สารส่องใจ Enlightenment

นี่คือยอดกรรมฐาน (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
แสดงธรรมเมื่อ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๐




นี่คือยอดกรรมฐาน (ตอนที่ ๑) (คลิก)


มรณํ เม ภวิสติ ให้นึกอยู่ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก
จนได้รับความสลดสังเวชทุกลมหายใจเข้าออก
จนจิตใจนี้ เมื่อมันเห็นความตายจริงๆ แล้วมันหยุด
หยุดความอยากได้ ความอยากดี อยากมี อยากเป็น ต่อมิอะไรๆ ได้หมด
เพราะว่าเมื่อความตายมาถึงเข้า เรามีความมุ่งมาดปรารถนาอย่างใดอยู่
เมื่อความตายมาถึงเข้า มันสู้ไม่ได้ ต้องตาย
พระหนุ่ม เณรหนุ่ม ผ้าขาว จะมาว่าเราไม่ตายไม่ได้
เวลามันมาถึงเข้าแล้ว เด็กก็ตายได้ คนหนุ่มก็ตายได้ คนแก่คนชรายิ่งตายเร็ว
ลมหายใจเข้าไปออกมาไม่ได้ก็ตายได้
ท่านเปรียบเหมือนอย่างว่าไม้ต้นไหนที่มันอยู่ริมฝั่ง
จะเป็นฝั่งน้ำหรือฝั่งภูเขาก็ตาม มันต้องมีเวลาล้มโค่นลงมา
ฉันใดชีวิตของเราท่านทั้งหลาย
แม้จะแข็งแรงขนาดไหน อยู่ดีสบายขนาดไหนก็ตาม
แต่ถึงเวลามันจะแตกตายแล้ว เหมือนต้นไม้ที่มันจะโค่นลงมาให้เราเห็น


อย่างที่เราอยู่ถ้ำผาปล่องนี้ เมื่อมองไปที่ยอดเขาเชียงดาว
จะเห็นว่าภูเขานั้นเป็นของแข็ง ไม่มีอะไรจะไปทำลายได้
แต่บางวันบางเวลา ก้อนหินที่อยู่ข้างบนโน้นก็มีเวลาแตก มีเวลาหลุดลงมา
ทำไมก้อนหินที่แข็งแกร่งมันจึงหลุดลงมาได้
นั่นแหละคนเรา จะเด็ก หนุ่ม แก่ อย่างไรก็ตาม
ความตายนี้มันต้องมาถึงเราได้สักวันหนึ่ง
ที่เรานึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ มาถึงเราไม่ได้ซึ่งความตายนั้น มันคิดเอาเอง
เวลาความตายมันเข้ามาถึงแล้ว ไม่มีอะไรที่จะไปทัดทานได้
จำเป็นต้องแตก ต้องตายไปตามยถากรรมนั้นๆ


ทางที่ดี ที่เหมาะสม ท่านจึงให้ภาวนาให้มันรู้แจ้งจริง ให้มันชัดแจ้งตั้งแต่นี้ต่อไป
จนให้เห็นว่าความตายนี้ มันขยับเข้ามาใกล้เข้าไปทุกวัน
ทุกคืน ทุกปี ทุกชั่วโมง นาที วินาที
มันขยับเข้าไปเรื่อย ไม่มีเวลาไหนที่จะห่างไกลออกไป
เตือนใจของเราให้รู้ซึ้งในมรณะความตายนี้ให้ได้
จนเกิดธรรมสังเวช สลดจิตสลดใจในคนตาย ในสัตว์ตาย ในคนอื่นตาย
และตัวเราก็ต้องตายอย่างเขา อย่างนั้นด้วย



ทีนี้เมื่อมรณภัยความตายนั้น มันนึกมันเจริญได้ เห็นว่ามันหนีไม่พ้น
บุคคลผู้นั้นก็ต้องบำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนา ไม่ท้อถอย
ทำอยู่ทั้งกลางวัน กลางคืน ยืน เดิน นั่งนอน ทุกอิริยาบถ
เพราะว่าเมื่อความตายมาถึงเข้าแล้ว
ทุกสิ่งจำเป็นต้องละทิ้งจากสิ่งทั้งหลายไป
ใครมียศก็ต้องตายหนีจากยศ ใครมีลาภ มีทรัพย์สินเงินทองอันใด
เวลาตายแล้วก็ต้องจากสิ่งเหล่านี้ไป
สิ่งที่เรามีความรักใคร่พอใจอยู่ในญาติ พ่อ แม่ ลูก หลาน
เมื่อมรณภัยคือความตายมาถึงเข้าแล้ว
ต้องตาย ต้องจากกันไป ไม่มีสิ่งใดจะมาทัดทานได้


มีอยู่อย่างเดียว ก่อนที่ยังไม่ถึงความตาย
เราจะได้บำเพ็ญทาน รักษาศีล โดยเฉพาะการนั่งสมาธิภาวนา
อย่าไปทอดธุระ ทุกคืนทุกวันเท่าที่โอกาสจะอำนวยให้

โดยเฉพาะคือว่าก่อนที่เราจะหลับจะนอนทุกๆ คืนนั้น ย่อมมีโอกาสอันดี
เพราะคนเราทำการงานมาตั้งแต่เช้าจนค่ำ จนถึงเวลานอน
เวลานั้นจึงเป็นโอกาสอันดี
จะกราบพระ ไหว้พระ ทำวัตร สวดมนต์ อย่างไรๆ ก็ให้ทำเสียก่อน
นั่งสมาธิภาวนา รวมจิตรวมใจเข้ามาให้สงบตั้งมั่น
ให้จิตใจเยือกเย็น สบายเสียก่อน
ไม่ให้ใจประมาท นึกเห็นความตายที่จะมาใกล้ตัวอยู่ทุกเวลา


ความตายนั้นใครจะไปผูกเป็นมิตร เป็นสหายกับความตาย
มันไม่ฟัง มันไม่เอาทั้งนั้น
หน้าที่ความตาย เมื่อถึงเวลาแล้ว มันเข่นฆ่าเอาจนตายให้ได้
จะตายแบบไหนก็ตาม มันก็ตายทั้งหมด
ทีนี้ถ้าผู้ปฏิบัติมีความรู้สึกสำนึกตัวแล้ว รีบปฏิบัติภาวนา ทำคุณงามความดี
ไม่ต้องมัวไปติเตียนนินทา ว่าร้ายป้ายสีให้แก่กันและกัน
เพราะทุกๆ คนมันต้องตาย
ก่อนจะตายนี้ ใครภาวนาดี ผู้นั้นก็ไปสู่ที่ดี
ใครละกิเลสได้ ผู้นั้นก็จะมีแต่ความสุข ความสบาย

ใครจะไปช่วยไม่ได้ ใครไม่ทำบุญ ทำแต่บาป
บาปที่บุคคลผู้นั้นทำ มันก็ให้ผลเดือดร้อนวุ่นวาย


การนั่งภาวนาก็ดี การเดินจงกรมก็ดี เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ
จะต้องประกอบกระทำให้เกิดให้มีขึ้น จนจิตใจนี้เกิดความเฉลียวฉลาด
สามารถอาจหาญในการที่จะปฏิบัติภาวนา
ทำจิตใจของตนให้องอาจกล้าหาญ
อย่าไปกล้าทำความชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว
กล้าทำความดี กล้าละกิเลส ราคะ ตัณหาให้หมดไป
เรียกว่าคนกล้า กล้าละกิเลส โทสะจริตให้หมดสิ้นไป นั่นแหละคนกล้า
กล้าละกิเลสโมหะ อวิชชา ตัณหา ในจิตใจให้หมดสิ้นไป
ก่อนที่ความตายจะมาถึง ให้เราทำความดีไว้ให้เต็มที่


เมื่อคุณงามความดีเต็มที่ เต็มใจ เต็มกาย วาจา จิตของเราแล้ว
บุคคลผู้นั้นไม่ทุกข์ ไม่ร้อน
เมื่อความเจ็บมาถึงเข้า ท่านก็แก้ไขภาวนาในใจได้
แม้ความตายมาถึงเข้า ใจท่านก็ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อน
เรียกว่าใจมันพ้นจากความเจ็บ พ้นจากความตาย
ใจไม่ยึดมั่นถือมั่นในอุปาทาน
ไม่ยึดหน้าถือตา ไม่ยึดตัวถือตน ไม่ยึดเรา ไม่ยึดของของเรา
จิตใจก็แจ้งสว่างไสว กิเลสความโกรธหมดไป
กิเลสความโลภหมดไป กิเลสความหลงหมดไป



สาวกของพระพุทธเจ้านั้น ท่านทำความเพียรภาวนาละกิเลส
ท่านไม่ให้กิเลสมาผูกมัดรัดรึงหัวใจท่าน
พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตาม
พระสาวกของพระองค์ก็ตาม ท่านผู้ได้บรรลุมรรคผล
จึงเป็นที่น่ากราบ น่าไหว้สักการบูชา เคารพนับถือทุกสิ่งทุกอย่าง



กิเลสนั้นมันหุ้มห่อจิตใจปุถุชนคนเรามาตั้งแต่อเนกชาติ นับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว
ทีนี้ถ้ามาปัจจุบันชาติ ใจมันก็ยังไม่รีบเร่ง ยังไม่ภาวนา
ย่อหย่อนท้อถอยอยู่ ย่อมใช้การไม่ได้
เราต้องพากันลุกขึ้น ตื่นขึ้นในหัวใจ รวมกำลังตั้งมั่นลงไป
ถ้ามันมัวคิดฟุ้งซ่านอย่างอื่น ก็ให้เตือนใจของเราว่า มรณํ เม ภวิสติ



มรณะ มรณํ ก็แปลว่า ความตาย
เมก็เรา ตัวเรา กาย วาจา จิตของเรานี้จะต้องตายแน่ๆ ภายในร้อยปีไม่มีเหลือ
เราจะมานิ่งนอนใจไม่ได้ จะต้องตั้งใจภาวนาเอาใจของเราให้ได้
ใจคนเรานั้น ไม่ใช่ตัวที่มองเห็นนี่ อันที่มองเห็นนี้เรียกว่า รูปขันธ์

รูปขันธ์นี้คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
ไม่ใช่จิตใจ และไม่ใช่ตัวของเราด้วย
ร่างกายสังขารนี้เปรียบเสมือนดังกว่ากุฏิวิหาร บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของคน
มันมีตัวคนอยู่ในบ้านเรือนนั้นอีกส่วนหนึ่ง
รูปร่างกายจะเป็นเพศหญิง เพศชาย หนุ่ม แก่ ประการใดก็ตาม
อันนี้เรียกว่ารูปขันธ์
มีดวงจิตดวงใจ ผู้รู้ผู้เห็น ผู้นึกภาวนาอยู่ในมรณกรรมฐานนั้น อยู่ภายในนั้นอีก
แต่คนเราเห็นหรือรู้เห็นกัน ก็เห็นแต่รูป
รูปนี้มันเป็นส่วนหนึ่ง เหมือนบ้านเรือนที่ว่านั้น
ส่วนจิตนั้นมันมาอาศัยอยู่ที่นี้ เรียกว่าเป็นเรือนของจิตของใจ
จิตใจได้อาศัยเรือนนี้เป็นที่อยู่อาศัย


แล้วเรือนหลังนี้คือขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่งนี้ มันอยู่ได้ไม่นาน
มันเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอดเวลา มันรอวันตายอยู่ทุกลมหายใจ
เราจะมาดีใจ พอใจ สนุกสนานเฮฮา ตามประสาคนหลงคนไม่รู้ไม่ได้
จะต้องปฏิบัติบูชาภาวนา ทำจิตทำใจของตนให้มีความเคร่งครัด มัธยัสถ์
เรียกว่าตามรู้ตามเห็นจิตใจดวงผู้รู้อยู่ภายในนี้ให้ได้
อย่ามาหลงยึดเอาถือเอาแค่ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง
อันเป็นเรือนร่างของจิตใจมาอาศัยอยู่นี้เท่านั้น
ดวงจิตดวงใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ รูปร่างกายไม่สำคัญเท่าดวงจิตดวงใจ
ผู้รู้ผู้เห็นอยู่ในตัว ในใจเราท่านทั้งหลาย นี่แหละสำคัญ



จิตใจ ผู้รู้อยู่ภายในนี้แหละ ท่านว่าเป็นใหญ่ในตัวเราทุกคน
เป็นใหญ่ เป็นประธาน สำเร็จด้วยดวงจิตดวงใจอันนี้ทั้งนั้น

ถ้าจิตใจดวงนี้จะทำดีแล้ว ทำได้ตลอด
ที่เราเรียกว่าทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ ละไม่ได้ อะไรต่อมิอะไรนั้น
คือเราไม่ตั้งใจลงไปให้เต็มที่ มันก็ทำไม่ได้ทั้งนั้นแหละ ละไม่ออกทั้งนั้นแหละ
ถ้าหากว่าจิตใจดวงนี้ ดวงจิตดวงใจผู้รู้อยู่นี้แหละ
มาเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยในกิเลสกาม วัตถุกาม ในโลกวัฏฏะสงสารอันนี้
จนเห็นแจ้งแทงตลอด ใจมันก็ไม่มาลุ่มหลงมัวเมา
เพราะจิตมันเห็นแจ้งว่าเกิดมาแล้วมันก็มีเรื่องทุกข์ เรื่องเดือดร้อน
เรื่องไม่เที่ยงแท้แน่นอน เต็มไปด้วยทุกข์ เต็มไปด้วยโทษ
จะมายึดเอา ถือเอาอย่างไรก็ไม่พ้นจากความตาย



ความตายนี้หนีไม่พ้นแน่ๆ ไตร่ตรองให้มันเห็นแจ้งในจิต
ถ้าจิตไม่รู้ไม่ได้ จิตไม่รู้มันก็มืดมน
คนที่จิตหลง จิตไม่รู้ ท่านว่าเหมือนกลางคืน
มืดเหมือนกลางคืน ไปไหนมาไหนไม่ได้
ถ้าขืนเดินไปก็ตำต้นไม้ ขวากหนาม มีภัยอันตรายรอบด้าน
เพราะจิตมันมืด จิตมันหลง จิตไม่รู้แจ้งแทงตลอดในธรรม



ผู้ปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เมื่อท่านมานึกได้ เจริญได้
ว่า มรณํ เม ภวิสติ เราต้องตาย
ท่านไม่นิ่งนอนใจ ท่านภาวนา ทำความเพียรละกิเลส

กิเลสความโกรธมีมากน้อยเท่าไร ก็ละทิ้ง ตั้งใจอยู่ภายใน
กิเลสความโลภ กิเลสความหลง อวิชชา ตัณหา มีมากน้อยเท่าไร
ก็เพียรละออกไปให้หมดสิ้น
เพราะว่าเมื่อมรณภัยคือความตายมาถึงเข้า เราจะเอาอะไรไปไม่ได้ทั้งนั้น
นี่แหละเมื่อว่าเราท่านทั้งหลาย เมื่อว่าได้ยิน ได้ฟังแล้วซึ่งมรณกรรมฐานนี้
ก็ให้พากันกำหนดจดจำ นำไปประพฤติปฏิบัติ
จนมาชำระกิเลส ราคะ โทสะ โมหะในจิต ในใจของตนๆให้หมดสิ้นไป
ก็จะมีความสุข ความเจริญในทางพุทธศาสนา



ดังแสดงมาก็สมควรด้วยกาลเวลา
เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จากพระธรรมเทศนา “นี่คือยอดกรรมฐาน”
ใน พระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร)
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๑๒ โดย ปฐมและภัทรา นิคมานนท์
ฉบับพิมพ์เมื่อมกราคม ๒๕๕๐


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP