วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๔๖



Tao Nam Kang - front re

 

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            งานประชุมเพลิงศพมาตา เต็มไปด้วยผู้คนในวงการบันเทิง เหล่าแฟนคลับเก่าแก่ นักข่าวหลายสำนัก จนที่จอดรถไม่พอ แสดงให้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้ยังอยู่ในความทรงจำผู้คนเสมอ กระทั่งในวาระสุดท้าย

            บูรพาไม่ค่อยชอบงานที่มีคนมากมายพลุ่กพล่านขนาดนี้ เหลียวไปทางไหนก็พบคนดัง ดารา คนคุ้นหน้าตามจอทีวี...ที่เขายอมมา อีกทั้งแต่งกายสุภาพเรียบร้อยกว่าเคย ก็เพราะคำขอร้องของลานน้ำค้าง

            กวาดสายตามองทั่วศาลา สะดุดตรงเก้าอี้มุมหนึ่ง ไม่ไกลจากโลงศพ โดมแต่งชุดดำ ผมยาวถูกรวบเก็บเรียบร้อย นั่งสงบโดดเดี่ยว ไม่สนใจใคร ไม่อนุญาตให้นักข่าวสัมภาษณ์ ถัดมาอีกไม่กี่แถวจะเห็นหมอนภัทรนั่งอยู่เบื้องหลังลูกชาย ส่วนด้านหน้าศาลาจะมีผู้ชายอีกคน ที่บูรพารู้ว่าชื่อ ‘ชัช’ คนรักปัจจุบันของมาตา กำลังยืนคุยกับผู้บริหารค่ายเพลงกับให้สัมภาษณ์นักข่าว

            บูรพาไม่สนใจใครมากนัก เขาเข้าไปยกมือไหว้ทักทายหมอนภัทร ก่อนจะขอตัวไปนั่งคุยกับโดม

            “ไปสิ...แต่เขาจะคุยด้วยหรือเปล่าไม่รู้นะ” หมอนภัทรว่าอย่างนั้น

            “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ” บูรพาไม่กังวล

 

            โดมหันมามองเมื่อบูรพาทรุดตัวบนเก้าอี้ข้าง ๆ ดวงตามีความเหม่อซึม อยู่ในโลกของความครุ่นคิด หมกมุ่น จนไม่สนในสภาพรอบตัว

            “วันนี้พี่มาแทนเจ้าลานนะ” บูรพาพูดพลางนึกในใจ ถ้าเด็กหนุ่มถามเหตุผลที่ลานน้ำค้างมาไม่ได้ เขาคงยากจะตอบ

            “ดีแล้วล่ะครับ ที่เขาไม่มางานนี้” คำตอบของโดมทำให้บูรพาแปลกใจ

            “ทำไมล่ะโดม ที่จริงเจ้าลานมันอยากมามากเลยนะ แต่ติดธุระมาไม่ได้จริง ๆ” บูรพาแก้ตัวแทนโดยไม่จำเป็น

            “ผมไม่อยากให้ลานเขามาเห็นผมในสภาพนี้” เด็กหนุ่มถอนใจ เบือนสายตามองรูปมารดา “ผมรู้ว่าตัวเองอยู่ในสภาพแย่มาก ๆ ไม่อยากให้ใครมาเห็น มาสงสาร...โดยเฉพาะลาน...”

            ชายหนุ่มอึ้ง ความรู้สึกที่มีต่อโดมเริ่มเปลี่ยน...เขาไม่ใช่เด็กไม่รู้จักคิดอีกแล้ว เพียงแต่คิดมากเกินไป...มากเกินความจำเป็น จนตนเองต้องจมอยู่ในบ่อโคลนความคิดหมกมุ่นโดยไม่รู้สึกตัว

            “ลานมีข้อความฝากพี่มาบอกโดมด้วย” บูรพาพูดอย่างนี้ กระตุ้นความสนใจของโดมได้

            “เขาฝากมาบอกว่า...

            ‘เศร้าได้ แต่อย่าให้มันนานนัก...น้ำตามันล้นอกแล้ว ก็ปล่อยให้มันไหลเสียบ้างเถอะ...เก็บกดความเสียใจเอาไว้ รังแต่จะทำให้ใจมันเสีย ไม่เป็นผลดีเลยรู้มั้ย’

            ...เท่านี้แหละ

            นัยน์ตาโดมเป็นประกายชั่วขณะระหว่างฟังคำพูดที่ฝากถึง บูรพาจบประโยค เขาจึงตอบออกมา

            “ลานเขาพูดเหมือนนั่งอยู่ในใจผมเลย...แต่จะไม่ให้ผมเศร้านานได้ยังไง ในเมื่อผมรู้สึกแย่ เสียดายที่ไม่เคยมีเวลาทำอะไรดี ๆ ให้แม่เลย เสียใจที่มีเวลาให้แม่น้อยเกินไป...เจ็บใจทุกครั้งที่ได้ยินเพลง กว่าจะรู้ว่ารัก ยิ่งได้ยิน หัวใจผมยิ่งเจ็บปวด...เพราะผมบอกรักแม่ช้าเกินไป...”

            คำพูดท้ายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด อ่อนล้า...

            “ที่ผมไม่อยากร้องไห้ ก็เพราะน้ำตามันไม่ไหล มันถูกความเสียใจเผาจนหมด...อีกอย่างผมโตแล้วจะร้องไห้ทำไมอีก ผมไม่อยากได้ความสงสาร ไม่อยากให้ใครมาเห็นใจ ไม่อยากให้ใครเห็นผมเป็นเด็ก...คนที่เขาเป็นผู้ใหญ่ ต้องอดทน เก็บความทุกข์ ความเศร้าไว้ในใจให้ได้ไม่ใช่หรือพี่บู”
  
            บูรพาถอนใจ ยกมือขึ้นโอบไหล่เด็กหนุ่ม กระชับร่างนั้นแน่น รู้สึกราวกับกำลังคุยกับน้องชายคนเล็กที่พยายามเป็นผู้ใหญ่เกินตัว...หัวใจนั้นบอบบางนักหนา ยังพยายามสร้างเปลือกให้ดูแข็งแกร่ง ทั้งที่จริงมันกำลังปริร้าวเต็มที

            “คนเรา...เก็บความเศร้านานไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ผ่านไปแล้วสั่งให้มันย้อนคืนไม่ได้ จะเก็บมาคิดเสียดายยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริง...ยอมรับความจริงให้ได้เร็ว ๆ นะโดม...อย่างน้อยตอนนี้ใจมันเศร้า เสียใจก็ยอมรับตรง ๆ ว่ามันกำลังเศร้า เป็นทุกข์ อย่าไปเก็บ กดข่มมันให้เหนื่อย...

             คนที่เป็นผู้ใหญ่จริง ๆ คือคนที่เขายอมรับความจริงของชีวิตได้อย่างรู้เท่าทัน ไม่โกหกตัวเองต่างหาก

            บ่าเด็กหนุ่มที่อยู่ในวงแขนบูรพาสะท้านเยือกขึ้นมาครู่หนึ่ง ก่อนสงบนิ่ง ซึมซับรับความจริงใจ สุดท้ายก็หันมาฝากคำพูด

            “ฝากบอกลานด้วยนะครับว่า รอผมอีกหน่อย...การจะเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ นั้นถึงมันจะฟังดูยากเหลือเกิน แต่ผมจะพยายามเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ เพื่อเขาให้ได้”

            มือที่โอบไหล่โดมอ่อนล้า หลุดลงมาโดยบูรพาไม่รู้สึกตัว เห็นแววตาแจ่มจ้า ชัดเจนขนาดนี้ จะแกล้งทำเมินเฉย ไม่รู้ ไม่เข้าใจคงไม่ได้

            โดมมีความรู้สึกชัดเจน จริงจังต่อลานน้ำค้าง เรียกว่า “ความรัก” ก็ไม่ผิด บูรพามองเห็นคู่แข่งโผล่ขึ้นมาอีกคน หลังจากพยายามทำใจยอมรับเลียบเมืองมาระยะใหญ่

            ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกเป็นห่วง หวังดีที่มีต่อโดมไม่ได้ลดลง หนำซ้ำกลับเพิ่มมากขึ้น เพราะเวลานี้เขาพอจะรู้ว่าใครสามารถก้าวไปถึงหัวใจลานน้ำค้างได้ก่อน...

            ฉะนั้นคนที่ล้าหลัง ไม่มีโอกาส จึงสมควรได้รับความเห็นใจ เป็นห่วง...ไม่ว่าจะเป็นโดม...หรือกระทั่งตัวเขาเอง




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างกดรีโมททีวีเปลี่ยนช่องไปมาเพื่อหาข่าวเกี่ยวกับงานศพมาตา อยากดูภาพรวมในงาน อยากเห็นโดมว่ามีสภาพอย่างไร น่าเป็นห่วงแค่ไหน ถึงบอกให้บูรพาเป็นตัวแทน ก็ไม่เหมือนไปด้วยตัวเอง

            ทีวีแต่ละช่องไม่มีข่าวเกี่ยวกับงานศพมาตา กระทั่งช่องเคเบิลทีวีก็ยังไม่รายงานเวลานี้ ข่าวน่าจะออกตอนหัวค่ำ ช่วงข่าวบันเทิงมากกว่า

            หญิงสาวยอมแพ้ วางรีโมทกำลังจะเอนตัวนอน ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมเห็นใบหน้าสว่างใสของหมอน้ำทิพย์เข้ามา ลานน้ำค้างยิ้มรับ ยินดี อย่างน้อยก็มีเพื่อนคุยไม่เหงา อีกทั้งนึกถึงความฝันกึ่งจริงของตนเองได้ โอกาสที่จะพิสูจน์คำพูดของอาแปะน่าจะมาถึงแล้ว

            “หน้าตาสดใสขึ้นนะน้องลาน ไข้ลดลงเยอะหรือยัง” คุณหมอสาวทักทาย

            “ถ้าลดแล้วจะปล่อยให้ลานออกไปเที่ยวได้หรือเปล่าคะ” เจ้าหล่อนหยอกล้อ ต่อรอง

            “อืมม์...อย่างนี้คงต้องถามอาจารย์หมอนภัทรนะ”

            เจอคำตอบอย่างนี้ลานน้ำค้างก็ยิ้มแหย ก่อนตั้งหลัก เตรียมตัวเข้าเรื่อง หาวิธีพูดคุยถามถึงประวัติครอบครัวของหมอน้ำทิพย์ ว่าตรงกับที่อาแปะเล่าหรือเปล่า...มันคงไม่ลำบากยากเย็นอะไร เพราะคุณหมอสาวก็เป็นคนเปิดเผยอยู่แล้ว บางครั้ง การไขข้อข้องใจตรงนี้ อาจทำให้หญิงสาวยอมรับโลกหลังความตายมากขึ้นก็ได้


 

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เวลายังไม่ดึก บูรพาเดินเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน ช่วงนี้เขาเห็นโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่สอง ต้องมาทุกวัน อย่างน้อยวันละครั้งหลังเลิกเรียน

            หลังจากเผาศพมาตาเรียบร้อย ชายหนุ่มไม่รีบกลับ ยังอยู่คุยกับโดมอีกครู่หนึ่ง และอาจคุยนานกว่านี้ ถ้าพวกนักข่าวไม่มากวนขอสัมภาษณ์ จนโดมต้องหนีกลับบ้าน

            ขนาดนั้นเขาก็เก็บข้อมูลเกี่ยวกับโดมมาเล่าให้ลานน้ำค้างฟังได้ไม่น้อย

            ช่วงนี้โดมอยู่บ้านแม่คนเดียว ไม่ยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยว ทางค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ทั้งสองพยายามเร่งเร้าขอคำยืนยันเรื่องการขึ้นคอนเสิร์ต “เพื่อนพ้องถึงมาตา” ให้ได้ เด็กหนุ่มกลับแสดงท่าปฏิเสธชัดเจน ต่อให้รบเร้า ขอร้องเขาก็ทำเฉยไม่สนใจ

             “ผมไม่อยากร้องเพลง ‘กว่าจะรู้ว่ารัก’ อีก...ไม่อยากได้ยินมันด้วย!” เด็กหนุ่มบอกกับเขาอย่างนั้น

            บูรพาเข้าใจ บทเพลงที่ตั้งใจแต่งเพื่อแม่ หวังใช้มันปลุกให้แม่ตื่นจากนิทรา ถูกบรรจุด้วยความหวังเต็มเปี่ยม กลับไม่เป็นดังหวัง ความผิดหวังรุนแรงเช่นนี้ทำให้เขาไม่อาจทนฟังมันได้ อย่าว่าแต่จะให้ร้องมันอีกสักครั้ง...

            เมื่อเข้าใจอย่างนั้น จึงไม่คิดพูดให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนใจ แม้จะรู้ว่าการจมอยู่แบบนี้จะทำให้โดมไม่หลุดจากพันธนาการของตัวเองก็ตามที

            เดินมาถึงหน้าห้องลานน้ำค้าง ได้ยินเสียงแว่วภายใน จับใจความไม่ชัดเจน พอเปิดประตู เห็นหญิงสาวกำลังนั่งฟังซีดีธรรมะอยู่คนเดียว

            ลานน้ำค้างหันมายิ้มหวาน รีบหยิบรีโมทหยุดแผ่นไว้ก่อน มองชายหนุ่มตาแป๋ว รอคอยการรายงานผลไปงานศพวันนี้

            “มาค่ำนะเนี่ย” หญิงสาวบ่น

            “ก็ไม่ได้บอกให้รีบมานี่...อีกอย่าง...” ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ก็ยังไม่ค่ำเท่าไหร่”

            “เร็ว ๆ มาเล่าให้ฟังหน่อย โดมเป็นยังไงบ้าง”

            “อ้าว ไม่ได้ดูข่าวทีวีเหรอ มีนักข่าวไปกันเต็มเลย”

            “ลืมดู” ลานน้ำค้างพูดอ่อย ๆ “มัวแต่ฟังเอ็มพี ๓ ซีดีธรรมะที่พี่ทิพย์ให้มาจนเพลิน...ลืมดูทีวี”

            บูรพามองเครื่องเสียง เครื่องอำนวยความสะดวกในห้องคนป่วยระดับวีไอพี...ต้องขอบคุณเลียบเมืองที่ช่วยจัดการค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้

            “ที่จริง เธอนั่งฟังเทศน์อย่างนี้ก็ดีแล้ว อย่าไปอยากรู้เรื่องของชาวโลกเขาเลย” บูรพาพูดพลางยกเก้าอี้มานั่ง

            “แหม...ก็มันอดไม่ได้นี่” ลานน้ำค้างยิ้มประจบ “น่า...นะ เล่าให้ฟังหน่อย อยากรู้”

            บูรพานิ่งชั่วครู่ มองหญิงสาวก่อนตั้งคำถามชนิดที่คนฟังแทบตั้งตัวไม่ทัน

            “ห่วงเจ้าโดมขนาดนี้...คิดอะไรกับเด็กมันหรือเปล่า”

            ลานน้ำค้างอึ้ง เกือบส่งเสียงแว้ดออกมาพร้อมปล่อยเสียงหัวเราะก๊าก

            “จะบ้าเหรอไอ้หมู...ฉันไม่มีรสนิยมชอบกินเด็กหรอกย่ะ”

            “โดมมันไม่ใช่เด็กแล้ว เป็นหนุ่มเต็มตัว แถมยังหล่อโคตร ๆ มีความคิดเป็นผู้ใหญ่กว่าเพื่อนเราบางคนอีก แล้วที่สำคัญเราเห็นว่าโดมมันชอบเธอจริง ๆ”

            คำพูดของบูรพาทำให้ลานน้ำค้างชะงัก สิ่งที่เขาพูดไม่เกินจริงเลย ทุกวาจา ทุกอากัปกิริยาที่โดมมีต่อเธอมันไม่ธรรมดา ตัวหล่อนเองต่างหากที่แสร้งปิดตา ไม่เห็น ไม่ใส่ใจ

            “ฉันรักเขาเหมือนน้อง” ลานน้ำค้างตอบตรงกับบูรพา ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดความในใจกัน “โดมเป็นเด็กที่คิดว่าตัวเองขาดความรัก เขาพยายามเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่บางทีมันก็ไม่ใช่ ฉันชอบนิสัยหลายอย่างของเขา มีความสุขที่ได้นั่งคุยใกล้ ๆ อยากเห็นเขามีอนาคตที่ดี รู้สึกเป็นห่วง ผูกพัน”

            “เวลาเขาเจอเรื่องแย่ ๆ ฉันอยากให้เขายิ้มได้ ร่าเริงเหมือนคนวัยเดียวกัน...ถามว่าคิดอะไรกับเขาแค่ไหน...ก็คิดอย่างที่พี่สาวคนหนึ่ง จะรักน้องชายจอมเฮี้ยวได้เท่านั้นแหละ”

            บูรพายิ้ม...ไม่ใช่โล่งอก แต่คำพูดลานน้ำค้างตรงกับความรู้สึก ความเข้าใจของเขา...ทุกคำพูดนั้น ชายหนุ่มมองเห็น กระจ่างแก่ใจนานแล้ว เพียงแค่อยากได้ยินคำยืนยันเท่านั้นเอง

            “ตอนนี้โดมกำลังถูกกดดัน” บูรพาสรุปสภาวะเด็กหนุ่มให้หญิงสาวเข้าใจง่ายที่สุด “เขาพยายามไม่รับรู้ ไม่สนใจโลกภายนอก เอาตัวเองจมแช่อยู่กับความทุกข์ ความเศร้า ความรู้สึกผิด”

            “แล้ว...เราจะช่วยเขายังไงดี” ลานน้ำค้างถาม บูรพาอมยิ้ม คาดเดาวาจานี้ออกตั้งแต่แรก

            “เราทำอะไรไม่ได้” ชายหนุ่มตอบตามตรง “โดมต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง อีกอย่าง โลกภายนอกก็พยายามดึงตัวเขาออกมาอยู่แล้ว พวกค่ายเพลง ผู้ใหญ่ต่างเรียกเขามาร่วมงานคอนเสิร์ตให้มาตา ส่วนหมอนภัทร ถึงจะเหมือนมองลูกชายอยู่ห่าง ๆ แต่เราเชื่อว่าเขากำลังรอเวลา หาจังหวะที่จะลากลูกชายออกมาแน่ ๆ”

            ลานน้ำค้างถอนใจราวกับประสบปัญหาด้วยตัวเอง บูรพาเห็นอย่างนั้นก็หาเรื่องดึงหญิงสาวออกจากปัญหาไกลตัว

            “ตะกี้บอกว่าฟังซีดีธรรมะของพี่หมอน้ำทิพย์เหรอ”

            “ใช่...พี่ทิพย์เพิ่งเอามาให้ฟังตอนเย็น” หญิงสาวกระตือรือร้นอยากจะเล่าต่อ แต่นึกได้ว่ามีบางเรื่องที่รู้แค่เฉพาะตนเอง

            “อืมม์ น่าสนใจดีนะ” ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบกล่องใส่แผ่นซีดีบนหัวเตียงลานน้ำค้างมา เห็นเป็นการอัดระบบเอ็มพี ๓ ซึ่งสามารถบรรจุพระธรรมเทศนาได้หลายกัณฑ์ สามารถฟังได้หลายชั่วโมง

            เนื้อหาหลักจะมีหัวข้อเกี่ยวกับ การเจริญสติปัฏฐาน ๔’ และ ‘มรณานุสติ’ แสดงธรรมโดยครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ รวมถึงแม่ชีด้วย

            “ไม่ใช่แค่น่าสนใจนะ” ลานน้ำค้างเชียร์ “แต่ฟังเข้าใจง่าย ปฏิบัติได้เลยด้วยซ้ำ...พี่ทิพย์เขาเห็นฉันต้องนอนโรงพยาบาลอีกหลายวัน กลัวจะว่าง ฟุ้งซ่านมาก เลยเอาธรรมะมาให้ฟัง ศึกษาเรียนรู้ จะได้ไม่เสียเวลาเปล่าประโยชน์”

            “จริงแฮะ” บูรพาเห็นด้วย วางกล่องซีดีคืนตามเดิม “ตะกี้เธอก็นั่งฟังอยู่นี่ เปิดต่อเลยก็ได้ เราจะฟังเป็นเพื่อน”

            ลานน้ำค้างมองชายหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตา รู้จักกันมาเกือบตลอดชีวิต ไม่เคยคิดว่าบูรพาจะสนใจฟังธรรมะกับเขาเหมือนกัน

            “ไม่ต้องมานั่งฟังเป็นเพื่อนฉันหรอก” หล่อนบอก “ฉันฟังคนเดียวได้”

            บูรพายิ้ม

            “ไหน ๆ เราก็เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ชั้นประถมยันมหาวิทยาลัยแล้ว ตอนนี้ถ้าเธอสนใจจะมาฟัง มาเรียนธรรมะ เราจะตามมาเรียนด้วย ฟังด้วยมันจะแปลกตรงไหน”

            ชายหนุ่มพูดง่าย ๆ มีความจริงในน้ำเสียง บอกถึงความสนใจไม่ใช่แค่คิดฟังเล่น ๆ เพื่อฆ่าเวลา ลานน้ำค้างจึงกดรีโมท เปิดแผ่นให้ทำงานต่อไป

            เสียงสาธยายธรรมกังวานออกมา บูรพานั่งฟังสงบ มีความเคารพในธรรมะ ไม่ต่างจากนักเรียนที่สนใจฟังครูสอน ลานน้ำค้างฟังตาม โดยความรู้สึกไม่ได้ตั้งมั่น เป็นสมาธิเช่นในครั้งแรก

            การฟังธรรมคนเดียว กับมีคนคุ้นเคยมานั่งฟังเป็นเพื่อนมีความแตกต่างอยู่บ้าง อย่างน้อยใจมันก็อดคิดไม่ได้ว่า เขาฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร เข้าใจเหมือนเราหรือไม่ และคิดอย่างไรที่เธอฟังธรรมะหัวข้อเหล่านี้

            การเจริญสติปัฏฐานสี่ และมรณานุสติ เป็นหัวข้อหลักที่หมอน้ำทิพย์เลือกมาให้ฟัง ด้วยเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่คนป่วยเช่นลานน้ำค้าง

   

            แรกที่หมอน้ำทิพย์เข้ามาคุยตอนเย็น ลานน้ำค้างกระตือรือร้น ที่จะถามไถ่รายละเอียดเกี่ยวกับครอบครัวของคุณหมอ...พอได้คุยจริง ๆ รับทราบรายละเอียดต่าง ๆ ว่าตรงกับที่อาแปะเล่าให้ฟังจริง ๆ ไม่มีผิดเพี้ยนก็หมดความตื่นเต้น หมดความสงสัย

            อาจเพราะส่วนลึกมีความแน่ใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คำบอกเล่าจากปากหมอน้ำทิพย์ เป็นแค่การยืนยันเท่านั้นเอง ว่าเหตุการณ์ในฝันคือเรื่องจริง โลกหลังความตายมีจริง!

            ลานน้ำค้างกลับสนใจ ตื่นเต้นกับเอ็มพี ๓ ซีดีธรรมะ ที่หมอน้ำทิพย์นำมาฝากมากกว่า หัวข้อธรรมะแรง ชัดเจนจนคนป่วยทั่วไปคงขยาด กลัว ไม่กล้าฟัง

            “โอ้โห พี่ทิพย์ให้ลานฟัง มรณสติ เลยหรือคะ แสดงว่าลานต้องตายแหง ๆ” หญิงสาวพูดด้วยจิตใจปกติ

            คุณหมอสาวยิ้มคล้ายกับรู้ เข้าใจความรู้สึกคนป่วย

            “มีใครไม่ตายแหง ๆ บ้างล่ะจ๊ะน้องลาน” คุณหมอแกล้งเลียนวาจาคนป่วย “ทุกคนในโลกต้องตาย แต่มีน้อยรายเหลือเกินที่มีโอกาสเจริญสติก่อนตาย และมีน้อยรายยิ่งกว่านั้นที่จะมีสติเวลาตาย”

            “เพราะอย่างนี้ พี่ทิพย์เลยพ่วงเรื่องการเจริญสติมาให้ด้วยใช่มั้ยคะ” ลานน้ำค้างถามอย่างไม่แน่ใจ

            “สติปัฏฐานเป็นธรรมะสำคัญ เป็นเส้นทางเอกสายเดียว ที่จะพาให้เราพ้นจากวงจรการเกิดตายได้

            หมอน้ำทิพย์พูดอย่างนี้ คนฟังความรู้น้อยอย่างลานน้ำค้างก็ได้แต่ทำหน้าเหลอ ไม่เข้าใจเจตนา

            “แหะ แหะ สงสัยลานจะไม่เก็ตแล้วล่ะ...ความรู้เรื่องธรรมะของลานแทบจะเป็นศูนย์เลยนะพี่ทิพย์”

            “ก็ดีแล้วไง จะได้เรียนธรรมะแบบถ้วยชาเปล่า ไม่ต้องเสียเวลาเทน้ำชาที่มันล้นถ้วยออก”

            ลานน้ำค้างยิ้มอย่างไม่เข้าใจเต็มที่ ถึงอย่างนั้นความรู้สึกสนใจ อยากเรียนรู้ก็เกิดขึ้นในใจโดยไม่ต้องฝืนพยายาม

            “งั้นลานจะฟังดูนะพี่ทิพย์ ยังไงก็ต้องนอนเฉย ๆ อยู่แล้ว ลองถือโอกาสนี้ฟังธรรมะบ้างก็ดีเหมือนกัน...คนเรานี่น้า...ถ้าไม่ทุกข์ ไม่เจ็บไม่ไข้ ก็ไม่ค่อยคิดถึงธรรมะกันหรอกเนอะ”

            หญิงสาวพูดแบบบ่นให้ตัวเองฟัง

            หมอน้ำทิพย์ยิ้มรับพอใจ โดยไม่รู้ว่า ที่ลานน้ำค้างสนใจ เชื่อฟังขนาดนี้ เพราะหล่อนเกิดความศรัทธาในตัวคุณหมอสาว ผู้นำซีดีธรรมะมาให้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

            อาแปะเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับหมอน้ำทิพย์หลายอย่าง จนลานน้ำค้างเกิดความศรัทธา...ศรัทธาทั้งตัวคุณหมอ ศรัทธาทั้งแนวความคิด ครอบครัว...ยิ่งได้ฟังการบอกเล่าจากปากคุณหมอเองแบบไม่มีการยกตัวเอง ก็ยิ่งเชื่อใจ ศรัทธามากขึ้น

            ลานน้ำค้างเชื่อว่าผู้หญิงอย่างหมอน้ำทิพย์ไม่มีวันทำร้ายใคร ความหวังดีของคุณหมอ ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่หล่อนเช่นกัน

             ดูง่าย ๆ เวลานี้ลานน้ำค้างก็มีเพื่อนมาร่วมฟังธรรมแบบคาดไม่ถึง ไม่ได้เชิญชวน ร้องขอ...อาจเพราะกระแสกรรมมีแรงดึงดูด ทำให้คนมีพื้นฐานจิตใจใกล้เคียง ได้เข้ามาร่วมทางกันได้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            จากนั้นอีกหลายวันลานน้ำค้างจะมีกิจวัตรซ้ำ ๆ ไม่กี่อย่าง พักผ่อน รับยา และฟังเทศน์ โดยมีคุณดาริกา บูรพามานั่งฟังเทศน์เงียบ ๆ ด้วยกันจนเป็นปกติ

            เลียบเมืองกับปันปันมาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอ ชายหนุ่มจะพูดถึงข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับการหาไขกระดูกมาให้ลานน้ำค้าง ถามไถ่อาการอย่างสนิทสนม คุ้นเคยกว่าเดิม ช่วงเวลานั้นบูรพามักหาเหตุขอตัวเลี่ยงออกไปโดยไม่มีใครสะดุด สนใจ

            หมอนภัทรดูแล รักษาลานน้ำค้างตามปกติ เพียงแต่เงียบขรึมหนักกว่าเดิม ดวงตามีแววของความครุ่นคิด กังวลใจ

            ลานน้ำค้างพอจะรู้ปัญหาของหมอนภัทร ว่าเกี่ยวกับโดมแน่ ๆ ถึงหล่อนจะดูทีวีน้อยลง ก็ยังได้ยินข่าวการเก็บตัวเงียบของโดม

            เด็กหนุ่มไม่ยอมติดต่อใคร ไม่ออกไปไหน คอนเสิร์ตใหญ่สำคัญกระชั้นใกล้ เขายิ่งปิดตัว ไม่ให้ข่าวคำยืนยันใด ๆ ทั้งสิ้น

            บ้านของมาตากลายเป็นป้อมปราการหนา แข็งแรงที่ป้องกันโดมจากโลกภายนอก ลานน้ำค้างพยายามโทรศัพท์ ฝากข้อความ โดมก็ไม่โทรกลับ แสดงว่าจนบัดนี้เขายังไม่เปิดโทรศัพท์

            ความอยากช่วยเหลือเด็กหนุ่มล้นหัวอก จนลานน้ำค้างต้องเอ่ยปากบอกหมอนภัทร

            “ลานช่วยคุณหมอเรื่องของโดมได้นะคะ...ถ้าหมอจะให้ลานออกจากโรงพยาบาลสักสามสี่ชั่วโมง

            หมอนภัทรมองผู้ป่วยสาวอย่างงุนงง ไม่เข้าใจ จนลานน้ำค้างต้องอธิบายจุดมุ่งหมาย ความเป็นห่วง และเหตุผลต่าง ๆ ให้เขาเข้าใจ

            ลานน้ำค้างไม่มั่นใจว่าตนเองจะสามารถพาโดมออกมาได้ ถึงอย่างนั้นก็ขอให้มีโอกาสได้ช่วยบ้าง...

            บูรพาเคยถามว่าหล่อนคิดอย่างไรกับโดม...

            ตอนนั้นลานน้ำค้างบอกว่า...รัก...รักเขาอย่างน้องชายคนหนึ่ง...

            คงไม่แปลกอะไรที่พี่สาวคนนี้ จะขอช่วยพาน้องชายหัวดื้อ นิสัยแปลกประหลาด ให้ออกมาเผชิญหน้ากับความจริงเสียที...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP