วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๑๙



cover siwadol



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๒



            ขิงแก่อย่างไรก็ยังมีความเผ็ดร้อน ประมาทไม่ได้

            ตอนเป็นหนุ่มมีวิธีต่อสู้แบบคนหนุ่ม ยามแก่ชรา ย่อมมีตบะอาคมแกร่งกล้า วิชาสั่งสมมาตลอดชีวิตอย่างที่ผู้เยาว์วัยฝึกฝนไม่ถึง

            ชั่วขณะฝ่ายตรงข้ามส่งพลังกล้าแข็ง รุนแรงครอบคลุม ปู่เผด็จ ปู่คงคาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย หันกลับท่วงท่าหนักแน่น ทรงพลัง จิตมั่นคง นัยน์ตาทอประกายเจิดจ้า ริมฝีปากสาธยายมนตร์ รอบกายบังเกิดม่านอาคมบางเบาต่อต้านพลังปิศาจ

            ครืด ครืด ครืดดดด เสียงโซ่ลั่นกราว เหล่าปิศาจคนโบราณเดินลากขาเข้ามาห้อมล้อมสองผู้เฒ่าเป็นชั้น ๆ วงล้อมบีบแคบกดดันจนปะทะถึงม่านอาคม

            ปู่คงคาขยับขาก้าวไปทางซ้ายสามสี่ก้าว ปู่เผด็จก้าวไปทางขวาในระยะเท่ากัน ทั้งสองตั้งหลักมั่นยืนนิ่ง ม่านอาคมแผ่ขยายบริเวณกว้างกว่าเดิม บังเกิดพลังแข็งแกร่ง แน่นหนา เปล่งอานุภาพผลักดันเหล่าปิศาจให้กระเด็นไกล

            ลมกรรโชกแรง ฝุ่นทรายซัดซ่าเป็นพายุปลิวปะทะ หวังพัดสองชราให้หลุดลอย ทว่าทั้งคู่ยืนนิ่งไม่หวั่นไหว นัยน์ตายิ่งเจิดจ้า ปลายเท้าจิกพื้น พร้อมเปล่งอาคมสยบ

            ...ปัง...เสียงระเบิดดังขึ้น เหล่าปิศาจเลือนหาย พายุทรายสงบ สายลมผะแผ่ว อณูมนตราปิศาจยังกระจายทั่วบรรยากาศ

            สองผู้เฒ่าต่างรู้ ปิศาจร้ายตัวจริงยังไม่แสดงตัว ปล่อยมาเพียงทัพหน้า แค่ระลอกแรกพลังมนตรา มันยังมีหมากต่อมาที่หวังปลิดชีวิต ไม่ยอมให้พวกตนรอดจากอาณาเขตของมัน

            ปู่คงคาสัมผัสถึงแรงอาฆาตแค้น ที่ถูกกักขังนานเกือบครึ่งศตวรรษ ความหวังก่อนหลุดจากผนึกอาคมของมันคือการล้างแค้น

            ปู่เผด็จเข้าใจลึกซึ้งยิ่งกว่า นอกจากล้างแค้นแล้ว...มันยังรู้ มีแต่สองผู้เฒ่าเช่นพวกตน สามารถกักขังมันได้อีกครั้ง หากสิ้นสองชราแล้ว ยากมีใครสยบมันได้อีก

            พลังร้ายระลอกสองตามมาแล้ว

            คราวนี้ปิศาจร้ายเปลี่ยนวิธีจู่โจม ไม่ใช่พลังดาด ๆ แบบเดิม มันส่งพลังมืดเป็นกระแสตรงเข้มข้น เข้ามาครอบงำความคิด สร้างนิมิตหลอนแก่ศัตรู

            สองปู่รับรู้ถึงพลังมืดภายนอกโถมเข้าจู่โจมอย่างบ้าคลั่ง รุนแรง ไม่ยอมให้ตั้งตัว หวังแทรกซึมเข้ามาทำร้ายจิตใต้สำนึก ทำลายอาคมภายในให้พินาศ

            ปู่คงคาหลับตาเห็นนิมิตมารอันร้ายกาจ รอบกายหนาแน่นด้วยกองทัพอสูรกาย ขี่ม้าศึกตัวใหญ่สีดำสนิท ห้อตะบึงดาหน้ามาอย่างเกรี้ยวกราด เสียงคึ่กคึ่กคึ่กดังสนั่น แผ่นดินสะเทือนลั่น

            ปู่เผด็จหลับตาเห็นนิมิตปิศาจร่างยักษ์ ตัวดำสนิทสูงขนาดตึกสามชั้นหลายร้อยหลายพันตนต่างชูหอกดาบแหลนหลาวอันมหึมา วิ่งกรูเข้ามาหวังทิ่มแทงทำร้ายให้แตกยับ

            สองนิมิต สองสถานการณ์ หากพลาดพลั้งพ่ายแพ้อาคมภายในจะถูกทำลาย พลังร้ายจะแทรกซึมถึงขั้นปลิดชีวิตในเวลาอันสั้น

            ปู่คงคาตั้งสมาธิ กำหนดนิมิตให้รอบกายเกิดห้วงน้ำอันเชี่ยวกราก ขวางหน้ากองทัพอสูรกาย พลังน้ำเอ่อล้นฝั่งรวดเร็ว ซัดสาดพัดพาทั้งกองทัพให้ระเนระนาด กระจัดกระจายแตกพ่าย ถูกกระแสวารีดูดกลืน จมดิ่งสู่กลางห้วงน้ำจนหมดสิ้น

            ปู่เผด็จกำหนดนิมิตให้แผ่นดินตรงหน้าปริแตก แยกออกเป็นทางยาวลึกมองไม่เห็นก้น เสียงครืนครืนดังสนั่นติดต่อกัน เหล่าปิศาจร่างยักษ์ล้วนซัดเซ ยืนไม่ติดที่ ร่วงหล่นตามกัน ก่อนแผ่นดินแยกออกกว้างกลืนร่างมหึมาของพวกมันทั้งหมดจมหายในชั่วพริบตา ก่อนเลื่อนปิดสนิทราวกับไม่เคยเกิดเรื่องใดมาก่อน

            เสียงกระหึ่มครืนครืนของแผ่นดินเลื่อน สอดประสานกับเสียงซัดซ่าของสายน้ำอันเชี่ยวกราก แม้จะเป็นคนละนิมิต คนละคน คนละสถานที่ในห้วงความคิด พลังจิตทั้งสองกลับรวมเป็นหนึ่งบังเกิดขุมกำลังมหาศาล กลายเป็นพลังจู่โจม ตอบโต้พลังร้ายของปิศาจในเงาอย่างหนักหน่วง สาสม

            สองผู้เฒ่าลืมตาในเวลาไล่เลี่ยกัน สงครามในนิมิตเลือนหาย พลังมืดอันเข้มข้นถอยกลับไม่เป็นขบวน

            สถานที่รอบกายกลับคืนสู่สภาพเดิม ไม่ต่างจากแรกมาถึง บรรยากาศอึมครึม ราวกับตกอยู่ในแดนสนธยาเจือจาง มองเห็นที่ดินกว้างที่กำลังก่อสร้างคฤหาสน์ใหญ่

            สองปู่ขยับกาย เดินกลับมาหากัน มือเอื้อมเตรียมตบไหล่ยินดีในชัยชนะ นัยน์ตาหรี่เรียวจ้องกันและกันก่อนชะงักงัน ประกายเข้มทอวูบ กระแสพลังรวมตัว เปล่งวาจาลั่น

            “ไอ้เผด็จ!”

            “ไอ้เล้ง!”

            ...เปรียะ...เปรียะ...เปรียะ...เสียงเสมือนกระจกบานใหญ่ปริร้าวค่อยแตกออกช้า ๆ จนถึงที่สุด...

            ...เพล้ง!... เสียงดังสนั่นอื้ออึง อากาศรอบกายสะเทือนไหววูบ

            ชายชราทั้งสองระบายลมหายใจแผ่วเบา ปู่เผด็จ ปู่คงคายังยืนอยู่ในจุดเดิม ห่างกันราวหกเจ็ดก้าว...ภาพที่เห็นเมื่อครู่เป็นแค่มายาลวงของปิศาจร้าย หากผู้เฒ่าไหวตัวไม่ทัน ไม่เปล่งวาจาออกมาสยบ บัดนี้คงตกอยู่ใต้อำนาจมนตร์ดำของมันแล้ว

            คราวนี้บรรยากาศกลับมาสู่ความปกติอย่างแท้จริง สัมผัสได้ถึงแสงแดดแท้ ๆ มากระทบร่าง สายลมอ่อนไหวโพยพัดให้ความชุ่มเย็น

            สองผู้เฒ่าพยักหน้าให้กัน มองไปยังทางออก ก่อนเดินช้า ๆ จนมาเคียงคู่สู่เส้นทางไปที่จอดรถ รู้สึกร่างกายเหนื่อยล้า ขนาดเมื่อครู่ยืนเฉย แทบไม่ขยับตัวอะไร พลังภายในตนกลับถดถอยลงมากมาย

            “เป็นไง แค่นี้เข่าอ่อนเชียวนะมึง” ปู่เผด็จหยอกเพื่อนรัก

            “พูดถึงตัวเองหรือไงวะไอ้เผด็จ” อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้

            “กูยังมีแรงรับมือไอ้ผีร้ายนั้นได้อยู่”

            “ให้มันแน่นะมึง คราวนี้ไม่รู้มันจะมาไม้ไหน” คนเป็นเพื่อนเตือน

            “จะมาไม้ไหน มีหรือกูจะกลัว” ปู่เผด็จยืนยัน

            “เออ...ไอ้แก่...ไอ้คนเก่ง” ปู่คงคาประชด

            สองผู้เฒ่าเดินหยอกล้อ ใช้เวลาไม่นาน ก็มองเห็นรถของตนจอดรออยู่เบื้องหน้า ใจคลายลง นึกวางแผนจะกลับมาจัดการปิศาจร้ายให้ราบคาบอีกครั้ง

            เดินมาถึงรถ ชะงักเท้า สังเกตเห็นความผิดปกติ ‘นายหลง’ คนขับที่ถูกสั่งให้เฝ้ารถหายตัวไปเสียแล้ว

            สัมผัสพิเศษกระตุ้นเตือน สังหรณ์ร้ายตะโกนร้อง...กับดักมนตรา พลังปิศาจเมื่อครู่เป็นแค่การหยั่งเชิง ฝ่ายตรงข้ามลวงพวกตนมาถึงเขตแดนอำนาจของมันได้แล้ว มีหรือจะปล่อยให้กลับไปตั้งหลัก วางแผนจัดการมันอย่างง่ายดาย

            มันรู้ว่า...หากปล่อยสองผู้เฒ่ากลับไปเตรียมตัว เตรียมเครื่องมือออกศึกเต็มร้อย รับรองมันต้องกลับไปอยู่ในผนึกอาคมอย่างเดิมแน่

            ...โอกาสดีเช่นนี้ไม่มีอีกแล้ว...

            นายหลงไม่อยู่ในรถ...แต่คงไม่หายไปไหนไกล นี่เป็นหมากสำคัญ เตรียมไว้จัดการสองผู้เฒ่าอย่างดี

            ปู่เผด็จ ปู่คงคาหันหลังชนกัน แล้วขยับตัวกวาดตาโดยรอบ มองหาผู้จู่โจมจากทุกด้าน ไม่ยอมเปิดโอกาสให้มันบุกเข้ามาทำร้ายโดยไม่รู้ตัว

            ...พบแล้ว...

            นายหลงโผล่มาจากแนวต้นไม้ข้างทางด้านปู่คงคา ในมือกำไม้หน้าสามกระชับแน่น ย่างสามขุมมาอย่างประสงค์ร้าย นัยน์ตาวาวโรจน์ ดุดัน เปล่งแรงอาฆาตหมายเอาชีวิต ริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างเป็นต่อ คอเอียงขยับแข็ง ๆ ดูผิดปกติ

            “มันอยู่ทางกูนี่” ปู่คงคาร้องบอกเพื่อน

            ปู่เผด็จหันกลับมายืนเคียงข้างเพื่อนรัก สบตากันอย่างเข้าใจ ก่อนขยับถอยห่างแยกออกมา ไม่ยอมยืนเป็นเป้าหมายเดียวให้ปิศาจร้ายจู่โจมง่าย ๆ

            สภาพของนายหลงตอนนี้บอกชัดเจน...โดนปิศาจควบคุม ไม่เป็นตัวของตัวเอง

            คนหนุ่มแข็งแรง ภายใต้บงการปิศาจ พร้อมด้วยไม้หน้าสาม กับสองตาแก่อายุเจ็ดสิบ มือเปล่าไม่มีอาวุธสักชิ้น ดูแล้วเห็นความแตกต่างชัดเจน

            ทว่า...เสือแก่ยังมีลวดลาย สิงห์เฒ่าเป็นบุคคลที่ใครประมาทไม่ได้

            ไม้แรกเลือกฟาดผัวะมาทางปู่เผด็จ หวังให้หมอบในครั้งเดียว ผู้เฒ่าก้าวหลบอย่างถูกจังหวะ พ้นหวุดหวิด ถึงไม่คล่องแคล่วประเปรียวเหมือนวัยฉกรรจ์ แต่ยังมีชั้นเชิงชนิดคนหนุ่มดูถูกไม่ได้

            ปู่คงคาเล็งท่อนไม้ขนาดเหมาะมือสองท่อนไว้แต่แรกแล้ว พอนายหลงบุกมาทางปู่เผด็จ จึงรีบก้าวไปคว้าไม้ทั้งสองท่อนไว้ในมือ

            “ไอ้เผด็จ” เสียงตะโกนบอก ก่อนโยนไม้ท่อนหนึ่งให้อย่างถูกจังหวะ

            ผู้เฒ่ารับไม้อย่างแม่นยำ ฝ่ายตรงข้ามฟาดไม้สองตามมา จึงสกัดไว้ทันท่วงที

            ...ปึก...ผัวะ...ไม้สามไม้สี่ตามติด ๆ ปู่เผด็จรับมืออย่างสุขุม ถอยห่างหลบเลี่ยง ลดทอนแรงกระแทกจากไม้ฝ่ายตรงข้ามแบบมีชั้นเชิง

            ...ผัวะ...ไม้จากปู่คงคาฟาดกลางหลังนายหลงถนัดถนี่ ส่งผลให้มันหันขวับ เปลี่ยนเป้าหมายทันที

            ปู่เผด็จถอยมาตั้งหลัก สูดลมหายใจลึกฟื้นฟูเรี่ยวแรง ปล่อยให้เพื่อนรับมือชั่วคราว จากนั้นค่อยเข้าไปช่วยเสริม บุกนายหลงอีกด้านเพื่อดึงจุดสนใจให้ไขว้เขว

            นายหลงกระหน่ำสองผู้เฒ่าทางซ้ายทีขวาที หวังใช้เรี่ยวแรงกำลังที่มากกว่าจัดการในเวลาอันสั้น หารู้ไม่ทั้งคู่เป็นนักเลงเก่า ชั้นเชิงการต่อสู้ไม่เป็นรองใคร ต่อให้แก่ชราขนาดนี้ยังไม่ทิ้งลาย ใช้สองแรงรับมือประสานกันอย่างกลมกลืน

            ขนาดนายหลงมีเรี่ยวแรง พลังเสริมจากปิศาจควบคุม ยังยากจัดการชายแก่ทั้งสองได้ทันใจ หนำซ้ำตนเองยังตกเป็นเบี้ยล่าง โดนปู่คงคา ปู่เผด็จฟาดเอาหลายไม้ ที่ยังทรงตัวอยู่ได้ก็ด้วยพลังภายนอกเข้ามาหนุนส่ง

            ปู่คงคาชักเหงื่อตก เห็นว่าตนสามารถจัดการสมุนปิศาจได้หลายไม้ แต่ดูมันไม่กระเทือนสักนิด จึงลอบส่งสายตาให้เพื่อนสนิท สื่อความหมายรับรู้กันได้โดยไม่ต้องเปล่งวาจา

            ปู่เผด็จเข้าใจความหมายในสายตา กระบวนการต่อสู้เปลี่ยนไป สองผู้เฒ่าใช้วิธีการตีโฉบฉวย ไม่ยอมเปลืองแรงทุ่มเท ใช้จังหวะหลบหลีกก้าวเดินเป็นวงกลมล้อมร่างนายหลงช้า ๆ จากนั้นตั้งสมาธิกำหนดบทสวดอาคมขึ้นมาพร้อมกัน

            เสียงสวดแผ่วเบา ทว่ายามที่ไม้ในมือฟาดโดนคู่ต่อสู้ บังเกิดผลให้ผู้ถูกปิศาจควบคุมสะท้านเยือกเสมือนโดนแส้หวายชุบน้ำเกลือฟาดโบย

            ผัวะ...ผัวะ...ผัวะ...สามไม้สุดท้ายจากสองผู้เฒ่าฟาดมาพร้อมอาคมจบบท ส่งผลให้พลังควบคุมนายหลงหลุดลอย ร่างทรุดฮวบ ตาเหลือกค้าง หมดสติ

            ปู่เผด็จ ปู่คงคายืนหอบหายใจเหนื่อยหนัก ไม่คิดว่าลูกน้องตนจะโดนปิศาจสะกดใช้งานแบบนี้

            “เอาไงวะ ไอ้หลงมันหมดสภาพแบบนี้ ใครจะขับรถ” ปู่คงคาถาม

            “กูขับก็ได้” ปู่เผด็จบอก

            “งั้นมาช่วยกันลากมันขึ้นรถที”

            สองผู้เฒ่าไม่ปล่อยให้ลูกน้องนอนหมดสติที่นี่ ต่างพยายามลากคนขับหนุ่ม ตัวโตขึ้นรถแบบทุลักทุเล พอสำเร็จแทบหมดแรง...ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ต้องทำยังไม่จบแค่นี้

            ปู่คงคาสบตาปู่เผด็จแล้วพยักเพยิด มองทางนายหลงบนเบาะหลัง

            “เออ...” ปู่เผด็จรู้ว่าต้องทำอะไร

            ปลายนิ้วชายชราแตะที่หน้าผากนายหลงเบา ๆ ปู่คงคาสวดสาธยายมนตร์ขึ้นมา ปู่เผด็จเพ่งสมาธิยังปลายนิ้วตน เปล่งเสียงสวดประสานกระหึ่ม บังเกิดพลังงานควบแน่นแผ่ลงสู่หน้าผาก ซ่านเข้าไปในร่าง ขับไล่อำนาจสะกดปิศาจที่ค้างคา ไม่เหลือให้ฝ่ายตรงข้ามใช้มันเป็นเชื้อพลังมืด มาเชื่อมต่อใช้งานนายหลงได้อีก

            ปู่เผด็จถอนปลายนิ้ว งานสำเร็จ รู้ว่าคนขับรถต้องพักผ่อนอีกครู่ใหญ่ จึงปล่อยให้นอนพักตรงเบาะด้านหลัง

            ส่วนตนเองหันไปมองเพื่อน เอ่ยปากปรึกษา

            “เอาไงต่อดีวะ” เห็นปิศาจร้ายมีฤทธิ์ขนาดนี้คงประมาทไม่ได้

            “พวกมันน่าจะอยู่ในแถวนี้แหละ” ปู่คงคารู้สึกได้

            “วันนี้เราน่าจะยังปิดผนึกอาคมไม่ได้...ใช่ไหม...” ปู่เผด็จพูด หากแววตาสื่อถึงกันบอกแผนการบางอย่าง

            “เออ เอาเลย!” เพื่อนสนิทเห็นด้วยโดยอีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยปากกล่าววาจา

            สองผู้เฒ่าหันหน้าทางที่ดินกว้าง ส่งเสียงเปล่งอาคมด้วยจิตทรงสมาธิมั่น บทสวดสาธยายยาวกว่าปกติ พลังจิตสองสายรวมเป็นหนึ่งบังเกิดเป็นกำแพงอาคมที่มองไม่เห็น เข้าโอบล้อมที่ดินกว้างนั้นอย่างแข็งแรงเป็นชั้น ๆ

            ภายในนิมิตผู้ทรงเวททั้งสองแว่วเสียงกรีดร้องโหยหวนจากปิศาจร้าย เสียงโซ่ตรวนลากครืดครืด จากดวงวิญญาณอันน่าสงสารที่ถูกพันธนาการ

            เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ มนตราถูกสวดจบครบเก้าคาบ ก่อเป็นกำแพงอาคมเก้าชั้นยากที่ปิศาจร้ายจะหลุดรอดออกมาทำร้ายพวกตนได้อีก

            วันนี้พวกเขาไม่อาจปิดผนึกอาคม แต่ยังสามารถก่อกำแพงมนตราล้อมรอบ ไม่ให้ปิศาจหลุดรอดตามไปทำร้ายตนและครอบครัวได้อีก

            หากเปลี่ยนจากนายหลง เป็นลูกหลานตนโดนปิศาจควบคุม ใช้งาน...คงยากที่จะตัดใจใช้กำลังรุนแรง

            ปู่เผด็จคลายใจเปลาะหนึ่ง เตรียมขึ้นรถประจำที่บนเบาะคนขับ

            ปู่คงคาระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ เดินอ้อมรถไปทางฝั่งเบาะข้าง กำลังจะก้าวขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับ

            ...ทันใดนั้น...

            “เฮียคง...”เสียงเรียกคุ้นหู

            ชายชราหันขวับ พบสตรีวัยหกสิบเศษยืนอยู่ไม่ห่าง

            “ประ...” เผลอหลุดปากคำแรกแล้วค่อยรู้สึกตัว รีบชะงักวาจา...หญิงชราตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาเหมือน ‘ประนอม’ เมียรักของตนไม่ผิดเพี้ยน

            แต่...ภรรยาปู่คงคาไม่มีทางมาที่นี่แน่!

            ...ปู่คงคาพลาดแล้ว...

            ปู่เผด็จยังไม่ทันขึ้นรถ หูแว่วเสียงร้องเรียกและขานรับชัดเจนในหู ตกใจชั่ววูบก่อนได้สติ หันทางต้นเสียง ก่อนตบหลังคารถเสียงดัง...ปัง...ใหญ่ พร้อมกับตวาดเปล่งอาคมลับ...มนตราพิเศษในสำนักครูแกลง เพื่อใช้หยุด ‘ของ’ มนตร์ดำร้ายกาจที่ส่งมาจากผู้มีอาคมซึ่งตนไม่รู้จัก

            ...ไม่ทันแล้ว...

            ‘ของ’ ที่ส่ง พบช่องทาง จึงจู่โจมทันทีที่ปู่คงคาหลุดวาจาแรก

            การส่ง ‘ของ’ เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ภูตผี ปิศาจ วิญญาณร้ายกระทำได้ ผู้มีความสามารถเช่นนั้น ต้องเป็นมนุษย์ทรงเวท มีอาคมกล้า วิชาร้ายกาจไม่แพ้พวกตน

            มันเป็น ‘ของ’ ที่คล้ายส่งมาแบบลอยลม แต่มีเป้าหมายชัดเจน ควบคุมโดยผู้ทรงเวทอันกล้าแกร่ง จึงมีอานุภาพร้ายกาจขนาดนี้

            สองผู้เฒ่าไม่เคยคาดคิด ขนาดก่อกำแพงอาคม กักขังปิศาจร้ายแล้ว พวกมันยังมีผู้ทรงเวทอยู่เบื้องหลัง คอยหาจังหวะทำร้ายโดยไม่ทันรู้ตัว

            มันเป็นความพลาดพลั้งที่ยากแก้ไขกลับคืน

            พลังมนตร์ดำจากผู้ทรงอาคมได้แทรกซึมเข้าร่างปู่คงคาเต็มที่ บังเกิดอาการสะดุ้งเยือก หนาวสั่นขึ้นมาฉับพลัน ทั้งร่างเสมือนโดนเข็มน้ำแข็งนับพันนับหมื่นชอนไชไปทั่ว

            การตบรถแล้วตวาดไล่ด้วยอาคม มนตราพิเศษ สามารถยับยั้งได้แค่ ป้องกันไม่ให้ ‘ของ’ ชิ้นที่ตามมาเข้าสู่ปู่เผด็จเท่านั้น แต่ไม่อาจช่วยเหลือยับยั้ง เหตุร้ายให้แก่ปู่คงคาได้เลย...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ปู่เผด็จหยุดเล่าเรื่องราวเพียงเท่านี้ พิจิกยังสงสัย ค้างคาใจ จึงเอ่ยปากถามทันที

            “หลังจากนั้นเป็นยังไงครับ...ปู่ถอนของให้ปู่เล้งได้หรือเปล่า”

            ปู่เผด็จส่งเสียงดังหึหึ

            “ถ้าถอนไม่ได้...ไอ้เล้งมันจะอยู่มาจนถึงทุกวันนี้เรอะ”

            พิจิกรู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น ปู่เผด็จถ่ายทอดวิชาอาคมของครูแกลงให้เขาจนหมด ทำให้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับพวกเล่นของ ปล่อยของ และวิชาที่ใช้ถอนอาคม ไสยดำเหล่านี้ชัดเจน หนำซ้ำยังเคยถอนของ ช่วยชีวิตคนมาแล้วสองสามครั้ง

            เท่าที่ฟังมา ปู่คงคาโดนของแบบไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นต่อให้ผู้เฒ่าเผลอหลุดปาก เปิดช่องออกมาชั่วขณะสั้น ๆ มนตราอาคมเฉพาะของครูแกลงย่อมหยุดยั้งมันได้แล้ว

            เมื่อโดนไสยดำแบบร้ายกาจ ไม่เหมือนใคร การถอนของต้องใช้ตบะอาคมไม่ธรรมดาเหมือนกัน อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูง ยากควบคุมได้

            “ปู่ใช้อาคมบทไหนถอนของนี้ครับ” พิจิกถาม

            “ใช้บท...” ปู่เผด็จตอบหลานชายแล้วรีบพูดต่อ “ถ้าแกระวังอย่างดี ‘ของ’ พวกนี้ จะทำอันตรายแกไม่ได้”

            “ปู่ถึงเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง เพื่อจะได้ไม่ประมาทใช่มั้ยครับ” พิจิกเข้าใจเจตนา

            “ถูกแล้ว”

            “ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ผมควรจำไว้คือศัตรูร้ายมีสองคน...อ้อ...ไม่ใช่...หนึ่งคนกับหนึ่งตน”

            “ใช่...แกต้องระวังตัวให้มาก ปิศาจร้ายตนนั้นฝีมือไม่ธรรมดา ต่อให้อยู่ในกำแพงอาคมก็ยังประมาทไม่ได้เลย แต่ที่ร้ายกว่ามันคือไอ้คนที่มีอาคมมืดนี่แหละ พอมันสองตัวร่วมมือกันแบบนั้น ยิ่งอันตรายมาก ปู่ถึงเรียกพวกมันรวมกันว่าผู้ร้ายในเงายังไง”

            พอฟังว่าทั้งผี ทั้งผู้มีอาคมมืดสามารถร่วมมือกันวางกับดักร้ายกาจเช่นนั้น พิจิกก็อดเสียวสันหลังไม่ได้

            “มิน่า...ปู่ถึงให้ผมตามหาตัวผู้ร้ายในเงาที่เป็นคนให้เจอก่อน...เรื่องปิดผนึกอาคมเป็นเรื่องรอง”

            ชายหนุ่มมองภาพรวมชัดเจน หากจับผู้ร้ายที่เป็นคนได้...เรื่องภูตผี ปิศาจไม่ยากเกินกำลัง

            ขณะนี้ ความสงสัยของเขาพุ่งไปที่แม่บ้านเข็มทอง...กำลังเอ่ยปากปรึกษากับผู้เฒ่า

            ปู่เผด็จกลับบอกเรื่องสำคัญอีกเรื่องมาก่อน

            “โอกาสที่พลังมืดถดถอยแบบนี้มันมีน้อยมาก...วันนั้นทั้งพลังปิศาจ อำนาจไสยดำล้วนอ่อนกำลังเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ แกถึงต้องรีบปิดผนึกอาคม จัดการไอ้ปิศาจร้ายในวันงานที่จะถึงเสียก่อน...ถ้าไอ้ผู้ร้ายที่เป็นคนมันโผล่ตามมาเล่นงานแก ปู่ก็จะคอยวางกับดัก ระวังให้อยู่ด้านนอกเหมือนกัน”

            พิจิกพยักหน้ารับ มองเห็นความสำเร็จไม่เกินกำลัง

            “วันนั้น ปู่จะมาที่นี่เหมือนกันหรือครับ” เอ่ยถามด้วยใจเป็นห่วง ปู่เผด็จอายุแปดสิบเศษแล้ว แข้งขาไม่ดี ไม่ควรออกหน้ารบรากับใคร

            “ไม่ต้องห่วงปู่หรอก” ผู้เฒ่ารู้ใจหลานชาย “ปู่วางแผนไว้รอบคอบแล้ว”

            จบคำพูด ปู่เผด็จก็เอ่ยปากอธิบายแผนการสนับสนุน ช่วยเหลือหลานชายในวันงานออกมา...

            พิจิกฟังแผนการของปู่แล้วคลายใจลงกว่าครึ่ง ผู้เฒ่าวางแผนรอบคอบ รัดกุมพอสมควร ที่เหลือก็อยู่ที่ตนเองจะมีความสามารถดำเนินตามแผนได้มากแค่ไหน...

            หลังฟังแผนการของปู่จบ...พิจิกเอ่ยปากถามเรื่องที่อยากรู้...

            “ผมมีเรื่องจะรายงานปู่เหมือนกันครับ...แล้วก็...มีเรื่องที่อยากให้ปู่บอกเล่า อธิบายเพิ่มด้วยครับ”

            ปู่เผด็จชะงัก...ไตร่ตรองว่าควรทำตามคำขอร้องหลานชายแค่ไหน...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เส้นดินสอจรดลากบนกระดาษแผ่นใหญ่ มือเรียวบางคล่องแคล่วตวัดวาดลายเส้น ให้รายละเอียดแสงเงาบนรูปภาพได้จนดูเหมือนจริง

            ริมฝีปากของ ‘เธอ’ ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มแปลก มือยังคงสร้างสรรค์ลายเส้นขาว-ดำด้วยความละเอียดประณีต

            สิ่งที่ปรากฏบนกระดาษแผ่นใหญ่ค่อยเห็นรูปร่าง รายละเอียดชัดเจน ภาพดูสวยงดงาม แม้ไม่ใช้สีสันอื่นใดมาแตะแต้มเพิ่มเติม

            ภาพสื่ออารมณ์ แสดงความรู้สึกออกมาชัดเจน หากใครทอดสายตามองมันย่อมรับรู้ได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

            ‘เธอ’ ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ

            ลายเส้นให้แสงเงาตรงรายละเอียดสุดท้ายครบถ้วน...ภาพเสร็จสมบูรณ์

            เธอจรดปลายดินสอตรงมุมภาพ ลากเส้นเขียนลายเซ็นทรงพลังสวยงาม อักษรแรกของลายเซ็นนั้น ดูละม้ายเลขหนึ่งไทยไม่ผิดเพี้ยน





(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP