วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๘



cover siwadol

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๕



            ชั้นสามคฤหาสน์ศิวาดลตกแต่งเรียบ หรู โดดเด่นมีสไตล์เฉพาะตัวตั้งแต่พื้นหินอ่อนสีขาวอมชมพูน้อย ๆ นำเข้าจากต่างประเทศ เสาประดับโคมไฟงดงาม กลมกลืนไม่ขัดตา ผนังด้านที่สะดุดตาจะประดับด้วยภาพเขียนสีน้ำมันจากจิตรกรมีชื่อเสียง

            การจัดสัดส่วนห้องหับต่าง ๆ ดูโปร่งสบายตา บางจุดเล่นระดับอย่างมีศิลปะ ประกอบกับการใช้กระจกหน้าต่างยาวจดพื้นรับแสงสว่าง ช่วยให้ทั้งบริเวณดูไม่มืดหม่น ทึบแน่นทั้งที่เป็นเวลาเย็นย่ำ การระบายอากาศถูกวางผังอย่างดีทำให้อากาศไหลเวียนปลอดโปร่ง ไม่อึดอัด

            ทางฝั่งปีกตึกไม่ได้ใช้งาน ด้านของคุณดลดาราก็ดูไม่มืดทะมึนน่ากลัว หนำซ้ำมองเข้าไปแล้วรู้สึกถึงชีวิตชีวา พร้อมเปิดรอให้ผู้คนย่างกรายไปเยี่ยมเยียน

            เมษาจัดอาหารใส่รถเข็นเสร็จ เหลือบตามองปีกตึกฝั่งดลดาราชั่วแวบ แผ่จิตสัมผัสออกไป รู้สึกถึงการมีอยู่ของผู้สรรค์สร้างคฤหาสน์หลังนี้ ‘เธอ’ ไม่ได้หายไปไหน แค่อยู่ในภพอะไรบางอย่างที่หญิงสาวหาคำจำกัดความชี้ชัดไม่ได้

            การที่เธอไม่ปรากฏตัวให้เห็น ไม่แปลว่าเธอหายสาบสูญ หรืออยู่สัมปรายภพอันแสนไกล พันธนาการศิวาดลร้อยรัดเธอไว้ อีกทั้ง ‘บางสิ่ง’ ในศิวาดล ‘คลับคล้าย’ ควบคุมเธออยู่

            หญิงสาวระบายลมหายใจผะแผ่ว เวลาชั่วแวบที่ใช้สายตามอง เปิดจิตสัมผัสออก ช่วยให้รับรู้ถึงอดีตนายหญิงศิวาดลพอสมควร...แต่เวลานี้...การเผชิญหน้ากับนายหญิงคนปัจจุบันสำคัญกว่า

            การที่ลูกจ้างสาว รวมถึงแม่ครัวบ้านใหญ่หลีกเลี่ยงการขึ้นมาส่งอาหารคุณแพรพลอย ถึงขนาดต้องไปตามลูกจ้างใหม่อย่างเธอ...แสดงว่า...งานที่ดูง่ายดายนี้ มันต้องมีปัญหาแอบแฝง

            เมษาไม่กลัวการเผชิญหน้านายหญิงแพรพลอย เธอกำลังวางแผนในใจเงียบ ๆ ว่าจะเข้าไปหาหญิงสาวเจ้าของบ้านคนนี้ ในฐานะ ‘ลูกจ้างบ้านนอก’ อย่างไร?


  
            เสียงรถเข็นอาหารเคลื่อนช้า ๆ ล้อรถกระทบพื้นหินอ่อนเป็นจังหวะ บังเกิดเสียงกังวานท่ามกลางความเงียบงัน

            แกร้ก...แกร้ก...แกร้ก...

            ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

            “อาหารเย็นค่ะคุณพลอย”

            เคาะประตูสามครั้ง พร้อมส่งเสียงบอกล่วงหน้า เป็นสิ่งที่ป้าเพลิน แม่ครัวบ้านใหญ่กำชับหนักหนา อีกทั้งยังเตือนว่า ควรเรียกนายหญิงแห่งศิวาดลว่า ‘คุณพลอย’ แทนคำว่า ‘คุณนาย’

            “เข้ามาได้จ้ะ” เสียงตอบสดใส อารมณ์ดี

            เมษาเปิดประตูเข้าไป พบห้องกว้างเพดานสูงโปร่ง แบ่งสัดส่วนเป็นห้องนั่งเล่น โต๊ะอาหาร หน้าต่างด้านหนึ่งเป็นกระจกยาว เปิดให้เห็นทะเลสาบด้านหลังคฤหาสน์ ซึ่งดูสวยงามยามสะท้อนแสงไฟประดับโดยรอบ

            คุณแพรพลอยเป็นหญิงสาวสวย อายุจริงย่างเข้าสามสิบเศษ ดวงหน้าผุดผาด สดใส ดวงตาเป็นประกายสวย จมูกปากได้รูป ยามส่งรอยยิ้มจะเห็นปลายเขี้ยวเล็ก ๆ สร้างเสน่ห์ทำให้ผู้พบเห็นคิดว่าเธอเป็นสาววัยรุ่น อายุไม่เกินยี่สิบต้น ๆ

            เมษานำอาหารออกมาวางเรียงบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบตามคำแนะนำของป้าเพลิน รู้สึกถึงสายตาเจ้าของห้องจับจ้องด้านหลังหล่อนเขม็ง ชนิดไม่ยอมกะพริบ

            “เธอเพิ่งมาใหม่เหรอ ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน” เสียงทักดังขึ้น

            ลูกจ้างสาวค่อยหันหลังกลับ ท่าทางสงบเสงี่ยม ก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนตอบ

            “ค่ะ...หนูชื่อเมษา เพิ่งมาทำงานได้สองวัน”

            “อ๋อ...” เสียงตอบกังวานใส ร่างโปร่งบางลุกจากเก้าอี้ เสื้อผ้าที่ใส่พลิ้วไหวขับให้เจ้าของห้องดูสบาย ๆ เป็นกันเอง

            “เพิ่งมาได้สองวันเอง” เสียงใสพูดอย่างอารมณ์ดี “แต่จะว่าไปนะ...ลูกจ้างที่นี่เยอะมาก บางคนมาอยู่เป็นเดือนแล้ว ฉันยังไม่เคยเห็นหน้าก็มี”

            เมษาเห็นว่านั่นไม่ใช่คำถาม จึงไม่เอ่ยปากตอบ จัดอาหารเสร็จก็ส่งรอยยิ้มเชิญเจ้าของห้อง ก่อนขยับตัวออกจากโต๊ะอาหาร ปล่อยให้นายหญิงของบ้านเข้านั่งประจำที่

            “ป้าเข็มไปไหนล่ะ” คุณแพรพลอยเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งเรียบร้อย

            “เอ่อ...ไม่ทราบค่ะ” ตั้งแต่เมษาถูกตามมาครัวบ้านใหญ่ รับคำสั่ง คำแนะนำจากป้าเพลิน จนกระทั่งนำอาหารขึ้นมาเสิร์ฟบนห้อง เธอยังไม่เห็นคุณแม่บ้านใหญ่แม้แต่เงา กระทั่งลูกจ้าง แม่ครัวที่นี่ก็ไม่พูดถึง

            “อ๋อ...อย่างนั้นเหรอ” คุณแพรพลอยพึมพำไม่ใส่ใจ สายตามองอาหารมื้อเย็นบนโต๊ะด้วยแววตาแปลก ใช้ช้อนเขี่ย ๆ คน ๆ เล็กน้อยแล้ววางลงดังแกร๊ง...

            “ของกินเยอะขนาดนี้ ฉันกินไม่หมดหรอก” นายหญิงศิวาดลเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มประหลาด

            “คะ...ค่ะ” เมษาตอบรับไม่ถูก ฉุกใจคิดได้...

            การที่พวกลูกจ้าง แม่ครัวไม่กล้าขึ้นมาเสิร์ฟอาหารบนนี้ มันต้องมีสาเหตุสำคัญ และสาเหตุนั้นอาจอยู่ที่ตัวนายหญิงของบ้านก็ได้

            “ฉันบอกว่า...ของกินมันเยอะ กินคนเดียวไม่หมดหรอก” น้ำเสียงแข็งขึ้น

            “แล้ว...ให้หนูทำยังไงคะ” ลูกจ้างสาวตอบเสียงซื่อ ท่าทางงุนงง ทำตัวไม่ถูก

            “มากินด้วยกันดีกว่า” นายหญิงพูดง่าย น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นสดใส เผยรอยยิ้มใจดี

            “อุ๊ย...ไม่ดีหรอกค่ะคุณพลอย” เมษาตอบพลางขยับตัวถอยหลัง “หนูเป็นลูกจ้าง ไม่ควรร่วมโต๊ะกับเจ้านาย”

            “ไม่ดีตรงไหน” วาจากร้าว แววตาเปลี่ยน “ทำไมถึงกินข้าวกับฉันไม่ได้”

            ลูกจ้างสาวยืนอึ้ง ตัวสั่นน้อย ๆ

            “มากินข้าวกับฉันเดี๋ยวนี้!” วาจานี้ไม่ใช่การร้องเรียก แต่เป็นคำสั่ง

            เมษารู้สึกว่า หากยังขัดขืนต่อ อาจเกิดเรื่องร้ายแรงตามมา จึงแกล้งห่อไหล่ ค้อมตัวไปนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกับนายหญิงด้วยท่าทางเกรงกลัว

            “ดีจังเลย วันนี้ฉันมีเพื่อนกินข้าวแล้ว” น้ำเสียงกลับสดใส ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้มดังเดิม

            “เอ้า...นี่ของเธอ...ลองชิมดูสิ อร่อยมั้ย” แพรพลอยตักกับข้าวยื่นให้เกือบจะป้อน

            ลูกจ้างสาวรีบรับช้อนจากเจ้านาย พึมพำ...ขอบคุณค่ะ...เบา ๆ ก่อนนำอาหารใส่ปาก

            “อร่อยค่ะ” คำตอบหลังลิ้มรส เรียกรอยยิ้มจากผู้เป็นนาย

            “ดี...ดีเลย...งั้นชิมทุกอย่างเลยนะ...ชิมสิ...ชิม” แพรพลอยคะยั้นคะยอแกมสั่ง

            เมษานึกสงสัย แต่ยังแกล้งทำเป็นเงอะงะ ตักอาหารชิมทุกจานตามคำสั่ง คอยสังเกตปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้ามว่าจะทำอย่างไรต่อไป

            แพรพลอยนั่งจ้องลูกจ้างสาวตักอาหารแต่ละจานขึ้นชิมด้วยแววตาประหลาดกึ่งมาดหมาย โดยที่ตนเองไม่ยอมตักอาหารใส่ปากแม้แต่คำเดียว

            ชิมอาหารจนครบ เมษาวางช้อน ยิ้มแหย ๆ ให้อีกฝ่าย

            “กับข้าวอร่อยทุกอย่างเลยค่ะคุณพลอย ลองชิมดูบ้างสิคะ”

            แพรพลอยนิ่งเฉย ไม่ตอบวาจา นัยน์ตาจ้องลูกจ้างสาวแทบถลน รอยหมายมาดบางอย่างฉายชัดในนั้น ชวนให้คนทั่วไปรู้สึกเสียวสันหลัง

            ผ่านไปครู่หนึ่ง เมษาไม่กล้าขยับตัว แอบสังเกตลักษณะท่าทางอีกฝ่ายอย่างแนบเนียน

            “เธอ...ไม่เป็นอะไร...” วาจาแฝงความผิดหวังในที “ทำไม...เธอ...ไม่เป็นอะไร”

            คำพูดเอ่ยซ้ำ แววตาแปรเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยว

            “ทำไมแกไม่เป็นอะไร...ทำไมแกไม่เป็นอะไร!”

            น้ำเสียง คำพูดผิดไปเป็นคนละคน เสมือนพายุใหญ่โหมกระหน่ำโดยไม่ทันให้ตั้งตัว นายหญิงศิวาดลลุกพรวด คว้าจานชาม ข้าวของบนโต๊ะขว้างปาเข้าใส่ลูกจ้างสาวตรงหน้าอย่างรวดเร็ว รุนแรง

            เพล้ง เพล้ง ปัง ปัง

            เมษาสังเกตเห็นตั้งแต่แววตาเปลี่ยน กิริยาผิดปกติ จึงพร้อมรับมือเต็มที่ เมื่อจานชามชุดแรกลอยมาถึง หล่อนจึงสามารถหลบได้อย่างว่องไว รวดเร็วโดยไม่เป็นที่ผิดสังเกต

            “อย่าค่ะ...คุณพลอย...อย่าทำหนู...คุณพลอย...หนูกลัวแล้ว”

            เสียงข้าวของตกแตกกระจายเกลื่อนพื้น เมษาหลบพลางแกล้งร้องตะโกนเสียงดัง พยายามล้มลุกคลุกคลาน ตะเกียกตะกายหนีแบบเด็กสาวตื่นกลัว ทำอะไรไม่ถูก

            “ทำไม...ทำไมแกไม่เป็นอะไร...ทำไม...ทำไมเป็นโสภี...ทำไมแกไม่เป็น...ทำไมโสภีตาย...ทำไม”

            เสียงตะโกนร้องยิ่งดังขึ้น คราวนี้ไม่ใช่แค่จานชามบนโต๊ะเท่านั้นที่ทุ่มเทประเคนใส่ แพรพลอยคว้าแจกัน แก้วน้ำขว้างปาไม่ยั้งอย่างคนขาดสติ ไม่อาจยับยั้งชั่งใจ

            ที่จริงเมษาสามารถหาจังหวะจัดการฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย ๆ หรือไม่ก็หลบแวบออกจากห้องไปเลยก็ไม่ยาก แต่มันจะดูเก่งกาจเกินเด็กสาวบ้านนอกไปหน่อย สมองจึงทำงานรวดเร็ว กำหนดแผนเสี่ยงอันตรายอย่างหนึ่งได้

            “อย่าค่ะคุณพลอย...ช่วยด้วย...ช่วยหนูด้วย!”

            เมษาหลบพลางร้องขอความช่วยเหลือ พยายามหนีไปทางประตู ฝ่ายตรงข้ามเห็นเข้าจึงรีบขว้างปาข้าวของใส่เต็มอัตรา ไม่ยอมให้ลูกจ้างสาวหนีออกจากห้องได้

            ...และแล้ว...

            ตุ้บ...กรี๊ด...พลั่ก...

            เสียงแจกันกระทบหน้าผากดังตุ้บ ร่างบอบบางส่งเสียงร้องกรี๊ด พร้อมกับล้มลงกับพื้นอย่างรุนแรง

            ได้ผล!

            เมษายอมเอาตัวเข้าแลก ปล่อยให้แจกันกระทบหน้าผาก เลือกให้โดนจุดแข็งที่สุด แล้วแกล้งล้มลงกับพื้นด้วยท่าที่ดูรุนแรง แต่ไม่หนักหนา ใช้เสียงกรีดร้องเข้าช่วยให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น

            แพรพลอยชะงัก หยุดมือ ได้สติ...

            “ตายแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า” นายหญิงศิวาดลกลับเป็นปกติทันที รีบเข้ามาดูลูกจ้างสาวอย่างเป็นห่วง

            เมษาจงใจร้องไห้ บีบน้ำตาไหลพราก แสดงความตื่นกลัว เจ็บปวดให้เห็น

            “ฮือ...ฮือ...หนูเจ็บ”

            หน้าผากบวมปูดจนเห็นได้ชัด หญิงสาวเจ้าของบ้านทำตัวไม่ถูก พูดจาละล่ำละลัก

            “เธอ...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า...ลุกไหวมั้ย” กิริยาประคองช่วยให้ลุกขึ้นเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่เสแสร้ง

            เมษาพยายามยันตัวลุกขึ้นช้า ๆ ส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นระยะ แพรพลอยมือไม้สั่น ทำตัวไม่ถูก

            “คุณพลอย!” เสียงดังจากหน้าประตู

            คุณเข็มทอง แม่บ้านใหญ่เปิดประตูมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ จนกระทั่งเธอส่งเสียงเรียกสตินายหญิงของบ้าน

            “ป้าเข็ม...” น้ำเสียงแพรพลอยบอกความโล่งอก “มาก็ดีแล้ว ช่วยกันหน่อย”

            เมื่อแม่บ้านใหญ่มาถึง เมษาค่อยลดอาการสะอึกสะอื้นลง ซ่อนน้ำตาลุกขึ้นยืนสงบเสงี่ยม

            “คุณพลอยหลบไปก่อน เดี๋ยวดิฉันดูแลเด็กคนนี้เอง” วาจาเรียบห้วน ไร้ความรู้สึก

            “จ้ะ...จ้ะ...ฝากหน่อยนะ” แพรพลอยพูดจบรีบหลบฉากออกจากบริเวณนั้น

            “เป็นอะไรมากหรือเปล่า” แม่บ้านใหญ่มองร่างบอบบางในชุดลูกจ้างสีเข้ม แล้วสังเกตเห็นตรงหัวที่บวมปูดนั้น

            “มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” ลูกจ้างสาวตอบอย่างตื่นกลัว

            “ไหน...ดูใกล้ ๆ หน่อยสิ”

            คราวนี้คุณเข็มทองใช้ปลายนิ้วแตะกดตรงหน้าผากลูกจ้างสาว แล้วจับแขนขึ้นดูร่องรอยว่ามีบาดแผลจากการล้มไปโดนเศษแก้ว เศษกระเบื้องหรือไม่

            “ตอนล้มลงไป แขนขาไปโดนแก้ว โดนกระเบื้องบาดหรือเปล่า” น้ำเสียงปกติ ไม่มีร่องรอยเมตตาอารี

            พอได้ยินคำถาม เมษาค่อยเจ็บแปลบที่สีข้างด้านหลัง โชคดีที่สวมเสื้อผ้าสีเข้มจึงไม่มีใครสังเกตเห็น

            “เอ่อ...แขน...ขา...ไม่โดนอะไรค่ะ” หญิงสาวตอบเลี่ยงแบบไม่มุสา

            “ดีแล้ว” คำพูดเรียบห้วน “ลงไปหายามาทาซะ รู้มั้ยว่าห้องพยาบาลอยู่ไหน”

            “รู้ค่ะ” เมษาจำได้ว่าห้องพยาบาลอยู่ติดกับสำนักงานที่เธอกับพิจิกมาถึงวันแรก

            “เอ่อ...แล้วให้หนูเก็บของก่อนมั้ยคะ” หญิงสาวแกล้งเป็นห่วงงานในหน้าที่

            “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

            “ค่ะ” เมษาขยับตัวจะออกจากห้อง

            “เดี๋ยวก่อน” แม่บ้านใหญ่รั้งไว้ “เรื่องที่เกิดขึ้นบนนี้ อย่าเอาไปพูดให้คนงานข้างนอกฟังนะ”

            “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ แสดงว่าเรื่องนี้พวกแม่ครัว ลูกจ้างในบ้านใหญ่ต่างรู้ แต่ต้องปิดปากเงียบตามคำสั่ง

            “ดีแล้ว” คุณเข็มทองพูดจบก็หันไปดูโต๊ะอาหารและพื้นที่เกลื่อนด้วยเศษแก้ว เศษกระเบื้องจานชาม



            หลังจากลูกจ้างคนใหม่ออกจากห้อง คุณแพรพลอยค่อยโผล่หน้าออกมา มองสภาพห้อง สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นผลงานตัวเองแล้วถอนใจ มีแววหวาดกลัวปรากฏในดวงตา

            “คุณกลับไปห้องนอนก่อนเถอะ ตรงนี้ดิฉันจัดการเอง” คุณเข็มทองบอกเรียบ ๆ

            “ป้าเข็ม...” นายหญิงศิวาดลเรียกเสียงอ่อน ดวงตามีแวววิงวอน ขอร้อง

            แม่บ้านใหญ่สบกับดวงตาคู่นั้นก่อนเอ่ยปาก

            “ไม่ต้องห่วง ดิฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับคุณศิวาหรอกค่ะ”

            แพรพลอยถอนใจอย่างโล่งอก

            “ขอบใจจ้ะป้า...”

            ดวงตาแม่บ้านใหญ่ราบเรียบ ไร้ความรู้สึก มองตอบผู้เป็นนายด้วยแววเฉยชา ขยับตัว ก้มหน้าเก็บกวาดข้าวของที่เกลื่อนกราดนั้นเงียบ ๆ ตามหน้าที่

            แพรพลอยจึงไม่อาจเห็นรอยยิ้มเยาะที่มุมปากของลูกจ้างตน


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมื่อเมษากลับมายังห้องครัว พบป้าเพลินกับแม่แววกำลังรออยู่ด้วยท่าทางกระสับกระส่าย เป็นห่วง พอเห็นหญิงสาวแค่หน้าผากบวมปูด เขียวช้ำค่อยถอนใจ โล่งอก

            “บุญแล้วที่โดนแค่นี้” ป้าเพลินบอกอย่างให้กำลังใจ

            แม่แววอาสาพาลูกจ้างคนใหม่ไปห้องพยาบาล...

            นั่นทำให้เมษามีโอกาสได้รับคำอธิบาย ว่าเหตุใดพวกลูกจ้างในบ้านใหญ่ ถึงเข็ดขยาด ไม่กล้าขึ้นไปเสิร์ฟอาหาร หรือเข้าใกล้คุณแพรพลอยในช่วงเวลานี้

            แม่แววเล่าว่า คุณแพรพลอยมีโรคประจำตัวประหลาดอย่างหนึ่ง คล้ายโรคไพโบล่าร์ (ตามที่หมออธิบาย) เธอจะมีอารมณ์แปรปรวนรวดเร็ว รุนแรงชนิดสุดขั้ว ซึ่งเมื่อได้รับการรักษา กินยาต่อเนื่องแล้วอาการของโรคจึงค่อยห่างออกไป นาน ๆ ถึงกำเริบที ซึ่งจะมีคุณโสภีเป็นพยาบาลคอยดูแล นำยาที่หมอสั่งมาให้กิน

            ทว่า...เมื่อไรที่เธอเกิดอาการเครียดจัด หรือตกอยู่ในภาวะกดดันมาก ๆ อาการนี้จะแสดงออกมา

            การตายของคุณโสภี เป็นชนวนให้โรคประจำตัวของเธอกำเริบ

            พวกลูกจ้างสาวในบ้านใหญ่ที่ขึ้นไปเสิร์ฟอาหารมื้อเช้าหลังตำรวจกลับไป และมื้อกลางวัน ก่อนตำรวจมาถึงล้วนโดนดีกันถ้วนหน้า

            ดูจากสภาพศพแล้ว คุณแพรพลอยเชื่อว่าคุณโสภีน่าจะถูกวางยาในอาหาร ทำให้เธอวิตกจริต กลัวว่าตนเองจะโดนวางยาเหมือนกัน ยิ่งคิดถึงประวัติของศิวาดลแล้ว เธอยิ่งจิตตกหนักกว่าเดิม เพราะชะตากรรมนายหญิงศิวาดลที่ผ่านมา ไม่มีดีเลยสักคน!
   
            เมื่อเครียดเช่นนี้ ทำให้อาการกำเริบอาละวาดหนัก ยังดีที่วันนี้คุณแม่บ้านใหญ่เข้าไปขวาง ช่วยเหลือพวกลูกจ้างออกมาได้ทุกรอบ

            เมษานึกแปลกใจ เธอแหกปากตะโกนร้องอยู่ตั้งนาน ทำไมแม่บ้านใหญ่เพิ่งออกหน้ามาช่วยเหลือตอนเธอเจ็บตัวแล้ว

            หรือว่า...แม่บ้านคนนี้ คอยลอบดูปฏิกิริยาลูกจ้างคนใหม่อย่างเธอว่าจะรับมืออย่างไร...หากเมษาแสดงฝีมือแท้จริงออกมา อาจทำให้โดนสงสัย จับผิดได้...



            ห้องพยาบาลเป็นห้องเล็ก ๆ แยกเป็นสัดส่วนติดกับห้องสำนักงาน ปกติคุณโสภีจะเป็นคนดูแล จ่ายยา แนะนำลูกจ้างเกี่ยวกับเรื่องอาการเจ็บป่วย

            พอพยาบาลคนเดียวในศิวาดลเสียชีวิต พวกลูกจ้างก็สามารถเข้าไปหยิบยาเองได้ โดยเปิดเอากุญแจจากกล่องหน้าห้องสำนักงาน

            แม่แววหยิบกุญแจมาเปิดห้อง ไฟสว่าง ดูจากตู้ยา อุปกรณ์การแพทย์ที่เห็นแล้ว ห้องนี้ก็เหมือนคลินิกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเหมือนกัน

            “เอ้า...ยาทาแก้ช้ำ” แม่แววเข้าไปหยิบยามาให้อย่างคุ้นเคย

            “ขอบคุณมากจ้ะ” เมษายิ้มให้

            “โอ๊ย...อย่ามาขอบอกขอบใจฉันเลย...ฉันต้องขอโทษด้วยซ้ำที่พาเธอไปเจอเรื่องแบบนี้”

            เมษายิ้มแหย

            “แหม...ก็หนูเป็นลูกจ้าง มาทำงานแบบนี้มันก็เลี่ยงไม่ได้นี่จ๊ะ”

            แม่แววกำลังจะชวนคุยต่อ พอดีโทรศัพท์ดัง จึงรีบรับ...พูดคุยสั้น ๆ ก่อนวางหู

            “ป้าเพลินแกเรียกแล้ว...ไม่รู้จะใช้งานอะไรอีก ค่ำมืดป่านนี้แล้ว...ฉันไปล่ะ...อยู่คนเดียวได้มั้ย” ฝ่ายสูงวัยกว่ามีน้ำใจเป็นห่วง

            “ได้จ้ะ พี่แววไปเถอะ” เมษาพูดจานับญาติทันที


 
            ลับหลังลูกจ้างสาวบ้านใหญ่ เมษาค่อยคลายใจ ระบายลมหายใจแผ่ว เอื้อมมือไปด้านหลัง ดึงผ้าเช็ดหน้าที่เธอใช้กดแผลจากเศษแก้วที่บาดสีข้างด้านหลังออกมา

            เลือดแดงฉานชุ่มผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น!

            ตอนแม่บ้านใหญ่เอ่ยถามเรื่องอาการบาดเจ็บ เมษารู้ตัวแล้วว่าที่สีข้างตนน่าจะเกิดบาดแผลจากเศษแก้วเศษกระเบื้องตอนล้มลง ยังดีที่มันไม่ฝังในเนื้อ พอออกจากห้องคุณแพรพลอย จึงใช้ผ้าเช็ดหน้ากดปิดเอาไว้ คิดว่ามันไม่หนักหนา และไม่อยากให้อาการบาดเจ็บของตนเป็นจุดสนใจ จึงพยายามนิ่งเฉยเอาไว้

            ยังดีที่เครื่องแบบลูกจ้างศิวาดลมีสีเข้ม ทำให้ไม่มีใครเห็นรอยเลือดที่ซึมผ่านผ้าเช็ดหน้าออกมาได้

            ถลกเสื้อเอี้ยวดูที่สีข้าง เห็นบาดแผลยาวประมาณหนึ่งนิ้ว ไม่มีเศษแก้วติด เลือดยังไหลซึมอยู่ จึงเอื้อมมือหยิบผ้าก๊อซมากดห้ามเลือดไว้ แล้วลุกขึ้นดูตามตู้ยา ชั้นอุปกรณ์การแพทย์ว่าพอจะมีอะไรช่วยรักษา ห้ามเลือดได้บ้าง

            หูแว่วเสียงฝีเท้าที่หน้าประตูจึงชะงัก หันขวับ เอาสีข้างที่เป็นแผลหลบตรงมุมเก้าอี้

            บานประตูเปิดออก ชายหนุ่มที่เมษาไม่อยากเจอเวลานี้กำลังเดินเข้ามา

            “ไปโดนอะไรมา” คำถามพร้อมปิดประตูสนิทป้องกันคนนอกมองเห็น ได้ยิน

            พิจิกเห็นแม่แววพาเมษาเข้ามาในห้องพยาบาลแต่ไกล จึงลอบมาดู ทันเห็นหญิงสาวดึงผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนเลือดออกมาจากสีข้าง จงใจกดฝีเท้าให้หนักขึ้น อีกฝ่ายจะได้รู้ตัวก่อนเปิดประตูเข้ามา

            เมษาได้ยินคำถาม จงใจไม่ตอบ ภารกิจพวกเธอเป็นคู่แข่งกัน ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยความผิดพลาดของตนออกไป

            ชายหนุ่มรู้ทันจึงเปลี่ยนคำถามใหม่

            “มีอะไรให้ช่วยมั้ย”

            “ไม่ต้อง...ไปไหนก็ไป...ฉันทำเองได้” เมษาปฏิเสธ

            “ถ้าทำตามที่แกสั่ง...ฉันก็กลัวดิ๊” วาจายียวนพร้อมเดินยิ้มเข้ามาหา

            ชายหนุ่มยืนตรงหน้า หัวเราะขันกับรอยบวมปูดบนหน้าผาก ก่อนชะโงกมองรอยแผลที่หญิงสาวจงใจหลบซ่อน

            “ปล่อยมือสิ ฉันขอดูแผลหน่อย” พิจิกพูดเสียงอ่อนลง

            “ถ้าทำตามที่แกสั่ง...ฉันก็กลัวดิ๊” เมษาใช้วาจาของเขาย้อนคืน

            พิจิกยิ้มขัน แววตาจริงจัง

            “หมวยเล็ก...นี่ไม่ใช่เวลามาเอาชนะกัน ดูจากเลือดแกนี่ แผลคงลึกไม่เบาหรอก”

            “ไม่ได้เอาชนะ แค่จะบอกว่า...ฉันดูแลตัวเองได้” หญิงสาวยังดื้อ

            ชายหนุ่มถอนใจ ไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำ สายตาเหลือบดูผ้าก๊อซชุ่มเลือดที่หญิงสาวพยายามกดมันไว้ แล้วเดินไปยังตู้ยา ชั้นวางอุปกรณ์ทางการแพทย์

            เมษามองช่วงไหล่กว้างของชายหนุ่ม บังเกิดความอบอุ่นใจขึ้นชั่ววูบ ก่อนคลายมือที่กดแผล เปิดผ้าก๊อซดู เห็นเลือดไหลช้าลงแล้ว แต่แผลน่าจะลึกจริงอย่างคุณหมอหนุ่มคาดการณ์

            “เยี่ยม...มีชุดเย็บแผลครบเลยแฮะ” ชายหนุ่มอุทานเบา ๆ ก่อนหยิบอุปกรณ์ที่ต้องการ พร้อมกับยาหลายขวด ผ้าก๊อซ เทปปิดแผล ออกมาวางเรียงบนโต๊ะตรวจ

            ถึงตอนนี้พิจิกไม่พูดจาร่ำไร ถือวิสาสะดึงมือหญิงสาวออก แล้วเปิดผ้าก๊อซดูแผลเอง

            เมษาเกร็งข้อมือเล็กน้อย แต่ไม่ขัดขวาง ปล่อยให้เขาดูแผลที่สีข้างตามต้องการ

            “เห็นแผลฉันแล้ว...พอใจหรือยัง...ไปได้แล้ว ที่เหลือฉันจัดการเอง” คนเจ็บบอกเสียงแข็ง

            “แผลลึกอย่างนี้ต้องเย็บ แกเย็บแผลให้ตัวเองเป็นหรือไง” พิจิกบอกกึ่งดุ

            “แกก็เป็นหมอฟัน เย็บแผลได้หรือไงล่ะ” เมษาจงใจเถียงข้าง ๆ คู ๆ

            ‘หมอฟัน’ หัวเราะขันนัยน์ตาพราว จ้องมองหญิงสาวอย่างเข้าใจ

            ...เมื่อไหร่สาวใจแข็งอย่างเมษา พูดจาข้าง ๆ คู ๆ เถียงแบบไม่มีเหตุผล แสดงว่าเริ่มใจอ่อน ยอมรับต่อเหตุผลของอีกฝ่ายแล้ว...

            “หมอฟันก็เย็บแผลเป็น...อย่าบอกว่าแกไม่รู้” คุณหมอหนุ่มใช้น้ำเสียงอ่อนโยน “ลืมคำว่า ‘คู่แข่ง’ ไปสักแป๊บเถอะหมวยเล็ก”

            “ฉันไม่ได้พูดเรื่องนี้เลยสักคำ” คนเจ็บยังเถียง แต่น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

            “ดีแล้ว” คุณหมอยิ้มใส่นัยน์ตาคนเจ็บ “ตอนนี้ฉันเป็นหมอ...แกเป็นคนไข้ เราไม่ได้เป็นคู่แข่งกัน...โอเค๊!”

            เมษาเบือนหน้าหนีไม่ตอบ พิจิกถือว่าการไม่ตอบคือการยอมรับ

            “เอาล่ะ ขึ้นมานั่งบนโต๊ะนี้ดี ๆ ‘หมอ’ จะได้เห็นแผลชัด ๆ” พิจิกจงใจเน้นคำ คนเจ็บยินยอมทำตามโดยไม่อิดเอื้อน

            พอเมษาขึ้นไปนั่งบนโต๊ะตรวจเรียบร้อย พิจิกก็ลากเก้าอี้มานั่งในท่าที่ถนัด ผ้าก๊อซชุ่มเลือดถูกคีบทิ้งลงกระป๋อง มือเลิกชายเสื้อคนเจ็บขึ้นสูงเพื่อสะดวกต่อการเย็บแผล

            “อุ๊ย...” เมษารั้งชายเสื้อตัวเองไว้ตามสัญชาตญาณ

            “อย่าบอกนะว่าอาย” คุณหมอพูดยิ้ม ๆ “ของเธอน่ะ...มากกว่านี้ฉันก็เห็นมาหมดแล้ว”

            “ไอ้หมาจิก...นั่นมันตอนเด็กเว้ย” เมษารีบแก้

            คุณหมอหนุ่มหัวเราะเบา ๆ นึกถึงตอนเยาว์วัย สองครอบครัวมักพากันไปว่ายน้ำ เที่ยวทะเลบ่อย ๆ การแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันในวัยไม่กี่ขวบ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร

            “เอาล่ะอยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวจะเช็ดเลือด ดูแผลให้ก่อน” คราวนี้คุณหมอพูดเป็นการเป็นงาน

            เมษานั่งนิ่งระบายลมหายใจแผ่ว ปล่อยให้ชายหนุ่มทำหน้าที่ตนเองโดยไม่โต้แย้ง ก่อกวน

            ถึงจะดูเหมือนเป็นฝ่ายตรงข้าม ทำหน้าที่ชิงชัยเพื่อให้ปู่ตนสมหวัง แต่สองหนุ่มสาวไม่เคยโกรธเกลียดกันเลย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP