สารส่องใจ Enlightenment

ภาวนา – สมาธิ (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
อบรมพระภิกษุสามเณร ณ วัดเจริญสมณกิจ จังหวัดภูเก็ต
เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๐๖ ตอนค่ำ




ภาวนา-สมาธิ (ตอนที่ ๑) (คลิก)



ผู้ไม่เข้าใจเรื่องภาวนามักจะสงสัยต่างๆ นานา
แล้วก็ปรุงแต่งไปว่าภาวนาจะต้องเป็นอย่างนั้น เห็นอย่างนี้
แล้วจัดระดับชั้นภูมิของตนๆ ไว้ก่อนภาวนา
เมื่อจิตไม่เป็นไปตามสังขาร ก็เลยฟุ้งซ่านเกิดความรำคาญ
สังขารเป็นผู้ลวง จะไปแต่งภาวนาไม่ได้
โดยเฉพาะแล้ว สังขารเป็นอุปสรรคแก่การภาวนาอย่างยิ่ง
ฉะนั้นเมื่อยังละสังขารไม่ได้ตราบใดแล้ว
ไม่มีหวังจะได้ประสบรสชาติของการภาวนาเลย



ที่สุดฟังเทศน์หรือยกอุบายใดขึ้นมาพิจารณาก็ไม่เป็นผล มีแต่ความลังเลใจ
ธรรมทั้งหลายแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ก็จะไม่มีคุณค่าแก่เขา
แม้เท่าที่เขาได้ส่ายตาไปมองดูรูปที่สวยๆ ขณะแวบเดียว
ผู้ที่ท่านช่างคิดค้นหาข้อเท็จจริงทั้งหลาย ท่านไม่ใช้สัญญาออกหน้า
แต่ท่านใช้เหตุผลและปรากฏการณ์เฉพาะหน้า
เข้าค้นคว้าพิจารณา จึงได้ผลสมประสงค์



ธรรมหรือวิธีเจริญกัมมัฏฐานมิใช่เป็นของมีโครงการอะไร
ขอแต่ให้หยิบยกเอาเหตุผลหรือสิ่งปรากฏการณ์นั้นๆ
มาพิจารณาให้เข้าถึงหลักของจริง ก็เป็นอันใช้ได้
ที่มีพิธีรีตรองและโครงการมากๆ นั้น
ล้วนแล้วแต่ว่าตามความจริงของท่านที่ท่านได้ทำสำเร็จมาแล้วทั้งนั้น
ฉะนั้นยิ่งนานและมีผู้ค้นพบของจริงมากเข้าเท่าไร
วิธีและโครงการหรือตำราก็ยิ่งมากขึ้นจนผู้ศึกษาภายหลังทำตามไม่ถูก
ก็เลยชักให้สงสัย บางคนพาลหาว่าตำราไม่ได้เรื่องอย่างนี้ก็มี



ถ้าหากทำตามดังแสดงมาแล้ว คือยกเอาของจริง เช่น เกิด-แก่-เจ็บ-ตาย
ขึ้นมาพิจารณาให้เห็นเป็นจริง จนเป็นภาวนาสมาธิขึ้นมาแล้ว
โครงการหรือวิธีทั้งหลายแหล่จะมากสักเท่าไร ก็เป็นแต่เพียงกระจกเงาเท่านั้น หาใช่ตัวจริงไม่
ด้วยเหตุนี้สาวกของพระพุทธองค์จึงได้สำเร็จมรรคผลด้วยอุบายแปลกๆ ไม่เหมือนกัน
ขนาดแสงไฟในดวงเทียนจะมีธรรมอะไร ใครๆ เขาก็ใช้กันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง
ก็ไม่เห็นจะวิเศษวิโสได้สำเร็จมรรคผลอะไร



แต่ภิกษุณีชื่อปฏาจารา จุดเทียนบูชาในวิหารแล้วเพ่งดูแสงเทียน
ยึดเอาอาการแสงเทียนพลุ่งขึ้นด้วยกำลังแรงไฟ
แล้วย่อยยับๆ ลงมาด้วยความอ่อนกำลังของมันเองอยู่อย่างนั้นเป็นอารมณ์
น้อมเข้ามาเทียบกับอายุขัยและวัยในอัตภาพของตน
จนเห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในสังขารทั้งหลาย
ที่สุดจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์เพราะไฟนั้น
นี้เป็นตัวอย่าง ท่านยกเอาแสงเทียนขึ้นมาพิจารณา เห็นเป็นของไม่เที่ยง
ตามลักษณะที่มันพลุ่งขึ้นแล้วย่อยยับๆ หดตัวลงตามความเป็นจริง
แล้วหมดความลังเลสงสัยในธรรมทั้งปวง
ธรรมอื่นๆ ไม่ต้องไปตามพิจารณา แต่มันมาปรากฏชัดในที่แห่งเดียวแล้ว



บัณฑิตสามเณรลูกศิษย์ของท่านพระสารีบุตร
ท่านเห็นเขาไขน้ำใส่นามันไหลไปตามเหมือง
ท่านนำมาพิจารณาว่าน้ำเป็นของไม่มีจิตใจ แต่ก็ไหลไปตามคลองได้ตามประสงค์
จิตของเราเมื่อทรมานให้อยู่ในอำนาจก็จะทำได้
เห็นเขาถากไม้ ดัดลูกศร เขาหลิ่วตาข้างเดียวดูที่คดที่ตรง
ท่านก็นำมาพิจารณาว่าผู้ฝึกจิตถ้าทำจิตให้มีอารมณ์หลายอย่างก็จะสงบไม่ได้
และไม่เห็นสภาพของจิตตามเป็นจริง
ถ้าทำจิตให้ดิ่งแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียวกันแล้ว
จิตก็มีกำลังเบ่งรัศมีแห่งความสว่างออกมาเต็มที่
มองสภาพของจิตตามเป็นจริงได้
ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นกิเลส อะไรเป็นของควรละ

ผลที่สุดท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เพราะอุบายอันนั้น



นี่แหละความละเอียดและเป็นธรรมมิใช่อยู่ที่อุบาย
แต่อยู่ที่จิตอบรมถูก จนจิตเป็นภาวนาสมาธิแล้ว
อุบายทั้งหลายที่หยิบยกขึ้นมาพิจารณานั้นไม่ว่าหยาบและละเอียด
ก็จะได้ปัญญา มีคุณค่าให้สำเร็จมรรคผลเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน

ฉะนั้น ทุกๆ คนเมื่อเราหยิบยกเอาอุบายอันใดขึ้นมาพิจารณา
เห็นชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว แม้แต่ครั้งเดียวก็ตาม
ขออย่าได้ทอดทิ้ง ให้นำเอาอุบายนั้นแหละมาพิจารณาอีก
จิตจะเป็นอย่างที่เคยเป็นมาแล้วหรือไม่ก็ตาม ขอได้ทำเรื่อยไปจนให้ชำนาญ



ข้อที่ควรระวังก็คืออย่าให้เกิดความโลภในอุบายภาวนา
เมื่อภาวนาไม่เป็นก็ยิ่งโลภใหญ่ อยากได้แต่อุบาย
เห็นว่าอันนี้ไม่ดี อันอื่นจะดีกว่า แล้วก็ส่ายหาหยิบเอาโน่นบ้างนี่บ้างมาพิจารณา
เจริญสมถะเห็นว่าเป็นของทึบ เป็นคนโง่บ้าง เจริญวิปัสสนาสำเร็จเร็ว อะไรต่ออะไร
ผลที่สุดเอาอะไรเป็นแก่นสารไม่ได้
ความโลภและความเป็นคนรู้มาก เป็นภัยแก่การภาวนาอย่างยิ่ง
ได้เคยอธิบายให้ฟังมามากแล้วว่า อย่าเป็นคนมักมากในอุบายภาวนา
เมื่ออุบายใดได้แล้วขอให้เจริญอยู่ในอุบายนั้นเรื่อยๆ ไป
อุบายใดเป็นเหตุให้เราชอบคิดและสนใจ ซึ่งเป็นของมีอยู่ในตัวของเรานี้
อันนั้นแหละเป็นของควรเจริญ
เช่นความแก่ เจ็บ ตาย และทุกข์ทั้งหลายที่เราได้ประสบอยู่เสมอๆ
ที่จริงเรื่องเหล่านี้เป็นอุบายภาวนาที่ดีที่สุด
และเราทุกคนเคยได้กำหนดพิจารณามาแล้ว
โดยตัวของท่านไม่รู้ว่าเราเจริญภาวนาอยู่แล้ว
เพราะเป็นของง่าย ประสบอยู่กับตัวเอง
ก็เลยเห็นเป็นของไม่สำคัญอะไร ไม่ดำเนินติดต่อ ทิ้งเสีย
แล้วไปแสวงหาอุบายอันหาสาระมิได้อันอื่นโน้น ผลที่สุดก็เหลว
ของง่ายๆ มีอยู่ภายในกายในใจ เป็นของมีคุณค่ามาก



นะโม, พุทธัง, อะระหัง เป็นบทเรียนเบื้องต้น
ของการจะบำเพ็ญคุณงามความดีในพุทธศาสนาทั้งผอง
เพราะเป็นเบื้องต้นและเห็นเป็นของง่าย
จึงได้กลายเป็นขี้ปากของพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเสีย
สวดไปเถิดกี่จบๆ ก็หาได้รู้ไม่ว่าเรากล่าวอะไร ว่าอะไร เพื่อประโยชน์และสำคัญอย่างไรฯ



ฉะนั้น โบราณาจารย์ท่านจึงมีวิธีสอนกัมมัฏฐานหลายอย่าง
เช่นสอนให้พิจารณาปัญจกัมมัฏฐาน ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ
เมื่อว่าเสียจนชินคล่องปากคล่องใจ แต่ยังไม่เกิดความสนใจ
ท่านจึงให้พิจารณาทวนถอยหลังอีกว่าตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา
ถ้ายังไม่ได้ผลจิตยังไม่จดจ่ออยู่เฉพาะ
ท่านให้ว่าแยกคือว่าเกสา นขา ตโจ ข้ามกันไปสลับกันมาอย่างนี้ เป็นต้น
ส่วนพิจารณาอานาปานสติก็ทำนองเดียวกัน
สรุปความแล้วว่าทำอย่างไรจิตใจจะจดจ่ออยู่เฉพาะในอุบายนั้นๆ เท่านั้น



เมื่อสิ่งใดเป็นของง่ายเราก็ไม่สนใจ
ฉะนั้นท่านจึงมีวิธีทำให้ยากขึ้นเพื่อจะได้สนใจ
แล้วจิตจะได้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว เป็นภาวนาสมาธิ นี่เป็นเบื้องต้น
เมื่อเราทำไปจนชำนาญ คือชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น จนเป็นเหตุให้จิตหยุดนิ่ง
เพ่งพิจารณาอยู่เฉพาะในอารมณ์เดียว ที่เป็นอารมณ์กัมมัฏฐานของตนโดยเฉพาะ
ซึ่งมีปัญญาญาณเป็นเหมือนกับประทีปตามส่อง ให้พิจารณาอยู่ในที่ทุกสถาน



นี่เป็นผลของความชำนาญในการพิจารณาดังกล่าวแล้ว
ถ้าปัญญาญาณดังว่านั้นไม่มี ไม่เกิดขึ้นในที่นั้น
เป็นแต่เพ่งพิจารณาอยู่เฉพาะอารมณ์กัมมัฏฐานของตน
คือ มิได้ยึดเอาความรู้และอุบายของใครมาพิจารณา
แต่มันเป็นความรู้ความชัดเจนของมันเองอยู่อย่างนั้นแล้ว
จิตจะรวมใหญ่
คือมีการวูบวาบเข้าไปแล้วตั้งเฉยอยู่
ถ้าหากสติอ่อนอาจลืมตัวเข้าภวังค์เลย
ถ้าสติยังกล้าอยู่จะเพียงแต่นิ่งเฉยโดยปราศจากนิวรณ์ทั้งหมด
จะถึงอัปปนาสมาธิได้ก็ตอนนี้

สมาธิตอนนี้มีเรื่องวิจิตรพิสดาร เมื่อนำมาอธิบายก็จะมากเกินต้องการ



ที่แสดงมานี้เพื่อให้เห็นความสำคัญของการยกเอาของอันเดียว
ไม่โลภในอุบายภาวนา แต่เจริญภาวนาให้ชำนาญเท่านั้น

ความชำนาญเป็นของสำคัญมาก
ตามหลักท่านเรียกว่าวสี มี ๕ อย่างด้วยกัน คือ
ชำนาญในการยกอุบายอะไรขึ้นมาพิจารณาก็ได้ทันท่วงที ๑
ชำนาญในการเข้าสมาธิ ๑
ในการออกจากสมาธิ ๑
ในการตั้งอยู่ของสมาธิ ๑
ในการกำหนดรู้อารมณ์ของสมาธิ ๑



ความชำนาญนี้ถึงแม้ไม่ครบทั้ง ๕ ชำนาญแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็ยังสามารถภาวนาสมาธิให้มั่นคงอยู่ได้ นี่ว่าตามวิถีของสมาธิ
ถ้าจะว่าตามวิถีของปัญญาแล้ว ผู้ได้ปัญญาอันเกิดจากสัมมาสมาธิ
พิจารณาเห็นสรรพสังขารทั้งหลายตกลงปลงสู่พระไตรลักษณญาณแล้ว
ถึงแม้อุบายนั้นจะเกิดโดยวิธีใดก็ตาม
ไม่ว่าหยาบหรือละเอียด ภายในหรือภายนอก
ปัญญาดวงนั้นจะต้องเอามาตัดสิน
ลงสู่พระไตรลักษณะเหมือนกันทั้งหมด ไม่ผิดแปลกกันเลย



พระไตรลักษณญาณ เป็นเหมือนกับยานพาหนะของพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย
อุบายภาวนาสมาธิถึงแม้จะมีมากอย่างแปลกต่างออกไป
ก็เป็นไปตามวิถีของอุบายภาวนาสมาธิเท่านั้น
แต่ปัญญาต้องมีพระไตรลักษณญาณเป็นหลักยืนโรง เป็นเครื่องตัดสิน
อนึ่ง ขอแนะไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่าภาวนาสมาธินี้
ถ้าเราฝึกหัดเพื่อใช้ประโยชน์ส่วนอื่น
หรือเพื่อเพียงปาฏิหาริย์อำนาจศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียวแล้ว
พึงหัดให้ชำนาญในวสี ๕ ดังแสดงมาแล้ว จึงจะสำเร็จ
แต่ไม่เข้าถึงปัญญาดังกล่าวแล้ว
เพราะปัญญาญาณเป็นโลกุตระ – ทางให้พ้นทุกข์



ฉะนั้น อุบายภาวนาสมาธิจึงไม่จำเป็นให้เกิดอยู่เฉพาะในขอบเขตจำกัดอย่างเดียว
จะเกิดโดยวิธีใดๆ ก็ตาม
ถ้ามีพระไตรลักษณญาณเป็นเครื่องตัดสินอยู่ตลอดเวลาแล้วเป็นอันใช้ได้
อุบายภาวนาสมาธิที่เกิดในวิถีต่างๆ กัน
เช่น เกิดจากตาเห็นรูป หูฟังเสียงเป็นต้น ก็ดี
หรือจิตที่เป็นภาวนาสมาธิแปลกๆ ต่างๆ หยาบละเอียดไม่เหมือนกัน ก็ดี
แทนที่จะเป็นเครื่องบั่นทอนอุบายภาวนาสมาธิ หรือปัญญาให้เสื่อมทรามลง
แต่กลับให้เป็นผู้ฉลาดในอุบาย และรู้รสชาติของวิถีของภาวนาสมาธิ
ตลอดถึงเป็นการชำนาญอาจหาญ
ในการใช้พระไตรลักษณญาณเป็นเครื่องตัดสินอีกด้วย



นักปฏิบัติที่ปฏิบัติมานานๆ แล้ว ภายหลังกลับเสื่อมเสีย
ก็เพราะเหตุไม่ชำนาญในวสี ๕
และไม่เข้าใจในเรื่องความเปลี่ยนแปลงของอุบายภาวนาสมาธิ
หรือบางทีก็ไปหลงในฤทธิ์ ในปาฏิหาริย์ความศักดิ์สิทธิ์
จนเลยเถิด เข้าสมาธิดังเดิมไม่ได้
ถึงแม้ผู้มีปัญญาญาณใช้พระไตรลักษณ์เป็นเครื่องตัดสินในทุกกรณีก็ตาม
แต่เมื่อจิตเปลี่ยนสภาพ คือมีอาการไม่คงที่เช่นเคย
ก็ยังเกิดสงสัย เข้าใจว่าจิตของตนเสื่อมเสียแล้ว



ฉะนั้น จึงขอสรุปความย่อเพื่อจำง่ายอีกทีว่า
การฟังเทศน์ในแนวภาวนาที่จะให้เข้าใจดี
ต้องภาวนาเป็นเสียก่อน
ถ้ามิฉะนั้นจะไม่หยุดสงสัย
อุบายภาวนาอะไรก็ได้
ขอให้ตั้งใจจดจ่อคิดค้นหาเหตุผลของจริงในสิ่งที่ได้ประสบ
แล้วน้อมเข้ามาพิจารณาให้เห็นชัดแจ้งภายในตัวของตนจนเป็นสัจธรรม
อุบายทั้งหลายขออย่าได้ส่งไปภายนอก
จงหาเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวของเรา เช่น ความเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย เป็นต้น
ถึงอุบายภายนอกจะเกิดขึ้นก็ให้น้อมเข้ามาในตัว



การหัดภาวนามีวิธี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งปล่อยวางเอาเฉยๆ
ไม่ให้จิตไปเกาะเกี่ยวอะไรทั้งหมด ทำให้จิตว่างเปล่าๆ เฉยๆ
วิธีนี้ทำได้ง่าย แต่ได้ชั่วขณะหนึ่ง
แล้วจิตก็จะส่ายไปตามอารมณ์ที่ชอบใจเรียกว่า สมถะ โดยเฉพาะ
อีกวิธีหนึ่ง ต้องหยิบยกเอาอารมณ์สิ่งที่เราชอบมาคิดค้น
เป็นต้นว่า ทุกข์ ซึ่งเราได้เคยประสบมาแล้ว
มาคิดค้นจนจิตจดจ่ออยู่เฉพาะในเรื่องเดียวนั้น
นี่เป็นการทำ สมถะ วิปัสสนา ไปพร้อมกันในตัว
วิธีนี้จิตจะหยาบหรือละเอียดก็มีหลักหนักแน่นอยู่ได้นาน
ข้อสำคัญขอให้เข้าใจว่า การที่เราหยิบเอาทุกข์ เป็นต้น ขึ้นมาพิจารณาอยู่นั้น
มันเป็นการภาวนาและเป็นธรรม
แล้วพอใจในการที่เราทำถูกต้องนั้น อย่าได้สงสัย ส่ายหาอุบายโน่นนี่อื่นอีก



ข้อสำคัญประการสุดท้าย
ใครจะหัดภาวนาทำสมาธิแบบไหน ได้อุบายอย่างไรก็ตาม ขอได้ทำให้ชำนาญ
ถ้าหัดให้ชำนาญแล้วจะใช้ในทางอำนาจปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างไร
ก็ย่อมได้สมประสงค์ แต่เป็นไปในทางโลก
ถ้าเป็นไปในทางธรรมแล้ว
อุบายภาวนาสมาธินั้นจะเป็นอย่างนั้นยืนตัวหรือไม่ก็ตาม
แต่จะต้องมีปัญญาญาณใช้พระไตรลักษณ์ตัดสินอยู่เสมอ
อุบายใดจะเกิดขึ้นโดยวิธีใด ภายนอกภายใน หยาบละเอียดไม่ว่า
อุบายนั้นจะต้องลงมาตัดสินด้วยพระไตรลักษณญาณเสมอ
เมื่อเป็นเช่นนั้นขออย่าได้สงสัยว่า
ทำไมหนอจิตของเราไม่ยึดอุบายเก่าคงที่ละเอียดตามเดิม
เรื่องนี้มันมีเหตุผลมากอย่าง ดังที่อธิบายมาโดยย่อแล้ว
จะเห็นได้เพราะอารมณ์ การสำรวม ความกล้าหาญ การตั้งสติ เป็นต้น
ในเบื้องต้นก่อนที่เราจะทำภาวนาเข้าสมาธิ
ถึงอย่างไรๆ เมื่อมีพระไตรลักษณญาณเป็นพนักงานควบคุมตัดสินอยู่แล้ว
ขออย่าได้สงสัย



อธิบายมาวันนี้ พูดถึงสมาธิภาวนาโดยเฉพาะ แต่ก็เห็นว่ายืดยาวพอควร
หากพากันภาวนาเป็นไปแล้วก็จะพอจับเค้าความได้ และดำเนินตามโดยไม่ผิดพลาด
แล้วสามารถจะรักษาสมาธิภาวนาของตนไว้ให้มั่นคงต่อไป



แสดงมาด้วยประการ ฉะนี้ฯ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจากพระธรรมเทศนา ภาวนา - สมาธิ
ใน
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๑๐ โดย ปฐมและภัทรา นิคมานนท์
ฉบับพิมพ์เมื่อสิงหาคม ๒๕๕๒.



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP