่อหน้าได้อยู่แล้ว

            โปรดิวเซอร์สาวไม่แปลกใจที่ชายหนุ่มไม่แกล้งเฉไฉ พูดเลี่ยงความจริง

            “ถ้าแผนการมันสำเร็จในวันนี้ได้ก็ดีนะ” มีนาพูด “ฉันไม่รู้พวกแกจะทนปลอมตัวได้นานแค่ไหน ยิ่งไม่ใช่คนชอบโกหกกันอยู่ด้วย”

            พิจิกยิ้มรับ เขายังนึกแปลกใจตนเองเช่นกัน ที่อยู่ในสถานะคนขับรถได้จนถึงวันงานนี้

            “เออจริงสิ...ฉันบอกแผนวันนี้ของปู่กับหมวยเล็กให้แกฟังดีมั้ย...เผื่อแกจะได้ระวัง คอยช่วยประสานงานกัน” มีนาเสนอ

            “อย่าเลยเจ้” พิจิกปฏิเสธ “ปู่ผมกับปู่เจ้ยังมีเรื่องไม่เข้าใจกันอยู่...ไม่อยากทำอะไรให้ท่านเสียความรู้สึก”

            “เอ๋...” มีนาชะงักสงสัย “พูดอย่างนี้...เหมือนรู้อะไรดี ๆ มาเลยแฮะ”

            “อือ...” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

            การพูดคุยครั้งล่าสุด เขาสามารถทำให้ปู่เผด็จยอมเปิดเผยเรื่องราวหลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ...สาเหตุแท้จริงที่สองผู้เฒ่าขัดแย้ง มองหน้ากันไม่ติดมาเป็นสิบปี

            “เฮ้ย...บอกฉันหน่อยสิ อยากรู้เหมือนกัน” มีนาตาลุกวาวอยากรู้บ้าง

            “อย่าเพิ่งรู้เลยเจ้ เอาไว้ให้เรื่องมันเรียบร้อยก่อน” พิจิกบอกอย่างนั้น

            “เออ แล้วแต่แก” หญิงสาวยอมรับง่าย ๆ ไม่เซ้าซี้ร่ำไร

            พูดถึงตรงนี้ แพรพลอยก็นำคณะเยี่ยมชมศิวาดลกลับมายังรถขบวน เพื่อพาไปรับประทานของว่างที่เรือนครัวริมทะเลสาบ




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เรือนครัวศิวาดล

            บริเวณเทอเรซที่ยื่นไปในทะเลสาบ ด้านข้างมีต้นไม้ใหญ่ใบดกหนา แผ่กิ่งก้านร่มรื่น ช่วยคลายความร้อนสร้างบรรยากาศสดชื่นผ่อนคลาย

            อาหารว่างจัดเรียงแบบบุฟเฟต์ ผู้ช่วยแม่ครัวทั้งทางตึกใหญ่ และเรือนครัวต่างรับหน้าที่บริการเติมอาหาร เสิร์ฟเครื่องดื่ม ดูแลแขกสำคัญที่มาร่วมงานอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

            เมษามองเห็นมีนาขึ้นมาบนเทอเรซพร้อมกับทีมงานและแขกคนอื่น ๆ จึงหาจังหวะ คอยให้พี่สาวอยู่ตามลำพังจึงค่อยถือถาดเครื่องดื่มเข้าไปหา

            “อาหารอร่อยนะ ฝีมือน้องสาวเจ้หรือเปล่า” มีนาเอ่ยทักเมื่อไม่มีแขกคนอื่นสังเกตสนใจเธอ

            “ของที่ปู่ให้เอามาด้วย อยู่ที่เจ้หรือเปล่า” หญิงสาวไม่สนใจตอบคำทักทายพี่สาว รีบเข้าประเด็นโดยเร็ว เกรงคนอื่นผิดสังเกต

            “อยู่ในกระเป๋าเจ้นี่แหละ ถึงเวลานัดหมายจะเอาให้ตามแผน” มีนาตอบ

            “แผนการไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใช่มั้ย” เมษานึกเป็นห่วง

            “ไม่เปลี่ยน ยังเหมือนเดิม” โปรดิวเซอร์สาวหยิบเครื่องดื่มในถาดมาจิบ

            “เช็คเวลาแน่นอน...เจ้ห้ามพลาดนะ” เมษาไม่เคยร่วมงานกับพี่สาว ใจจึงกังวลสารพัด

            “เชื่อมือเจ้เหอะน่า” พูดหนักแน่น หน้าตาเกลื่อนรอยยิ้ม

            “กำหนดการงานวันนี้เป๊ะมาก ยังไงอย่าพลาดเรื่องเวลานะ” เมษาขมวดคิ้วจริงจัง

            “โอเคค่ะน้องสาว” ผู้ฟังยังอารมณ์ดี

            เมษาหนักใจลึก มองพี่สาวอย่างไม่แน่ใจ เหลือบมองรอบ ๆ ไม่เห็นมีคนสนใจทางนี้จึงเอ่ยถามต่อ

            “เจ้กลัวผีจะตาย...ไหวมั้ย” เรื่องนี้แหละที่น่าห่วงสุด

            “ดูนี่ซะ” มีนาดึงสร้อยเส้นเล็กออกมาให้ดู “ปู่ให้ตะกรุดโบราณมา รับรองผีทุกตัวหนีกระเจิง ไม่กล้าเข้าใกล้เจ้แน่นอน”

            เมษาถอนใจโล่งอก สำหรับหล่อนแล้ว ปู่คงคาไม่ให้พกเครื่องรางของขลังใด นอกจากให้พก ‘สติ’ ความระลึกได้ เพราะสติสำคัญกว่าของขลังทั้งหลาย

            หากกับคนทั่วไปที่ไม่เคยฝึกเจริญสติ ไม่รู้จักคาถาอาคมอย่างพี่สาวเธอ เครื่องราง ของขลังก็เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจที่ดีเช่นกัน

            “อ้อ...ปู่ฝากมาบอกอีกเรื่อง” มีนารีบบอกข้อความต่อน้องสาว

            “ว่าไง...” เมษาสงสัย

            “ปู่ฝากมาบอกว่า เรื่องที่เล่ามานั้นยังไม่หมด” มีนาเริ่มต้น

            เมษาเข้าใจชัด ปู่เล่าเรื่องราวมากมายใน mp3 แต่ยังเก็บงำบางเรื่องไว้ เหมือนไม่พร้อมเปิดเผย

            “แต่ขอให้รู้ไว้ว่าปู่ไม่ได้จงใจปิดบัง มันแค่ยังไม่ถึงเวลา...อีกอย่างเจตนาที่ปู่เล่าเรื่องเหล่านั้นก็เพื่อให้แกรู้ทันศัตรู จะได้คอยระวัง ไม่ประมาท จึงคิดว่า เท่าที่เล่าไปทั้งหมดนั้น น่าจะช่วยให้แกรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจไม่อยู่ในแผนการได้แบบไม่ลำบาก...”

            เมษารับทราบ เข้าใจ เท่าที่ได้ฟังเรื่องราวในอดีตบางส่วน ทำให้หล่อนรู้ว่าปู่มีความลำบากใจที่จะเปิดเผย จึงปิดบังมันไว้จนถึงทุกวันนี้

            ขนาดจำเป็นต้องบอกเล่าออกมาบ้างเพื่อให้หล่อนระวังตัว ปู่คงคาก็ยังมีความแสลงใจอยู่ในน้ำเสียง

            สำหรับเมษา...ต่อให้ยังไม่รู้จุดแตกหักของสองผู้เฒ่า แต่เรื่องราวที่ได้ยิน ก็เพียงพอให้เตรียมรับมือฝ่ายตรงข้ามได้ มั่นใจตนเองว่าจะมีสติ ไม่พลาดพลั้งอย่างคนรุ่นก่อนเคยประสบมา




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คณะเยี่ยมชมศิวาดลเคลื่อนขบวนจากเรือนครัวมาตัวคฤหาสน์ในเวลาเย็น

            แพรพลอยปล่อยให้ผู้คนเดินดูคฤหาสน์จากภายนอก ได้ถ่ายรูป บันทึกเทปโทรทัศน์ตามสะดวก ก่อนแนะนำให้เข้าไปดูตามซุ้มต่าง ๆ ซึ่งมีของชำร่วยไว้แจกแขกผู้มีเกียรติ พร้อมชมภาพถ่ายศิวาดล จากฝีมือช่างภาพระดับประเทศ

            ครู่ใหญ่ พอคณะได้ถ่ายรูป บันทึกเทปโทรทัศน์ด้านนอกคฤหาสน์จนพอใจแล้ว นายหญิงของบ้านก็เชิญชวนทุกคนเข้าไปข้างใน

            จุดแรกที่ทุกคนต้องผ่านคือห้องโถงใหญ่ศิวาดล

            สถานที่นี้เคยเป็นที่พบศพคุณโสภี พยาบาลส่วนตัวเจ้าของบ้าน แต่มีน้อยคนรู้เรื่องนี้ คุณแพรพลอยจึงปรับเปลี่ยนห้องโถงใหญ่นี้เสียใหม่ ไม่ให้เหลือเค้าร่องรอยเดิมที่เคยเป็นสถานที่รับรองแขกอีกต่อไป

            โถงใหญ่กว้างถูกจัดวางด้วยภาพเขียนอันงดงาม บนขาหยั่งที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ดูเหมือนเป็นเครื่องประดับชิ้นหนึ่งในห้อง

            ภาพเขียนเหล่านั้นมีทั้งภาพวิว สถานที่อันสวยงาม ภาพบุคคลที่มีลักษณะพิเศษ ศิลปินผู้รังสรรค์ภาพวาดเหล่านี้มีสไตล์เฉพาะตัวในการนำเสนอมุมมองของตน สามารถดึงเสน่ห์ชวนหลงใหลออกมาจากทุกภาพที่ตนเองสรรค์สร้างออกมาได้

            แขกผู้เยี่ยมชมรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเดินอยู่ในอาร์ตแกลลอรี่ของศิลปินดัง ภาพวาดส่วนใหญ่ไม่ได้แขวนบนผนัง แต่ดูกลมกลืนกับผนังและพื้นห้องราวกับเป็นงานศิลปะชิ้นเดียวกัน

            เมื่อมองดูตรงลายเซ็นมุมภาพ จะพบชื่อของศิลปิน...ดลดารา

            “ภาพวาดทั้งหมดนี่เป็นของคุณดลดารานี่คะ” คนที่รู้จักงานศิลปะล้วนเอ่ยปากอุทานอย่างแปลกใจแกมยินดี

            “จริงด้วย ดูสิไม่ได้เห็นผลงานของเธอมานานแล้ว”

            “ใช่ค่ะ ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของคุณดลดารา” แพรพลอยตอบคำถามทุกคน

            “คุณพลอยคิดยังไงคะ ถึงนำผลงานของเธอมาโชว์ในงานนี้”

            “พลอยเสียดายค่ะ ทุกภาพที่นำมาโชว์ ล้วนเป็นผลงานชิ้นเอก ที่สวยงาม มีคุณค่า จนพลอยรู้สึกว่ามันควรนำมาอวดต่อผู้คน ไม่สมควรเก็บพวกมันไว้ในห้องใต้หลังคา...”

            “แล้วคุณพลอยไม่ตะขิดตะขวงใจเลยหรือคะ เพราะยังไงเสียคุณดลดาราก็เคยเป็นที่หนึ่งของที่นี่มาก่อน” ผู้ถามสนิทสนมกับแพรพลอยมากพอ ที่จะตั้งคำถามแบบไม่เกรงใจเช่นนี้

            “ไม่หรอกค่ะคุณพี่...สำหรับในวันงานเปิดรั้วศิวาดลแบบนี้ พลอยอยากให้เกียรติกับคุณดลดารามากที่สุด ไม่ใช่เพราะเธอเป็นนายหญิงคนแรกของที่นี่ แต่เธอเป็นผู้ออกแบบสร้างสรรค์ศิวาดลทั้งหมด จนมันงดงามขนาดนี้”

            คำตอบที่ได้สร้างความรู้สึกชื่นชมแก่ผู้ฟังทุกคน ไม่มีใครเคยคิดว่านายหญิงคนปัจจุบันจะมีความใจกว้างขนาดนี้

            ผู้ร่วมงานเดินชมรูปวาดเรื่อย ๆ จนถึงรูปสุดท้าย ซึ่งเป็นรูปเดียวที่แขวนบนผนัง สูงเด่นกว่ารูปอื่น

            รูปนั้นเป็นภาพเขียนสีน้ำมันของหญิงสาวสวย นัยน์ตาดุทรงอำนาจ รอยแย้มบนริมฝีปากสร้างเสน่ห์อย่างลึกลับชวนมอง น่าค้นหาต่อสายตาทุกผู้คน

            “อุ๊ยตาย...นี่รูปคุณดลดารา สวยมากจริง ๆ ไม่เคยเห็นภาพนี้แสดงโชว์ที่ไหนมาก่อนเลย” เสียงอุทานจากนักชมศิลปะดังขึ้น

            “ค่ะ...รูปนี้เป็นภาพเขียนสีน้ำมันรูปสุดท้าย ที่คุณดลดาราวาดไว้ก่อนเสียชีวิต” แพรพลอยอธิบาย

            ทุกคนต่างกรูกันเข้ามาดู ‘ผลงานชิ้นสุดท้าย’ ของศิลปินอดีตนายหญิงศิวาดล

            นัยน์ตาดลดาราในรูป แลสบกับทุกคนอย่างไม่เกรง รอยยิ้มแปลกบนใบหน้าคล้ายจะท้าทายทุกสายตา และมีความลับบางอย่างซุกซ่อนเอาไว้

            “สวยมากจริง ๆ ค่ะ ดูเหมือนคุณดลดาราเธอจะมีชีวิต หลุดออกมาจากภาพได้จริง ๆ” เสียงหนึ่งเอ่ยวิจารณ์

            “จริงค่ะ พลอยเห็นด้วย...เพราะได้เห็นภาพนี้นี่แหละ พลอยถึงคิดว่า งานเปิดรั้วศิวาดลวันนี้ ควรจะต้องนำผลงานชิ้นเอกของคุณดลดารามาขึ้นโชว์ ให้ทุกคนได้ชื่นชมผลงานของเธอ”

            “ดีแล้วค่ะ...ผลงานดี ๆ แบบนี้เก็บไว้มันน่าเสียดาย ดิฉันเป็นแฟนผลงานคุณดลดารามาตลอด ได้มาเห็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเธอแบบนี้แล้ว รู้สึกชื่นใจยังไงบอกไม่ถูก”

            แพรพลอยยิ้มแปลก

            “ค่ะ...ที่จริงผลงานชิ้นล้ำค่าที่สุดของคุณดลดาราไม่ใช่แค่ภาพเขียนเหล่านี้ แต่เป็น ‘ศิวาดล’ ทั้งหมด ทุกคนคงได้เห็นกับตาแล้วว่า ทุกพื้นที่ในศิวาดล งดงามขนาดไหน ทั้งบริเวณภายนอก ภายใน...ศิวาดลจึงเป็นจิตวิญญาณของคุณดลดารา เป็นการรวมผลงานชั้นยอดตลอดชีวิตของเธอเอาไว้...ซึ่งพลอยคงต้องยอมรับจริง ๆ ว่า...นายหญิงของศิวาดล คงมีแค่คนเดียวไม่มีใครแทนที่ได้...คือคุณดลดารา!”

            เสียงชื่นชมจากแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายดังขึ้น แพรพลอยค้อมศีรษะยิ้มรับอย่างถ่อมตัว ก่อนพาทุกคนเดินชมยังห้องอื่น ๆ ในคฤหาสน์ต่อไป



            เมื่อขบวนเดินผ่านหน้าห้องจัดเลี้ยง พบขาหยั่งรูปตั้งไว้เปล่า ๆ เหมือนเป็นเครื่องประดับหน้าห้องมากกว่าโชว์ภาพเขียนใด จึงออกปากถามอย่างแปลกใจ

            “เอ๋...ตรงนี้จะวางรูปอะไรหรือคะ”

            “อ๋อ...” แพรพลอยมองขาหยั่งรูป ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ความลับค่ะ...รอไว้เป็นเซอร์ไพรส์”

            หลายคนตื่นเต้นสนใจ แพรพลอยอมยิ้ม ปิดปากแกล้งไม่ยอมเปิดเผย...

            ที่มุมห้อง ไม่ไกลจากคณะเยี่ยมชมนัก แม่บ้านเข็มทองกำลังยืนสงบเสงี่ยม กิริยาอ่อนน้อมต่อแขกทุกคน มีเพียงแววตาที่ทอประกายประหลาด ยามแพรพลอยพูดถึงเซอร์ไพรส์ที่จะเกิดในคืนนี้

            งานเลี้ยงสำคัญ...จะเกิดเรื่องน่าประหลาดใจใดบ้าง







บทที่ ๑๓



            คืนที่พลังมืดถดถอย สามารถปิดผนึกอาคมได้ง่าย...

            ...จริงหรือ?...

            รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

            จอมเวทหนุ่มสาวปลอมตัวเข้ามาในศิวาดล อาจทำให้ทุกคนเชื่อถือ ไม่สงสัย

            ความเป็นจริง มันไม่ใช่อย่างนั้น

            ใครบางคนรอคอยการกลับมาของสองตาแก่นั่นนานแล้ว จึงรู้ทันทีเมื่อทายาทพวกมันย่างกรายถึงศิวาดล

            การกระทำต่าง ๆ ของสองหนุ่มสาวล้วนอยู่ในสายตา พวกเขาได้รู้ความลับเท่าที่อีกฝ่ายต้องการให้รู้ ดำเนินการตามแผนเท่าที่ยินยอมให้กระทำได้

            ใครคนนั้นรู้ความเคลื่อนไหวทายาทสองผู้เฒ่า แต่หนุ่มสาวนั่นกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฝ่ายตรงข้ามเลย

            ระหว่างบุคคลที่รู้เขารู้เรากระจ่าง กับสองคนที่รู้เรา แต่ไม่รู้เขา...ต่อให้คืนนี้พลังมืดถดถอยจริง ก็ใช่ว่าแผนการจะสำเร็จง่ายดายอย่างที่คิด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คณะที่มาเยี่ยมชมศิวาดลตั้งแต่บ่าย ต่างเข้าพักในห้องรับรองแขกชั้นสองเพื่อพักผ่อน อาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เตรียมตัวลงมาร่วมงานเลี้ยงตอนค่ำอย่างสะดวกสบาย ไม่เร่งร้อน

            หลังจากขับรถส่งคณะเยี่ยมชมตรงหน้าคฤหาสน์เรียบร้อย พิจิกก็นำรถมาเก็บยังโรงรถ ไปรับประทานอาหารเย็นก่อนเวลา เพื่อจะได้รีบอาบน้ำ แต่งตัวมารับหน้าที่ช่วยเสิร์ฟเครื่องดื่ม อาหารในงานเลี้ยงตอนค่ำเช่นกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP