วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๔๕



Tao Nam Kang - front re



ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ช่วงเวลามีสติรู้สึกตัว กับช่วงเวลาครึ่งหลับครึ่งตื่นของลานน้ำค้างจะมีสลับกัน โดยมากครึ่งหลับครึ่งตื่น จนหลับสนิท ช่วงรู้สึกตัวมีเพียงสั้น ๆ รู้แค่กำลังนอนในโรงพยาบาล ห้องกว้างกว่าเดิม มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม

            แม่นั่งเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ ลืมตามาครั้งใดก็ได้เจอ พูดคุยกันไม่กี่คำก็เคลิ้ม หมดเรี่ยวแรง บางครั้งตื่นมากลางดึก เห็นบูรพานั่งแทน อยากบอกให้เขากลับบ้าน เสียงก็แผ่วเบา พูดไม่ออก จนคนเฝ้าต้องเป็นฝ่ายบอกให้หล่อนนอนพักเสีย

            อาการไข้ขึ้นสูง สลับลดต่ำเป็นระยะ ทำให้หญิงสาวตกในอาการมึนงงเป็นส่วนใหญ่ ฝันเลื่อนเปื้อน ไม่มีแก่นสารสาระ จับต้นชนปลายไม่ถูก



            จนไข้เริ่มลด แข็งแรงกว่าเดิม รู้สึกตัวชัดเจน ไม่ค่อยเบลอ ลืมตาตื่นอย่างมีเรี่ยวแรงในตอนเย็นวันหนึ่ง พบดวงตาใสจ้องแป๋วของปันปันกำลังยิ้มแป้นมองมา

            “พี่ลานตื่นแล้ว...ไชโยเห็นมั้ย...ปันปันบอกว่าเดี๋ยวพี่ลานก็ตื่น พี่ปอนก็ไม่เชื่อ” เจ้าตัวน้อยพูดเสียงแจ้ว ๆ

            ลานน้ำค้างขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ร่างกายยังอ่อนเพลียด้วยพิษไข้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมให้ตนเองแสดงความอ่อนแอออกมา

            เตียงถูกปรับให้สูงขึ้น มือแข็งแรงช่วยประคองหญิงสาวขยับตัวนั่งในท่าสบาย มีหมอนหนุนรองกันล้ม

            “ขอบคุณค่ะคุณปอน” ลานน้ำค้างบอกกับเขาอย่างเกรงใจ

            เลียบเมืองยิ้มให้ แววตาอบอุ่น อาทร ใกล้ชิดกว่าเดิม

            “เป็นยังไงจ้ะปันปัน” หญิงสาวทักแม่หนูน้อย ดึงขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยกัน

            “ปันปันไม่เป็นอะไร พี่ลานไม่สบายมากมั้ย” ปันปันถาม

            “นิดหน่อยเอง” หญิงสาวตอบ

            “แค่นิดหน่อย...ทำไมปันปันมาเยี่ยมทีไร เห็นพี่ลานหลับทู้กที” เด็กหญิงจีบปากถาม

            ลานน้ำค้างหัวเราะ หันไปถามเลียบเมือง

            “ลานอยู่โรงพยาบาลกี่วันแล้วคะ”

            “เกือบอาทิตย์นึงได้แล้ว” ชายหนุ่มตอบ

            คนฟังอึ้ง เบิกตาโต...จริงอยู่หล่อนไม่ได้สลบไสลหลับสนิทตลอดเวลา มีช่วงเวลาที่ตื่นบ้าง คุยกับแม่บ้าง บางทีก็เข้าห้องน้ำอย่างเบลอ ๆ นั่งฟังบูรพาคุย ดูทีวี ไม่กี่นาทีก็หลับผล็อย จนไม่รู้วันเวลาแท้จริง

            พอเลียบเมืองบอกอย่างนี้ ลานน้ำค้างจึงนึกถึงเรื่องสำคัญบางเรื่องได้

            “แล้วเรื่อง...” หญิงสาวเหลือบมองปันปันเป็นเชิงรู้กัน “ไปถึงไหนแล้วคะ...เรียบร้อยดีมั้ย”

            เลียบเมืองนิ่ง...มองหญิงสาวตรงหน้าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

            เธอไม่ถามไถ่อาการความเจ็บป่วยของตนเอง ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าที่ต้องนอนโรงพยาบาลเกือบสัปดาห์นั้น เกิดจากสาเหตุใด แต่กลับเป็นห่วงปัญหาของเขา

            “เรียบร้อยแล้ว” เขาตอบเสียงนุ่มนวล

            หญิงสาวยิ้มเต็มหน้า ดวงตากระจ่างเป็นประกาย ดึงปันปันเข้ามากอดแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ ๆ

            “ดีจังเลย...ดีจังนะปันปัน...ดีใจด้วยนะคะ” หล่อนแสดงความยินดียิ่งกว่าตัวเองหายป่วยเสียอีก

            เลียบเมืองเห็นอาการดีใจของหญิงสาวก็ยิ้มตาม รอยยิ้มนั้นมาพร้อมแววตา ความรู้สึกในใจที่แปลกเปลี่ยน หัวใจเข้าใกล้เธอทีละนิด

            “พี่ลานดีใจอาลาย...กอดปันปันแน่นเชียว” เด็กหญิงร้องอุทธรณ์

            ลานน้ำค้างยิ้มใส่ดวงตาช่างสงสัยของแม่หนูน้อย แล้วเงยหน้าถามชายหนุ่ม

            “ไม่มีการขึ้นศาล ไม่มีการแย่งชิง ต่อสู้กันแล้วใช่มั้ยคะ”

            เลียบเมืองพยักหน้า เอื้อมมือลูบศีรษะปันปันเบา ๆ

            “ไม่มีปัญหา...คุณกาญจนาช่วยพูดให้...เขาเลยยอมยก...ให้เรา” ชายหนุ่มเก็บความดีใจไม่มิด ดวงตาทอประกายความสุข “เขาเองก็เพิ่งเดินทางกลับเมื่อเช้า...ผมกับปันปันก็ไปส่งที่สนามบินด้วย”
  
            ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกดีจากใจจริง

            “ทั้งหมดนี้ ต้องขอบใจลานจริง ๆ”

            “เพราะคุณปอนมีความจริงใจต่างหาก ลานแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

            หญิงสาวกล่าวแก้ ยังไม่คลายกอดเจ้าปันปัน ส่วนชายหนุ่มไม่ถกเถียง สิ่งที่อยู่ในใจย่อมกระจ่างแก่ใจ ไม่จำเป็นต้องพูดมากความ

            พอปันปันได้ยินเรื่องไปสนามบิน แม่หนูก็อดคุยอวดไม่ได้

             “วันนี้ปันปันได้ไปดูเครื่องบินด้วยล่ะ” เจ้าตัวเล็กอวด ภูมิใจ “แล้วก็ได้ไปส่งคุณน้าคนที่ไปงานศพด้วย...”

            ดูท่าปันปันจะสนุก จึงเล่าต่อด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

            “คุณน้าเขากอดปันปันใหญ่เลย...ทั้งกอด ทั้งหอม แล้วก็ร้องไห้ด้วย...ไม่รู้ร้องไห้ทำไม ก็คุณน้ากำลังจะได้กลับบ้านแล้วนี่”

            ฟังเช่นนั้นก็พอนึกภาพตามได้...คุณปัณรสีอาลัย และรักลูกสาวคนนี้ขนาดไหน

            “ก่อนไป คุณน้าบอกว่า พอปันปันโตขึ้น อย่าลืมไปเที่ยวที่บ้านคุณน้าด้วยนะ” เด็กหญิงสนุกสนาน คนฟังไม่รู้สึกเช่นนั้น

            “ปันปันตอบคุณน้าว่ายังไงคะ” ลานน้ำค้างอดถามไม่ได้

            “ไม่ได้ตอบ...” ปันปันพยักเพยิดไปทางพี่ชาย “พี่ปอนบอกคุณน้าว่าจะพาปันปันไปเอง”

            ถึงแม้จะเป็นคำพูดใส ๆ แบบเด็กช่างเจรจา ลานน้ำค้างก็พอจะคาดเดา นึกภาพตาม...

            เลียบเมืองคงตอบด้วยคำพูด...

             “ผมสัญญา...จะพาปันปันไปหาคุณ...แน่นอน!”

            เขาต้องพูดเช่นนี้แน่...วาจาถือเป็นคำมั่น ไม่ใช่แค่จะพาปันปันไปหาเท่านั้น แต่จะใช้เวลาที่มี ค่อย ๆ บอกให้เด็กหญิงซึมซับ เรียนรู้ทีละน้อย จนยอมรับความจริงในที่สุด

             มันคือสัญญาลูกผู้ชาย...นี่คือน้ำใจเลียบเมือง

            “คุณปอนคะ” ลานน้ำค้างพูดกับเขา แววตาชื่นชม “ลานนับถือคุณ”

            “ผมต่างหาก ควรนับถือคุณ” เลียบเมืองย้อนคำ วาจาหนักแน่น “ลานป่วยขนาดนี้ ยังอุตส่าห์ไปช่วยงานผม ยังตามผมไปพบคุณกาญจนาด้วยกัน”

            หญิงสาวส่ายหน้า ไม่กล้ารับ

            “ลานไม่ได้ป่วยหนักอะไรสักหน่อย...อีกอย่างลานก็รักปันปันไม่แพ้คุณปอน”

  

            ประตูห้องคนป่วยเปิดออก บูรพาเดินยิ้มเข้ามา ใบหน้าสดใส สะพายเป้ไว้ข้างหลัง เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย ในมือถือขนม ของกินเล่นสำหรับเด็กมาฝากปันปัน

            “ว่าไงคนป่วย...วันนี้พูดจาเป็นผู้เป็นคนแล้วเหรอ” ชายหนุ่มทัก

            “พูดดี ๆ นะ วันอื่นฉันพูดไม่เป็นคนตั้งแต่เมื่อไหร่” ลานน้ำค้างเถียง

            บูรพาไม่สนใจต่อวาจา มือชูขนมสีสันน่ารับประทานอวดปันปัน

            “พี่รู้ว่าวันนี้ปันปันต้องมา เลยซื้อขนมมาฝากด้วย สนใจมั้ยเอ่ย”

            ปันปันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดีใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังมองพี่ชายเป็นเชิงขออนุญาต พอเลียบเมืองพยักหน้า แม่หนูน้อยก็ยกมือไหว้เรียบร้อย พร้อมยื่นมือรับขนม

            “ขอบคุณค่ะพี่หมู!” แม่หนูเรียกชื่อนี้ตามลานน้ำค้าง

            “พูดอย่างนี้มันไม่น่าให้กินเล้ย” ชายหนุ่มแกล้งทำหน้ามุ่ย

            “ก็ปันปันเรียกตามพี่ลานไง” เด็กหญิงอ้างพี่สาว เจ้าของขนมเถียงไม่ออก โกรธไม่ลง

            บูรพายิ้มสดใสให้เจ้าตัวเล็ก ทั้งยังเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นให้เลียบเมืองด้วย สองหนุ่มพยักหน้าให้กัน จนลานน้ำค้างอดแปลกใจไม่ได้ว่าทั้งคู่คุ้นเคยกันตอนไหน และสนิทกันได้อย่างไร



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            มันเป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่อาจรู้ และไม่มีทางล่วงรู้ได้...

            กระทั่งก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที ลานน้ำค้างก็ไม่ทราบว่าบูรพาต้องยืนนิ่งอยู่หน้าประตูคนป่วย พยายามปรับจิตใจตนเองให้เป็นปกติ...เสียงพูดคุยอย่างมีความสุขในห้อง มันบาดหัวใจเขาไม่น้อย

            ต้องทำใจ...ยอมรับความจริง...ยิ้มแย้มให้ได้

            หัวใจมันเจ็บปวด...โกหกไม่ได้ แต่หน้ากากรอยยิ้มบนใบหน้า มันตกแต่ง ฝืนสวมได้

            เกือบสัปดาห์ที่ลานน้ำค้างนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล บูรพาเห็นน้ำใจ และความเสมอต้นเสมอปลายของเลียบเมือง...ถึงไม่อยากยอมรับ ก็ยังต้องยอมรับ

            พอรู้ว่าลานน้ำค้างป่วยด้วยโรคอะไร เลียบเมืองก็ไม่รอช้าที่จะขอมีส่วนช่วยในการจ่ายค่ารักษาพยาบาล

            “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันพอมีจ่าย” คุณดาริกาตอบปฏิเสธ

            “แต่รักษาต่อไป ค่าใช้จ่ายมันจะสูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ” เลียบเมืองค้าน

            “เรามีเงินเก็บค่ะ...ไม่ต้องห่วง” คุณดาริกายังคงปฏิเสธด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สีหน้าอ่อนโยน

            เลียบเมืองพยายามหาเหตุผลมาหว่านล้อม ขอร้อง

            “ลานเขามาช่วยงานผมนะครับ ถือว่าเป็นพนักงานในบริษัทยังได้ คิดซะว่านี่เป็นเงินสวัสดิการของบริษัทก็ได้ครับ”

            ผู้สูงวัยยังคงยืนยันปฏิเสธ เลียบเมืองจึงบอกเหตุผลสำคัญ

            “ลานเขามีส่วนช่วยทำให้ผมได้ปันปันคืนมา ปันปันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิต ผมยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้น้องสาวคนนี้ แล้วลานเขาก็ยอมไปช่วยผม จนตัวเองติดเชื้อ ป่วยมาอย่างนี้ ถ้าผมไม่ได้ทำอะไรเลยก็คงไม่สบายใจ ถือว่าให้โอกาสผมได้ตอบแทนบุญคุณ กับคนที่มีส่วนช่วยให้ผมได้ของมีค่าชิ้นนี้คืนมาด้วยเถอะครับ”

            ถึงตอนนี้คุณดาริกาปฏิเสธไม่ออก และยิ่งหมอนภัทรแนะนำการรักษาของลานน้ำค้างต่อว่า...

            “ถ้าได้เปลี่ยนถ่ายไขกระดูก โอกาสหายของลานน้ำค้างจะมีมากกว่า”

            ทำให้ผู้สูงวัยฝืนใจยอมรับ...

            แน่นอน...ค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกย่อมสูง เงินเก็บที่มีอาจไม่เพียงพอ หากเลียบเมืองพร้อมช่วยออกค่าใช้จ่าย การรักษาในขั้นนี้ย่อมไม่มีปัญหา

            ถึงเวลานี้ ชีวิตลานน้ำค้างย่อมสำคัญที่สุด คุณดาริกายอมแลกทุกสิ่งเพื่อลูกสาวคนนี้ได้...ต่อให้ยอมรับความช่วยเหลือแล้วต้องอึดอัด ลำบากใจมากกว่านี้ เธอก็ยอมทน

            เมื่อเลียบเมืองช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษา เขาก็พยายามทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด ไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังเกรงใจ ปรึกษาทุกเรื่องเกี่ยวกับการดูแลรักษากับคุณดาริกา โดยไม่เอาความคิดตนเองเป็นใหญ่

            บูรพายืนมองอยู่ห่าง ๆ ไม่ร่วมออกความเห็น ไม่คัดค้าน ในใจส่วนลึกแสนเจ็บปวด แสลงใจ...ทำไมคนที่ยื่นมือช่วยรักษาลานน้ำค้างไม่ใช่เขา คนที่บอกตนเองเสมอว่าทำทุกอย่างได้เพื่อเธอ...

            ในวันนี้ สิ่งที่เขาทำได้มีเพียงอย่างเดียวคือ อดทน’ ทนต่อความเจ็บปวดหัวใจ...

            เจ็บแค่ไหนก็ได้...ให้ทนเพียงใดก็ยอม ขอเพียงลานน้ำค้างหายป่วย ขอเพียงผู้หญิงที่เขารัก ได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด

            หลายวันที่ผ่านมา คุณดาริกาและญาติใกล้ชิดทุกคนต่างมาตรวจ เพื่อหาไขกระดูกที่เข้ากับลานน้ำค้าง แต่ไม่พบ เลียบเมืองยอมลงทุนติดต่อกับทางโรงพยาบาลต่างประเทศ ส่งตัวอย่างไขกระดูกไปเพื่อควานหา...แม้มันจะเป็นความหวังอันเลื่อนลอย แต่การพยายามอย่างเต็มกำลัง ย่อมดีกว่าไม่สร้างโอกาสเสียเลย

            บูรพามองเลียบเมืองด้วยสายตาอีกแบบ...ไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีน้ำใจ หวังดี และไม่อวดตัว อดยอมรับไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้นับว่าหายากยิ่ง

            ...ลานน้ำค้างชอบคนไม่ผิด...

            ปัญหาอยู่ที่...เลียบเมืองคิดอย่างไรกับเธอ...แค่สงสาร สำนึกบุญคุณ หรือเริ่มมีใจให้...

            มองอย่างตรงไปตรงมา ชายหนุ่มไฮโซคนนี้มีความเสมอต้นเสมอปลาย พาปันปันมาเยี่ยมลานน้ำค้างเกือบทุกวัน นั่งคุยกับเขาและคุณดาริกาได้นาน ๆ ทั้งที่หญิงสาวคนป่วยไม่เคยตื่นตอนเขามาสักที

            ทั้งหมดนี้ แสดงว่าเขาเริ่มมีใจให้บ้างแล้ว...ใช่หรือไม่



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เมื่อคุณดาริกามาถึงโรงพยาบาล เลียบเมืองก็พาปันปันกลับบ้านแล้ว พอคนเป็นแม่เห็นลูกสาวอาการดีขึ้น พูดคุยแจ้ว ๆ มากกว่าทุกวันค่อยยิ้มออก ชวนบูรพารับประทานอาหารเย็นที่ห้องคนป่วยเสียเลย

            ลานน้ำค้างนั่งดูทีวีฆ่าเวลา ขณะคนเฝ้าไข้ทั้งสองกำลังรับประทานอาหาร จอทีวีฉายภาพข่าวงานศพของมาตา โดยมีพิธีกรข่าวกำลังคุย เชิงบอกเล่าเรื่องราวประกอบ

            “วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นงานประชุมเพลิงศพคุณมาตาแล้วนะครับ เท่าที่ทราบ ตอนนี้ก็มีพี่น้องเพื่อนพ้องในวงการ เตรียมไปไว้อาลัยครั้งสุดท้ายกันคับคั่ง”

            “หลังจากประชุมเพลิงแล้ว ปลายสัปดาห์หน้า จะมีคอนเสิร์ตจากเพื่อนพ้องถึงมาตา ซึ่งจะจัดขึ้นที่...”

            “รายได้จากงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ แรกสุดตั้งใจจะใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลแก่มาตา แต่พอเธอเสียชีวิตอย่างนี้ ทางผู้จัดงานจึงเปลี่ยนวัตถุประสงค์ ตั้งใจจะนำรายได้ทั้งหมดไปมอบให้แก่สาธารณกุศล ๑๐ มูลนิธิ โดยไม่หักค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว เป็นการร่วมใจของพี่น้องแวดวงบันเทิง ที่ต้องการร่วมไว้อาลัย และสร้างกุศลอุทิศให้แก่มาตาเป็นครั้งสุดท้าย”

            “ปัญหาตอนนี้อยู่ที่ไฮไลท์ของงานคือ คุณโดม เจ้าของบทเพลง กว่าจะรู้ว่ารัก และเป็นบุตรชายคนเดียวของมาตา ซึ่งยังไม่ออกมายืนยันว่าจะขึ้นเวทีนี้ด้วยหรือไม่”

            “เท่าที่ทราบตั้งแต่คุณมาตาเสียชีวิต คุณโดมไม่เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวคนไหน หรือทีวีช่องใดเลย มีแต่คุณแหม่ม ผู้จัดการส่วนตัวของมาตา ได้ให้ข่าวแทนทั้งหมด”

            “คุณแหม่มยังไม่สามารถตอบแทนคุณโดมได้เหมือนกันว่าจะยอมขึ้นเวทีหรือไม่...ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สองแม่ลูกสังกัดคนละค่ายเพลงกัน เพราะบิ๊กบอสของสองค่ายใหญ่ยอมจับมือกันผลักดันเพลง กว่าจะรู้ว่ารัก และร่วมใจอยากให้คอนเสิร์ตครั้งนี้ประสบความสำเร็จ สมบูรณ์ เป็นที่จดจำแก่แฟนเพลงของมาตาทุกคน”

            ลานน้ำค้างฟังพิธีกรข่าวคุยเรื่องของมาตาอย่างสนใจ ทำให้รู้รายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ มากมาย

            งานศพครั้งนี้ นับเป็นการเปิดตัวโดม ในฐานะบุตรชายคนเดียวของมาตา สู่สาธารณะชนอย่างเป็นทางการครั้งแรก สื่อทุกแขนงต่างรุมสัมภาษณ์ ถามความรู้สึก ถามถึงแผนการอนาคต แต่เด็กหนุ่มว่าที่คนดังกลับนิ่งเฉย ไม่ตอบทุกข้อซักถาม พวกสื่อทำได้เพียงเอาบทสัมภาษณ์เก่า ตอนโปรโมทเพลง...กว่าจะรู้ว่ารัก มาลง นำรูปตอนที่เขาเคยถ่ายแบบช่วงแรกที่เข้ามาเซ็นสัญญากับค่าย ฯ มาขาย ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เด็กหนุ่มเป็นที่รู้จักกว้างขวางกว่าเดิม
 
            ภาพของโดมปัจจุบันคือเด็กหนุ่มเงียบขรึม แววตาหม่น อยู่กับตัวเอง ไม่สนใจใคร มีแต่คุณแหม่มคอยเข้าไปตอบคำถามแทนเวลาโดนสื่อรุม บางทีก็หาวิธีดึงตัวเขาออกมาอย่างละมุนละม่อม

            เพลง “กว่าจะรู้ว่ารัก” ถูกขอเปิดทางวิทยุซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอกย้ำความโด่งดัง ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งแบบไร้คู่แข่ง โดยหารู้ไม่ว่า ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ คนแต่งเพลงทรมานใจแค่ไหน

            โดมมางานศพทุกคืน นั่งจ้องมองโลงของแม่ ไม่สนใจใคร ไม่เหลือบแลนักข่าว ไม่พูดจาตอบโต้อะไร ชายอีกคนที่มีลักษณะคล้ายโดมคือ ‘ชัช’ คนรักปัจจุบันของมาตา

            ชัชมางานศพทุกคืน ตอบคำถามนักข่าวน้อยคำที่สุด เลือกที่นั่งคนละมุมกับโดม สองหนุ่มต่างวัยไม่พูดจากัน แต่มีโลกส่วนตัวที่แข็งแรงพอกัน

            ส่วนหมอนภัทรไปร่วมงานเพียงไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งที่มาจะไม่ยอมตอบคำถามนักข่าว สายตามองไปยังลูกชายโดยไม่พูดจา ไม่เข้าไปหา เหมือนต้องการให้บุตรชายเติบโตด้วยตนเอง

            พรุ่งนี้จะเป็นงานประชุมเพลิงเผาศพ นักข่าวส่วนใหญ่นอกจากต้องการมาทำข่าวแล้ว ยังอยากรู้ว่าคอนเสิร์ตใหญ่ที่จัดขึ้นเพื่อมาตาครั้งนี้ โดมจะขึ้นเวทีหรือไม่ เพราะถ้าขาดเขาไปคอนเสิร์ตจะไม่มีทางสมบูรณ์เลย

            ดูข่าวจบ ลานน้ำค้างหันไปทาง “ผู้ปกครอง” ทั้งสองคน

            “ห้ามไป!” คุณดาริกาดักคอ รู้ใจลูกสาว

            “ดูงานศพทางทีวีก็ได้ ยังไงเขาต้องออกข่าวอยู่แล้ว” บูรพาบอก

            ลานน้ำค้างยิ้มแหย ๆ เถียงไม่ออก ถึงอย่างนั้นใจมันก็เป็นห่วง เห็นสีหน้าแววตาของโดมในทีวีแล้ว ก็คิดถึงคำพูดในคืนวันนั้น...

            “ถ้าผมไม่โทรหา...ถ้าผมปิดโทรศัพท์ ถ้าผมไม่ติดต่อมา...อย่าโกรธได้ไหม

            ใช่...ลานน้ำค้างไม่โกรธแน่นอน...ไม่โกรธแต่เป็นห่วง...ห่วงจนอยากไปหา เผื่อหล่อนสามารถช่วยอะไรได้บ้าง สักเล็กน้อยก็ยังดี







บทที่ ๓๐



            เสียงโทรศัพท์มือถือสายส่วนตัวดังขึ้น เลียบเมืองเหลือบมอง เห็นเบอร์จากคนที่อยู่ฝรั่งเศส นิ่งถอนใจครู่หนึ่ง แววตาลังเลก่อนจะรับสาย

            “สวัสดีครับเกรซ” ชายหนุ่มแต่งน้ำเสียงให้สดใส

            “เป็นยังไงบ้างคะ งานยุ่งหรือเปล่า” หญิงสาวตอบกลับมาน้ำเสียงไม่ต่างจากคุ้นเคย

            “บอกว่ายุ่ง ยังเบาไปด้วยซ้ำ” เลียบเมืองตอบตามตรง

            “มิน่าล่ะ เลียบถึงไม่โทรมาทักทาย ถามไถ่ข่าวคราวกันบ้างเลย” คำพูดเหมือนตัดพ้อ แต่น้ำเสียงไม่บอกเจตนาอย่างนั้น “เรื่องของน้องปันปันเป็นยังไงบ้างคะ”

            หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องคุย

            เลียบเมืองนิ่งชั่วครู่ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องตอบลำบาก ยากเย็น

            “เรียบร้อยแล้ว ปันปันได้อยู่กับผม”

            คราวนี้อีกฝ่ายกลับนิ่ง คาดไม่ถึงจะได้ยินคำตอบเช่นนั้น

            “ยินดีด้วยนะเลียบ...” คราวนี้ฟังชัดว่าพูดด้วยมารยาท “ทำไมคุณปัณรสีเขาถึงยอมล่ะ”

            “ผมไปขอร้องให้คุณกาญจนา แม่ของปัณรสีเขาช่วยพูดให้” เลียบเมืองตอบสั้นที่สุด

            “หรือคะ...” อีกฝ่ายพูดทิ้งค้าง มีวาจารอจะพูดต่อ “แล้ว...เลียบเป็นยังไงบ้าง”

            ที่จริงเลียบเมืองควรย้อนถาม...คำว่า เป็นยังไง” ของหล่อนหมายถึงอย่างไร?

            น่าเสียดาย ที่เขากลับเข้าใจเจตนาของคำถามนี้ดีเกินไป

            “ผมสบายดี” เขาเลือกตอบคำถามแบบกลาง ๆ ทิ้งวาจาที่ควรอธิบายออกไป

            เกรซนิ่ง...รู้ว่าเลียบเมืองเข้าใจคำถาม แต่เจตนาที่จะไม่พูด...

            คำว่า เป็นยังไง” นั้น หมายถึง ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอนั้น เป็นอย่างไร ยังเหมือนเดิมหรือไม่?

            “ยังเก็บแหวนแต่งงานวงนั้นไว้หรือเปล่าคะ” หญิงสาวรู้ว่า เมื่อถามไปเช่นนี้ อาจทำให้ตนเองกลายเป็นคนสิ้นท่า หมดราคาทันที

            เลียบเมืองเงียบไปนาน...นานจนคนรอฟังเกิดความเข้าใจชัดเจน ไม่จำเป็นให้เขาตอกย้ำ

            “ตอนนี้เลียบพบคนที่ควรได้รับแหวนวงนั้นแล้วใช่มั้ยคะ” เกรซรีบถาม ก่อนจะไม่มีความกล้าหลงเหลือ

            “ผม...” เลียบเมืองชะงัก ชั่งใจเลือกคำตอบ “ผมยังไม่แน่ใจ”

            คำตอบเช่นนี้ ทำให้ผู้หญิงที่ฉลาดอย่างเกรซรู้ว่า...คนที่เขายัง “ไม่แน่ใจ” นั้น ย่อมไม่ใช่ตนเอง และหากผู้ชายอย่างเลียบเมืองบอกว่ายังไม่แน่ใจ ย่อมหมายถึงเขามีใจให้ผู้หญิงคนนั้นเกินครึ่งแล้ว...

            แหวนที่หล่อนเคยมีโอกาสสวมใส่ บัดนี้หลุดลอยตลอดกาล...

            “ขอบคุณค่ะ” เกรซพูดสามคำอย่างลำบาก ในใจมีความเจ็บร้าว “ขอบคุณที่ทำให้เกรซรู้ว่า...ต้องตัดใจจากคุณจริง ๆ เสียที”

            เลียบเมืองพูดอะไรไม่ออก เขาไม่เคยรังเกียจผู้หญิงคนนี้ อีกทั้งยังเชื่อว่าจะสามารถร่วมชีวิตได้อย่างมีความสุข เป็นผู้หญิงที่เขากล้าขอแต่งงานโดยไม่ลำบากฝืนใจ

            วันนี้...มันไม่ใช่แล้ว ความรู้สึกเหล่านั้นกลายเป็นอดีต เขามีความรู้สึกดี ๆ กับเกรซเสมอ เพียงแต่ในใจมีความชัดเจนออกมาว่า “ไม่ใช่” เมื่อมีโอกาสใกล้ชิดกับผู้หญิงอีกคน ที่ทำให้หัวใจเขาอบอุ่น มีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

            “ผมขอโทษ” เลียบเมืองไม่รู้ว่าจะหาคำพูดใด มาบอกกับเธอได้ดีกว่านี้

            “เลียบไม่ผิดหรอก” หญิงสาวยอมรับความจริงได้เร็ว “เพราะเกรซเป็นฝ่ายทิ้งโอกาสนั้นเอง...จนมาอยู่ที่ฝรั่งเศส มันยังมีความรู้สึกบางอย่างที่คาใจ...เกรซนึกสงสัยว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือเปล่า...ความสงสัยนี้มันสลัดยังไงก็ไม่หลุด ยิ่งเลียบไม่ติดต่อ ไม่โทรไปหาเลย ก็นึกหงุดหงิด คิดถึงคุณมากขึ้น จนต้องเป็นฝ่ายโทรมาเอง...”

            เลียบเมืองไม่กล้าพูดอะไร เกรงวาจาตนจะยิ่งทำร้ายฝ่ายตรงข้าม

            “เกรซโทรมาครั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ว่า การตัดสินใจของตัวเองครั้งนั้น มันถูกหรือผิด...”

            “ตอนนี้เกรซได้คำตอบแล้ว...ถึงมันจะเป็นคำตอบที่ทำให้หัวใจเจ็บปวดบ้างก็ไม่เป็นไร...เพราะถ้าเกรซเลือกที่จะคว้าโอกาสวันนั้นไว้...เวลานี้...เกรซอาจต้องเจ็บกว่าหลายเท่า”

            “เกรซ...” เลียบเมืองพูดเสียงอ่อนโยน สำนึกผิด “คุณเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุด เท่าที่ผมเคยเจอมา...”

            หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ขมขื่นมาตามสาย

            “แต่คนที่ดี...ไม่จำเป็นต้องได้รับความรักเสมอไป...ใช่มั้ยคะ”

            เลียบเมืองพูดไม่ออกอีกหน...หากนำเกรซไปเทียบกับผู้หญิงอีกคน สามารถเห็นความแตกต่างชัดเจน...เกรซเหนือกว่าผู้หญิงคนนั้นทุกด้าน ทั้งรูปร่าง หน้าตา ฐานะ ความรู้

            ทำไมนะเขาถึงสบายใจ รู้สึกเป็นสุขกว่าเมื่ออยู่ใกล้ผู้หญิงที่ไม่สมบูรณ์แบบคนนั้น



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP