วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๔๘



Tao Nam Kang - front re



ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ลานน้ำค้างเข้ามาในห้องทันเห็นปันปันวางโทรศัพท์ เด็กหญิงหันมายิ้มแป้น รีบรายงานเสียงแจ๋ว ๆ

            “ตะกี้มีผู้ชายโทรมาหาพี่ลานล่ะ”

            “อ้าว...ใครโทรมา เขาบอกชื่อกับปันปันหรือเปล่า” หญิงสาวสงสัย

            “เปล่าบอก...เขาถามว่าพี่ลานอยู่ไหน ปันปันก็บอกว่าอยู่ห้องฉีดยา” แม่หนูบอกอย่างภูมิใจ

            “เฮ้ย!” ลานน้ำค้างตกใจ “พี่ไปหาคุณหมอเฉย ๆ ไม่ได้ไปฉีดยาสักหน่อย”

            “อ้าว...เหรอคะ” เด็กหญิงทำหน้าเหรอ “ก็ปันปันเห็นพี่ลานโดนฉีดยาทู้กวัน”

            ลานน้ำค้างนึกขันมากกว่าโมโห หยิบโทรศัพท์มาดูเองว่าใครโทรมา...พอเห็นชื่อโดมก็แปลกใจ

            “ปันปันบอกอะไรพี่เขาอีกหรือเปล่า” หญิงสาวถาม

            “บอก...เขาถามว่าพี่ลานอยู่โรงพะบานไหน...ปันปันก็บอกไปแล้ว” เด็กหญิงตอบซื่อ ๆ

            หญิงสาวชั่งใจ ควรโทรกลับดีหรือไม่...ค่อนข้างแน่ใจว่าโดมต้องตามมาโรงพยาบาลในเวลาไม่ช้าแน่...หากโทรกลับหล่อนต้องเสียเวลาตอบคำถามมากมาย สู้อยู่เฉย ๆ รอคุยกับเขาที่นี่ดีกว่า

            เฮ้อ...อย่างนี้เชื่อแม่เสียก็ดี ไม่น่าแอบเปิดโทรศัพท์เลย...ลานน้ำค้างนึกบ่นในใจ

            ช่างเถอะ...ถึงเขาไม่รู้วันนี้ วันหน้าก็ต้องรู้อยู่ดี

            บางที โดมอาจได้ข้อมูลอาการป่วยของหล่อนอย่างละเอียด ครบแล้วก็ได้ ในเมื่อที่นี่เป็นโรงพยาบาลของพ่อเขา และหมอนภัทรก็เป็นนายแพทย์เจ้าของไข้หล่อน


 

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ช่วงเวลาเย็นถึงค่ำ ถ้าไม่ติดต้องดูผู้ป่วยใน หรือให้ยาคีโม นายแพทย์นภัทรจะอยู่ห้องทำงาน ดูรายละเอียดเกี่ยวกับงานด้านบริหาร...วันนี้มีเรื่องพิเศษกว่านั้น คุณหมอเข้าห้องทำงานตั้งแต่เย็น แล้วสั่งเลขานุการหน้าห้องคอยกันไม่ให้มีใครมากวน

            ทว่ากลับมีเสียงจากอินเตอร์คอมแจ้งว่ามีคนขอเข้าพบ

            “ใคร?” หมอนภัทรถามเสียงขุ่น เขาเพิ่งลงมือทำงาน อ่านเอกสารไม่ถึงชั่วโมงก็มีคนมากวนแล้ว

            “คุณโดมค่ะ” ตอนนี้คนทั่วไปรู้จัก จำหน้าได้หมดแล้วว่าโดมเป็นใคร

            “ให้เข้ามาได้” คุณหมอนึกสงสัย ทำไมลูกชายมาที่นี่เร็วนัก

            ที่หมอนภัทรปิดห้องไม่ให้ใครมากวนวันนี้ ก็เพราะต้องการดูคอนเสิร์ต โดยใจนึกภาวนาขอให้โดมยอมออกจากบ้านเสียที ไม่เช่นนั้น การที่เขายอมลงทุนพาลานน้ำค้างไปเกลี้ยกล่อม ก็จะกลายเป็นเสียเวลาเปล่า



            “ต้องรอดูอีกทีค่ะ ลานทำเต็มที่แล้ว” ลานน้ำค้างบอกเมื่อออกมาจากบ้านหลังนั้น



            หมอนภัทรตั้งใจดูคอนเสิร์ต รอลูกชายขึ้นเวที การที่เขาจะร้องเพลงได้หรือไม่...ไม่ใช่ปัญหา แค่เขายอมออกจากเปลือกความเศร้าได้ก็เพียงพอแล้ว...พอได้เห็นลูกชาย ฟังเสียงเขาร้องเพลงค่อยคลายใจ ภาระหนักอกเบาลงไปกว่าครึ่ง ที่แปลกใจคือคอนเสิร์ตเพิ่งเลิกไม่ถึงชั่วโมง ทำไมโดมถึงมาหาเขาที่โรงพยาบาลได้...และมาด้วยจุดประสงค์ใด?

            คำตอบมาพร้อมร่างสูงบางที่เข้ามาในห้องอย่างคนไร้วิญญาณ ใบหน้าเผือด แววตาสับสน ผมที่รวบเรียบร้อยตอนขึ้นเวทีกลับรุ่ยร่าย บอกถึงความรู้สึกเจ้าตัวยามปัจจุบัน

            “พ่อ” โดมเรียกพร้อมจ้องหน้าบิดา “โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวนี่...รักษาหายมั้ย?”

            ได้ยินคำถาม หมอนภัทรก็งุนงงในขณะแรก ก่อนนึกถึงใครบางคนได้...

            “นั่งก่อนสิ” คุณหมอบอกลูกชาย เป็นการชะลอเวลาและเรียกสติเขาไปในตัว

            เด็กหนุ่มยอมนั่งอย่างว่าง่าย พร้อมย้ำคำถามเดิม

            “พ่อรักษาโรคนี้ได้ใช่มั้ย” โดมคาดคั้นคำตอบ “ใช่มั้ย!”

            “ต้องดูอาการเป็นราย ๆ ไป” คุณหมอตอบเป็นกลาง “แล้วถามทำไม”

            “ลานน้ำค้าง” โดมเอ่ยชื่อที่หมอนภัทรคาดเดาไว้ในใจ “ลานจะรักษาหายมั้ย”

            นายแพทย์นภัทรถอนใจยาว...เขาเผชิญการตอบคำถามลักษณะนี้มาหลายครั้ง แต่ละครั้งมักมีคำพูดเป็นกลาง ให้ญาติคนป่วย กระทั่งคนป่วยคลายใจในระดับหนึ่ง...มีเพียงครั้งนี้ ที่เขาลำบากใจ ไม่อยากพูดในสิ่งที่ตนเองยังไม่แน่ใจ

            “แกเชื่อฝีมือของพ่อหรือเปล่า” เปลี่ยนจากการตอบเป็นย้อนถาม

            โดมอึ้ง แววตาสับสน มีความหวาดกลัวรุนแรงแฝงอยู่ในนั้น...เขาเคยเชื่อว่าพ่อจะช่วยรักษาแม่ได้ แต่มัจจุราชก็ยังพาแม่ไป...คราวนี้ หัวใจเขาทนรับต่อการสูญเสียไม่ได้อีกแล้ว!

            หมอนภัทรตกใจ ที่จู่ ๆ โดมก็ลุกจากเก้าอี้ มาคุกเข่าต่อหน้า

            “ช่วยลานด้วยนะพ่อ...ผมเสียเขาไปไม่ได้...ผมไม่ยอมให้เขาตายเด็ดขาด” เด็กหนุ่มก้มหน้าพูดเสียงสั่น “พ่อจะให้ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น...จะให้เลิกร้องเพลง จะให้กลับไปเรียน จะให้ทำอะไรก็บอกมา ผมยอมทุกอย่าง... ขออย่างเดียว พ่อต้องช่วยลานให้ได้ ช่วยรักษาเขาให้หาย อย่าให้เขาตายเด็ดขาด”
    
            คนเป็นพ่อนิ่งอั้น คาดไม่ถึงลูกชายจะมีการแสดงออกรุนแรงขนาดนี้

            “ผมรักเขา...รักมาก...ผมเสียแม่ไปคนนึงแล้ว ผมจะเสียลานไปอีกไม่ได้...ผมคงตายถ้าไม่มีเขา ถ้าไม่ได้เห็นเขาอีก...อย่าให้เขาเป็นอะไรไปนะพ่อ อย่าให้ลานตาย...ผมขอร้อง”

            น้ำเสียงเช่นนี้ กิริยาเช่นนี้ ทำให้คนใจแข็งอย่างหมอนภัทรถึงกับสะท้อนในหัวอก ไม่เคยคิดว่า ความรักจะเปลี่ยนลูกชายหัวดื้อ นิสัยแข็งกร้าว ให้ยอมก้มหัว อ่อนแอถึงขนาดนี้

            “ก็ได้” หมอนภัทรพูดช้า ๆ เสียงหนักแน่น “ถ้างั้น แกสามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์คำพูดของตัวเองได้มั้ย”

            “พ่อจะให้ผมทำอะไร” โดมเงยหน้าถามเสียงจริงจัง

            คนเป็นพ่อตอบคำถามนั้นด้วยเสียงช้า ๆ ชัดเจน


 

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ค่ำแล้ว...เลียบเมืองพาปันปันกลับบ้าน เด็กหญิงจูงมือพี่ชายเดินออกจากห้องคนป่วยพลางกระโดดหย็องแหย็ง ๆ เบิกบาน ร่าเริง เลยห้องลานน้ำค้างไม่เท่าไหร่ เจ้าปันปันก็หยุด สายตามองเห็นใครบางคนนั่งบนเก้าอี้ยาว

            “อุ๊ย...พี่นักร้องในทีวี” แม่หนูน้อยร้องอย่างดีใจ ทำเอาเด็กหนุ่มที่กำลังมองทางประตูห้องลานน้ำค้างต้องหันกลับมา

            “จริง ๆ ด้วย...คุณพี่รูปหล่อที่ร้องเพลงเพราะ ๆ” ปันปันจำแม่น เพราะคอนเสิร์ตเพิ่งเลิกไม่กี่ชั่วโมง และบนเวทีวันนี้ ก็มีพี่ชายที่นั่งตรงหน้านี่แหละ รูปหล่อโดดเด่นที่สุด

            เลียบเมืองยิ้มพร้อมก้มศีรษะกึ่งขอโทษเด็กหนุ่ม ที่น้องสาวเขาพูดจาโพล่ง ๆ แบบนั้น เจ้าปันปันกลับไม่สนใจ ความที่เป็นเด็ก เห่อดารานักร้องในทีวี จึงเข้าไปหาอย่างไม่กลัว

            “พี่มาหาใครค้า...” ปันปันถาม

            เด็กหนุ่มฝืนยิ้ม...ไม่ตอบคงไม่ได้

            “พี่มาเยี่ยมคนป่วยครับ” เขาตอบ

            “ชื่ออาไร...อยู่ห้องไหนเหรอ...ปันปันรู้จักตั้งหลายห้องแน่ะ” ความที่เจ้าตัวเล็กช่างซอกซอน และมาโรงพยาบาลทุกวัน จึงรู้จักผู้คนเขาไปทั่ว

            “อยู่แถวนี้แหละครับ” เด็กหนุ่มตอบ รู้แล้วว่าเสียงแจ๋ว ๆ ที่รับโทรศัพท์แทนลานน้ำค้างเป็นใคร

            ปันปันทำท่าจะซักไซ้ถามต่อ เลียบเมืองเห็นท่าทางเด็กหนุ่มไม่อยากสุงสิงกับใคร อีกทั้งหากเป็นดารานักร้องจริง คงมีเรื่องส่วนตัวที่อยากปกปิด ไม่ต้องการให้คนนอกรู้ จึงรีบออกปาก

            “ขอโทษนะครับ น้องสาวผมแกช่างซักไปหน่อย” เลียบเมืองบอกพลางยิ้มเป็นเชิงขออภัยอีกครั้ง ก่อนหันไปบอกเจ้าตัวเล็ก “ปันปัน เราอย่ากวนพี่เขาเลย กลับบ้านกันเถอะ”

            ชายหนุ่มจับมือเด็กหญิง จูงให้เดินตามไปด้วยกัน

            “ปันปันไปก่อนนะค้า” ปันปันใช้มืออีกข้างโบกให้ “พี่ร้องเพลงเพราะมากเลย พี่ลานก็ชมเหมือนกัน”

            ปันปันพูดเหมือนกับว่าทุกคนต้องรู้จัก...พี่ลาน...ของเธอ

            ดวงตาเด็กหนุ่มจุดประกายสว่างขึ้น ขยับปากจะชวนเด็กหญิงคุยต่อ แต่เลียบเมืองพาเจ้าปันปันเดินจากไปแล้ว

            โดมถอนใจยาว มองตามหลังชายหนุ่มกับเด็กหญิงที่เดินลับตาด้วยความรู้สึกแปลก สับสน ในใจมีสารพัดคลื่นอารมณ์ประเดประดังเข้ามาจนบอกไม่ถูก ตั้งตัวทัน

            เขาอยากเข้าไปเยี่ยมลานน้ำค้างเหลือเกิน แต่ไม่ต้องการพบคนอื่น!

            พอออกจากห้องทำงานของพ่อ ก็ตรงมาห้องลานน้ำค้าง กำลังจะเข้าไป เห็นผ่านช่องกระจกตรงประตู ว่าในห้องหญิงสาวมีแขกหลายคนทั้งคุณดาริกา บูรพา ชายหนุ่ม และเด็กหญิงเมื่อครู่

            เขาจึงมานั่งรออยู่ด้านนอก รอเวลาให้คนเหล่านั้นกลับเสียก่อน พอเห็นชายหนุ่มกับเด็กหญิงออกมา เขาก็พอเดาได้ว่าเป็นเลียบเมืองกับปันปัน

            โดมพยายามไม่สนใจเลียบเมือง ปล่อยให้เดินผ่านเช่นคนไม่รู้จัก ปันปันกลับทักทายเขา ทำให้มีโอกาสมองเลียบเมืองเต็มตา

            ...ผู้ชายคนนี้ใช่ไหม ที่ลานน้ำค้างเคยพูดเต็มปากว่า “ชอบ”...

           โดมยังจำได้ถึงตอนที่ลานน้ำค้างอยากไปเยี่ยมเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ไม่กล้าเข้าไปหา เพราะไม่กล้าพบหน้าพี่ชายของเธอ

            เห็นแล้วไม่แปลกใจเลย ทำไมลานน้ำค้างถึงชอบผู้ชายคนนี้...เขามีทุกอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งพึงให้ความสนใจ...

            ยิ่งโดมรู้จากพ่อว่า เลียบเมืองเป็นคนช่วยออกค่าใช้จ่ายในการรักษา เขาก็นึกริษยา เกลียดหน้าผู้ชายคนนี้ขึ้นมาติดหมัด

            พอเห็นหน้า สัมผัสกิริยาใกล้ ๆ เขาก็เกลียดเลียบเมืองไม่ลง...คนนิสัยแข็งกระด้าง หัวดื้ออย่างโดม ก็พอดูออก แยกแยะได้ว่าผู้ชายคนไหนดีหรือไม่ดี

            เลียบเมืองเป็นผู้ชายหายาก...หน้าตาดี ฐานะ ความรู้ดี และยังนิสัยดี!

            การเอ่ยปากขอโทษแทนน้องสาวกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างเขา น่าจะพอบอกถึงนิสัยกันได้บ้าง...

  

            “โดม...มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ” เสียงอ่อนโยนอบอุ่นของคุณดาริกาดังอยู่ใกล้ ปลุกโดมตื่นจากภวังค์

            เด็กหนุ่มรีบยกมือไหว้ เห็นคุณดาริกากับบูรพาเพิ่งออกมาจากห้องลานน้ำค้าง

            “มาเยี่ยมลานน่ะครับ” เขาตอบตามตรง

            คุณดาริกาสงสัย การป่วยของลานน้ำค้างมีคนรู้ไม่มากนัก เพราะเจ้าตัวจงใจปิดบัง ขนาดเพื่อนในมหาวิทยาลัยยังไม่รู้ แล้วโดมรู้ได้อย่างไร

            “แล้วทำไมไม่เข้าไปข้างในล่ะ” บูรพาถามอย่างไม่นึกแปลกใจ หมอนภัทรรู้ว่าเขาและลานน้ำค้างสนิทสนมกับโดม จึงไม่น่าสงสัย หากจะบอกเรื่องนี้กับลูกชาย

            “ผมเห็นคนเยอะ เลยมานั่งรอก่อน” โดมตอบ

            “คนกันเองทั้งนั้นแหละ” บูรพาพูดให้อีกฝ่ายคลายใจ “ไม่ต้องเกรงใจหรอก”

            “ตอนนี้ในห้องว่างแล้ว โดมจะเข้าไปเยี่ยมก็ได้เลยนะ” คุณดาริกาออกปาก

            “ครับ” โดมตอบรับ น้ำเสียงสุภาพ

            “งั้นพี่ไปส่งแม่ที่บ้านก่อนนะ” บูรพาบอกแล้วหยุดนิดนึง “ถ้ามีอะไรอยากคุยกับพี่ก็โทรหาได้”

            โดมพยักหน้า ทั้งที่ไม่คิดจะมีธุระอะไรต้องโทรหาบูรพา...พอลับร่างคนทั้งสอง เด็กหนุ่มรวบรวมความกล้า ลุกขึ้นยืน มองทางประตูห้องลานน้ำค้าง...


  

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            แม่กับบูรพาเพิ่งกลับบ้าน ลานน้ำค้างลุกจากเตียงไปใส่แผ่นซีดีเพื่อฟังธรรมะ ซึ่งฟังซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ จนเกิดความเข้าใจลึกซึ้งกว่าเดิม ถึงอย่างนั้นก็ยังพอใจฟังธรรม พร้อมปฏิบัติภาวนาอย่างง่าย ๆ ไปด้วย

            เพิ่งใส่แผ่นซีดี ยังไม่ทันเลือกแทร็กหัวเรื่อง ว่าจะฟังข้อไหน ประตูห้องคนป่วยก็เปิดออก หญิงสาวหันไปมอง คิดว่าแม่อาจลืมของ จึงให้บูรพากลับมาเอา

            พอเห็นโดมยืนแทนที่คนคาดไว้ ไม่ทันแปลกใจ ปากก็เอ่ยทักทายตามนิสัย

            “หวัดดีโดม...นี่หนีงานคอนเสิร์ตมาหาพี่เลยเหรอ”

            เด็กหนุ่มเดินเข้ามาหาโดยไม่ตอบวาจา สีหน้าแววตามีคำพูด ความรู้สึกมากมาย

            “วันนี้ร้องเพลงเพราะมากเลยนะ...ยอดเยี่ยม” หญิงสาวชูนิ้วโป้งสองข้างแทนการยกย่อง เลี่ยงการตีความหมายในแววตาเขา

            โดมทรุดตัวบนโซฟายาว ห่างจากหญิงสาวแค่มือเอื้อม ถึงตอนนี้คำพูดมากมายที่อัดในอก ถูกถ่ายทอด เป็นคำไม่กี่คำ

            “ทำไมถึงไม่บอกผม”

            “บอกอะไรจ๊ะ” ลานน้ำค้างย้อนถามทั้งที่รู้

            “บอกว่าลานป่วย...ขนาดนี้” เสียงโดมแผ่วเบา ทว่าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง กังวล

            “แค่นิดหน่อยเอง...พี่แข็งแรงจะตาย เห็นมั้ย” หญิงสาวยิ้มสวยแทนคำยืนยัน

            โดมเข้ามากอดโดยไม่พูดจามากความ วงแขนกระชับแน่น ราวกับต้องการฉุดรั้งหญิงสาวไว้ ไม่ยอมให้หลุดลอยไปไหน ไม่ยอมให้สิ่งใดมาพราก

            “ขอร้อง...อย่าโกหก อย่าปิดบังผมได้มั้ย” น้ำเสียงเว้าวอน อ่อนล้า “ผมกลัว...กลัวมากจริง ๆ”

            ลานน้ำค้างตั้งสติ พยายามดันตัวเองออกจากอ้อมแขนนั้น แต่เด็กหนุ่มไม่ยอมปล่อย หล่อนจึงยอมอยู่ในวงแขนเขาต่อไป

            “พี่ไม่ได้โกหก ปิดบังอะไรเลยนะ พี่แข็งแรงจริง ๆ ไม่เชื่อถามคุณหมอนภัทรสิ พ่อของโดมเป็นหมอรักษาพี่เอง เป็นคนเก่งมาก ๆ เลย”

            ได้ยินชื่อพ่อตนเอง โดมก็คลายวงแขนโดยอัตโนมัติ จับไหล่หญิงสาว เลื่อนมาเผชิญหน้า สบสายตาต่อกัน

            “สัญญากับผมได้มั้ย ว่าคุณจะไม่เป็นอะไร...สัญญาได้มั้ย ว่าคุณจะไม่ตาย” ท้ายคำเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น เช่นคนเคยสัมผัส อยู่ใกล้ความตายมาแล้ว

            ลานน้ำค้างยิ้มอ่อนโยน ตอบชัดถ้อยชัดคำ

            “ถ้าโดมไม่อยากให้พี่โกหก พี่ก็สัญญาแบบนั้นไม่ได้” คำพูดหล่อนหนักแน่น “พี่ตอบไม่ได้หรอกว่าจะไม่เป็นอะไรมากกว่านี้...และพี่ก็สัญญาไม่ได้ด้วยว่าจะไม่ตาย...เพราะทุกคนเกิดมาต้องตายทั้งนั้น!”

            ลานน้ำค้างพูดด้วยใจยอมรับ...เข้าใจ เท่าที่คน ๆ หนึ่งจะพึงยอมรับได้

             “ผมรักคุณ” โดมพูดด้วยวาจาและแววตา ลานน้ำค้างสะดุ้งเยือก สัมผัสความจริงใจอันบริสุทธิ์ จริงจังจนใจหล่อนสะท้าน “ผมจะไม่ยอมสูญเสียคุณไปเด็ดขาด”

            มันเป็นการบอกรักที่สามารถทำให้จิตใจหวั่นไหว สั่นคลอน คำพูดที่เตรียมไว้ตอบเด็กหนุ่มล้วนถูกกลืนหายลงลำคอ...จะให้พูดเช่นไร...จะให้ทำแบบไหน กับหัวใจบริสุทธิ์จริงใจขนาดนี้

            ลานน้ำค้างไม่อยากหักหาญหัวใจโดมด้วยการตอบปฏิเสธเลย...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บูรพากำลังเตรียมตัวเข้านอนเมื่อโดมโทรศัพท์มาถึง ชายหนุ่มดูเบอร์ที่โชว์ในเครื่องประมาณสองสามวินาทีก่อนจะกดรับสาย

            “ว่าไงโดม”

            “พี่บู...ผมโดนปฏิเสธมาล่ะ” โดมเข้าเรื่องโดยไม่เกริ่นนำ...

            บูรพาไม่ถาม...ว่าโดมถูกปฏิเสธเรื่องอะไร

            นั่นเป็นสิ่งที่บูรพาคิดไว้อยู่แล้ว ตั้งแต่เห็นโดมมานั่งรอหน้าห้องลานน้ำค้าง เขารู้ว่าเด็กหนุ่มต้องทราบรายละเอียดอาการป่วยของหญิงสาวจากหมอนภัทร และเมื่อเป็นเช่นนี้ ด้วยนิสัยอย่างโดม ต้องรีบบอกรักลานน้ำค้างแน่นอน

            บูรพามั่นใจว่าคำตอบที่โดมได้รับจะเป็นอย่างไร...ลานน้ำค้างมีจิตใจอ่อนโยนดีงามก็จริง แต่เธอไม่มีทางโกหก ให้ความหวังทั้งที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้...พอเจอเข้าอย่างนี้ เขาเชื่อว่าโดมต้องโทรมาหา เพราะเขาเป็นผู้ชายที่ใกล้ชิดลานน้ำค้างมากที่สุด

            “เป็นอย่างไรบ้างล่ะ” บูรพาเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดเต็มที่

            “แย่ครับ...แต่ไม่แย่เท่าที่คิด” ดูท่าอาการโดมไม่หนักนัก แสดงว่าลานน้ำค้างมีวิธีพูดไม่ให้เด็กหนุ่มใจร้อน หัวแข็ง เจ็บปวดเกินไป

            “ลานมันว่ายังไงล่ะ” บูรพาถามนำ

             “เขารักผม...เหมือนน้องชาย” โดมพูดหยัน ๆ หัวเราะฝืด ๆ อย่างสมเพชตัวเอง “ผมรู้ว่าเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว...รู้มานานแล้วด้วย แต่ก็ยังแอบหวังอยู่ดี”

            บูรพายิ้มให้เด็กหนุ่มทางโทรศัพท์ ไม่พูดจากระตุ้น ชี้นำ สั่งสอนใด ๆ คนเช่นโดมต้องปล่อยให้เรียนรู้ด้วยตัวเอง

            “วันนี้เขาบอกผมตรง ๆ ว่ายังชอบคนนั้นอยู่” ถึงบูรพาจะรู้เรื่องนี้ แต่พอได้ยินจิตใจก็ยังสะเทือน เจ็บลึก “ผู้ชายคนนั้นไม่รู้ความในใจนี้...ลานก็ไม่เคยคิดจะบอก หรือร้องขอความรักจากผู้ชายคนนั้น...”

            โดมหยุดชั่วครู่ ก่อนทวนคำพูดปิดท้ายของลานน้ำค้างออกมา...

            “ลานบอกว่า...การได้รักใครสักคน มันก็ทำให้หัวใจของเรามีคุณค่ามากพอแล้ว”

            บูรพารู้สึกเหมือนจิตใจตนเองเปิดโล่ง มีความสว่างไสว กว้างขวางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...เขารักลานน้ำค้างมาตลอด แต่ไม่เคยบอก ไม่เคยร้องขอความรัก...เพียงเห็นเธอมีความสุขห่าง ๆ ก็พอ...มันจะเป็นด้วยเหตุผลเดียวกันหรือไม่

            “ได้ยินอย่างนี้ พี่จะให้ผมพูดว่ายังไง” โดมถามกึ่งหยันตัวเอง “ถ้าความรักของผม มันมีความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้เจือปน...หัวใจผมมันก็ไม่มีคุณค่าเทียบเท่าเธอได้”

            “เอ็งเก่งว่ะโดม” ถ้าอยู่ใกล้ บูรพาจะตบไหล่ชมเชย

            “ไม่หรอกพี่...ผมยังทำไม่ได้อย่างนั้น...มันเจ็บปวดพิลึก คิดอะไรร้าย ๆ แย่ ๆ มากมาย ใจผมยังห่างจากลานเขาอีกเยอะ แต่ผมไม่ท้อหรอก...ผมบอกเขาว่า...จะขอรักเขาต่อไปได้ไหม...”

            โดมหยุดเล่า มีเสียงหัวเราะขื่น ๆ ดังขึ้น

            “เขาย้อนถามผมว่า...มีใครสั่งหัวใจตัวเองได้บ้าง...ว่าจะให้รัก หรือตัดใจเลิกรัก...”

            “เขาไม่มีสิทธิอนุญาต ให้ผมรักเขา และไม่มีสิทธิห้ามหัวใจผม ไม่ให้รักเขา”

            “ใจคนเราเป็นสิ่งที่บังคับ สั่งการไม่ได้”

             “ถ้าใจผมจะรักเขา...เขาก็ไม่ว่าอะไร...ขออย่างเดียว อย่าให้ความรัก...มันมาทรมานผมมากเกินไปก็แล้วกัน”

            ทุกวาจา ทุกคำพูดของโดม ล้วนแสดงให้เห็นภาพของลานน้ำค้างชัดเจน บูรพานึกถึงหญิงสาว แล้วอดถามขึ้นมาในใจไม่ได้ว่า...

            “ลาน...ถ้าเราจะรักเธอ มันก็เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้ใช่ไหม?” แน่นอน...คำพูดนี้ทั้งลานน้ำค้างและโดมย่อมไม่มีโอกาสได้ยิน

 

             วินาทีนั้น... บูรพาเหมือนจะมองเห็นทุกสิ่งรอบตัวล้วนดำเนินไปด้วยเหตุและผลของมันเอง ไม่สามารถบังคับ สั่งการให้เป็นไปอย่างใจได้เลย



            “บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าผมควรดีใจ หรือเสียใจดี” โดมยังพูดต่อ “แต่ที่แน่ ๆ ผมอิจฉาผู้ชายคนนั้นชะมัด อยากเกลียดขี้หน้ามันด้วยซ้ำ พี่ก็รู้จักใช่มั้ย”

            เด็กหนุ่มตั้งคำถาม

            “รู้จักสิ” บูรพาตอบ “คุณเลียบเมืองน่ะ เป็นผู้ชายที่เราไม่มีทางเทียบเขาได้เลย...แล้วถ้าได้รู้จักเขาจริง ๆ เราก็จะเกลียดเขาไม่ลงเหมือนกันว่ะโดม”

            สองหนุ่มหัวเราะฝืด ๆ เข้าใจซึ่งกันและกัน...บทสนทนาเรื่องความรักครั้งนี้ อาจทำให้ทั้งคู่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนก็ได้...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP