สารส่องใจ Enlightenment

งานล้างป่าช้า (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาดจ.อุดรธานี
เมื่อวันที่๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙



คำว่า “จิต” โดยปกติก็มีความละเอียดยิ่งกว่าสิ่งใดๆ อยู่แล้ว
แม้จะมีสิ่งละเอียดด้วยกัน
ซึ่งเป็นฝ่ายต่ำฝ่ายมัวหมองปกคลุมหุ้มห่ออย่างหนาแน่นก็ตาม
จิตก็ย่อมจะมีความละเอียดยิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายอยู่นั่นแล คิดดู!


พระท่านตัดเย็บจีวร โดยโยมอุปัฏฐากท่านถวายผ้ามาให้ตัดเย็บเป็นจีวร
ซึ่งมีพระสงฆ์ในวัดช่วยตัดเย็บ เพราะแต่ก่อนเย็บด้วยมือ
พอเย็บย้อมเสร็จก็นำจีวรนั้นไปตากไว้
ขณะนั้นท่านคงมีความรักชอบและยินดีในจีวรผืนนั้นมาก
บังเอิญตอนกลางคืนเกิดโรคเจ็บท้องขึ้นมาในปัจจุบัน และตายในกลางคืนนั้น
ด้วยความห่วงใยในจีวร ท่านเลยเกิดเป็นเล็นเกาะอยู่ที่จีวรผืนนั้น


บรรดาพระสงฆ์มีจำนวนมากที่อยู่ในวัดนั้นก็ไม่มีองค์ใดพูดว่าอย่างไร
พระพุทธเจ้าต้องเสด็จมารับสั่งว่า

“จีวรผืนนี้จะแจกใครไม่ได้ภายใน ๗ วันนี้
เพราะพระติสสะตายแล้วมาเกิดเป็น “เล็น” เกาะอยู่ที่จีวรนี้แล้ว
และหึงหวงอยู่ในจีวรนี้ ต้องรอจนกว่า “เล็น” นี้ตายไปแล้วจึงจะแจกกันได้
สมควรจะแจกให้องค์ไหนก็ค่อยแจกไป แต่ในระยะเจ็ดวันนี้ยังแจกไม่ได้”
พระติสสะตายแล้วมาเกิดเป็น “เล็น” มาเกาะอยู่ที่จีวรนี้
และมีความหึงหวงจีวรนี้มากมายเวลานี้ กลัวใครจะมาแย่งเอาไป
นั่น! ฟังดูซี จนกระทั่ง ๗ วันผ่านไปแล้วจึงรับสั่งว่า
“เวลานี้แจกได้แล้ว เล็นตัวนั้นตายแล้ว ไปสวรรค์แล้ว” นั่น! ไปสวรรค์แล้ว!


ตอนที่ไปไม่ได้ทีแรกก็คงเป็นเพราะความห่วงใยนั่นเอง จึงต้องมาเกิดเป็นเล็น
แต่เวลาจะตายจากความเป็นเล็นนี้คงหายห่วงแล้ว จึงไปสวรรค์ได้
นี่เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าตรัสไว้มีใน
“ธรรมบท”
ซึ่งเป็นพยานทางด้านจิตใจอย่างชัดเจน นี่แหละความเกาะความห่วงใย
เหมือนกับสัตว์ตัวกำลังรออยู่ปากคอก เช่น วัวเป็นต้น
จะเป็นตัวเล็กตัวใหญ่ ตัวผู้ตัวเมียก็ตาม ตัวไหนอยู่ปากคอกตัวนั้นต้องออกก่อน
จิตใจขณะใดที่จะออกก่อนได้ จะเป็นฝ่ายต่ำฝ่ายสูงก็ออกแสดงผลก่อนได้
เรื่องความจริงเป็นอย่างนั้น ท่านจึงสอนให้ระมัดระวัง
เพราะจิตเป็นของละเอียดและไม่มีกำลังโดยลำพังตนเอง ต้องอาศัยสิ่งอื่นผลักดัน
เช่น ฝ่ายต่ำผลักดัน ฝ่ายสูงพยุงส่งเสริม ให้เป็นอย่างไรก็เป็นไปได้


เราจึงต้องสั่งสมความดีอันเป็น “ฝ่ายสูง” ให้มากๆ
เพื่อจะผลักดันหรือส่งเสริมไปในทางดี
กระทั่งจิตหมดสิ่งผลักดันโดยประการทั้งปวงแล้ว
ไม่มี “ฝ่ายต่ำ” “ฝ่ายสูง”หรือว่า “ฝ่ายดี” ฝ่ายชั่ว” เข้าเกี่ยวข้อง
จิตเป็นอิสระโดยลำพังแล้วนั้นจึงหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง
นั่นท่านเรียกว่า “จิตบริสุทธิ์”


จะมีผู้ใดสามารถมาสั่งสอนอุบายวิธีต่างๆ ในการแก้จิตใจ
ในการชำระความพยศของใจ ในการชำระสิ่งที่มัวหมองของใจ
ให้ออกจากใจได้โดยสิ้นเชิงเหมือนพระโอวาทของพระพุทธเจ้าบ้างไหม
?
การเกิดของโลกมนุษย์นั้น ยอมรับกันว่าเกิดกันมานานแสนนาน
แต่ไม่อาจยอมรับว่ามนุษย์ที่เกิดมานั้นๆ
จะมีความสามารถสั่งสอนโลกได้เหมือนศาสดา


โลกเรากว้างแสนกว้าง มีประมาณสักกี่ล้านคน?
ใครจะมีอุบายวิธีหรือความรู้ความสามารถในทางความรู้ความฉลาด
เกี่ยวกับทางด้านจิตใจ และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับใจนี้
และสั่งสอนให้ทราบทั้งสองอย่าง
คือจิตหนึ่ง สิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับใจมีอะไรบ้างหนึ่ง จะแก้ไขกันด้วยวิธีใดหนึ่ง
ไม่มีใครสามารถเหมือนพระพุทธเจ้าแม้รายเดียว
ท่านจึงกล่าวว่า “เอกนามกึ” หนึ่งไม่มีสอง
คืออะไร คือพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่ได้ตรัสรู้ขึ้นมาในโลกแต่ละครั้ง
มีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น เพราะความหาได้ยาก

ได้แก่ผู้เป็น “สัพพัญญู” แล้วมาสอนโลกนั่นเอง


ส่วนผู้ที่คอยรับจากผู้อื่น เพราะไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองได้นั้นมีมากมาย
เช่นพระสาวก
“สาวก” แปลว่าผู้ฟัง
ต้องได้ยินได้ฟังอุบายต่างๆ จากพระพุทธเจ้ามาแล้วถึงจะรู้วิธีปฏิบัติต่อไปได้
แม้กระนั้นก็ยังต้องอาศัยพระองค์คอยตักเตือนสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา
คือต้องคอยสั่งสอนอยู่เรื่อยๆ
สมนามว่า เอกนามกึ” คือหนึ่งไม่มีสอง
ได้แก่พระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้ได้แต่เพียงครั้งละหนึ่งพระองค์เท่านั้น
มีจำนวนน้อยมาก เพราะเป็นสิ่งที่เกิดได้ยาก นี่ประการหนึ่ง

ประการที่สอง พระวาจาที่แสดงออก
แสดงออกด้วยความรู้ความฉลาดอาจหาญที่เต็มไปด้วยความจริงทุกอย่าง
ได้ตรัสอย่างไรแล้วสิ่งนั้นต้องเป็นความจริงแท้ ไม่มีสอง
พระญาณหยั่งทราบเหตุการณ์ทั้งหลายได้อย่างแน่นอนแม่นยำ



โลกไม่เป็นอย่างนั้นได้นี่ ชอบหยั่งทราบแต่เรื่องหลอกลวงตัวเอง
หยั่งทราบอย่างนั้น หยั่งทราบอย่างนี้ หลอกตัวเองแบบนั้น หลอกตัวเองแบบนี้
อยู่วันยังค่ำคืนยังรุ่งก็ยังไม่เห็นโทษแห่งความหลอกลวงนั้นๆ
ยังอุตส่าห์เชื่อไปตาม ไม่มีวันเวลาถอยกลับ ตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลาน
บึกบึนไปกับความหลอกลวงโดยไม่เห็นโทษของมันบ้างเลย
พากันเชื่อตามมันอย่างเอาจริงเอาจัง



นั่น! ดูซิ มันผิดกันแค่ไหนล่ะกับพระญาณของพระพุทธเจ้า
ที่ทรงหยั่งทราบอะไรๆ แล้วสิ่งนั้นๆ จริงทุกอย่าง ไม่มีโกหกพกลมเลย
แต่พวกเราหยั่งทราบอะไร
แม้เรื่องผ่านไปตั้งกัปตั้งกัลป์นานกาเล ยังอุตส่าห์ไปหยั่งทราบจนได้
และกว้านเข้ามาเผาตัวเอง หลอกตัวเองให้เป็นไฟไปจนได้
พวกเราคือพวกตื่น
“เงา” ตัวเอง พวกเล่นกับ “เงา” ตัวเอง
ก็ “เงาเรา” น่ะซิ อารมณ์น่ะไม่รู้หรือ อารมณ์อดีตเป็นมาสักกี่ปีกี่เดือน ดีชั่วอะไร
ยังมาครุ่นมาคิดมาบริกรรมมาคุกรุ่นอยู่ในใจ เผาเจ้าของให้ยุ่งไปหมด
ทั้งนี้ส่วนมากไม่ใช่ของดี มีแต่ของชั่วแทบทั้งนั้น
อารมณ์อดีตไปคิดขึ้นมายุ่งเจ้าของยิ่งกว่าสุนัขเกาหมัด
อยู่ที่นั้นก็ว่าไม่สบาย อยู่ที่นี่ก็ว่าไม่สบาย
ก็จะสบายได้อย่างไร มัวเกาแต่อารมณ์ทั้งอดีตอนาคตยุ่งไปตลอดเวลาและอิริยาบถ


สิ่งที่กล่าวมานักปฏิบัติจำต้องพิจารณาด้วยปัญญา
ไม่เช่นนั้นจะเป็นทำนอง
“หมาเกาหมัด” เกาหมัดอยู่นั่นแล
หาความสุขกายสบายใจไม่ได้เลย ตลอดวันตายก็ตายเปล่าอย่างน่าสงสาร
เอ้า พูดอย่างถึงเหตุถึงผลเป็นที่แน่ใจสำหรับเราผู้ปฏิบัติ
ไม่ว่ามนุษย์จะมีมากน้อยเพียงไร คนในโลกนี้มีเท่าไร เราจะเชื่อผู้ใด
เพราะต่างคนต่างหูหนวกตาบอด ทางความรู้ความเห็นอันเป็นอรรถเป็นธรรม
มีแต่ด้นๆ เดาๆ ไปด้วยกัน ถามใครก็แบบเดียวกับถามเรื่องแสงเรื่องสีกับคนตาบอด
มันได้อะไรที่เป็นคำตอบที่เชื่อถือได้? เปล่าทั้งเพ!
ถามเรื่องเสียงกับคนหูหนวก มีกี่คนถ้าเป็นคนหูหนวกมาแต่กำเนิดด้วยกันแล้ว
มันก็ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น!


คนประเภท “หนวก บอด ภายในใจ” นี้ก็ทำนองเดียวกัน
จำพวกนี้ไม่ว่าท่านว่าเราโกหกตัวเองและโกหกผู้อื่นเก่งไม่มีใครเกินหน้า
เราจะเชื่อผู้ใดให้ยิ่งกว่าพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่แสดงออกมาจากความรู้จริงเห็นจริงจริงๆ ในสามโลกธาตุนี้ไม่มีใครเกินพระองค์!
เมื่อคิดโดยทางเหตุผลเป็นที่ลงใจได้แล้วอย่างนี้ กำลังทางด้านจิตใจก็เพิ่มขึ้น
ศรัทธาก็เพิ่ม วิริยะก็เพิ่ม สติ สมาธิ ปัญญา ก็เพิ่มขึ้นตามๆ กัน

เพราะอำนาจแห่งความเชื่อ “พุทธ ธรรม สงฆ์” เป็นเครื่องสนับสนุนให้มีกำลังใจ
เพราะเราเชื่อตัวเองก็ยังเชื่อไม่ได้ รวนเรเร่ร่อนอยู่ตลอดเวลา
ไม่ทราบว่าจะไปทางไหน จะยึดอะไรเป็นหลักใจ
สถานที่จะไปของจิตก็ยังไม่ทราบ จะไปยังไงก็ไม่รู้
ไม่ทราบจะไปดีไปชั่ว เพราะความแน่นอนใจไม่มี
เนื่องจาก “ธรรม” ซึ่งเป็นความแน่นอนไม่ได้หยั่ง
หรือไม่ซึมซาบเข้าถึงจิตใจพอจะเป็นที่เชื่อถือตนได้
ใจเมื่อมีสิ่งที่แน่นอน มีสิ่งที่อาจหาญ มีสิ่งที่แน่ใจเข้าแทรกใจได้
ย่อมสามารถ ย่อมแน่ใจได้
เพราะฉะนั้นจึงควรสร้างความแน่ใจขึ้นภายในจิตใจด้วยข้อปฏิบัติ


เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์ ทราบกันมาตั้งแต่วันเกิด! เกิดก็เกิดมากับกองทุกข์นี่
เราไม่ได้เกิดมากับสวรรค์นิพพานที่ไหน
ในขณะเกิดก็เกิดมากับกองทุกข์ รอดจากทุกข์ขึ้นมาเมื่อไม่ตายถึงมาเป็นคน
เราจะไปตื่นเต้นตกใจเสียอกเสียใจกลัวอะไรกับทุกข์
ก็เกิดมากับความทุกข์ อยู่กับความทุกข์ตลอดเวลานี่
หากจะเป็นอะไรก็เป็นไปแล้ว เวลานี้ไม่ได้เป็นอะไร
จะฉิบหายวายปวงหรือตายไปเราก็ไม่ได้ตาย เราผ่านพ้นมาโดยลำดับจนถึงปัจจุบันนี้



ยิ่งเวลานี้เป็นเวลาที่เราจะประพฤติปฏิบัติตัว ด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงโดยทางสติปัญญา
เราจะกลัวทุกข์ ซึ่งขัดกับหลักเหตุผลที่จะให้ทราบเรื่องของทุกข์
จะทราบความจริงได้อย่างไร
? ถ้ากลัวต้องกลัวด้วยเหตุผล
อย่างพระพุทธเจ้าท่านกลัวทุกข์ พระสาวกท่านกลัวทุกข์
ท่านพิจารณาเพื่อหาทางหลบหลีกจากทุกข์
โดยทางสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร นั้นถูกต้อง!
การกลัวทุกข์ด้วยความท้อแท้อ่อนแอนี้ไม่ใช่ทาง!
ทุกข์เป็นยังไงกำหนดให้รู้ เกิดกับทุกข์ทำไมไม่รู้เรื่องของทุกข์
เกิดกับ “สมุทัย” คือกิเลสตัณหาอาสวะ ทำไมจะไม่รู้เรื่องของสมุทัย
สิ่งที่จะให้รู้มีอยู่ สติ ปัญญา มีอยู่กับทุกคน


ศาสนาธรรมท่านสอนไว้กับ “หัวใจของบุคคล” แท้ๆ
สติได้หามาจากไหน ไม่ต้องไปซื้อหามาจากตลาด ปัญญาก็เช่นนั้น
จงพินิจพิจารณา พยายามคิดอ่านซอกแซกทบหน้าทวนหลัง
อย่าคิดไปหน้าเดียว ถ้าคิดไปหน้าเดียวไม่รอบคอบ มีช่องโหว่ตรงไหนนั่นแหละ
ถ้าเป็นบ้านโจรผู้ร้ายก็เข้าช่องนั้น
ช่องโหว่ของจิตอยู่ที่ตรงไหน กิเลสอาสวะเข้าที่ตรงนั้น
เพราะกิเลสอาสวะ
“คอยที่จะแทรกจิตใจ” อยู่ตลอดเวลา
ต้องฝึกหัดสติปัญญาให้ดี
อย่าให้เสียเวล่ำเวลากับสิ่งใดยิ่งกว่าเสียกับความเพียร
ซึ่งเป็นผลประโยชน์อย่างยิ่งกับตัวเราโดยเฉพาะ



(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


ที่มา https://bit.ly/2IaJHjg


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP