สารส่องใจ Enlightenment

จิตพระอริยะอยู่เหนือกิเลส (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
แสดงธรรมเมื่อ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙




จิตพระอริยอยู่เหนือกิเลส (ตอนที่ ๑) (คลิก)


เดี๋ยวนี้จิตคนเรามันหลงสังขารมารในจิตของตัวเอง สู้สังขารมารกิเลสมารไม่ได้
เมื่อกิเลสราคะโทสะของตัวเกิดขึ้น ใครจะตักเตือนมันก็ไม่ฟัง
ฟังกิเลสราคะโทสะของตนอย่างเดียว
ผลที่สุดกิเลสราคะ โทสะ โมหะมันก็เอาเราไปฆ่าให้ตาย
ไม่มีประโยชน์อะไรถ้ามันตายจากคุณงามความดี
ไม่ได้คุณงามความดีในใจนั้น ชื่อว่าตายจากบุญจากกุศล



ในช่วงนี้ระยะนี้เรายังมีชีวิตอยู่
ยังมีจิตมีใจภาวนาพุทโธได้อยู่ ภาวนามรณกรรมฐานได้อยู่
จงพากันรีบเร่งตั้งอกตั้งใจอย่าประมาทมัวเมา
ไม่ว่าจะเป็นกลางวันกลางคืน ยืน เดิน นั่ง นอน
อยู่คนเดียวหรือว่าเข้าหาหมู่อย่างไรก็ตาม เราต้องระมัดระวัง
สิ่งใดจะพาให้จิตใจเพื่อนฝูงฟุ้งซ่านรำคาญ ก็ไม่ต้องพูด ไม่ต้องคิดไปในเรื่องนั้น
จงพยายามตักเตือนซึ่งกันและกัน
ให้ภาวนาทำความเพียรละกิเลสอย่างไรจิตใจจะสงบระงับตั้งมั่นเป็นดวงเดียวแล้ว
ให้พากันเอาอกเอาใจในจิตใจของตนให้มาก
มากที่สุดจนกระทั่งสู้กับกิเลสในหัวใจของตัวเองได้
ถึงขั้นละกิเลสความโกรธหมดไปได้ ละกิเลสความโลภได้ ละกิเลสความหลงได้
นั่นแหละจึงชื่อว่าผู้ภาวนาอย่างแท้จริง



ถ้ายังไม่ถึงการละกิเลส ก็ยังไม่จริงทั้งนั้นแหละ ยังไม่พอ มันเล็กๆน้อยๆ
อย่าไปเลือกกาลเลือกเวลา ถ้าจะมาภาวนาแค่เวลาฟังธรรมนี้ยังไม่พอ
จิตใจจะเต็มเปี่ยมในบุญบารมีได้ จะต้องทำทุกขณะทุกเวลา
จนจิตที่พลั้งเผลอมัวเมาไปตามกิเลสทั้งหลายนั้นดับไปหมดไป
ยังเหลือแต่จิตเจริญธรรมกรรมฐาน สมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาอยู่เนืองนิจติดต่อกันไป
จนถึงได้กำลังความสามารถอาจหาญเต็มที่
มรรคสมังคีก็จะประหารกิเลสมาร และสังขารมารภายในจิตใจนั้นได้อย่างเด็ดขาด
กิเลสราคะ โทสะ โมหะก็จะดับไปหมดสิ้นไป
จิตใจของพระสาวกเจ้าทั้งหลายก็ย่อมมีความสุขความสบาย
ไม่เดือดเนื้อร้อนใจตามอำนาจกิเลสประการใด
เรียกว่าท่านอยู่เหนือกิเลส ท่านอยู่เหนือโลก
ท่านไม่ลุ่มหลงมัวเมาไปตามกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ในจิตใจอย่างเราๆ ท่านๆ
นั่นจึงชื่อว่าพระอริยเจ้าทั้งหลาย
ท่านทำความเพียรภาวนาละกิเลสมาก่อนพวกเราทั้งหลาย จนสามารถอาจหาญ
ท่านมีความเมตตาการุญขนาดไหน แม้ท่านจะดับขันธ์ไปสู่นิพพานนานแล้วก็ตาม



พวกเราทั้งหลาย ให้ตั้งอกตั้งใจรักษาศีลภาวนา ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
เอาให้พ้นทุกข์พ้นภัยในโลกในวัฏสงสารให้จงได้
อย่ามาติดอยู่ข้องอยู่ในวัฏสงสารอันเป็นที่เดือดเนื้อร้อนใจอยู่ตลอดเวลา
อันเราๆ ท่านๆ ทุกคนนี้แหละ ที่เราได้มาประพฤติปฏิบัติ
นั่งสมาธิภาวนาหลับตาอยู่ในเวลานี้
ชื่อว่าเป็นผู้มีบุญบารมีพอสมควรแล้ว อย่ามาทิ้งบุญบารมีของตนเสีย
บุญบารมีนี้ถ้าเราเสริมสร้างอยู่เสมอ ภาวนาอยู่ทุกเมื่อ
บำเพ็ญทาน รักษาศีล ไม่ท้อถอย สดับรับฟังพระธรรมคำสั่งสอนอยู่
บุญบารมีในจิตใจของเราก็ค่อยแก่กล้าสามารถขึ้นไปโดยลำดับๆ
เพราะมันขึ้นอยู่กับความเพียร ความหมั่น ความขยัน



ความท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ ความสงสัยทั้งหลายแหล่ในศีลก็ตาม
ในทาน ในภาวนา อะไรทั้งหมด อย่าไปมัวสงสัยอยู่
อะไรก็ตาม ถ้าหากว่ามันเป็นอุบายสอนใจของเรา
ให้สงบระงับตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนา เยือกเย็นสบายลงไปได้นั้น
ก็ชื่อว่าเป็นอุบายธรรม เป็นอุบายภาวนาทั้งนั้น
ความสงสัยในทาน ในศีล ในภาวนา
เมื่อจิตใจสงบระงับตั้งมั่นเป็นสมาธิภาวนาแล้ว
ความสงสัยทั้งหลายแหล่จะหมดไปหายไป ไม่มีในจิตใจของพระอริยเจ้าทั้งหลาย



ในเมื่อเวลาเราตั้งใจประพฤติธรรมปฏิบัติธรรมอยู่ ยังไม่ได้ก้าวล่วงออกจากกิเลส
มันมีอุปสรรคมากมายนับไม่ถ้วน มีความสงสัยเต็มโลก
หลักที่เราจะต้องจัดการกับตัวเอง ก็คือว่าตัวสักกายทิฏฐิ
ทิฏฐิ
แปลว่าความเห็น กายะก็เนื้อตัวเรานี้แหละ
ความเห็นผิดคิดว่าเป็นตัวเป็นตน
เป็นเรา เป็นของของเรา
หาได้รู้ไม่ว่าร่างกายสังขารนี้มัน ปฐวี ธาตุดิน อาโป ธาตุน้ำ น้ำเลือดน้ำเหลือง
วาโย ธาตุลมพัดผ่านไปมา เตโช ธาตุไฟความร้อนความอบอุ่น
มีอยู่ในร่างกายสังขารตัวตนอันนี้
ร่างกายสังขารอันนี้ก็ตัวธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมเท่านั้นเอง
จิตมาอาศัยอยู่ เอาเป็นบ้านเป็นเรือนของตัว
แล้วก็หลงมัวเมาอยู่อย่างนั้น มาติดอยู่ข้องอยู่
แล้วจะมาสำคัญผิดคิดว่าพระธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่บริสุทธิ์ผ่องใส ไม่ได้
เพราะว่าความเพียรของเรามีน้อย ความอดทนไม่พอ
การประพฤติปฏิบัติพระธรรมคำสั่งสอนของเรามันยังไม่ถึงพริกถึงขิงต่างหาก



ผู้ตั้งความเพียรภาวนา ทำความเพียรละกิเลสในตัวในใจของตัวเอง
มีอยู่ที่ไหนในใจบัดนี้เวลานี้ ก็จงรวบรวมกำลังจิตกำลังใจ
ให้สามารถอาจหาญขึ้นมาภายในจิตใจอันนี้
เพียรเพ่งอยู่ในใจของตัวเอง มีความสงบตั้งมั่นอยู่ในใจ
สิ่งใดนอกจากดวงจิตดวงใจที่รู้อยู่ออกไปทั้งหมดนั้น ไม่มีที่จบไม่มีที่สิ้น
ที่จบที่สิ้นอยู่ที่รู้อยู่ ไม่ใช่รู้ไป รู้อยู่ แจ้งอยู่ ประจักษ์อยู่
ในชาติความเกิดเป็นทุกข์ ชราความแก่เป็นทุกข์ มรณะความตายเป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสัตว์และสังขารทั้งหลาย
ความวิปโยคพลัดพรากจากสิ่งทั้งหลาย มันเป็นตัวทุกข์
ตัวทุกข์ ตัวอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นอยู่ภายในจิตใจ
ความเร่าร้อนก็มีอยู่ในดวงจิตดวงใจนี้
มาทำความเพียรปฏิบัติบูชา เพียรเพ่งอยู่ในดวงใจนี้
จนเห็นแจ้งแทงตลอดในคำว่า ภพชาติทั้งหลายที่มาลุ่มหลงมัวเมาอยู่


ขึ้นชื่อว่าอวิชชาตัณหาในจิตไม่มีที่สุดที่สิ้นได้
ผู้ภาวนาทำความเพียรปฏิบัติบูชา
จงรวบรวมกำลังจิตกำลังใจของตนเข้ามาภายใน
ตั้งให้มั่นอยู่ในดวงจิตดวงใจดวงนี้ให้ได้
นอกจากเดี๋ยวนี้ ออกไปทั้งหมดเป็นความหลง
เดี๋ยวนี้เวลานี้ ถ้ามารู้จักรู้แจ้งอยู่ในเดี๋ยวนี้ขณะนี้
จนเห็นแจ้งชัดลงไปในจิตใจดวงนี้ว่า
นอกจากเดี๋ยวนี้เวลานี้แล้วเป็นความหลง
หลงไปในอดีตที่ล่วงแล้วมาก็ไม่มีที่สุดที่สิ้น
จะหลงไปข้างหน้าอีกก็ไม่มีที่สุดที่สิ้น ที่จบมันไม่มี
มันวนๆ อยู่ในอาการอันเก่า กิเลสในหัวใจความดิ้นรนวุ่นวาย



ความหลงนั้น หลงในที่ไหน หลงในรูป หลงในเสียง
หลงในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
หลงก็คือว่าไม่รู้แจ้งอยู่จำเพาะจิต ไม่แจ้งอยู่ภายใน
มัวแส่ส่ายลุ่มหลงไปตามอาการภายนอก
ย่อมมีความยึดมั่นถือมั่นในหน้าในตา ในตัวในตน ในเราในของของเรา
ย่อมเกิดความทุกข์ความเดือดร้อน วุ่นวายภายในจิตใจนั้นเอง



ผู้บำเพ็ญภาวนาปฏิบัติบูชาในทางพุทธศาสนา
จงยกจิตใจของตนให้รู้แจ้งรู้จริงอยู่ ณ ภายใน
จนจิตใจนี้เรียกว่ารู้ละออกไป รู้ถอนออกไป รู้ปล่อย รู้วางออกไปทั้งหมด
ตัวทิฏฐิมานะ ทิฏฐิแปลว่าความเห็น มานะความยึดตัวยึดตน ยึดเรา ยึดของของเรา
ยึดสิ่งใดถือสิ่งใด ก็ย่อมเป็นทุกข์ในหัวใจ
เมื่อจิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่นในที่ทั้งปวง จะเป็นเรื่องภายนอกภายในอะไรก็ตาม
ให้เห็นแจ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสิ่งใดที่เที่ยงแท้แน่นอนยั่งยืน เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไปเลย


จงเป็นผู้ทำความเพียร เสียสละปลดปล่อยออกจากจิตใจ
จนกระทั่งความยึดถือในที่ทั้งปวง มันหลุดออกไปได้ ลอยออกไปได้
ไม่สำคัญผิดคิดว่าหน้าตา ชื่อเสียง รูปนาม ตัวตนนี้เป็นของเรา
ไม่ใช่ของเรา ตัวเราของเรา ความหลงต่างหาก ไม่มีอะไรเป็นตัวตนยั่งยืนตลอดไปเลย
รูปร่างกายมีอยู่ที่ไหน ชราพยาธิก็มีอยู่ที่นั้น
สังขารทั้งหลายมีความไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีความปรุงแต่งขึ้นแล้วก็ดับไป
ดวงจิตดวงใจเป็นผู้รู้อยู่ภายในตัวภายในใจนี้ บัดนี้เดี๋ยวนี้มีอยู่ตลอดเวลา
จงรวมจงสงบ จงตั้งมั่นลงไปในจิตใจนี้
ตัณหาความดิ้นรนวุ่นวาย อย่าได้ดิ้นรนวุ่นวายไปในที่ใดๆ
จงเป็นผู้เลิกละตัณหาทั้งหลาย จะเป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสตัณหาทั้งหลาย จงเลิกละตัดทอนลงไป
ในหลักปัจจุบันขณะนี้เวลานี้ให้หมดสิ้นลงไป
ชื่อว่าเป็นผู้ภาวนาทำความเพียรละกิเลส เลิกละออกไป
จนให้ความยึดมั่นถือมั่นในจิตใจนั้นเลิกละออกไปจริงๆ



ทำความเพียรแจ้งอยู่ในจิตในใจนี้ ปัจจุบันนี้
ตั้งจิตตั้งใจให้มั่นคงลงไปภายใน ตั้งลงไปทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก
เตือนจิตใจดวงนี้ให้มีความตั้งมั่นอย่าได้หวั่นไหว อย่าได้ลุ่มหลงไปในอดีตอนาคต
จงเป็นผู้ทำความเพียรในหลักปัจจุบันขณะเดี๋ยวนี้เวลานี้ ติดต่ออยู่เสมอภายในจิตใจนี้
เรียกว่าเป็นผู้รู้แจ้งในธรรมปฏิบัติ ในหลักปัจจุบันนี้ตลอดเวลา


ใจไม่มีรูปร่าง สี สัณฐานอะไร
มีความรู้จัก รู้จริง รู้แจ้ง อยู่ภายในจิตใจนี้ รู้ที่ไหนตั้งใจลงไปที่นั้น
มีความเพียรเพ่งอยู่ มีสติระลึกได้อยู่ มีสมาธิจิตตั้งมั่นอยู่ภายในจิตใจนี้
สิ่งอื่นใดนอกจากดวงจิตดวงใจดวงนี้ออกไป ไม่เที่ยงแท้แน่นอน
มีความไม่เที่ยงอยู่เสมอภายในรูปนามกายใจนี้
รูปนามนี้เต็มไปด้วยก้อนทุกข์ เต็มไปด้วยกองทุกข์
ตั้งแต่เกิดจนแก่ ตั้งแต่แก่จนตาย ตายแล้วก็กลับมาเกิดอีก วนเวียนอยู่อย่างนี้
นี่แหละชาติความเกิดเป็นทุกข์ มันทุกข์อย่างนี้แหละ
ความทุกข์ ความลำบากรำคาญ มันมาจากจิตใจ ไม่รู้แจ้งในกองทุกข์
มายึดเอาถือเอาในกองทุกข์อันนี้ว่าเป็นเรา เป็นของของเรา
ก็เป็นทุกข์อยู่ในหัวใจอย่างนี้


สัพเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา
ความรู้ ความเห็น ความเข้าใจใดๆ ทั้งหมดในจิตใจนั้น
อย่าได้หลงไปยึดเอาถือเอา ให้เห็นว่ารูปนามกายใจนี้ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ตัวเราของเราเพราะความหลงต่างหาก
เมื่อจิตไม่หลง จิตรู้แจ้งรู้จริงอยู่ในดวงจิตดวงใจ ก็มีความสงบตั้งมั่นอยู่
ก็ย่อมคลายกิเลสออกไป ถอนกิเลสออกไปจากจิตใจ
เมื่อถอนกิเลส ละกิเลสออกจากจิตใจได้ ใจดวงนี้ก็แจ้งสว่างไสว
ไม่หวั่นไหวสั่นสะเทือนตามอำนาจกิเลสใดๆ ทั้งนั้น
เรียกว่าภาวนาละกิเลส ละแล้วก็ละอีก ถอนแล้วก็ถอนอีก
ปล่อยแล้วก็ปล่อยอีก วางแล้วก็วางอีก จนกระทั่งเอาถึงความหลุดพ้น



จนหลุดพ้นจากตัวจากตน จากหน้าจากตา จากความสุขความทุกข์อันใดที่บังเกิดมีขึ้น
เรียกว่าหลุดออก หลุดออกจากอุปาทานความยึดถือ
ความยึดถือในรูป ความยึดถือในนาม ในกาย ในจิต
ถอนออกไป ละออกไป ปล่อยออกไป วางออกไป
เรียกว่าจาโค เสียสละ ปฏินิสสัคโค ปล่อยออกไป มุตติ เอาให้หลุดพ้น
อนาลโยกิเลสอันใดที่เลิกได้ละได้แล้วไม่ต้องอาลัยเสียดายตายอยาก
เป็นผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ สงบอยู่ แจ้งอยู่ในจิตใจนี้


นี่แหละผู้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนา ทำความเพียรละกิเลส
ละลงไปที่นี้ ละลงไปภายใน ถอนรากแก้วของกิเลสออกไปให้หมดสิ้น
การละกิเลสไม่ใช่ละที่อื่น ละที่จิตใจหลงนี้ออกไปให้หมดสิ้น
จิตหลงใจหลง ใจยึดใจถือ ใจไม่ปล่อยไม่วาง
เลิกละออกไปให้หมด เอาจนหมด ใส
เมื่อจิตใจเลิกละความยึดหน้าถือตา ความยึดตัวถือตน
ยึดเรา ยึดของของเรา ออกไปได้หมดสิ้น จิตใจก็เย็นสบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย
ยืนเดินไปมาในที่ใดๆ ก็สบายอกสบายใจ มีความเพียรเพ่งอยู่ในดวงจิตดวงใจนี้



นี่แหละผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย จงรวมจิตใจของตนเข้ามา
อย่าได้วิตกวิจารณ์ฟุ้งซ่านไปในที่ใดๆ จงเห็นแจ้งอยู่ ณ ดวงจิตดวงใจดวงนี้
มารู้แจ้งรู้จริงอยู่ภายใน ไม่วุ่นวายภายนอก
จิตใจก็ย่อมมีความรู้แจ้ง มีความรู้จริง มีความรู้เลิกรู้ละออกไปให้หมดสิ้น
เมื่อจิตใจมีความรู้แจ้งรู้จริง อยู่ในหลักปัจจุบันนี้แล้ว
จิตใจก็ต้องสงบสุขเยือกเย็นในทางพุทธศาสนา



ฉะนั้นให้เราทุกๆ คนรวมกำลังตั้งมั่นลงไปในจิตใจนี้
ให้แน่วแน่มั่นคงหนักแน่นเหมือนพื้นแผ่นดิน
จงรวบรวมกำลังจิตกำลังใจให้หนักแน่นเหมือนพื้นแผ่นดิน
จิตใจก็จะเย็นสบาย ไม่สะทกสะท้านหวาดกลัวต่อภัยอันตรายทั้งหลาย
ฉะนั้นให้มีความเพียรเพ่งอยู่ สติระลึกอยู่ สมาธิจิตมั่นคงอยู่
ปัญญาญาณอันวิเศษก็จะสามารถละกิเลสราคะ โทสะ โมหะให้หมดไป สิ้นไป
ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนาภายในจิตใจของตนต่อไป



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จากพระธรรมเทศนา “จิตพระอริยะอยู่เหนือกิเลส”
ใน พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร) โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม๑๒
โดย ปฐมและภัทรา นิคมานนท์ ฉบับพิมพ์เมื่อมกราคม ๒๕๕๐.


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP