วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ศิวาดล ๑



cover siwadol

ชลนิล




บทนำ



            ปลายพู่กันแตะแต้มสีสันลงบนผืนผ้าใบ ปรากฏภาพเขียนสีน้ำมันเป็นรูปครึ่งตัวหญิงสาวสวย โครงหน้าชัด นัยน์ตาดุทรงอำนาจ รอยแย้มบนริมฝีปากนิด ๆ มิได้ทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนหวาน นุ่มนวล กลับช่วยเสริมให้ดวงหน้ามีเสน่ห์ ลึกลับ ชวนค้นหามากกว่าเดิม

            ศิลปินผู้รังสรรค์ภาพวาดเพ่งมองรายละเอียดในรูป ทั้งใบหน้า เครื่องแต่งกาย สีสันฉากหลังจนรู้สึกพอใจ จึงหยิบพู่กันอีกด้าม จุ่มสีแล้วตวัดปลายลากเส้นที่มุมล่างภาพเป็นลายเซ็นเล่นหางสวยงาม

            ‘ดลดารา’

            ด.เด็กตัวแรกลากเส้นโค้งเป็นวงกลมมองละม้ายเลขหนึ่งไทย อันเป็นลักษณะเฉพาะเจ้าตัวซึ่งไม่เหมือนใคร

            มือเรียวยาวสวยวางพู่กันลงก่อนลุกจากเก้าอี้ ถอยหลังยืนมองภาพวาดตรงหน้าอย่างพอใจ นัยน์ตาดุทรงอำนาจในภาพ ไม่แตกต่างจากดวงตาผู้วาด ทั้งโครงหน้า สันจมูก ริมฝีปาก กระทั่งรอยแย้มบาง ๆ บนริมฝีปาก ก็ดูจะจำลองไปอยู่ในภาพทั้งหมดชนิดไม่มีตกหล่น

            ดลดาราพอใจผลงานชิ้นนี้อย่างยิ่ง เธอเชื่อเสมอว่าไม่มีใครถ่ายทอดความเป็นตัวเธอลงบนผืนผ้าใบ ได้ดีไปกว่าตัวเธอเองอีกแล้ว

            ภาพ ‘ดลดารา’ ตรงหน้านี้ จึงนับเป็นผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นที่ไม่มีวันยอมขายให้ใคร



            ครืด...ครืด...เสียงลากโซ่ดังแว่วมาจากข้างล่าง ศิลปินสาวเงี่ยหูฟัง เหลียวมองรอบตัว

            ที่นี่เป็นห้องใต้หลังคาชั้นบนสุดของคฤหาสน์ ‘ศิวาดล’ ถูกสร้างและตกแต่งอย่างดี เพื่อใช้เป็นห้องทำงานเจ้าของบ้าน มันกว้างขวาง เย็นสบาย สงบเงียบ ยากที่เสียงรบกวนภายนอกจะเล็ดรอดมาถึง

            เหตุใดจึงมีเสียงประหลาดลอดขึ้นมาได้

            ครืด ครืด ครืด...คราวนี้เสียงลากโซ่ดังยาวต่อเนื่องชัดเจน มั่นใจหูไม่ฝาด

            ดลดาราขมวดคิ้ว อารมณ์ขุ่น โทสะขึ้นเป็นริ้ว เดินไปยกหูโทรศัพท์ภายใน กดหมายเลขห้องแม่บ้าน ตั้งใจสั่งแม่บ้านให้จัดการเจ้าเสียงรบกวนนี้ให้เงียบหายทันที

            ...เงียบ...

            ไม่มีเสียงสัญญาณโทรศัพท์ภายใน เหมือนยกหูเปล่า ๆ หญิงสาวถอนใจเฮือกใหญ่ โทสะเพิ่มขึ้น คว้าโทรศัพท์มือถือกดหมายเลขแม่บ้านเพื่อสั่งงานอีกครั้ง

            ...โทรศัพท์มือถือไม่มีสัญญาณสักขีด...

            ความโกรธ หงุดหงิดเปลี่ยนเป็นแปลกใจ มองดูโทรศัพท์อย่างไม่เชื่อสายตา...เป็นไปได้อย่างไรที่คฤหาสน์หลังนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

            ‘ศิวา’ เจ้าของคฤหาสน์ศิวาดล สามีเธอเป็นเจ้าของธุรกิจเครือข่ายการสื่อสารระดับประเทศ เป็นไปได้อย่างไรที่บ้านตนเองจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

            ดลดาราเปิดประตูห้อง มองลงไปยังบันไดที่ทอดสู่ชั้นสามของตัวคฤหาสน์ หัวคิ้วย่น ลังเลว่าควรลงไปจัดการเองหรือไม่ พอได้ยินเสียงครืด ครืด ครืดยังไม่หยุด จึงตัดสินใจก้าวพรวด ๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นรุนแรง
 
            ‘คนในบ้านนี้มันตายหมดแล้วหรือไง ปล่อยให้มีคนมาทำเสียงดังหนวกหูขนาดนี้ได้

            หญิงสาวบ่นด่าในใจ กระทั่งถึงบันไดขั้นสุดท้าย มือจับบานล็อกประตูเตรียมเปิดออก สัญชาตญาณเตือนภัยในใจดังขึ้น

            ...ระวัง อันตราย...

            ดลดาราเชื่อในสัญชาตญาณตนเองมาตลอด ยกเว้นครั้งนี้!

            มันคล้ายมีแรงดึงดูด เย้ายวนจากภายนอกแผ่เข้ามาจับในใจ คอยกระตุ้น เร่งเร้าให้อยากก้าวออกไป ก้าวออกไป...ออกไปดูอะไรบางอย่างหลังประตูบานนี้

            ประตูเปิด ย่างเท้าอย่างไม่ลังเล

            เพียงก้าวเดียวที่ออกมายืนนอกประตู ศิลปินสาวตะลึงงัน คาดไม่ถึงกับภาพตรงหน้า

            มันไม่ใช่บริเวณชั้นสามคฤหาสน์ศิวาดล ที่ปูพื้นด้วยหินอ่อนชั้นดีนำเข้าจากต่างประเทศ ไม่ใช่ทางเดินยาวประดับด้วยโคมไฟหรูตามเสาสวยงาม อย่างที่เธอออกแบบเอาไว้

            สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่คฤหาสน์ศิวาดลที่เธอรู้จักอีกต่อไป

  

            ตรงหน้าดลดาราเป็นระเบียงทางเดินยาวปูด้วยไม้สักหน้ากว้างซึ่งหาแทบไม่ได้ในปัจจุบัน ผนังห้องตลอดทางเดินเป็นไม้เนื้อดี ทำเดือยเข้าล็อกกันอย่างยากจะหาช่างสมัยใหม่ทำได้

            ดลดาราแปลกใจมากกว่าหวั่นใจ เหตุใดคฤหาสน์ใหญ่โตถึงกลับกลายเป็นเรือนไม้โบราณเช่นนี้

            ครืด...ครืด...

            ความสงสัยไม่ทันสิ้นสุด เสียงรบกวนเดิมก็ดังขึ้น หางตามองเห็นปลายสายโซ่ขนาดเขื่องถูกลากจนใกล้จะลับมุมระเบียงทางเดินข้างหน้าแล้ว

            หญิงสาวก้าวตามโดยไม่สนใจ เบื้องหน้าจะมีอะไร สายโซ่ที่เห็นกระตุ้นความอยากรู้ นิสัยชอบเอาชนะของหล่อนอย่างเกินระงับ ไม่ว่าปลายทางจะพาไปที่ใด ล้วนไม่ปรารมภ์สนใจ

            พอพ้นระเบียงทางเดิน มองออกไปกลายเป็นระเบียงนอกชานกว้างขวาง ผู้คนมากมาย ต่างทำกิจกรรมของตนโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกันและกัน

            ที่ชวนแปลกใจกว่านั้น พวกเขาไม่ได้แต่งกายอย่างเธอคุ้นตา ผู้ชายจะเปลือยอก นุ่งผ้าหยักรั้ง ผู้หญิงนุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าแถบอย่างคนสมัยก่อน

            และที่มาของสายโซ่ก็ปรากฏให้เห็นต่อหน้า

            ที่ข้อเท้าคนแต่งชุดโบราณทุกคน ล้วนมีสายโซ่ขนาดใหญ่ล่ามโยงกันไว้ ราวกับเป็นขบวนทาสที่ถูกร้อยใช้งาน ไม่ยอมให้หลบหนีไปไหน

            ...มันคงเป็นความฝัน...ดลดาราบอกต่อตนเอง

            ฝันว่าหลุดมาอยู่ในเรือนโบราณ พบข้าทาสบริวารถูกพันธนาการ ล่ามโซ่บนระเบียงนอกชาน โดยไม่มีใครขัดขืน ดิ้นรน

            และแล้ว...เสียงดนตรีบรรเลงแว่วมาจากที่แห่งใดแห่งหนึ่ง กระแสวังเวง หวีดหวิว ท่วงทำนองอ่อนหวาน คล้ายคำรำพันเอื้อนเอ่ยด้วยใจหวนไห้...คะนึงหา

            ดลดารารู้จักทำนองเพลงนี้ เคยฟังผ่านหูมาก่อน นานมากแล้ว...หากยังระลึกถึงเนื้อร้องของมันได้



            ...จันทร์...กระจ่างฟ้า นภาประดับด้วยดาว...

            ...โลกสวยราว...เนรมิตประมวล...เมืองแมน...

            ...ลมโชยกลิ่น...มาลา...กระจายดินแดน...

            ...เรียมนี้แสน...คะนึงถึงน้อง...นวลจันทร์...



            บทเพลง ‘คิดถึง’ ถูกบรรเลงด้วยดนตรีเครื่องสายหวีดหวิว พลิ้วไหว ในบรรยากาศเช่นนี้ แทนที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกอ่อนหวาน ดื่มด่ำ ซาบซึ้ง กลับเศร้าสร้อย อ้อยอิ่ง สั่นประสาทพาให้ขนลุกเกรียวเป็นระยะ

            ‘ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว

            ดลดาราบอกต่อตนเอง ขณะก้าวถอยหลัง เพื่อหวังจะกลับไปยังห้องใต้หลังคาดังเดิม

            ทว่า...ช้าไปแล้ว!

            เหล่าคนโบราณทั้งหลายต่างพร้อมใจกันหยุดงานในมือ แล้วเหลียวหน้า หันมามองอาคันตุกะผู้ไม่ได้รับเชิญเป็นตาเดียว

            นั่นทำให้ผู้หญิงที่ไม่กลัวอะไรง่าย ๆ อย่างดลดาราถึงกับขนลุกซู่ ตัวชาวาบตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้า

            เสียงกระหึ่มดังก้องชวนสั่นสะท้าน หวาดกลัว แทบทำให้หัวใจหยุดเต้น

            “แก...ต้องอยู่กับพวกเรา...ที่นี่!”







บทที่ ๑



            บ้านร้างนั้นซ่อนตัวหลังพงหญ้าทึบท้ายซอย ดูสภาพภายนอกไม่น่ามีคนอาศัย ดูแลนานนับปี กระจกหน้าต่างชั้นบนแตกเป็นแถบ ประตูไม้โดนฝนสาด แดดเลียจนซีด คราบราดำเกาะเป็นปื้นตามผนังรอบบ้าน

            เวลาสามทุ่ม

            บริเวณโดยรอบเงียบสงัด นานครั้งจะมีเสียงกรีดปีกจากแมลงราตรีแว่วมาสักครั้ง เวลานับว่าหัวค่ำ บรรยากาศรอบด้านกลับวังเวง นิ่งสนิทราวกับป่าช้า

            เด็กวัยรุ่นชายหญิงกลุ่มหนึ่งแอบปีนกำแพงบ้านร้างเข้าไป มีเสียงกระโดดดังตุ้บ ตามด้วยเสียงสวบสาบย่ำตามพงหญ้ามาจนถึงสนามหน้าบ้านโดยปราศจากสายตาผู้อื่นแลเห็น

            ต้นหญ้าในสนามสูงเลยเข่า ถูกย่ำจนเอนราบเป็นแนวจนถึงระเบียงหน้าบ้าน

            วัยรุ่นทั้งกลุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าประตู เหลียวมองกันด้วยแววตาหวาดหวั่น ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดจาอะไร เกรงว่าเสียงของตนจะไปปลุก กระตุ้น ‘บางสิ่ง’ ในบ้านให้รู้ตัว

            เพียงไม่กี่อึดใจ พวกเขาต่างพยักหน้าส่งสัญญาณให้กันและกัน มือจับมือถ่ายทอดกำลังใจก่อนปล่อยออก เดินเป็นคู่ขึ้นระเบียง ตรงไปยังประตูบ้าน

            เมื่ออยู่ใต้ชายคา พวกเขาจึงไม่อาจสังเกตเห็นหน้าต่างชั้นบน ซึ่งกระจกแตกเป็นแถบนั้น ปรากฏร่างเลือน ๆ ขาว ๆ ขึ้นมาชั่วขณะ และไม่อาจรู้ว่า บรรยากาศในบ้านถูกครอบคลุมด้วยพลังงานอันหม่นซึม หมองมืดกระจายทั่ว

            ประตูบ้านมีร่องรอยโดนงัด จึงไม่ยากที่เด็กวัยรุ่นจะเปิดมันออกมาอีกครั้ง เสียงบานพับประตูฝืดดังแอ๊ดดดด...เปิดออกลำบาก คล้ายมันไม่อยากต้อนรับอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญกลุ่มนี้สักเท่าไหร่
 
            ทั้งหมดเข้ามาอยู่รวมในห้องรับแขกโล่ง ไม่เหลือเฟอร์นิเจอร์สักชิ้น หน้าต่างไร้ผ้าม่าน แสงสลัวภายนอกส่องเข้ามาพอให้เห็นรำไร

            หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นหยิบไฟฉายออกมาเปิด แสงสว่างส่องเป็นลำกระทบพื้น ผนังภายในบ้านเกิดจุดสว่างวง ๆ มันอาจช่วยให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในห้องชัดเจน แต่ไม่อาจช่วยขับไล่ความหวาดกลัวที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจแต่ละคนได้เลย
 
            แสงจากไฟฉายกวาดตามจุดต่าง ๆ พื้นห้องโล่งเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ ผนังไม่หลงเหลือกระทั่งรูปประดับ แสงเงาจากไฟฉายหลายดวงส่องสวนกันวูบวาบ ก่อให้เกิดเงาแปลกตา ชวนขนลุกเป็นระยะ

            เด็กวัยรุ่นหญิงสองคนเบียดตัวเข้าหากัน หวังพึ่งพา ให้เกิดความอุ่นใจ วัยรุ่นชายท่าทางเป็นผู้นำกลุ่มฉายไฟไปทางบันไดที่อยู่ถัดห้องรับแขก มองหน้าเพื่อน ๆ แล้วพยักพเยิดเชิงบอกให้ตามขึ้นไปข้างบน

            ไม่มีใครคัดค้าน...หรือพูดตามจริง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหลุดวาจา แต่ละคนขบริมฝีปากแน่น สะกดกลั้นความหวาดกลัวในใจ ก้าวขาขึ้นบันไดเชื่องช้าเหมือนมีลูกตุ้มถ่วง พยายามเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน ด้วยความมั่นใจว่า หากพวกเขายังเกาะกลุ่มเหนียวแน่นขนาดนี้ ย่อมไม่มีสิ่งใดโผล่มาหลอกหลอน ทำร้ายได้

            ขึ้นบันไดทีละขั้น ทีละขั้น แสงไฟกราดขั้นบันไดไม้ที่สีล่อนเป็นแผ่น เผยรอยผุเนื้อไม้ จนบางขั้นต้องก้าวข้าม ไม่กล้าเหยียบกลัวมันหักคาเท้า

            ไม่นานขึ้นมาถึงชั้นสอง

            ฉายไฟกราดดูตามทางเดิน ประตูห้องที่เปิดอ้า โดยไม่ทันสังเกตเห็นรายละเอียดอะไรมากมาย ลมเย็นชืดพัดผ่านเข้ามาสัมผัสต้นคอ ใบหูจนขนลุกเกรียวทั่วร่างแทบก้าวเท้าไม่ออก

            เดิน...เดิน...เดินสำรวจทุกห้องบนชั้นสอง เกาะกลุ่มชนิดไม่ยอมแยกแตกแถว สายตามองเข้าไปในห้องผ่านบานประตูเปิดอ้า ค้นหาสิ่งที่พวกตนต้องการมาเอาไป...

            สองสามห้องแรกล้วนว่างเปล่า มองเห็นแค่ละอองฝุ่นลอยฟุ้งใต้แสงไฟฉาย ที่นี่เป็นบ้านร้างสมบูรณ์แบบ ‘ร้าง’ จนไม่มีอะไรเหลือ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน ข้าวของเหลือใช้เหลือทิ้ง ไม่มีกระทั่งร่องรอยของพวกขี้ยาแอบขึ้นมาสูบยา พวกไร้บ้านแอบมาอาศัยนอน

            มันว่างเปล่าจนน่าสะพรึง

            กระสากลิ่นแปลก ๆ ลอยแตะจมูก หนึ่งในวัยรุ่นหญิงเป็นคนแรกที่สัมผัสรับรู้ เธอมองหาที่มาของกลิ่นนั้น แล้วค่อยขยับตัวไปตามทิศทางที่รู้สึก พาให้เพื่อนทั้งกลุ่มตามติดเป็นพรวน

            มันเป็นห้องสุดท้าย ทุกคนยังไม่ได้มาสำรวจ ไฟฉายส่องนำเข้าไปก่อน สิ่งที่ปรากฏคือบานกระจกหน้าต่างแตกกราวเป็นแถบ เศษกระจกเกลื่อนพื้นจนเห็นชัด กระแสลมอู้ ๆ พัดผ่านมาถึงหน้าประตู นำกลิ่นเหม็นหืนชวนเสียวสันหลังมากระทบจมูกด้วย

            ทั้งกลุ่มลอบสบตากันเป็นเชิงตั้งคำถาม นั่นกลิ่นอะไร?

            ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตอบ

            ชั่วขณะนั้น แสงไฟฉายก็กระทบสิ่งแปลกปลอมชิ้นหนึ่งอยู่กลางห้อง...เป็นสิ่งที่พวกเขายอมเสี่ยงต่อความหวาดกลัวขึ้นมาค้นหามัน!

            “เจอแล้ว” วัยรุ่นหญิงอุทานขึ้น

            สีหน้าเด็กทั้งกลุ่มคลายความหวาดกลัว รีบกรูกันเข้ามาเพื่อหยิบสิ่งที่ต้องการนั้น แล้วรีบออกจากบ้านหลังนี้โดยเร็วที่สุด

            ทันทีที่เด็กหนุ่มสาวเข้ามาในห้องพร้อมกันทั้งหมด อาการขนลุกซู่ก็แล่นวาบจากต้นคอลงสู่ไขสันหลัง เหมือนมีใครเอาน้ำเย็นมาราดโดยไม่ทันรู้ตัว

            กลิ่นเหม็นเอียนลอยตลบ บรรยากาศทึบ มืดหม่น หมองเศร้าครอบคลุมทั่วห้อง อากาศเย็นชืดแผ่กระจายชวนตะครั่นตะครอ ยะเยือกแทบทนไม่ไหว

            ฮืออออออ...เสียงครางครวญ ฟังคล้ายคนกำลังร้องไห้อยู่ไกล ๆ แว่วมา ทำให้เด็กทุกคนรีบเกาะกลุ่มรวมตัวกันแน่น ต่างคนหันหลังชนกันรีบกราดไฟฉายในมือส่องหาต้นเสียงทั่วห้อง แสงวูบวาบกระทบผนัง พื้น เพดาน ตลอดจนหน้าต่าง เศษกระจกเกลื่อนก่อให้เกิดเงาประหลาดละลานตา

            ชั่ววูบแห่งแสงเงาเหล่านั้น บังเกิดเงาร่างบุคคลแปลกปลอมที่พวกเขาไม่รู้จักกำลังยืนนิ่งจ้องเขม็งมาจากมุมห้อง

            “วี้ด” เด็กสาวที่เห็นคนแรกส่งเสียงหวีดร้องออกมาสั้น ๆ รีบกอดเพื่อนข้าง ๆ แน่น ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

            “เป็นอะไร...เห็นอะไร...” เพื่อน ๆ ส่งเสียงร้องถาม พร้อมรุมเข้ามาโอบล้อมป้องกัน

            “นั่น...นั่น...นั่น”

            เด็กสาวหลับหูหลับตาชี้ไปทางมุมห้อง แสงไฟฉายทุกดวงส่องตรงไปยังจุดนั้นทันที ทุกคนมองเห็นผนังมุมห้องโล่งว่างเพียงชั่วแวบ ก่อนมีเงาดำสี่ร่างปรากฏขึ้นมาชนิดไม่ทันให้ตั้งตัว

            ทันใดนั้น ไฟฉายในมือทุกคนต่างดับพรึบ!

            “กรี้ดดดด!” เสียงหวีดร้องดังลั่น

            คราวนี้ไม่ต้องรอให้บอก ไม่ต้องส่งสัญญาณ เด็กวัยรุ่นทั้งกลุ่มต่างกระโจนหนีออกจากห้องอย่างไม่คิดชีวิต เสียงฝีเท้าดังโครมครามจากชั้นสอง ลงบันไดอย่างเร่งด่วน ก่อนพุ่งตรงออกจากบ้านร้างโดยไม่มีใครห่วงใคร เสียงสวบสวบดังถี่ ๆ ตามด้วยเสียงตุบตับจากการปีนกำแพงกระโดดออกไปโดยไม่กลัวแข้งขาหัก

 

            ห้องชั้นบนเงียบงันราวป่าช้า แสงสลัวรางส่องลอดจากบานหน้าต่างช่วยให้ในห้องไม่มืดมิดเกินไป อากาศเย็นยะเยือกยังแผ่ซ่าน กลิ่นเหม็นเอียนครอบคลุมทั่ว บรรยากาศหม่นซึม อึดอัดกระจายตัวหนาแน่นไม่หายไปไหน

            ในห้องไม่ได้ว่างเปล่าอย่างใครคาดคิด เงาร่างดำของสิ่งแปลกปลอมทั้งสี่คงอยู่ที่ผนังมุมห้อง หนำซ้ำยังมีรายละเอียดของรูปร่างหน้าตาพอให้เห็นในแสงสลัวเช่นนี้ด้วย

ที่น่าแปลกยิ่งไปกว่านั้น...เด็กวัยรุ่นไม่ได้วิ่งหนีออกไปพร้อมกันจนหมด!

            เหลือเด็กสาวคนหนึ่ง กำลังยืนนิ่งอยู่กลางห้อง ใบหน้าเธอขาวจนดูเผือด เส้นผมถูกรวบมัดแบบไม่ใส่ใจ เผยดวงตาเรียวรี จมูกเป็นสันเล็ก ๆ พองาม ริมฝีปากได้รูป มือกอดกระเป๋าสะพายแน่น ดูเผิน ๆ เหมือนเธอหวาดกลัวจนขาดสติ ก้าวขาไม่ออก ไม่สามารถวิ่งตามเพื่อนทัน

            เธอยืนประจันหน้ากับเงาร่างแปลกปลอมทั้งสี่อย่างเลี่ยงไม่ได้ มองเห็นพวกเขาค่อย ๆ ขยับเข้ามาหาทีละน้อย ใบหน้า รูปร่างพวกเขายิ่งชัดเจน ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามา

            เสียงฮือออออ...ดังอู้ผสานกับสายลมยะเยือก คละเคล้ากลิ่นเหม็นเอียนติดจมูก บรรยากาศหม่นซึมหนาแน่นขึ้นจนแทบบีบร่างเล็กบอบบางของเด็กสาวให้บี้แบน

            เจ้าของบ้านทั้งสี่มองตรงมายังเด็กสาวที่เหลือ เงาร่างพวกเขาพอจะแยกแยะออกจากดวงหน้า ส่วนสูง ลักษณะบางอย่างพอให้คาดเดาได้ว่าเป็นร่างของพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว เพียงแต่ดวงตาพวกเขาปราศจากแวว ร้างไร้ความรู้สึก ดวงหน้าเป็นสีเทาคล้ำ เสื้อผ้าเก่าปอนขะมุกขะมอมแทบกลืนไปกับแสงสลัวรางภายในห้อง

            ริมฝีปากเด็กสาวกำลังขยับ อาจดูคล้ายสั่นระริก ฟันกระทบกันกึก ๆ ด้วยความหวาดกลัว หากเพ่งมองให้ชัด จะไม่เห็นริ้วรอยหวาดกลัวในดวงตาเรียวรีคู่นั้น ปากเธอขมุบขมิบ ท่องสวดด้วยเสียงเบา ขณะที่มือกำลังล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายอย่างมุ่งมั่น เตรียมพร้อม

            เจ้าของสถานที่ทั้งสี่ขยับใกล้จนห่างเด็กสาวไม่ถึงสองก้าว กลิ่นเหม็นเอียนฉุนกึก เสียงครวญครางสั่นประสาท บรรยากาศคุกคาม บีบคั้นจนยากจะทนไหว

            เด็กสาวยืนนิ่ง มั่นคง ดวงตาทอประกายตั้งมั่น มือในกระเป๋าสะพายเริ่มขยับ...ทว่า...เกิดเหตุบางอย่างขึ้นมาแทรกแซงก่อน

            กลีบสีขาวบางของดอกมะลิถูกซัดมาจากหน้าประตู กระจายลอยเกลื่อน กลิ่นหอมเย็น ชุ่มชื่นเข้ามาขับไล่กลิ่นเหม็นเอียนออกไปในทันที

            เสียงสวดพึมพำไม่ดังนักกระจายคลื่นบาง ๆ ขับไล่บรรยากาศหม่นซึม อับทึบออกไป ดวงวิญญาณพ่อแม่ลูกทั้งสี่ค่อยหันไปทางประตู รับรู้ถึงการมาเยือนของอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญรายนี้

            ผู้มาใหม่เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยรุ่น หัวเกรียน สูงผอมเก้งก้าง ผิวขาวจัดพอกับเด็กสาวในห้อง ดวงตาโต เปลือกตาสองชั้นใต้คิ้วเข้ม ลากเส้นสวย จมูกโด่งคม ริมฝีปากยกได้รูป ดูเผิน ๆ คล้ายมีรอยยิ้มอารมณ์ดีประดับอยู่

            ริมฝีปากเขากำลังสวดพึมพำสำเนียงแปลก ในมือยังมีกลีบดอกมะลิที่เตรียมซัดเป็นระลอกสุดท้าย ก่อนก้าวเข้ามาในห้อง ยืนตรงหน้าเด็กสาว โดยมีดวงวิญญาณทั้งสี่เป็นกำแพงกางกั้น

            สายตาเด็กหนุ่มสาวสบกัน...แวบแรกมีเปลวโทสะ ขัดใจจากดวงตาเรียวรีของเด็กสาว ก่อนมลายหาย เมื่อเกิดสติ รู้ว่าตนควรทำสิ่งใดก่อนลำดับแรก

            ริมฝีปากที่สวดสาธยายมนตร์ทั้งสองหยุดพร้อมกัน สายตาสองคู่มองดวงวิญญาณทั้งสี่ด้วยประกายเมตตา

            ฮือออออ...เสียงร้องไห้คร่ำครวญที่ฟังจากที่ไกล กลับเคลื่อนมาใกล้ ใบหน้าสีเทาคล้ำ แววตาเลื่อนลอย ค่อยมีอาการรับรู้มากขึ้น

            “เมตตา คุณณัง อะระหัง เมตตา

            เสียงจากเด็กหนุ่มสาวดังแผ่วขึ้นมาพร้อมกัน กระแสเสียง กระแสความรู้สึกล้วนผสานกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว

            จิตเปี่ยมด้วยเมตตา บังเกิดความตั้งมั่น แผ่ขยายความชุ่มเย็นออกกว้างขวาง สัมผัสถึงดวงวิญญาณทั้งสี่อย่างพร้อมเพรียง

            “บุญกุศลใดที่เคยกระทำ...ขออุทิศให้แก่พวกคุณ...ทุกคน”

            คำกล่าวอุทิศบุญกุศลจากใจตั้งมั่น มีกำลัง ทั้งสองฟากเด็กหนุ่มสาว ทำให้ดวงหน้าสีเทาของครอบครัววายชนม์เริ่มมีสีสัน รับรู้กระแสความสุข ความอิ่ม ชุ่มเย็นเต็มที่จนสัมผัสได้

            ใบหน้าพวกเขาเผยความยินดี อนุโมทนาต่อกระแสบุญกุศลที่ได้รับ ก่อนเลือนหายช้า ๆ แปรเปลี่ยนสภาพหม่นซึม เย็นยะเยียบเป็นอบอุ่น โปร่งเบาในชั่วเวลาไม่นาน



            ห้องบนชั้นสองบ้านร้างกลับคืนสู่สภาพปกติ เด็กหนุ่มไม่สนใจเด็กสาว เดินไปยังบริเวณกลางห้อง ก่อนก้มลงเก็บ ‘ของ’ ที่เด็กสาวและเพื่อน ๆ ตั้งใจมาเอาขึ้นมาไว้ในมือ

            มันเป็นธงสีส้มตัดสีม่วง ห่อมัดด้วยก้อนหินขนาดเหมาะมือ ชายธงปักตัวเลข ม.๔/๕ ดูจากสภาพพอสันนิษฐานได้ว่า เจ้าสิ่งนี้คงถูกโยนจากนอกบ้านเข้ามาทางบานหน้าต่าง แล้วตกอยู่ตรงนี้

            เด็กหนุ่มหันมองเด็กสาว ยิ้มให้อย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ก่อนโยนสิ่งที่อยู่ในมือให้เธอ

            เด็กสาวรีบคลายมือจากกลีบดอกมะลิในกระเป๋า แล้วคว้ารับของสิ่งนั้นทันทีโดยไม่พลาด

            “มาทำไม...ไอ้หมาจิก” ประโยคแรกจากเด็กสาว

            “ขอโทษ...ฉันชื่อ พิจิก...แล้วเราก็ไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นเรียก ‘ไอ้’ ได้หรอกนะ... ‘อี’ ... หมวยเล็ก” ท้ายคำตั้งใจกวนโทสะ

            “ไม่สนิทแต่เรียก ‘อี’ นี่นะ...ผู้ชายที่ไหนพูดจาปากจัดแบบนี้” เด็กสาวขึ้นเสียง มือกำธงห่อก้อนหินแน่น นึกอยากขว้างใส่หน้าเด็กหนุ่ม แต่พยายามยับยั้งไว้

            “อ้อ...หลุดปากไปนี้ดนึงครับ...คุณเมษา” เด็กหนุ่มเริ่มใช้วาจาล้อเลียน

            “เออ...เราไม่ได้สนิทกันเลย แล้วใครใช้ให้สาระแนขึ้นมาวุ่นวายบนนี้ด้วย” เด็กสาวพาลหาเรื่อง

            “ก็ไม่ได้อยากสาระแนหรอก...แค่ตามมาดูว่าพวกห้อง ๔/๕ มันจะโกงพนันหรือเปล่า...เห็นเกาะกลุ่มกล้าเข้าบ้านผีสิงอย่างนี้ก็วางใจ กำลังจะกลับไปนอนรอรับธงพวกขี้แพ้อยู่แล้ว พอดีได้ยินเสียงเพื่อนเธอกรี๊ดลั่นซะขนาดนั้น แถมยังวิ่งหนีกันเกรียวยังกะโดนหมาไล่งับ...ฉันเลยต้องขึ้นมาดูสักหน่อย...ถ้าไม่เจอใครจะได้เก็บธงไปฝาก...ยืนยันว่าพวกเรา ห้อง ๔/๑ เป็นคนดีมีน้ำใจ”

            “อ้อ...ที่พูดมาซะขนาดนี้ ก็เพราะอยากให้บอกขอบคุณใช่มั้ย”

            “โอ๊ย...คำว่าขอบคุณน่ะ...มีแต่พวกคนดี ที่รู้จักสำนึกบุญคุณเท่านั้นแหละ ถึงจะพูดกัน” พูดพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ซ่อนนัยเหน็บแนมอย่างไม่แนบเนียน

            “ขอโทษ...ไม่เคยขอร้องให้ช่วย...พวกผีแค่นี้ฉันจัดการเองได้เว้ย...แล้วธงนี่ ฉันก็กำลังเดินไปหยิบอยู่แล้ว ไม่ได้บอกให้เก็บสักหน่อย ทำเป็นหมาชอบคาบกิ่งไม้ให้เจ้าของไปได้” วาจาตอบโต้ไม่แพ้กัน

            “อ๋อ...” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ หัวเราะเบา ๆ ไม่ต่อปากคำ หันหลังเดินช้า ๆ ออกจากห้อง

            เด็กสาวมองธงในมือ ถอนใจหงุดหงิด ก่อนเดินตามเด็กหนุ่มด้วยอารมณ์ขุ่น ขัดใจ



            ถ้าห้องเธอไม่แข่งบอลแพ้ห้องเขา จนต้องเสียพนัน โดนทำโทษให้เข้ามาเก็บธงห้องตัวเองในบ้านผีสิง เพื่อพิสูจน์ความกล้า เรื่องเสียหน้าแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น

           เด็กหนุ่มเดินลงบันไดสีหน้ายิ้มกริ่ม ฉายแววอ่อนโยน เรื่องอะไรเขาจะบอกเธอว่าตนเองแอบมาดักรออยู่ข้างล่างเป็นชั่วโมง เห็นเด็กสาวมากับเพื่อนในห้องเป็นโขยงขนาดนั้นก็ยังไม่ค่อยไว้ใจ เพราะรู้ว่า เจ้าของบ้านหลังนี้ ‘ไม่ธรรมดา’ ขนาดไหน

            แล้วที่คาดไว้ก็เป็นจริง เมื่อได้ยินเสียงหวีดร้อง ตามด้วยเสียงลงบันไดตึงตัง โครมครามบ้านแทบพัง

            ตอนนั้นเขาสังเกตเห็น ‘เมษา’ หรือ หมวยเล็กไม่ได้ลงมาด้วย มั่นใจว่าเจ้าตัวคงอยู่รอจัดการเจ้าของบ้านด้วยตัวเอง

            ถึงจะรู้ว่า ‘วิชา’ ที่เด็กสาวร่ำเรียนมา ไม่อ่อนด้อยกว่าตนเอง ใจก็ยังเป็นห่วง รีบตามขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือทันที

            จะว่าไป...ผีเจ้าของบ้านหลังนี้ไม่นับว่าดุร้ายอะไร แค่ดวงวิญญาณที่ถูกฆ่าตายโดยไม่รู้ตัว แบบยกครอบครัวเท่านั้นเอง ทั้งเขาและเมษาเคยเจออะไรน่ากลัวกว่านี้มาแล้ว

            การแผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลครั้งนี้จึงสามารถช่วยพวกเขาได้ไม่ยาก

            การพนันแข่งบอลระหว่างห้อง การท้าทายลองของในเรื่องลี้ลับของพวกเพื่อน ๆ กลับกลายเป็นการช่วยสงเคราะห์ดวงวิญญาณครอบครัวนี้ในที่สุด

            หวังว่าปู่ของเขากับปู่เมษาคงจะพอใจในผลงานครั้งนี้ไม่มากก็น้อย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP