วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๔๗



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เสียงอะไรนะ ดังก๊อกแก๊กรบกวนความเงียบสงบ เสียงดังเป็นระยะ ไม่ยอมหยุดง่าย ๆ โดมลืมตาทั้งที่ไม่เต็มใจ มองเพดานห้องด้วยความรู้สึกอ้างว้าง โหวง ๆ ก่อนเสียงรบกวนจะดังอีกครั้ง

            เด็กหนุ่มลุกขึ้น เงี่ยหูฟังด้วยอารมณ์หงุดหงิด เสียงน่ารำคาญนี้น่าจะดังมาจากในครัว...ใครมาทำอะไรในบ้าน ทั้งที่เขาสั่งห้ามทุกคน รวมถึงป้าแหม่มและแม่บ้าน ไม่ให้เข้ามาวุ่นวายในบ้าน ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวสักพัก

            เสียงนั้นเงียบหายไปชั่วครู่ โดมคลายใจ เตรียมเอนตัวนอนอีกครั้ง

            ทว่า...เสียงไม่รู้ที่มากลับไม่ยอมให้เขานอนอีกรอบ มันรบกวนด้วยเสียงใหม่ ๆ ไม่ใช่เสียงก๊อกแก๊กในครัว แต่เป็นเสียงกังวานใสจากกีตาร์ที่เขาทิ้งไว้ในห้องรับแขก

            โดมลุกพรวดด้วยโทสะ กีตาร์ตัวนั้นแม่เป็นคนซื้อ เขาทิ้งมันไว้ไกลตัว เพราะไม่อยากเห็น ให้มันเสียดแทงใจ...เวลานี้ใครบางคนกำลังหยิบมันมาเล่นโดยเขาไม่อนุญาต

            เด็กหนุ่มออกจากห้องนอน อารมณ์ฉุนเฉียว เท้าเบาโหวง หัวยังมึนงง ท้องว่าง กระเพาะแทบไม่มีอาหาร ด้วยเจ้าตัวไม่สนใจหาอะไรกินเลยเป็นวัน ๆ

            ลงจากห้องนอนชั้นสอง ผ่านครัว อดเหลือบมองไม่ได้ นึกแปลกใจที่มันสะอาดเรียบร้อย จานชามถูกล้าง เช็ดเรียบ หรือว่าเสียงเมื่อครู่จะเป็นแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดให้ แต่แม่บ้านคนนี้ไม่เคยถือวิสาสะหยิบกีตาร์ของเขามาเล่น ทำอย่างมากสุดก็แค่วางมันให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น

            เสียงกีตาร์ดังแบบคนลองตั้งสาย โดมยิ่งหงุดหงิด เดินไปยังห้องรับแขก เตรียมคำพูดแรง ๆ ไว้ต้อนรับแขกที่ไม่มีมารยาทคนนี้

            พอถึงห้องรับแขกต้องชะงักเท้า เบิกตากว้าง ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

            ม่านถูกรูดออกหมด ปล่อยแสงสว่างเข้ามาขับไล่ความมัวซัว สร้างบรรยากาศอบอุ่น ใบหน้าของแขกที่ไม่ได้รับเชิญดูสว่างใสด้วยรอยยิ้ม แววตาเปิดเผย ต้อนรับ ราวดวงตะวันยามอรุณรุ่งโผล่พ้นหมู่เมฆ ปราศจากหมอกมัวเคลือบคลุม

            “ขอโทษด้วยนะ ที่แอบเอากีตาร์มาเล่นโดยไม่ขออนุญาต” เสียงใสรีบพูดพร้อมวางกีตาร์ลงทันทีอย่างคนรู้ตัวว่าทำผิด

            “มา...ได้ยังไง” โดมพูดอย่างไม่รู้สึกว่าเป็นเสียงตนเอง

            “ก็...เปิดประตูเข้ามา” เจ้าหล่อนยิ้มเผล่ ตอบแบบกวนแกมเจ้าเล่ห์

            น่าแปลกที่โทสะ ความขุ่นมัว อาการปวดหัวทั้งหลายล้วนมลายในฉับพลัน

            “ลาน...มาทำไม” เขาถามอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านี้

            “คิดถึงจ้า...เล่นปิดโทรศัพท์ตลอด ฝากข้อความไปก็ไม่โทรกลับ พี่เลยบุกมาถึงบ้านซะเลย” เจ้าหล่อนพูดราวกับว่าการเยี่ยมบ้านของมาตาเป็นเรื่องง่าย ๆ ไม่ได้วุ่นวายให้หมอนภัทรขอกุญแจบ้านจากคุณแหม่ม

            โดมยืนนิ่ง ทำตัวไม่ถูก สภาพเขาเวลานี้โทรมยิ่งกว่าเคยโทรม เน่ายิ่งกว่าตอนถูกพวกวินมอเตอร์ไซค์รุมกระทืบ แต่นั่น ไม่ใช่เหตุผลที่เขาเป็นเช่นนี้...คำว่า...คิดถึง ของหล่อนต่างหาก ที่เหมือนสายน้ำเย็นเข้ามาชโลมใจ จนทำอะไรตอบแทนไม่ถูก

            “บ้านน่าอยู่จัง...แต่อยู่คนเดียวไม่เหงาเร้อ...” หญิงสาวเกริ่นนำ ชวนคุย อีกฝ่ายไม่มีทีท่าอยากต่อความสนทนาด้วย เจ้าหล่อนจึงรีบเปลี่ยนแผน

            “นั่งก่อนมั้ย? พี่ยืมกีตาร์เล่นบ้างได้หรือเปล่า?” ลานน้ำค้างถามสองคำถามพร้อมกัน พลางจ้องเด็กหนุ่มตาแป๋ว รอคำตอบ

            โดมหยิบกีตาร์ยื่นให้ แล้วนั่งบนโซฟาห่างจากหล่อนพอสมควร

            ลานน้ำค้างหยิบกีตาร์มาวางในท่าถนัด ส่งสายตามีรอยยิ้มมาให้

            “ถ้าพี่จะเล่นเพลงให้ฟังสักเพลง...พอจะทนฟังได้มั้ยเอ่ย” หญิงสาวถาม กระดากนิด ๆ

            เด็กหนุ่มนิ่ง มองตอบสายตาหล่อนโดยไม่ปริปากพูดอะไร...ใจกำลังสงสัย ลานน้ำค้างเข้าบ้านได้อย่างไร และมีเจตนาอะไร ใช่ต้องการลากตัวเขาออกไปเหมือนคนอื่นหรือเปล่า

            “พี่เล่นกีตาร์ไม่เก่งหรอก” เจ้าหล่อนรีบออกตัว ยิ้มแหย ๆ “ทั้งชีวิตเล่นได้แค่เพลงเดียวเองแหละ...แต่เป็นเพลงที่อยากให้โดมฟัง...”

            “ผมยังไม่อยากออกไปไหน” โดมพูดดักคอ ทั้งที่หญิงสาวยังไม่ทันเอ่ยปากเข้าเรื่องนี้เลยสักคำ “ถ้ามีใครเขาให้ลานมาเกลี้ยกล่อมผมก็ช่วยบอกพวกเขาตามนี้ด้วย”

            ลานน้ำค้างดีดกีตาร์ลองสาย แอบถอนใจน้อย ๆ ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเห็น

            “งั้นจบเพลงนี้พี่จะไปบอกเขาให้” หญิงสาวพูดเหมือนยอมรับคำพูดเขา

            โดมมองหล่อนนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไร นัยน์ตาฉายแวววับ ๆ แบบเด็กเอาแต่ใจตัวเอง

            “ฮะแฮ่ม...นางสาวลานน้ำค้างขอมอบเพลงนี้ให้น้องโดมนะคะ...เล่นเพี้ยน ร้องเพี้ยนไปบ้างก็อย่าว่ากัน...เพราะถ้าพี่ร้องเพลงดี และสวยกว่านี้ ทั้งอาเฮีย อากู๋คงมาชวนไปเข้าสังกัด เป็นศิลปินนานแล้วล่ะจ้ะ”

            จบคำพูด หญิงสาวกรีดสายกีตาร์เบา ๆ แววตาสดใส ส่งรอยยิ้มล้อเลียนเด็กหนุ่ม ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล อ่อนโยน...



            ...อย่ากลับคืนคำ เมื่อเธอย้ำสัญญา...อย่าเปลี่ยนวาจา เมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไป...

            ...ให้เธอหมายมั่นคง แล้วอย่าหลงไปเชื่อใคร...เดินทางไป อย่าหวั่นไหวใครกางกั้น...



            โดมสะดุ้งวาบตั้งแต่ขึ้นประโยคแรกของเพลง...

            “...อย่ากลับคืนคำ เมื่อเธอย้ำสัญญา...”

            ครั้งหนึ่งเขาเคยสัญญากับลานน้ำค้างว่าจะเดินตามฝัน เป็นนักร้องเพื่อเธอ และหญิงสาวก็บอกว่าจะขอเป็นแฟนคลับเบอร์หนึ่ง



            ...มีดวงตะวันส่องเป็นแสงสีทอง...กระจ่างครรลองให้ใฝ่ปองและสร้างสรรค์...

            ...เมื่อดอกไม้แย้มบาน ให้คนหาญสู้ไม่หวั่น...เป็นรางวัล แด่ความฝันอันยิ่งใหญ่...ให้เธอ...



            เขาเชื่อว่าเจตนาที่ลานน้ำค้างมา ไม่ต่างจากคนอื่น เพียงแต่วิธีการของเธอไม่เหมือนใคร หญิงสาวไม่พูดจามากความ ไม่เซ้าซี้ ร่ำไร ไม่ยกเหตุผลนานามาเกลี้ยกล่อม...

            เธอใช้แค่เสียงเพลง...เพลง ๆ เดียวที่เตือนความทรงจำ เรียกความกล้า และให้กำลังใจแก่เขาในคราวเดียวกัน



            ...บนทางเดินที่มีขวากหนาม ถ้าเธอคร้ามถอยไปฉันคงเก้อ...

            ...ฉันยังพร้อมช่วยเธอเสมอ...เพียงตัวเธอ ไม่หนีไปเสียก่อน...



            เสียงร้องลานน้ำค้างกังวานใส มีความจริงใจที่คนฟังสัมผัสได้ ฝีมือเล่นกีตาร์ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย แค่ระดับประถม พอมาใช้กีตาร์ของมืออาชีพ มันจึงดูเหมือน ‘เสียของ’ พิกล แต่โดมไม่รู้สึกขัด รำคาญใจ เพราะต่อให้ลานน้ำค้างเล่นกีตาร์ห่วยกว่านี้ ร้องเพี้ยนตลอดทั้งเพลง เขาก็ยังยินดี พอใจฟัง

            ทุกสิ่งที่กระทำด้วยความจริงใจ ไม่เสแสร้ง มีเจตนาดีต่อผู้รับ...ความจริงใจนั้น ย่อมกระทบถึงใจผู้รับเช่นกัน



            ...จะปลอบดวงใจ ให้เธอหายร้าวราน จะเป็นสะพานให้เธอเดินไปแน่นอน...

            ...จะเป็นสายน้ำเย็น ดับกระหายยามโหยอ่อน คอยอวยพรให้เธอสมดังหวังได้...นิรันดร์...



            ...(เพลง “รางวัลแด่คนช่างฝัน” ขับร้องโดย จรัล มโนเพชร)...







บทที่ ๓๑



            คอนเสิร์ต เพื่อนพ้องถึงมาตา” ถูกถ่ายทอดสดผ่านเคเบิลทีวี ซึ่งโรงพยาบาลเป็นสมาชิกเช่าสัญญาณ ทำให้คนป่วยอย่างลานน้ำค้างมีโอกาสชมโดยไม่จำเป็นต้องตามไปในงาน

            ถึงตอนนี้ลานน้ำค้างไม่แน่ใจว่าโดมจะขึ้นคอนเสิร์ตหรือไม่ ทางผู้จัดงานไม่ยืนยัน บอกแค่จัดช่วงเวลาให้โดมขึ้นเวทีอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะมาหรือไม่

            หญิงสาวจึงดูคอนเสิร์ตด้วยอาการลุ้นพอสมควร...

            ในวันนั้น หลังจากร้องเพลงจบ โดมไม่พูดอะไรสักคำ เขาลุกขึ้น เดินกลับไปบนห้อง โดยลานน้ำค้างรู้ว่าไม่จำเป็นต้องตาม...หล่อนทำดีที่สุดได้แค่นั้นเอง

 

            นักร้องชื่อดังหลายคนขึ้นเวที ร้องเพลงของมาตา เพื่อเป็นการระลึกถึง และให้เกียรติแก่เจ้าของงาน นับเป็นการรวมตัวนักร้อง ศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดงานหนึ่ง

            ลานน้ำค้างไม่ได้ดูคอนเสิร์ตคนเดียว บนเตียงมีเจ้าปันปันที่เพิ่งเลิกเรียนมานั่งดูอยู่ด้วย...

            ตั้งแต่หญิงสาวเข้าโรงพยาบาล ปันปันกลายเป็นสมาชิกในครอบครัวลานน้ำค้างไปเสียแล้ว แม่หนูเรียกคุณดาริกาว่าแม่ และเรียกบูรพาว่า ‘พี่หมู’ ตามลานน้ำค้าง

            ชายหนุ่มพยายามสอนให้เจ้าตัวเล็กเรียกขาน ‘พี่บู’ แทนแต่ก็ไร้ผล ดูเจ้าปันปันจะสนุกด้วยซ้ำที่ได้เรียกชื่อนี้ล้อเลียนเขา

            เพลงส่วนใหญ่ที่ร้องกันในคอนเสิร์ตนั้น ปันปันไม่ค่อยรู้จัก เด็กหญิงแค่ดูแสงสี การแสดง การเต้น การร้องเพลง พลางเอ่ยปากถามโน่นถามนี่ไม่ขาดปาก ลานน้ำค้างตอบบ้าง ไม่ตอบบ้าง ใจมัวอยู่กับทีวี

            จนเพลงจบช่วงแรก พิธีกรในรายการขึ้นไปพูด...

            “ที่จริง เวลาช่วงนี้ เราจัดไว้ให้กับน้องโดม...ลูกชายของมาตา ได้ขึ้นมาร้องเพลงกว่าจะรู้ว่ารัก แต่ถึงตอนนี้ ทางเราคาดว่า น้องโดมคงไม่สามารถมาบนขึ้นเวทีได้ จึงขอให้พวกเราทุกคน ร่วมกันร้องเพลงนี้ให้กับมาตาด้วยนะครับ”

            จากนั้น นักร้องชื่อดังในค่ายเป็นต้นเสียง ขึ้นเพลงท่อนแรก...ผู้คนทั้งฮอลล์ต่างส่งเสียง ขับขานร้องตามกันกระหึ่มกึกก้อง



            ...ฝนทั้งฟ้า รินไหล แทนความเศร้าใจ...

            ...เจ็บปวดหัวใจ มากเพียงไร ใช้สิ่งใดทดแทน...



            บนเวทีเริ่มมีนักร้องทยอยขึ้นมาร้องต่อกันคนละท่อน ช่วยให้บทเพลงมีสีสัน ประทับใจ ดูราวกับร่วมใจ ส่งเพลงนี้ไปให้กับมาตา

            ลานน้ำค้างถอนใจ พึมพำกับตัวเอง

            “ไม่มาจริง ๆ เหรอโดม”

            “ใครไม่มาคะ” เจ้าตัวเล็กที่นั่งดูด้วยกันรีบถามขึ้น

            หญิงสาวหัวเราะ ยีหัวปันปันอย่างนึกขัน ลืมไปว่าตอนนี้ห้ามหลุดปากอะไรออกไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นชนวนตั้งคำถามแก่เจ้าตัวเล็กได้

            “พี่โดมจ้ะ...เขาเป็นนักร้องที่ร้องเพลงเพราะมากเลย”

            “แล้วทำไมเขาไม่มาคะ” ปันปันถามต่อ ลานน้ำค้างคิดว่า กว่าจะหมดเกมตอบคำถาม คอนเสิร์ตคงจบพอดี

            “ก็...” พอหล่อนขยับปากจะตอบ เพลง “กว่าจะรู้ว่ารัก” ก็ขาดตอน จบห้วน ๆ ทั้งที่เพิ่งถึงกลางเพลง หญิงสาวรีบเงยหน้ามองจอทีวี

            บนเวทีคอนเสิร์ต สปอตไลท์จับร่างผอมสูงของเด็กหนุ่มสะพายกีตาร์คนหนึ่ง เขาแต่งตัวง่ายด้วยเสื้อยืด มีเชิ้ตคลุมทับ กางเกงยีนส์สีซีด ถึงจะไม่เซอร์ขาด ยับ ๆ อย่างเคย แต่บอกถึงความเป็นตัวของตัวเองชัดเจน

            กล้องซูมจับใบหน้าเขา

            “โอ้โห หล่อจัง” ขนาดเด็กอย่างปันปันยังหลุดปากชมแบบซื่อ ๆ

            ลานน้ำค้างอมยิ้ม...อดนึกไม่ได้ว่าถ้าเด็กหนุ่มหัวดื้อ มาได้ยินเด็กหญิงตัวกระเปี๊ยก หัวดื้อพอกันชมแบบนี้แล้วเขาจะรู้สึกอย่างไร

            เหล่าศิลปินบนเวทีต่างเข้ามาตบหลัง ตบไหล่เด็กหนุ่มอย่างยินดี บ้างก็เข้าไปกอดให้กำลังใจ โดมพยักหน้า พึมพำขอบคุณเบา ๆ โดยไม่มีกิริยาขัดขืน ต่อต้าน

            ทุกคนลงจากเวที ปล่อยให้เขายืนโดดเดี่ยวบนเวทีใหญ่ ท่ามกลางแสงไฟ และสายตาแฟนเพลงนับหมื่น

            เด็กหนุ่มไม่มีอาการประหม่า เขินอาย เขายืนหน้าไมโครโฟน กวาดสายตามองแฟนเพลงที่อยู่ในฮอลล์ทุกคนด้วยแววตาอบอุ่น ตื้นตัน ทุกคนต่างเงียบงัน รอฟังเพลงจากเขา

            “ขอบคุณมากครับ” ประโยคแรกหลุดจากปาก เสียงปรบมือกราวตอบรับ แทนการให้กำลังใจ

            “ขอบคุณ...ทุกคนที่รักแม่ของผม...ขอบคุณที่มาร่วมทำบุญด้วยกัน” พอประโยคแรกหลุดมาได้ คำพูดต่อมาก็ไหลลื่น ไม่จำเป็นต้องมีสคริปต์

            “ทางผู้ใหญ่ที่จัดงาน เขาอยากให้ผมขึ้นเวทีมาร้องเพลง...”โดมชะงักชั่วครู่ กว่าจะยอมเอ่ยชื่อเพลงนี้ “...กว่าจะรู้ว่ารัก...

            “หลายคนคงทราบว่าผมแต่งเพลงนี้เพื่อขอโทษแม่...เพื่อหวังให้เกิดปาฏิหาริย์ แม่ตื่นขึ้นมาให้อภัยผมได้...” เด็กหนุ่มหยุดพูด ทั้งหมดเงียบกริบ “แต่...มันไม่สำเร็จ”

            คำพูดท้ายตามด้วยเสียงถอนใจ กล้องโคลสอัพดวงตาโดม ที่กำลังทอประกายเสียใจชัดเจน

            “วันนี้...ผมคงร้องเพลงนั้นไม่ได้อีกแล้ว...” โดมพูดจบ มีเสียงฮือฮาขึ้น “และไม่รู้ว่าจะมีวันไหนที่ผมจะร้องมันได้อีก”

            คราวนี้มีเสียงดังกระหึ่มทั้งฮอลล์ พอจับใจความได้ว่า ต้องการให้กำลังใจเขา...บางคนร้องตะโกนออกมาว่า..

            “รักโดม...สู้สู้”

            เด็กหนุ่มยืนนิ่ง สะกดความรู้สึกตื้นตันที่ล้นขึ้นมาจุกแน่นหัวอก

            “ในเวลาที่ผมไม่อยากพบหน้าผู้คน มีใครคนหนึ่งมาร้องเพลงให้ฟัง...ผมรู้ว่าเขาอยากให้ผมขึ้นเวทีนี้เหมือนทุกคน...และ...ความพยายามของเขา ทำให้ผมยอมรับ” เด็กหนุ่มหยุดพูด ตามองกล้อง เหมือนต้องการส่งความนัยผ่านทางจอทีวี

            “... แต่พอขึ้นมาแล้ว...จะให้ผมขึ้นมาทำอะไรล่ะครับ...จะให้ร้องเพลงนั้น ผมก็ร้องไม่ได้...ยิ่งให้ร้องเพลงของแม่ ก็ทำไม่ได้อีก”

            โดมหยุดพูด มีเสียงตะโกนตอบมาแว่ว ๆ ว่า ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร...พวกเรารักคุณ...พวกเรารักมาตา” นั่นทำให้มีรอยยิ้มบาง ๆ แตะบนริมฝีปากเขาเป็นครั้งแรก

            “ขอบคุณมากครับ” เขาค้อมศีรษะรับ “ตอนนี้ ผมคงพูดมากเกินไปแล้ว...ทุกคนมาฟังเพลง ผมก็เคยบอกแม่ว่าอยากเป็นนักร้อง...ดังนั้นผมจึงขึ้นมา....เพื่อร้องเพลงให้ทุกท่านฟัง...”

            เสียงปรบมือดังกราวใหญ่ โดมหยุดพูดแล้วยิ้มให้กล้อง...ราวกับต้องการส่งรอยยิ้มนี้มาให้ใครบางคน

            “ในวันที่ย่ำแย่ที่สุด มีใครคนหนึ่งร้องเพลง ‘รางวัลแด่คนช่างฝัน’ ให้ผมฟัง...ในเนื้อเพลง มันแทนคำพูดที่เธออยากบอกผมอย่างชัดเจน...อย่ากลับคืนคำ เมื่อเธอย้ำสัญญา...อย่าเปลี่ยนวาจา เมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไป...เนื้อเพลงท่อนนี้ ทำให้ผมต้องยอมรับ...ความปรารถนาดี...”

            เจ้าหน้าที่สเตจรีบนำเก้าอี้สูงมาวางให้โดมเพื่อนั่งเล่นกีตาร์ เด็กหนุ่มหันไปขอบคุณ ก่อนนั่งลงเตรียมตัวร้องเพลง...

            ผู้ฟังทั้งฮอลล์ รวมถึงศิลปินที่มาร่วมงานทุกคนต่างหยุดนิ่ง รอฟังเพลงของเขา

            “เพลงที่จะร้องต่อไป ผมเขียนจากทำนองเพลง รางวัลแด่คนช่างฝัน...ที่เธอคนนั้นนำมาร้องให้ฟัง...เป็นเพลงที่แต่งเนื้อร้องใหม่เพื่อตอบแทนความหวังดีของเธอ...และทุกท่านในที่นี้ครับ...”

            เสียงปรบมือดังกึกก้องต้อนรับ ประสานกับเสียงกีตาร์ที่บรรเลงขึ้นมาอย่างหวานจับใจ

    

            ‘ไม่คิดคืนคำ เมื่อเอ่ยปาก...วาจา

            ไม่เปลี่ยนศรัทธา...แม้เวลาแปรเปลี่ยนไป

            ให้เธอหมาย มั่นใจ ต่อให้ล้มสักเท่าไหร่

            ยังเดินไป ไม่หวั่นไหว ไม่เคยพรั่น...



            เพลงอันอ่อนหวาน ดนตรีพลิ้วไหว ทว่าหนักแน่นมั่นคง สะกดคนทั้งฮอลล์ให้นิ่งงัน เสมือนโดนมนตราแห่งบทเพลงให้เข้าใจ มองเห็นจิตใจคนร้องชัดเจน



            ‘...เธอปลอบดวงใจ ฉันจนหาย...ร้าวราน

            เธอคือสะพาน เชื่อมแรงใจ ที่ผุพัง

            ขอบคุณสายน้ำเย็น ที่เธอนั้น มอบให้ฉัน

            คือรางวัล ที่ตัวฉันไม่เคยได้...จากใคร...



            แต่ละคำ แต่ละประโยคแทนคำขอบคุณ แทนความรู้สึกดี ๆ ที่โดมได้รับจากลานน้ำค้าง ยิ่งเห็นผู้ฟังทั้งฮอลล์ร่วมรับรู้ความรู้สึก และส่งแรงใจกลับมา เขายิ่งฮึกเหิม หัวใจพองโต เกิดความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน



            ‘บนทางเดินที่มีขวากหนาม

            ฉันไม่คร้าม ถอยไกล...ให้เธอเก้อ

            ขอบคุณเธอ ที่ดี...เสมอ

            เพียงมีเธอ...ฉันคนนี้ก็ไม่...ต้องการใคร...

 

            ลานน้ำค้างมองเห็น เข้าใจชัด ถึงสิ่งที่โดมบอกผ่านบทเพลง...

            ...เพราะเธอ เขาถึงเข้มแข็งเร็วขนาดนี้ เพราะเธอ เขาถึงกล้ามายืนบนเวทีนี้...

            ...เขาขอบคุณเธอจากใจจริง...

            ...และ...

            ...เขาก็รักเธอจริง ๆ...

            ลานน้ำค้างเข้าใจ...แต่...ความเข้าใจ...กับมีใจให้...เป็นคนละเรื่องกัน


 

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คอนเสิร์ตครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม เสียงปรบมือดังกระหึ่ม ผู้ชมร้องตามได้ทุกเพลง แต่ละเสียงล้วนแฝงพลังใจ พลังความรัก ความระลึกถึง ส่งให้แด่ผู้อยู่สัมปรายภพ

            โดมเพิ่งมีโอกาสปลีกตัวจากผู้คน หลบเข้าห้องน้ำ หยิบโทรศัพท์กดเบอร์หาลานน้ำค้าง อยากบอกเล่าเรื่องราวคอนเสิร์ตวันนี้ อยากขอบคุณที่หล่อนชักนำให้ขึ้นเวที จนได้รับพลังใจมากมาย มากเสียจนพูดไม่ออก ตื้นตันจนอยากร้องไห้

            สัญญาณโทรศัพท์ดังสองสามครั้ง ค่อนข้างนานกว่าปกติ ก่อนมีเสียงใสแจ้ว ๆ รับสาย

            “ฮาโหล” เสียงแบบเด็ก ๆ

            โดมรีบดูเบอร์โทรศัพท์ เกรงจะโทรผิด แต่หมายเลขและชื่อที่โทรออกก็เป็นชื่อลานน้ำค้าง ไม่ผิดเพี้ยน

            “ฮัลโหล” เด็กหนุ่มส่งเสียงกลับไปบ้าง

            “ฮาโหล จะพูดกับใครค้า” เสียงใสแจ๋ว บอกชัดเป็นเด็กผู้หญิง

            “ขอสายลานน้ำค้างจ้ะ” โดมลงท้ายเสียงอ่อน เมื่อรู้ว่าคู่สนทนาเป็นใคร

            “พี่ลานไปฉีดยา รับสายไม่ได้ค่ะ” คำตอบชัดถ้อยชัดคำ

            “ฉีดยาทำไม” โดมถามงง ๆ

            “ก็พี่ลานไม่สบาย...ไม่สบายก็ต้องฉีดยาฉิ...” ตอบแบบเด็ก ๆ

            “ตอนนี้พี่ลานอยู่ไหน” โดมเลือกคำถามที่เด็กน่าจะเข้าใจ

            “ก็...อยู่โรงพะยาบาน” เด็กพยายามตอบให้ชัด นึกได้ว่าคำตอบตัวเองยังไม่ถูกต้องนัก จึงบอกย้ำอีกที

            “ตอนนี้อยู่ห้องฉีดยา”

            “โรงพยาบาลอะไร” เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าจะได้คำตอบ

            “โรงพะบาน...” หนูน้อยตอบแบบไม่ชัดถ้อยคำนัก ที่พอเดาได้ เพราะชื่อโรงพยาบาลนั้น เป็นของพ่อเขาเอง

            โดมวางสาย นิ่งชั่วครู่ สงสัยเด็กพูดจริงแค่ไหน สุดท้ายก็โทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาล...อาศัยความเป็นลูกเจ้าของโรงพยาบาลสักครั้ง น่าจะได้ความกระจ่าง ชัดเจน ว่ามีคนป่วยชื่อลานน้ำค้างจริงหรือไม่...ถ้ามี หล่อนป่วยเป็นโรคอะไร?

  

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP