วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๕๒



Tao Nam Kang - front re




ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๓๔



            งานเลี้ยงฉลองออกจากโรงพยาบาลของลานน้ำค้างมีสมาชิกไม่มากนัก ฝ่ายชายมีเลียบเมือง บูรพา โดม และหมอน่าน ส่วนฝ่ายหญิงมีคุณดาริกา ลานน้ำค้าง และเจ้าปันปัน

            ในงานไม่ต่างจากการร่วมรับประทานอาหารเย็นธรรมดา เป็นมื้อเย็นที่เต็มไปด้วยความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยสนุกสนาน รื่นเริง

            คนเดียวที่มีสีหน้าฝืดฝืนกว่าเพื่อนคือหมอน่าน ต่อให้พยายามพูดจา ยิ้มแย้มเป็นปกติ แต่แววตาที่มองลานน้ำค้างมีความกังวลเคลือบแฝง

            คุณดาริกาสังเกตเห็นโดยไม่เอ่ยทัก เธอรู้เหตุผลที่หมอน่านไม่สามารถร่วมยินดีได้...เพราะข่าวที่เขาจำต้องนำมาบอกเย็นนี้ มันเป็นเรื่องที่สร้างความรู้สึกผิดแก่เขาไม่น้อย

            ผู้สูงวัยมองชายหนุ่มร่วมโต๊ะอาหารด้วยความเข้าใจ

            สำหรับเธอ...การรู้ผลการตรวจของลานน้ำค้าง ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้มันก็ไม่ต่างกัน แต่สำหรับคนที่เป็นห่วง แคร์ความรู้สึกของคนป่วยอย่างหมอน่าน จะมากจะน้อยย่อมมีความรู้สึกผิดบ้าง

            บูรพา เลียบเมือง กับโดมยังไม่รู้เรื่องนี้ งานเลี้ยงจึงรื่นเริง ส่วนคนป่วยกลับไม่ใส่ใจในกับผลที่ได้รู้

            “ไม่หายก็ไม่หายสิ...เจ้าเชื้อมะเร็งไม่ได้เป็นลูกน้องของลานสักหน่อย ก็เลยไล่มันไม่ไป สั่งมันไม่ได้” หญิงสาวยิ้มใสแถมยังยกคำของคุณย่ามาลัยขึ้นมาสอนอีก



             “คราวก่อนไปหาคุณย่า...ท่านยังบอกเลยว่ากายนี้ไม่ใช่เรา ใจนี้ก็ไม่ใช่เรา เพราะมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และบังคับควบคุมให้เป็นอย่างต้องการไม่ได้...ตอนนี้ร่างกายและเจ้าเชื้อมะเร็งมันก็เลยช่วยยืนยันคำสอนของคุณย่าไงคะว่ามันไม่ใช่ตัวตนของเรา...ไม่เคยมีเราอยู่ในที่ไหนเลย!”



            คุณดาริกาได้ฟังอย่างนั้นก็วางใจ ยอมรับ ตนเองเรียนธรรมะพร้อมกับลูกสาวแทบทุกครั้งที่ได้ออกจากโรงพยาบาล ส่วนหมอน่านกลับวางอย่างนั้นไม่ได้ ใจยึดเหนี่ยว เป็นห่วง เป็นทุกข์ ทั้งที่ตนก็มองเห็นคนป่วย คนเจ็บ และคนตายเกือบทุกวัน

            คุณดาริกาไม่แน่ใจว่า เมื่อผู้ชายที่เหลืออีกสามคนได้รู้ผลนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร?

            เธอรู้ว่าพวกเขารักลานน้ำค้าง ถึงอย่างนั้นทั้งสามก็ไม่เคยแสดงท่าทางแข่งขัน แย่งชิงความรักกันไม่ว่าจะเป็นด้านกิริยา หรือวาจา

            พวกเขาพูดจา คุ้นเคย สนิทใจไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูคู่แข่ง เพราะรู้ว่าศัตรูหัวใจไม่ใช่เป็นคนที่มองเห็นหน้า แต่เป็นความตาย และพญามัจจุราชที่พร้อมจะมาพรากชีวิตผู้หญิงที่เขารักได้ทุกเมื่อ

            ดังนั้น สิ่งที่พวกเขากระทำจึงไม่ใช่การแก่งแย่ง ช่วงชิงความรัก แต่เป็นการทำทุกเรื่อง ทุกอย่างที่สามารถช่วยชีวิต และทำให้ลานน้ำค้างมีความสุขได้ในปัจจุบัน

            ความรักในลักษณะนี้ คุณดาริกาไม่เคยเห็นมาก่อน ยิ่งตอบไม่ได้ว่าบุตรสาวตนมีใจมอบให้ใครเป็นพิเศษ

            โดมนั้นคงบอกชัดเจนว่าเป็นแค่น้องชาย

            ระหว่างเลียบเมืองกับบูรพา สายตาคนนอกอาจเห็นว่าเลียบเมืองมีภาษีกว่า เพราะเป็นผู้ชายในแบบที่ลานน้ำค้างฝันถึง และช่วงหลังทั้งคู่ก็ดูสนิทสนมกันมากกว่าเดิม

            ถึงอย่างนั้นคนเป็นแม่อย่างคุณดาริกาก็มักสังเกตรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ยามที่บุตรสาวมองเพื่อนชายอย่างบูรพา...

            เธอเห็นว่าแววตานั้นเริ่มเปลี่ยนไป...

            เวลานี้คุณดาริกายอมปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามธรรมชาติของมัน...เธอเชื่อว่า กระทั่งตัวลานน้ำค้างเองก็ตอบไม่ถูกว่าใจตนเองเวลานี้กำลังเอนเอียงไปทางผู้ชายคนไหน...เลียบเมือง...หรือบูรพา...

            อย่างนี้กระมัง...คุณย่ามาลัยถึงได้สอนลานน้ำค้างในครั้งล่าสุดว่า...

             กายนี้ไม่ใช่เรา...ใจนี้ไม่ใช่เรา

            ร่างกายของลานน้ำค้างยืนยันความจริงนี้ด้วยการดื้อแพ่ง ไม่ยอมหายป่วย ทั้งที่ทำคีโมจนครบแล้ว

            และจิตใจของลานน้ำค้าง ก็ยืนยันความจริงข้อนี้เช่นกัน...ว่ามันไม่ใช่ ‘ของเธอ’

            ใจ...จะรักใคร เธอไม่สามารถสั่งการ บังคับมันได้!

  

            รับประทานอาหารมื้อค่ำเรียบร้อย แต่ละคนต่างนั่งคุยกันพร้อมขนม ของหวาน เครื่องดื่มที่ห้องรับแขก...

            โดมถูกเจ้าปันปันรบเร้าให้ร้องเพลง เล่นกีตาร์ เด็กหนุ่มพยายามต่อรอง หลีกเลี่ยง แม่หนูน้อยก็ไม่เลิกรา ยอมลงทุนขึ้นไปนั่งตักเขย่าแขน อ้อนสุดฤทธิ์จนพวกผู้ใหญ่ต่างนึกขัน

            ลานน้ำค้างเห็นอย่างนั้นจึงเข้าไปช่วย

            “ฟังพี่ร้องแทนได้มั้ยเอ่ย” หญิงสาวถาม

            “ไม่เอา ปันปันฟังพี่ลานบ่อยแล้ว อยากฟังพี่โดมร้องบ้างนี่”

            “น่า...นะ...ฟังพี่หน่อยเถอะ พี่อยากร้องเพลงจังเล้ย” ลานน้ำค้างหยอกล้อ แม่หนูน้อยยิ้ม

            โดมอารมณ์ดี ที่จริงเขาไม่ขัดที่จะร้องเพลงให้ปันปันฟัง แต่วันนี้ยังไม่รู้ผลตรวจของลานน้ำค้าง เขาจึงไม่ถึงขั้นสบายใจเต็มที่จนสามารถร้องเพลงให้ทุกคนฟังเพื่อความสนุกสนานได้

            “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าพรุ่งนี้ผลตรวจของพี่ลานออกมาว่าหายขาด...พี่จะยอมเล่นกีตาร์ร้องเพลงให้ปันปันฟังทั้งคืนเลย”

            “แน่นะ” ปันปันยื่นนิ้วก้อยขอคำมั่นสัญญา

            “สัญญาสิ” โดมเกี่ยวก้อยสัญญากับเด็กหญิง สายตาเหลือบขึ้นมองสบกับหมอน่าน เห็นรอยพิรุธชวนฉุกใจขึ้นมา

            หมอน่านหลบตาโดม ใบหน้าเผือดจนสังเกตได้ เด็กหนุ่มเกิดสังหรณ์ประหลาด และสังหรณ์นี้แผ่ขยายไปสู่เลียบเมืองกับบูรพาอย่างรวดเร็ว

            “พี่หมอ” บูรพาเริ่มถาม “มีอะไรหรือเปล่า”

            หมอน่านหันมามองทุกคนด้วยสายตาปกติ แต่ยังไม่สามารถพูดอะไรได้

            “ผลตรวจของลานออกมาแล้วหรือครับ?” เลียบเมืองฉุกใจถามขึ้น

            ความเงียบ อึดอัดใจของหมอน่านแผ่ซ่านจนทุกคนรู้สึก สัมผัสได้ เป็นความเงียบที่กดดันทุกคน ยิ่งพอเห็นหมอน่านไม่ตอบ ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากซักถามต่อ แต่ความสงสัย คาดเดาก็เกิดในใจแล้ว

            ปันปันมองพวกผู้ใหญ่อย่างสงสัย ลงจากตักของโดม แล้วเดินเข้าไปหาคุณดาริกา ลานน้ำค้าง ซึ่งดูมีสีหน้าปกติ สบายใจที่สุด

            คุณดาริกาอุ้มปันปันมานั่งข้าง ๆ จากนั้นเป็นฝ่ายเอ่ยปากแทนหมอน่าน

            “จ้ะ...วันนี้หมอน่านเขาเอาผลตรวจมาให้แม่กับลานดูแล้ว” คำพูดคุณดาริกาคือการยืนยัน สีหน้าท่าทางหมอน่าน ก็สามารถบอกนัยของผลตรวจได้

            “ผลเป็นยังไงครับ” โดมไม่อยากคาดเดาจึงถามออกมาตรง ๆ

            หมอน่านไม่ตอบ แม่ไม่ตอบ เลียบเมืองกับบูรพาเป็นฝ่ายรอฟัง ผู้จำเป็นต้องตอบคือคนป่วย...

            “มันยังอยู่จ้ะ” ลานน้ำค้างพูดราวกับสิ่งที่อยู่ในร่างกายเป็นแค่เชื้อหวัด ไม่ใช่เซลล์มะเร็ง

            “ไม่...ไม่จริง” โดมเค้นคำพูดเจ็บปวด

            บูรพาจ้องตาหญิงสาว ต้องการคำยืนยันอีกครั้ง เลียบเมืองถอนใจนิด ๆ แววตาครุ่นคิดหาวิธีรักษาทางอื่น

           “ผมจะไปถามพ่อ...ทำไมถึงรักษาลานไม่ได้” เด็กหนุ่มลุกพรวดพราด

           ลานน้ำค้างรีบลุกตาม ยืนขวางหน้าเขาไว้ ทุกคนมองหญิงสาวคนป่วย กับเด็กหนุ่มที่แสดงความเจ็บปวด คลุ้มคลั่ง ด้วยแววตาเข้าใจ

           “คุณหมอนภัทรทำดีที่สุดแล้ว” คนป่วยกลับเป็นฝ่ายปลอบประโลม

            “ไม่” โดมพูดสั้น ๆ แววตากร้าว “พ่อต้องทำได้มากกว่านี้...เราสัญญากันแล้ว...ผมก็ยอมทำตามสัญญาแล้วเหมือนกัน”

            พูดถึงตอนนี้โดมก็ชะงัก นึกได้ว่าไม่ควรหลุดคำสัญญาระหว่างพ่อลูกให้ทุกคนได้ยิน ทว่าเพียงเท่านี้ ผู้หญิงที่มีความรู้สึกไวอย่างลานน้ำค้างก็สัมผัสได้

            เกิดความเข้าใจตลอดสาย ถึงเหตุผลที่หมอนภัทรไม่คิดค่ารักษา อีกทั้งยังดูแลเอาใจใส่หล่อนเกินคนไข้ทั่วไป ส่วนโดมเองก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี รู้จักคิด ตั้งใจสอบเรียนต่อ มองอนาคตตัวเองเป็น

            “นั่งคุยกันก่อนดีมั้ยโดม” วาจานุ่มนวล อ่อนโยนทำให้เด็กหนุ่มไม่อาจขัดขืน

            ลานน้ำค้างนั่งลงข้างมารดา มองผู้ชายคนอื่นที่อยู่ในห้อง รู้สึกถึงความรัก ความหวังดีที่ถ่ายทอดมาทางแววตา สุดท้ายมาหยุดที่โดม ซึ่งกำลังพลุ่งพล่าน ร้อนใจกว่าใคร

            “พี่ไม่รู้ว่าโดมสัญญาอะไรกับคุณหมอ แต่พี่ต้องขอบใจมาก” หญิงสาวเริ่มต้น โดมมีท่าอึดอัดใจ ไม่อยากให้เธอพูดเรื่องนี้ต่อ

            “พี่เชื่อว่าไม่มีคุณหมอคนไหน จะดูแล รักษา เอาใจใส่พี่ได้ดีกว่าคุณหมอนภัทร พ่อของโดมอีกแล้ว...ไม่ว่าโดมจะคิดยังไง แต่พี่เชื่อว่า ทุกสิ่งที่หมอนภัทรทำให้พี่ ก็เพราะเห็นแก่โดมทั้งนั้น...เขารักโดมมากนะ คิดดู ค่ารักษาของพี่ตั้งเท่าไหร่ คุณหมอไม่คิดเลยสักบาท แล้วการที่จะให้คุณหมอระดับผอ.โรงพยาบาลมาดูแลเอาใจใส่คนป่วยที่ไม่สำคัญแบบพี่ขนาดนี้ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยนะ”

            ลานน้ำค้างยิ้ม โดมค่อยสงบลง

            “คุณหมอดีกับพี่ เพราะเห็นแก่โดม...ไม่ว่าโดมต้องรับปากสัญญาอะไรก็ตาม เบื้องหลังเจตนาจริงของคุณหมอก็เพื่อตัวให้ตัวโดมเองได้เกิดประโยชน์ทั้งนั้น”

            หญิงสาวหยุดพูด สังเกตเด็กหนุ่มชั่วขณะก่อนเอ่ยวาจาจี้ใจ

            “กว่าโดมจะรู้ว่าแม่รัก และตัวเองรักแม่แค่ไหน โดมก็ได้สูญเสียท่านไปแล้ว...แต่ตอนนี้โดมยังมีคุณพ่อเหลืออยู่...โดมยังมีโอกาสที่จะรักเขา...มีโอกาสที่จะรู้ว่าเขารัก...รักโดมมากแค่ไหน”

            เด็กหนุ่มชะงัก ใจแปลบ

            “ถ้าโดมจะไปหาหมอนภัทร...ก็ไม่ควรไปต่อว่าท่าน เรื่องรักษาพี่ไม่หาย...แต่ควรไปกราบขอบคุณท่าน...ขอบคุณที่ท่านรักโดมเหลือเกิน...รักมากจนสามารถเผื่อแผ่ความรักนั้นมาถึงพี่ด้วย”

            เกิดความเงียบ...ความเงียบครั้งนี้ไม่ได้มีความอึดอัด กดดันแอบแฝง มันเป็นความเงียบอันอบอุ่น ความเงียบของการรอคอย...รอคอยความรู้สึกบางอย่างที่กำลังผลิบาน เด่นชัดขึ้นมาในใจ

            โดมลุกขึ้น เดินออกจากห้องโดยไม่พูดจา ไม่มีกิริยาพลุ่งพล่านร้อนรนเช่นคราวแรก ลานน้ำค้างมองหมอน่าน เหมือนขอร้อง ขอความช่วยเหลือ

            คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

            “เดี๋ยวพี่จะขับรถไปส่งโดมที่โรงพยาบาลแล้วกัน คิดว่าอาจารย์หมอท่านคงยังไม่กลับบ้านหรอก”

            “ขอบคุณค่ะพี่น่าน”



             ในห้องเหลือชายหนุ่มอีกสองคน...เลียบเมืองและบูรพา ทั้งสองยังไม่ไปไหน พวกเขามีวาจารอพูดกับหญิงสาว...

            “เรายังมีหวัง” น้ำเสียงเลียบเมืองเชื่อมั่น “ผมจะพยายามหาไขกระดูกมาให้คุณ”

            “ค่ะ” คำตอบลานน้ำค้างไม่ได้หมายถึงเห็นด้วยกับเขา

            มันคือวาจา แทนคำขอบคุณในน้ำใจ

            บูรพาไม่มีคำพูดแล้ว…สิ่งที่อยากบอกถูกเลียบเมืองตัดหน้าพูดก่อน ทว่าเขากลับไม่มีความแค้นเคือง น้อยใจ...ใครพูดไม่สำคัญหรอก ขอให้ลานน้ำค้างคลายใจ คลายทุกข์ก็พอ

            ลานน้ำค้างขยับตัวชิดมารดาราวกับต้องการเรียกพลังใจ ซึมซับความเข้มแข็ง ถึงเวลานี้หล่อนควรมีวาจา คำพูดที่ชัดเจนสำหรับผู้ชายทั้งสองคน

            คุณดาริการู้สึกถึงบรรยากาศนี้จึงยกแขนโอบกระชับร่างบุตรสาวเบา ๆ ก่อนพาปันปันไปหลังบ้าน ปล่อยให้สามหนุ่มสาวพูดคุยกันตามสะดวก

 

             เหลือเพียงสามคน มองหน้ากัน คนที่เริ่มก่อนคือลานน้ำค้าง

            “ขอบคุณค่ะ” คำสามคำ ฟังง่าย หากมองลึกลงไปถึงสีหน้า แววตาหญิงสาว จะเห็นความหมายซ่อนเร้นอยู่ในนั้น “ขอบคุณสำหรับสิ่งดี ๆ ทั้งหมดที่มอบให้ลาน...”

            เลียบเมือง บูรพารู้สึกเหมือนคำขอบคุณนั้นแทนการบอกลา ยากทนทานฟังต่อได้

            “ลาน” บูรพาเอ่ยปาก ดวงตาขอร้องให้หล่อนหยุดพูด

            “บู...” หญิงสาวเรียกขานเขาด้วยชื่อนี้เป็นครั้งแรก “รู้มั้ย...ช่วงเวลานี้ เป็นเวลาที่ฉันมีความสุขมากที่สุด”

            คำขอร้องจากแววตาไม่อาจหยุดวาจาลานน้ำค้าง

            “ฉันมีความสุขมากจนบอกไม่ถูก...คิดดูฉันป่วยขนาดนี้ ต้องทนทรมานรักษาตัวมาเกือบปี ถึงจะไม่หาย แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันได้รับสิ่งมีค่าที่ผู้หญิงแทบทุกคนอยากได้...นั่นคือความรักและความจริงใจ

            สองหนุ่มไม่กล้าพูด ไม่กล้าเอ่ยปาก ทำได้เพียงรอฟัง...

            “ความรักและความจริงใจเป็นสิ่งหายาก ฉันโชคดีแค่ไหนที่ได้รับมันจากคนหลายคน...ทั้งแม่ คุณหมอนภัทร พี่น่าน พี่ทิพย์ โดม คุณปอน และอีกคน...บูรพา

            บูรพาไม่เคยได้ยินลานน้ำค้างเรียกชื่อเต็มยศของเขามาก่อน ฟังแล้วอาจไม่คุ้นเคย ทว่าน้ำเสียงยามหญิงสาวเอ่ยชื่อนี้ มันมีความหวานผิดแผกจากที่เคยเรียก ‘เจ้าหมู’ จนสามารถรู้สึกได้

            ชายหนุ่มคิดว่า...ขอให้ลานน้ำค้างเรียกเขาอย่างนี้อีกสักครั้ง ไม่ว่าจะแลกด้วยสิ่งใด ล้วนยินยอม

            เลียบเมืองเห็นสายตาหญิงสาวมองเพื่อนชาย ทำให้หัวใจเขาเจ็บแปลบราวกับถูกกันเป็นคนนอก ทว่ายามลานน้ำค้างเบือนสายตามาทางเขา ชายหนุ่มสัมผัสถึงไออุ่นที่กำซาบถึงหัวใจ เป็นความจริงใจทำให้รู้ว่าเขายังมีตัวตนในสายตาเธอ

            “ลานไม่รู้ว่าจะมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่...อาจแค่วันสองวัน เดือนสองเดือน โชคดีอาจอยู่ได้อีกเป็นปี ๆ ซึ่งมันไม่แน่นอนเอาเสียเลย ไม่รู้ว่า เวลาที่เหลือนี้จะมากพอตอบแทนความรัก ความรู้สึกดี ๆ ของทุกคนได้ยังไง”

            หญิงสาวหยุดพูดชั่วขณะ จ้องตาสองหนุ่มก่อนรวบรวมความกล้า พูดอย่างตรงไปตรงมา

             “เพราะแค่คำว่า...รัก มันคงน้อยเกินไป สำหรับความรู้สึกที่ลานมีต่อพวกคุณ”

            เลียบเมืองนิ่ง บูรพานิ่ง พูดอะไรไม่ออก...นี่ใช่การตอบรับรักหรือไม่?



            คำพูดนี้ลานน้ำค้างเคยใช้มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อลุงคงเดช พ่อของบูรพาถามว่า รักลูกชายเขาหรือไม่?

            คำตอบของลานน้ำค้างวันนั้นคือ...

            “ไม่ใช่แค่รัก ค่ะลุง มันลึกซึ้งกว่านั้น จนลานไม่รู้จะอธิบายยังไง”

            ใช่...ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เพราะความรู้สึกจริงจากใจ ย่อมต้องใช้หัวใจจริงเข้าไปสัมผัส



            “ผมไม่ต้องการให้คุณมาตอบแทน...ความรัก” เลียบเมืองพูดออกมาก่อน

            “อย่าทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันสิ” บูรพาถอดหัวใจออกมาเป็นวาจา

            ผู้ชายทั้งสองคนตรงหน้า ไม่คาดหมายจะได้รับความรักตอบแทน เพียงแต่หัวใจมันผลักดันให้พวกเขากระทำในทุกสิ่งที่ช่วยให้เธอมีความสุข หวังให้หญิงสาวคนนี้ปลอดภัย หายจากโรคร้าย

            ส่วนจะรับรักพวกตนหรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องในวันข้างหน้า

            ลานน้ำค้างยิ้มสดใส ด้วยใจที่ซื่อตรงต่อตนเอง ไม่จำเป็นต้องพูดหรอกว่าเธอมีความรักตอบแทนผู้ชายสองคนนี้มากแค่ไหน...ให้ใครมากกว่ากัน

            เพราะรักนี้ไม่สามารถขึ้นตาชั่งเปรียบเทียบ

 

            “มันไม่ใช่การตอบแทนความรักค่ะ” ลานน้ำค้างบอกแก่ชายหนุ่มทั้งสอง แต่นี่คือการบอกรัก...พวกคุณ...ทั้งสองคน”

            ทั้งสามมองหน้ากัน มีรอยยิ้มแห่งความเข้าใจ...รักก็คือรัก...รู้ว่ารัก...แล้วก็พอ...รู้ว่ารัก...

            หากมีความคาดหมาย ต้องการอะไรมากกว่านี้ ‘ความรัก’ ย่อมถูกปนเปื้อน...เปื้อนจนเกิดพิษ...และพิษรัก จะย้อนมาทำร้ายให้เกิดทุกข์

            บรรยากาศอบอุ่น ครอบคลุมห้องเล็ก ๆ แห่งนี้ให้อบอวลด้วยความสุข สร้างสรรค์ให้มันกลายเป็นสวรรค์ภายในชั่วเวลาไม่กี่วินาที...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คุณดาริกาเข้ามาในห้องหลังจากบรรยากาศแห่งความรัก ความเข้าใจคลี่คลายลงชั่วครู่ ใบหน้าของผู้สูงวัยมีรอยยิ้มก่อนที่จะแปรเปลี่ยน เมื่อเห็นว่าในห้องขาดไปบุคคลหนึ่ง

            “อ้าว...ปันปันยังไม่เข้ามาอีกเหรอ” คุณดาริกาสงสัย

            “ปันปันออกไปกับแม่นี่คะ” ลานน้ำค้างบอก

            “ใช่จ้ะ แต่แม่หันไปเก็บของในครัวแป๊บเดียวปันปันก็หายไปแล้ว เลยคิดว่าน่าจะเข้ามาหาคุณเลียบเมือง”

            “เปล่านี่ครับ” เลียบเมืองมีสีหน้าผิดปกติ ตกใจ

            “เดี๋ยวเราช่วยกันหาดีกว่าครับ คงอยู่แถวนี้แหละ” บูรพาออกความเห็น

            ลานน้ำค้าง บูรพา เลียบเมืองลุกขึ้นพร้อมกัน เหลียวหาเจ้าตัวเล็กรอบห้อง ไม่เห็นวี่แววร่องรอย จึงแยกย้ายกระจายกันออกตามหา

            เสียงร้องเรียกหาเด็กหญิงดังขึ้นจากมุมโน้นมุมนี้ในบ้าน คุณดาริกามีสีหน้าผิดปกติ รู้สึกแปลก ๆ สายตากระทบรูปถ่ายของ ‘กลางนภา’ พ่อลานน้ำค้างที่ใส่กรอบแขวนไว้บนผนัง ใจบังเกิดกระแสเชื่อมโยง สื่อสารที่เธอไม่สามารถแปลความหมายออก

            ไม่มีเสียงขานตอบรับจากแม่หนูน้อย ไม่ได้ยินเสียงกุกกักแปลก ๆ ให้สังเกตทิศทาง พอเสียงร้องเรียกเงียบลง ทั้งบ้านบังเกิดความสงัดน่าประหลาด คล้ายกำลังอยู่ในแดนสนธยา

 

            ลานน้ำค้างสัมผัสถึงกระแสวนแปลก ๆ คล้ายคุ้นเคย คล้ายไม่เคยรู้จัก กระแสนั้นครอบคลุมทั่วบ้าน บอกถึงพลังงานประหลาดที่พยายามอย่างยิ่งที่จะแสดงตัวออกมา

            หญิงสาวรู้สึกราวบรรยากาศในบ้านถูกคาบเกี่ยวกับอีกดินแดนหนึ่ง เป็นโลกที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้จัก ทว่าเธอคุ้นเคยกับมันดี สายตาเคยมองเห็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้นหลายครั้ง

            ...โลกหลังความตาย...

            เงาราง ๆ ปรากฏหน้ากรอบรูปของพ่อ ลานน้ำค้างพยายามเขม้นมองให้ชัด แต่มันกลับดูเลือนราง ต้องปล่อยใจให้ผ่อนเบา ปราศจากความจงใจ จึงมองเห็นชัดขึ้นว่าเป็นเงาด้านหลังของชายร่างสูงคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเดินทะลุผนังไปยังอีกห้อง

            ลานน้ำค้างก้าวออกจากห้องรับแขก ตามมาอีกฟากของผนัง เงาหลังดำ ๆ นั้นยังปรากฏให้เห็น หนำซ้ำยังเดินเหมือนลอยช้า ๆ ไปทางบันไดขึ้นชั้นสอง

            หญิงสาวกำลังจะก้าวตามขึ้นบันได ได้ยินเสียงของแม่ดังจากเบื้องหลัง

            “ข้างบนแม่ยังไม่ได้เปิดไฟ จะขึ้นไปทั้งมืด ๆ อย่างนั้น ได้ยังไงลูก”

            เงาดำตรงหน้าหายวับ บรรยากาศคาบเกี่ยวสองดินแดนสลายตัว กลับสู่ปกติ

            “ยัง...ไม่เปิดไฟ” หญิงสาวค่อยมองเห็นทางขึ้นบันไดตรงหน้ามืดสนิท ผิดกับเมื่อครู่ที่พอมองเห็นเลือนราง

            คุณดาริกาไปที่ผนังหัวบันได กดสวิตซ์ ไฟเปิดสว่างมองเห็นบันไดจากชั้นล่างถึงหัวบันไดชั้นบน

            “ลองขึ้นไปดูหนูปันปันข้างบนก็ดี...แต่มืดอย่างนี้ แกจะกล้าขึ้นมาเหรอ” ผู้สูงวัยเอ่ยปากอย่างไม่แน่ใจ



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP