ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ควรอธิษฐานขอเกิดเป็นเทวดาชั้นใด จึงจะมีอายุยืนยาวพอได้พบพระศรีอริยเมตไตรย



ถาม - หากเราปรารถนาที่จะได้พบพระศรีอริยเมตไตรย
ควรจะอธิษฐานจิตเพื่อขอเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมชั้นไหน
จึงจะมีอายุที่ยาวนานเพียงพอโดยไม่เคลื่อนไปยังภพอื่นเสียก่อนคะ


ก็จริงๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสนะ
ถ้าหากว่าปรารถนาอายุอันเป็นทิพย์
อายุ วรรณะ สุขะ พละ นะครับ ก็จะต้องเป็นผู้ที่บำเพ็ญทานไว้มาก

คือไม่ใช่ทำเล่นๆ แค่ครั้งสองครั้ง แต่ทำเล่นๆ เป็นงานอดิเรกไปจนตลอดชีวิต
น้ำจิตน้ำใจจะต้องมีประมาณเหมือนกับทะเลหรือมหาสมุทร
คือมีน้ำใจไม่มีที่สิ้นสุด ก็จะมีอายุอันเป็นทิพย์
แทบจะเหมือนกับลืมไปเลยนะว่าเคยเกิดเป็นเทวดาตั้งแต่เมื่อไหร่
นึกขึ้นมาเมื่อไหร่ก็รู้สึกว่าเกิดมานานแล้ว
อย่างนี้เรียกว่าเป็นผลของการที่มีน้ำจิตน้ำใจ
ครุวนาดุจดั่งทะเลหรือมหาสมุทรนะครับ



ถ้าในแง่ของความยาวนานจริงๆ นะ
นอกจากเรื่องของน้ำจิตน้ำใจแล้ว จะต้องมีเรื่องความสะอาดของใจด้วย
ถ้าหากว่าตั้งใจรักษาศีลแล้วสามารถรักษาได้ตลอดชีวิตที่เหลือนะครับ
ณ เวลาที่พบพระพุทธศาสนาแล้ว มีศรัทธาอันแก่กล้าแล้ว
เข้าใจแล้ว เชื่อแล้วว่ากรรมมีจริง วิบากมีจริงนะ
กรรมมีจริงตรงไหน ตรงเจตนาที่เราตัดสินใจ
เราตั้งใจทำดีหรือทำชั่ว ตรงนั้นเรียกว่าเป็นกรรม

ส่วนผลของกรรมก็คือสิ่งที่จะเผล็ดผลเป็นชะตาชีวิต
เป็นรูปร่างหน้าตา เป็นตระกูลที่เข้าไปสู่
หรือสภาพแวดล้อมใดๆ ก็แล้วแต่ที่ปรุงแต่งชีวิตให้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
มีความประณีตหรือมีความหยาบนะครับ อันนั้นเป็นผลของกรรม
ผลของกรรมเนี่ยไม่ใช่แค่ว่าเขียนหนังสือแล้วมีตัวอักษรปรากฏอยู่
หรือว่าเราพูดอะไรไป แล้วกระทบหูคน เกิดผลอะไรขึ้นมา ไม่ใช่แบบนั้นนะ
แต่ผลของกรรมเนี่ยมันเป็นสิ่งลึกลับกว่านั้น มันเหมือนเงาตามตัวเรา
แล้วก็สามารถที่จะลิขิตว่าชีวิตของเราจะเป็นสุข หรือเป็นทุกข์
จะสูงหรือต่ำ จะดำหรือขาว จะประณีตหรือหยาบนะ


ถ้าหากว่าคนมีศีลสามารถที่จะตั้งใจงดเว้นกรรมอันเป็นบาปชั่ว
ได้ห้าประการแล้วตลอดชีวิตนะครับ
ผลก็คือลักษณะของอายุ วรรณะ สุขะ พละ เนี่ยก็จะมีความมั่นคงแข็งแรง
ท่านเปรียบไว้ อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบไว้
เหมือนกับเป็นภาชนะรองรับที่มั่นคงแข็งแรง หรือเหมือนแผ่นดินที่มีความมั่นคง
สามารถจะรองรับผลของบุญ ผลของกุศลต่างๆ
โดยไม่มีการชำรุดทรุดโทรมหรือว่าผุกร่อนไปเสียก่อนจะถึงอายุขัยนะครับ


จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้เป็นสรุปความง่ายๆ ว่า
ถ้ามีมโนกรรมอันเป็นสุจริต ถ้ามีวจีกรรมอันเป็นสุจริต
และมีกายกรรมอันเป็นสุจริต มีสุจริต ๓ นั่นเอง
ก็จะเป็นเหตุให้มี อายุ วรรณะ สุขะ พละ อันเป็นทิพย์ ยืนยาวยั่งยืน

ถ้าหากว่าปรารถนาที่จะไปให้ถึงพระศาสนาของพระศรีอาริย์เนี่ย
ก็เรียกว่าจะต้องตั้งจิตไว้ ต้องบำเพ็ญทั้งทานบารมีและศีลบารมี
ให้มีความเต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอดชีวิตที่เหลือนั่นเอง



ทีนี้ถ้าจะประกันว่าไปถึงศาสนาของพระศรีอาริย์หรือเปล่าแน่ๆ นี่
มันต้องดูเรื่องอีกหลายๆ อย่างด้วยนะ
ก็คือถ้าเราเป็นผู้ที่มีความสามารถจะตั้งจิตให้เป็นสมาธิถึงฌานได้
มีความเป็นเอกัคคตารมณ์
ถ้าหากว่าจิตของเราใหญ่พอ อันนั้นก็สามารถไปถึงพรหมภูมินะครับ
พรหมภูมินี่เป็นที่เดียวที่ประกันได้ว่าอายุยืนยาวเป็นกัปเป็นกัลป์แน่
ส่วนเทวดานี่ก็ไม่มีความแน่นอน ค่อนข้างจะมีความพลิกผันได้ง่าย
อย่างเช่นก็มีการระบุไว้นะครับว่า
ถ้าหากเทวดานี่เสียใจเศร้าโศกมากเกินไป ถึงขั้นตรอมใจ
ก็สามารถที่จะจุติ สามารถที่จะเคลื่อนจากภพของเทวดาได้โดยง่าย
เพราะว่าจิตของเทวดา กายทิพย์ของเทวดา มันค่อนข้างจะมีความเปราะบาง



แต่พระพรหม ถ้าได้ถึงฌานในขณะก่อนตายนะครับ
แล้วก็ไปสู่พรหมภูมิ มันมีความมั่นคงแข็งแรงมาก
โอกาสที่จะโดนอะไรกระทบกระทั่งให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจ
หรือว่าจะต้องเคลื่อนด้วยอุบัติเหตุทางภพภูมิ
มันแทบไม่มี มันแทบเป็นไปไม่ได้นะ
พระพรหมนี่ไม่สามารถที่จะไปก่อเหตุอะไรที่ร้ายๆ นะ
เนื่องจากว่าภพภูมิหรือภาวะของพวกท่านมันไกลมันห่างจากโลกียวิสัย
เรื่องที่จะมากระทบกระทั่งให้เกิดราคะนี่ไม่มี
เรื่องที่จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งจนกระทั่งเกิดความโกรธจัด มันก็ยากนะ
เพราะว่าจิตของพระพรหมนี่เหมือนกับท่านทรงอยู่ในสมาธิตลอดเวลา
ท่านมีปีติเป็นภักษาหาร ไม่ใช่มีลักษณะอาหารหยาบๆ นะเป็นเครื่องอยู่เครื่องกินนะครับ


ก็เรียกว่าถ้าอยากจะประกันความปลอดภัยให้ตัวเอง
จนกระทั่งถึงยุคของพระศรีอาริย์ ส่วนใหญ่ก็จะบำเพ็ญสมาธิ เข้าฌานกัน
ซึ่งถ้าในปัจจุบัน ในภาวะวิสัยที่อยู่ในยุคนี้นะ ที่เรามีรูปเป็นมนุษย์นะครับ
มีความสามารถที่จะประกอบกรรมในเรื่องของการคิด การพูด การทำ
ในแบบที่จะออกสู่ความเป็นวิเวก
ทำให้จิตมีความดำริที่จะพ้นจากกาม ที่จะพ้นจากกิเลส แล้วก็เข้าฌานได้
ก็ควรจะต่อยอดไปเลย คือเจริญสติให้เกิดความรู้ดำรู้แดงกันไปเลย
ว่ากายนี้ใจนี้มันเที่ยงหรือไม่เที่ยง มันเป็นอัตตาหรือว่าเป็นอนัตตากันแน่นะ

เพราะว่าคำสอนในแบบที่จะทำให้เกิดการเข้าถึงฌาน
หรือว่าเข้าถึงมรรคถึงผลนี่ยังอยู่ครบถ้วน
และก็เราถ้าจะทำให้ถึงความเป็นพรหม คือพูดง่ายๆ ว่าเข้าตรงนี้ มาที่ฌานได้
ต่อยอดอีกนิดเดียวก็ถึงมรรคผลแล้วนะ มีค่าเทียบเท่ากับได้พบพระพุทธเจ้านั่นแหละ
เพราะพระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
หมายความว่าธรรมอันแท้จริง ธรรมขั้นสูงสุด หรือว่าความจริงขั้นสูงสุด
เป็นสิ่งเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านไหลรวมเข้าไปสู่นะ



ถ้าหากว่าเรามองที่พระอรหันตสาวก
หรือคนที่ได้ปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธเจ้า ได้เข้าถึงนิพพานแล้ว
ท่านพูดกัน ท่านก็จะพูดกันเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า
ประดุจดั่งสายน้ำที่ไหลรวมเข้ากับมหาสมุทรใหญ่
คือพระนิพพานนี่ท่านเปรียบเป็นความว่างที่กว้างดุจดั่งมหาสมุทรแห่งจักรวาล
ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีขอบเขตว่าอยู่ทางซ้าย ทางขวา ทางหน้า ทางหลัง ตรงไหน
มีแต่ความว่างอันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอนันต์
แล้วพระอรหันต์ ถ้าหากว่าดับขันธ์ปรินิพานแล้ว
ก็ไปรวมอยู่กับความว่างอันไม่มีพร่อง อันไม่มีการล้นนะ
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าพระนิพพานไม่มีการพร่อง ไม่มีการล้น ไม่มีการเต็ม
มีแต่ความว่างอันไม่มีที่สิ้นสุดนะ



ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะถึงได้ในปัจจุบันชาติแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องรอนะครับ
เพราะการรอนี่เราไม่สามารถประกันอนาคตได้ชัดเจนเท่ากับการเอาน้ำบ่อนี้แหละ
อย่าไปหวังน้ำบ่อหน้าจะดีกว่า
เพราะว่าถ้าเราหวังน้ำบ่อนี้นะ มันจะมีค่าเท่ากับว่าปลูกฝังนิสัย
ให้เกิดชาติไหน ปรารถนานิพพานและเอาจริง เอาให้ถึงนิพพานในชาตินั้น

ถ้าชาตินี้เราตั้งเข็มไว้ว่าจะปฏิบัติธรรมเจริญสติ
จนกระทั่งพบพระพุทธเจ้าตัวจริง พระองค์จริงของพระพุทธเจ้า คือพระนิพพานได้
คือจะถึงไม่ถึง อย่างน้อยมีนิสัยตรงนั้นไว้แล้ว
แล้วถ้าเกิดว่าเกิดชาติหน้าฉันใด พบพระพุทธเจ้าหรือไม่พบกับพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่นะ
จะพบพระสาวกของพระองค์นะครับ
ก็จะมีนิสัยแบบเดียวกันมาจุดชนวน มาจุดประกาย
อยากเข้าถึง เข้าให้ถึงพระนิพพานได้เหมือนกันทุกๆ ชาติ
แล้วในที่สุดชาติหนึ่งมันก็จะต้องถึงเข้าจนได้นะ


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP