วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๑๑



cover siwadol

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เหตุการณ์สงบรวดเร็วพอกับช่วงเวลาที่มันเริ่มขึ้น

            หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยรีบเข้ามาหานายศิวา เห็นเลือดที่ต้นแขนผู้เป็นนายก็หน้าซีด

            “ขอโทษครับ พวกผมมาช้าไป”

            “ไม่ช้าหรอก” นายศิวาตบบ่าหัวหน้าทีม “รีบไปดูยามที่ประตูก่อน น่าจะโดนยิง ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง”

            ฝ่ายนั้นรับคำสั่ง พาทีมของตนไปยังประตูศิวาดล ซึ่งมีร่างของยามเฝ้าประตูฟุบอยู่ตั้งแต่กระสุนนัดแรกลั่นออกมา

            พวกลูกจ้างหนุ่มยังตื่นเต้น ทำอะไรไม่ถูก ต่างตรวจหาบาดแผล ร่องรอยบาดเจ็บของตนเอง

            นายศิวาหันไปยิ้มให้พิจิก ลูกจ้างหนุ่มผู้ร่วมต่อสู้

            “ฝีมือไม่เลวนี่...พิจิก” ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับนี้จะจดจำชื่อลูกน้องตนได้เพียงแค่การแนะนำครั้งเดียว

            “ท่าน...ไปทำแผลก่อนดีมั้ยครับ” พิจิกพูดเสียงอ่อน มองดูบาดแผลอีกฝ่ายอย่างเกรง ๆ

            “เฮ้ย...แค่นี้เล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก” คำตอบไม่ใส่ใจ

            พิจิกยิ้มแหย ๆ ไม่รู้ควรพูดต่ออย่างไรจึงจะเหมาะกับความเป็นหนุ่มบ้านนอกของตนเวลานี้

            “เป็นนักมวยหรือไงเราน่ะ” ผู้เป็นนายจ้างถามต่อ

            “เคยฝึกมวยครับ แต่ไม่ได้เป็นนักมวย” ชายหนุ่มตอบถ่อมตัว

            “ขอบใจมากนะที่ช่วยชีวิตฉันไว้” นายศิวาตบไหล่หนัก ๆ บอกความจริงใจในน้ำเสียง

            “ไม่เป็นไรครับ...”

            พิจิกค้อมตัวตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมถ่อมตน สายตาเหลือบเห็นตรงอกเสื้อของนายศิวาชัดเจน...

            การต่อสู้เมื่อครู่ ทำให้สร้อยคอที่นายศิวาสวมไว้หลุดออกมาด้านนอกเสื้อ เมื่อสายตาพิจิกกระทบสร้อยนั้น ผัสสะในใจแล่นปลาบ รับรู้ถึงพลังปราณอันเข้มแข็งจากสิ่งที่เจ้าของศิวาดลสวมใส่

            นายศิวาสวมเหรียญอาคมคล้องคอ รูปในเหรียญเป็นตัวอักษรโบราณ เครื่องรางชนิดนี้มีพลังปราณกล้าแข็งกว่าวัตถุมงคลทั่วไป พิจิกไม่แปลกใจเลยว่าทำไม ภูตร้าย ปิศาจในศิวาดลทั้งหมด ถึงไม่อาจก่อกวน ทำอันตรายแก่บุคคลผู้นี้ได้เลย







บทที่ ๗



            เรือนครัวศิวาดลด้านนอกติดริมทะเลสาบ ตกแต่งถอดแบบร้านอาหารหรูจากต่างประเทศ ผู้มีสิทธิมานั่งพักผ่อนรับประทานอาหาร มีแค่เจ้าของบ้าน กับญาติมิตร เพื่อนสนิท

            ด้านหลังเรือนครัวแบ่งส่วนเป็นห้องทำครัวกว้างขวาง อุปกรณ์ครบครัน สามารถประกอบอาหารสะดวกสบาย อีกส่วนจะเป็นห้องอาหารของพวกลูกจ้าง คนงาน ซึ่งบางครั้งสามารถใช้เป็นห้องประชุม พูดคุยสั่งงานได้

            ห้องอาหารนี้เปิด-ปิดเป็นเวลา เฉพาะเช้า กลางวัน เย็น เพื่อเป็นการรักษาระเบียบ ลดภาระให้กับแม่ครัว ผู้ช่วยแม่ครัวทั้งหลาย

            มื้อเช้าเป็นช่วงเวลาที่ลูกจ้างมารับประทานอาหารกันน้อย เพราะโดยมากจะเก็บอาหารมื้อเย็นจากวันก่อนไว้ไปอุ่นกินในห้องพัก เพื่อความสะดวก ไม่ต้องรีบเร่ง

            โต๊ะอาหารค่อนข้างว่าง เมษาตักอาหารมารับประทานที่โต๊ะมุมด้านในสุด ด้วยไม่อยากเป็นจุดสนใจของใคร แต่กลับมีจานอาหารมาวางบนโต๊ะตามหลังเธอโดยไม่ขออนุญาต ไม่มีความเกรงใจ

            “โต๊ะว่างตั้งเยอะ ทำไมแกไม่ไปนั่งที่อื่น” หญิงสาวพูดเสียงห้วนกับผู้ชาย...คู่ต่อสู้ของเธอ

            “ไม่ได้ เดี๋ยวคนแถวนี้เขาจะสงสัยเอา” พิจิกใช้น้ำเสียงจริงจังเกินเหตุ

            “สงสัยอะไร” เมษาถามอย่างระอา

            “สงสัยว่าทำไมคนบ้านเดียวกัน รู้จักกัน เข้ามาทำงานพร้อมกันถึงต้องแยกโต๊ะนั่งกันด้วย” พิจิกตอบพลางยักคิ้วยิ้มตาใสใส่หญิงสาว

            “ไอ้หมาจิก...หาเหตุผลดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง” หญิงสาวขึ้นเสียง

            “ฉันอยากกินข้าวกับแกจังเล้ย...” ชายหนุ่มลอยหน้าลอยตาพูด

            “มีแผนอะไรวะ” เมษาสงสัย

            “แผนอะไรวะ...คิดมาก” พูดพลางหัวเราะขัน “ฉันแค่อยากรู้ว่าแผลเมื่อคืนน่ะ มันอักเสบหรือเปล่า”

            “แผลอะไร...ที่ไหน” วาจาเฉไฉ

            “แผลที่มาพร้อมกับหัวโน เขียวอี๋ของแกนี่ไง” ปลายนิ้วชี้เกือบโดนหน้าผากอีกฝ่าย

            เมษาเอนตัวหลบตวัดสายตาดุ

            “จะหัวโนหัวเขียวมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับแก”

            “อย่าลืมตรวจดูแผล เปลี่ยนผ้าก๊อซให้สะอาดด้วยล่ะ” รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจทำมึน บิดเบือนจึงพูดต่ออย่างไม่สนใจ “ถ้าแผลอักเสบขึ้นมานะแก...มันจะเน่าตั้งแต่สีข้าง ลามไปถึงพุงกะทิแกเลย!”

            เมษาขบริมฝีปากแน่น รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแหย่เล่นพูดเกินจริง ทั้งโมโหทั้งขัน อยากหลุดเสียงหัวเราะลั่น พอกับอยากตวาดด่าชายหนุ่มตรงหน้า

            “ห่วงตัวเองก่อนดีกว่ามั้ย” หญิงสาวเลี่ยงพูดเรื่องอื่น “เมื่อวานไปตีกับใครมา...เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”

            “ห่วงเรื่องของฉันด้วย” ยิ้มหยอกล้อ นัยน์ตาพราวใส่หญิงสาว

            “ไม่ห่วงเว้ย” เมษาตีหน้ายักษ์ “คนที่นี่พูดกันให้แซ่ด ต่อให้ขี้เกียจฟังยังไงก็ได้ยิน เรื่องนายใหญ่ศิวาดลโดนผู้ร้ายไล่ยิง แล้วมีพวกลูกจ้างฮีโร่เข้าไปช่วย”

            “ดีใจที่ฉันเป็นฮีโร่เหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงกวนโทสะ

            “ฮีโร่กับแก๊งขี้เมานี่นะ...” วาจาเยาะกันแบบนี้ แสดงว่าได้รายละเอียดมาเกือบหมด

            “เรื่องฮีโร่กับแก๊งขี้เมา ยังไม่สนุกเท่า...สาวใช้กับคุณนายไบโพล่าร์หรอก” พิจิกสวนกลับ

            เมษานิ่งอั้นไม่ตอบโต้ เรื่องที่คิดว่าเป็นความลับ ทำให้หล่อนมีแต้มข้อมูลเหนือกว่าพิจิก กลับถูกอีกฝ่ายล่วงรู้ง่ายดาย

            ก่อนการปะทะคารมจะมียกสองยกสาม...กรรมการไม่ได้รับเชิญก็เข้ามาขอเวลานอก

            “พิจิก เมษาอยู่ด้วยกันก็ดีแล้ว” นายสมยศ พ่อบ้านศิวาดลเดินเข้ามาหา

            “มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ” พิจิกถาม

            “มีทั้งคู่นั่นแหละ”

            “หนูด้วยเหรอ” เมษาตีหน้าซื่อ

            “ใช่...”

            นายสมยศหันไปทางหญิงสาวก่อน

            “เมษา กินข้าวเสร็จแล้ว ขึ้นไปบนตึกใหญ่ด้วยนะ”

            “ขึ้นไปทำอะไรคะ” หญิงสาวถามด้วยสีหน้าใสซื่อ

            “คุณแม่บ้านใหญ่เรียกหา”

            ได้ยินอย่างนี้ ลูกจ้างสาวรีบหุบปากฉับ ไม่กล้าถามอะไรต่อนอกจากตอบรับด้วยอาการสงบเสงี่ยม

            “ค่ะ...”

            คราวนี้หันมาทางลูกจ้างหนุ่ม

            “พิจิก”

            “ครับ”

            “สิบเอ็ดโมงเช้าต้องขึ้นไปที่ตึกใหญ่เหมือนกัน”

            “จะใช้ผมทำอะไรหรือครับ”

            “ตำรวจจะมาสอบปากคำเรื่องเมื่อคืนต่อ...”

            “อูย...แล้วผมต้องไปโรงพักมั้ยเนี่ย”

            “ไม่รู้...คุณศิวาสั่งมาบอกเท่านี้”

            “ครับ...ผม” ชายหนุ่มตอบรับ

            ลับร่างพ่อบ้านศิวาดล สองหนุ่มสาวสบตากันตรง ๆ ต่างฝ่ายมีความลับชั้นเชิงเก็บงำซ่อนเร้นกันและกันไว้ มีรอยท้าทายแฝงอยู่ในแววตาทั้งสองคู่


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เหตุการณ์เมื่อคืน...

            หลังเกิดเหตุผู้ร้ายบุกเข้ามายิงเจ้าของบ้านอย่างอุกอาจกลางดึก ทำร้ายยามหน้าประตูจนไม่รู้ชะตากรรม เสียงปืนปลุกผู้คนในศิวาดล และชาวบ้านบริเวณประตูด้านหลังให้ตื่นขึ้นมา จนหลายคนอดใจไม่ได้ต้องออกมาดู ร่วมรับรู้เหตุการณ์

            รถพยาบาลมาถึงอย่างรวดเร็ว รีบปฐมพยาบาล และนำยามผู้โดนยิงขึ้นรถส่งโรงพยาบาลโดยด่วน กระสุนไม่โดนจุดตาย แต่ทำให้เสียเลือดมาก สภาพอาการเช่นนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าโอกาสรอดกี่เปอร์เซ็นต์

            ตำรวจท้องที่มาตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุในเวลาไล่เลี่ย เก็บปืนที่ตก พร้อมหลักฐานปลอกกระสุนเท่าที่พบ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นครู่ใหญ่แล้วค่อยกลับไป

            กว่าศิวาดลจะสงบ ชาวบ้านใกล้เคียงทยอยกลับจนหมดก็ล่วงเข้าตีสาม ยังดีที่นายศิวารีบโทรศัพท์บอกเล่าเหตุการณ์ให้ภรรยาทราบระหว่างรอรถพยาบาล ตำรวจ และสั่งไม่ให้ลงมาร่วมสังเกตการณ์ ไม่เช่นนั้นอาการป่วยของนายหญิงบ้านใหญ่อาจกำเริบต่อหน้าลูกจ้าง ชาวบ้านใกล้เคียงก็ได้

            ตอนนี้เหลือแค่นายศิวา กับลูกจ้างร่วมเหตุการณ์ ซึ่งแต่ละคนอยู่ในสภาพอิดโรยเต็มที

            “ขอบใจมากนะทุกคน” นายใหญ่ศิวาดลบอก “กลับไปพักผ่อนได้แล้ว พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงาน ฉันให้พักผ่อนวันนึง...แต่อย่าเพิ่งวางแผนออกไปเที่ยวข้างนอกกันล่ะ เห็นว่าพรุ่งนี้ตำรวจอาจจะมาขอสอบถาม พูดคุยเพิ่มเติมอีกหน่อย อยู่ให้ความร่วมมือกันหน่อย”

            “ได้ครับ” นายสันติตอบรับแทนคนอื่น

            “ขอบใจมากสันติ ฝากดูพวกน้อง ๆ มันด้วย มีใครโดนอะไรบ้างหรือเปล่า”

            นายสันติหันไปถามพวกลูกน้องก่อนกลับมาตอบ

            “ไม่มีใครโดนอะไรหนักหนาหรอกครับ อย่างมากแค่ล้มถลอกนิดหน่อย”

            “ไม่โดนปืน โดนมีดของไอ้พวกนั้นกันบ้างเหรอ” นายใหญ่มีอารมณ์หยอกล้อ

            “ไม่หรอกครับ...คุณศิวาเองต่างหาก น่าจะไปหาหมอให้ทำแผลที่แขนสักหน่อย” ลูกจ้างแสดงความเป็นห่วงเจ้านาย

            “โธ่ แค่มีดเฉี่ยวหน่อยเดียว ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”

            ผู้เป็นนายพูดอย่างนั้น ลูกน้องจึงต้องนิ่ง ไม่เซ้าซี้ แยกย้ายกลับที่พัก

            พิจิกขยับตัวจะเดินตามกลุ่มลูกจ้าง กลับถูกนายใหญ่เรียกรั้งเอาไว้

            “พิจิก...อยู่ก่อนสิ”

            ลูกจ้างหนุ่มชะงักเท้า รู้ว่าตอนนี้คงไม่แคล้วโดนซักประวัติ เพราะช่วงหลังเกิดเหตุ นายใหญ่ศิวาดลยังวุ่นวายพูดคุยให้การกับตำรวจ ไม่มีเวลาสนใจลูกจ้างที่เคียงบ่าเคียงไหล่ช่วยชีวิตตนเอง

            กลุ่มลูกจ้างร่วมเหตุการณ์เดินลับตาไปแล้ว ศิวาพยักหน้าเรียกลูกจ้างคนใหม่ให้ไปที่รถกอล์ฟ

            “นั่งรถไปด้วยกัน” คำพูดกึ่งออกคำสั่ง

            “ครับ” ถึงออกจะเกินฐานะลูกจ้างสักหน่อย พิจิกก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งนั้นได้



            ลูกจ้างหนุ่มนั่งเจี๋ยมเจี้ยมตัวลีบบนรถกอล์ฟ โดยผู้เป็นนายจ้างขับรถให้อย่างปลอดโปร่ง สบายอารมณ์ บาดแผลบนต้นแขนไม่หนักหนาอย่างที่คิด เลือดหยุดไหลโดยไม่ต้องทำอะไร

            ระยะทางจากประตูด้านหลังศิวาดลไปถึงตึกที่พักคนงานไม่ไกลเท่าใดนัก เจ้าของศิวาดลกลับจงใจขับอ้อม เลาะกำแพงรั้วเพื่อสำรวจพื้นที่ และยืดเวลาคุยกับลูกจ้างคนใหม่

            “เพิ่งมาทำงานได้สองวันใช่มั้ย” การสัมภาษณ์เริ่มต้น

            “ครับ” ลูกจ้างคนใหม่ตอบถนอมปากคำ

            “เขาให้ขับรถอะไรล่ะ” เจ้านายถามต่อ

            “รถตัดหญ้าครับ” พิจิกตอบซื่อ ๆ

            เสียงหัวเราะขันดังจากผู้เป็นเจ้านาย

            “ขับรถอย่างอื่นเป็นมั้ย” ถามกึ่งหยอกล้อ

            “เป็นครับ” ชายหนุ่มตอบ

            “ขับรถอะไรเป็นบ้าง” ถามแกล้งลองภูมิ

            “รถอีแต๋น รถไถ รถสามล้อ สามล้อเครื่องสกายแลป รถสิบล้อ...” พิจิกจาระไนละเอียดด้วยน้ำเสียงหนุ่มบ้านนา ส่งผลให้นายศิวาหัวเราะเสียงดัง

            “เฮ้ย...แล้วรถเก๋ง รถยนต์อะไรนี่ขับเป็นหรือเปล่า...” ถามทั้งที่รู้ หากชายหนุ่มคนนี้ขับไม่เป็น พ่อบ้านศิวาดลไม่มีทางรับเข้าทำงานแน่นอน

            “เป็นครับ” ตอบเสียงสุภาพ

            “เออดีแล้ว” คนเป็นนายอารมณ์ดี “เอ็งนี่มันตลกดีว่ะ”

            น้ำเสียงนายศิวาบอกความเป็นกันเอง

            “เหรอครับ” ชายหนุ่มตอบแบบไม่รู้สึกตัวจริง ๆ

            “เออ...แล้วเอ็งก็ตาไวด้วย ถ้าไม่เห็นไอ้พวกผู้ร้ายนั่นก่อน จนตะโกนเตือนยามได้ทัน กระสุนนัดต่อไปคงไม่แคล้วเจาะหัวฉันแน่”

            พิจิกสงบปากแสดงอาการถ่อมตัวไม่พูดอะไร

            “เออ แล้วไปฝึกมวยที่ไหน ฝีมือถึงดีขนาดนี้”

            “ที่ค่าย...ครับ” ชายหนุ่มบอกชื่อค่ายมวย

            “เฮ้ยนั่นค่ายมวยดังนี่หว่า” ศิวารู้จัก

            พิจิกไม่โกหก...เขากับเมษาเรียนมวย ฝึกศิลปะการต่อสู้ เทคนิควิชาเอาตัวรอดนอกหลักสูตรจากค่ายมวยชื่อดังแห่งนั้นจริง ๆ หนำซ้ำยังเรียนตัวต่อตัวกับเจ้าของค่ายด้วย

            เจ้าของค่ายมวยดังคนนั้นคือลุงชาติ...คนที่พาสองหนุ่มสาวมาฝากงานในศิวาดลนั่นเอง

            หากนายศิวาเกิดความสงสัยคิดสืบความเป็นมาลูกจ้างคนใหม่ผ่านทางนายสมยศพ่อบ้าน หรือลุงชาติเจ้าของค่ายมวย ก็จะได้คำตอบตรงกัน เพิ่มความน่าเชื่อถือให้หนักแน่นยิ่งขึ้น



            ก่อนลุงชาติจะมาเป็นเจ้าของค่ายมวยดังจังหวัดบ้านเกิด แกเคยเป็นเด็กเกกมะเหรกเกเรมาก่อน ทำมาหากินปากกัดตีนถีบสารพัดตั้งแต่งานสุจริตไปจนถึงลักเล็กขโมยน้อย ฉกชิงวิ่งราว แต่นั่นก็เนื่องด้วยครอบครัวฐานะยากจน ต้องหาเลี้ยงหลายปากท้อง

            สมัยวัยรุ่นเกือบพลาดพลั้งทำผิดในคดีร้ายแรงไปแล้ว ถ้าไม่ได้รับการทัดทาน ช่วยเหลือจากปู่เผด็จ ปู่คงคาเสียก่อน

            ผู้เฒ่าทั้งสองมองเห็นว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้เลวร้ายมาจากเนื้อแท้ หนำซ้ำยังมีจิตใจดีรักครอบครัว ยอมทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูบุพการีที่เจ็บป่วย พี่น้องที่พิการ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ภาระหนักขนาดนี้เกินกำลังเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งจะรับไหว

            ปู่เผด็จ ปู่คงคาจึงช่วยรับอุปการะครอบครัวให้ก่อน และด้วยเห็นแววทางหมัดมวยของเด็กคนนี้จึงส่งให้ไปเรียนและฝึกอยู่ในค่ายมวยดังที่กรุงเทพ ได้ขึ้นชกชนะเกือบทุกสังเวียน เป็นแชมป์มวยไทย และมวยสากลในเวลาต่อมา พอมีเงินทองจุนเจือเลี้ยงดูครอบครัวตนเองได้ไม่ลำบากแล้ว สองผู้เฒ่าจึงค่อยหยุดการอุปการะดูแล

            เมื่อลุงชาติถึงจุดสูงสุดอาชีพนักมวย แกก็แขวนนวมมาเปิดค่ายมวยเอง โดยมีนายทุนใหญ่ร่วมกันสองคนคือปู่เผด็จกับปู่คงคา

            ค่ายมวยลุงชาติตั้งมายี่สิบกว่าปี สร้างนักมวยขึ้นเป็นแชมป์อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย นับเป็นค่ายมวยชื่อดังทั้งในระดับจังหวัด และระดับประเทศ

            เมื่อหลานรักของผู้มีพระคุณทั้งสองมาศึกษา เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ มวยไทย และวิชานอกหลักสูตรในการเอาตัวรอดต่าง ๆ เจ้าของค่ายมวยจึงเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้เองทั้งหมดโดยไม่เก็บงำ

            แม้ช่วงสิบกว่าปีหลังมานี้ ผู้มีพระคุณทั้งสองจะไม่ลงรอยกัน ค่ายมวยลุงชาติก็เป็นเหมือนเขตปลอดอาวุธ พื้นที่พักรบ สงบศึก สองผู้เฒ่าไม่ก้าวก่าย วุ่นวาย พิจิก เมษามาร่ำเรียน ฝึกฝนตามปกติเหมือนเดิม เพียงแต่คนละช่วงเวลา ไม่ได้เรียนร่วมกันอย่างแต่ก่อนอีกต่อไป...



            นายศิวาขับรถบนถนนรอบศิวาดล ระหว่างทางพยายามชวนลูกจ้างคนใหม่คุยด้วยเรื่องต่าง ๆ หาช่องว่างสังเกตพิรุธที่อีกฝ่ายอาจหลุดออกมาให้เห็น รู้สึกได้

            ความที่เป็นนักธุรกิจ มีศัตรูมาก รู้จักคนไม่น้อย อ่านคนเป็น จึงทำให้นึกสงสัยลูกจ้างหนุ่ม รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณดี มีฝีมือทางหมัดมวยระดับเยี่ยม มีสติรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้ ไม่น่ามาสมัครงานแค่คนขับรถ!

            เวลานี้นายศิวารู้ว่าตนอยู่ในจุดล่อแหลม มีศัตรูทางธุรกิจที่กำลังคั่งแค้น ถึงขนาดส่งมือปืนมาทำร้าย หวังให้ตายด้วยกระสุนนัดเดียว ทำให้ยากไว้ใจใครง่าย ๆ ต่อหน้าลูกจ้างคนใหม่อาจพูดจากันเอง เหมือนไม่ติดใจสงสัยอะไร ในใจกลับมีความระวังตัว สงสัย หวาดระแวง จนต้องดึงมาคุยส่วนตัวหาร่องรอยพิรุธ

            ทว่า...ยิ่งคุยกับลูกจ้างหนุ่มมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่มีพิรุธ ไม่พูดจาโกหก โป้ปดสักคำเดียว ทุกคำที่พูดมีแต่ความซื่อตรงแบบชาวบ้าน ปราศจากลูกไม้ เล่ห์คารมใดให้จับผิดได้ จนในใจค่อยคลายความระแวงสงสัยไปได้บางส่วน

            “ที่บ้านทำอาชีพอะไร?” ถามแบบชวนคุย

            “บ้านมีที่นาครับ” ตอบตรง ๆ

            “ทำนาเองเหรอ”

            “ก็...จ้างเขาทำบ้าง แบ่งให้คนอื่นเช่าทำนาบ้าง”

            “จ้างเขาทำนาได้ ก็ไม่ลำบากล่ะสิ”

            “ไม่ลำบากครับ” ตอบแบบไม่ปิดบัง

            “อ้าว...แล้วมาทำงานที่นี่ทำไม”

            “ผมไม่อยากทำนานี่ครับ” ตอบทื่อตรง จนคนถามรู้ว่าไม่ได้โกหกแน่ ๆ

            กระทั่งขับรถมาจอดถึงหน้าตึกพักคนงานชาย เจ้าของศิวาดลก็ยังไม่อาจจับคำโกหก บิดเบือน หรือวาจาคำพูดที่ไม่สมเหตุผลของลูกจ้างคนใหม่ได้เลย

            “ขอบคุณครับท่าน” พิจิกลงจากรถ ยกมือไหว้

            “ไม่เป็นไร ไปนอนพักผ่อนเถอะ...พรุ่งนี้ไม่ต้องทำงานก็จริง แต่ตำรวจเขาอาจเรียกพวกเอ็งไปสอบถามเรื่องคดีเพิ่มเติมเหมือนกัน”

            “ครับ”

            “อ้อ...แล้วต้องขอบใจอีกครั้ง ที่ช่วยฉันไว้วันนี้ ถ้าไม่ได้เอ็งช่วยต้องแย่แน่ ๆ”

            พิจิกยิ้มกว้าง นัยน์ตาซื่อ แลตรงสบตอบเจ้านาย

            “ไม่เป็นไรครับ”

            นายใหญ่ศิวาดลพยักหน้ารับ ริ้วรอยสงสัย ไม่วางใจจางลงจากแววตา ขับรถจากไปโดยความติดค้างในใจลดน้อยลง

            พิจิกอมยิ้ม มองตามหลังรถด้วยแววตารู้เท่าทัน นายศิวาสงสัยเขา...ถ้าชายหนุ่มทำตัวเหมือนลูกจ้างคนอื่น ขาดสติ ทำตัวไม่ถูก แทนที่จะตะโกนเตือนยามให้ระวังตัว นายใหญ่ศิวาดลคงไม่สงสัยขนาดนี้

            ระหว่างการพูดคุย ซักถามมากมาย พิจิกเกือบหลุดวาจาโกหก เสแสร้ง บิดเบือนไปแล้ว แต่ด้วยตั้งใจมั่นในการรักษาศีล ๕ ตามที่เคยรับปากปู่เอาไว้ จึงพยายามตั้งสติ คิดถึงคำสอนของปู่...



            “ถ้าเราจะรักษาศีล ๕ ในโลกแบบนี้ให้ได้ มันต้องฉลาดพอ มีสติ ปัญญาเอาตัวรอด...อาจไม่บริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีบกพร่อง ด่างพร้อยบ้าง...แต่อย่าให้ถึงขั้นศีลขาดกระจุย!”



            ด้วยความที่รักษาศีลมาตั้งแต่เล็ก ได้รับคำแนะนำจากผู้มีสติปัญญาอย่างคุณปู่ ผู้ผ่านประสบการณ์สุ่มเสี่ยงในการผิดศีลมาหลายครั้ง จึงมีวิธีเอาตัวรอด หลีกเลี่ยงจากการผิดศีลมาได้

            การพูดคุยกับนายศิวาครั้งนี้ พิจิกจึงไม่มีวาจาโป้ปดสักคำ แต่เขาฉลาดที่จะหลีกเลี่ยง ตอบความจริงในบางส่วนให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือพอ ใช้วาจาเบี่ยงประเด็น ตอบไม่ตรงคำถามแบบหน้าซื่อ ๆ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่อาจหาร่องรอยพิรุธใดได้

            ‘ความจริง’ ทั้งหมดที่พูดออกมา จึงมีน้ำหนักมากพอทำให้คนช่างระแวงอย่างนายศิวาเกิดความวางใจลูกจ้างคนใหม่ขึ้นมาบ้าง อาจไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง

            นายใหญ่ศิวาดลไม่อาจรู้เลยว่า ระหว่างตนสัมภาษณ์ จับผิดลูกจ้างคนใหม่ ตนเองก็ถูกอีกฝ่ายสังเกต ประเมินรายละเอียดด้วยเช่นกัน

            พิจิกได้ข้อสรุปเจ้าของศิวาดลว่า...เป็นผู้ชายอายุห้าสิบเศษที่แข็งแรงไม่แพ้คนหนุ่ม การไม่แยแสบาดแผลที่ได้รับแสดงว่า เคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาในระดับหนึ่ง ความระแวง สงสัยคนรอบตัวแบบนี้ แสดงว่าธุรกิจของตนต้องสร้างศัตรูไม่น้อย และการที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ นับเป็นมหาเศรษฐีที่ไม่ธรรมดาทีเดียว

            ชายหนุ่มสนใจสังเกตเหรียญตัวอักษรโบราณที่นายศิวาคล้องคอเป็นพิเศษ พลังปราณกล้าแข็งขนาดนั้นนับว่าหาได้ยาก ลักษณะเหรียญบอกว่าน่าจะทำมาเฉพาะไม่กี่องค์

            พิจิกอยากรู้ว่า...นายศิวาได้เหรียญชิ้นนี้มาจากไหน...ตั้งแต่เมื่อไหร่?



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP