วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๔๓



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บ้านของคุณกาญจนาใหญ่โต กว้างขวาง เพิ่งสร้างเสร็จไม่กี่ปี ในบ้านมีญาติพี่น้องอยู่ดูแลไม่กี่คน ส่วนเจ้าของบ้านตัวจริงกลับไม่ค่อยสนใจอยู่บ้านเลย

            ปัณรสีเป็นคนสร้างบ้านหลังใหญ่โต หรูหรา สะดวกสบายนี้ให้มารดาใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขในบั้นปลาย อีกทั้งยังส่งเงินมาให้ใช้ทุกเดือนโดยไม่เดือดร้อน คุณกาญจนากลับไม่ชอบอยู่บ้านหลังใหญ่ ไม่สนใจเสพสุขกับเงินทองที่ลูกสาวส่งมาให้

            “คุณนายไม่ค่อยอยู่บ้านหลังนี้หรอก โน้นแน่ะชอบไปอยู่ที่ ‘บ้านดอกไม้บาน’ นั่นแหละ” เด็กในบ้านรายงานให้ฟังอย่างนั้น

             “บ้านดอกไม้บาน” หากดูจากภายนอก จะเหมือนบ้านพักคนชรา...ความเป็นจริง มันคือบ้านหลังเล็ก ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง รวบรวมคนเฒ่าคนแก่ที่ว่างงาน ไม่มีอะไรทำ ให้มาทำงานที่ตัวเองถนัด ไม่ว่าจะเป็นงานฝีมือ ทำขนม งานช่าง แกะสลัก เพื่อให้คนแก่ไร้อาชีพได้มีงานทำ มีรายได้ และไม่ปล่อยเวลาว่างไปกับการเหม่อลอย ซึมเซา จับเจ่า เหงาหงอย

            ผลิตภัณฑ์ที่ได้มา คุณกาญจนาจะเป็นคนหาตลาดให้ มีการจ่ายค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อสมราคา ส่วนผลกำไรส่วนเกินที่เหลือ จะถูกรวบรวมไว้เป็นทุนการศึกษาแก่เด็กด้อยโอกาส เป็นทุนอาหารกลางวันต่าง ๆ

            สองหนุ่มสาวทึ่ง แปลกใจกับสิ่งที่เห็น จากที่เคยคาดหมายจะเห็นคุณกาญจนาเป็นหญิงวัยกลางคนที่ชีวิตจมอยู่กับอดีต ใบหน้าหมอง อมทุกข์ มีริ้วรอยความเศร้าจากบาดแผลวันวาน กลับกลายเป็นหญิงวัยกลางคนเจ้าเนื้อ ดูสมบูรณ์ ใบหน้าเต็มอิ่ม มีรอยยิ้มความสุขฉายชัด ชนิดใครก็มองเห็น

            สีหน้า แววตาคุณกาญจนาหมองไปครู่เดียว เมื่อได้รับกล่องไม้ใบนั้น เธอรับมันมาเปิด แล้วหัวเราะขัน ปนตื้นตันยามเห็นรูปถ่าย จดหมายทุกฉบับ

            “เธอคงเป็นลูกชายของสันติใช่มั้ย” คุณกาญจนาถาม

            “ใช่ครับ” เลียบเมืองตอบ

            “ที่จริง เธอหรือแม่ของเธอ น่าจะทิ้งพวกนี้ไปแล้วนะ” คนพูดไม่มีร่องรอยประชดประชันเหน็บแนม “แต่ก็ขอบใจมาก ที่นำมันมาคืนให้”

            คุณกาญจนาเก็บของคืนใส่กล่องดังเดิม มองสองหนุ่มสาวด้วยประกายตาแจ่มใส ไร้หมอกมัวในอดีต

            “ฉันต้องขอโทษจริง ๆ ที่ไม่ได้ไปงานศพของพ่อเธอ...ตอนนั้นฉันยังไม่พร้อมจะเจอหน้าใคร ๆ ส่วนงานศพแม่ของเธอ...รสี ลูกสาวของฉันคงไปแทนแล้ว”

            ผู้พูดสังเกตหนุ่มสาวทั้งสอง ดูออกตั้งแต่แรกว่าพวกเขาคงไม่ได้มีเจตนาแค่นำของมาส่งคืน

            “เอาล่ะ บอกธุระจริง ๆ ของเธอมาได้แล้ว” หญิงกลางคนเข้าประเด็นรวดเร็ว

            เลียบเมืองบอกปัญหาที่เกิดทั้งหมด เล่าให้ฟังตั้งแต่เริ่มต้นรับปันปันมาเลี้ยง จนคุณสันติ คุณหญิงเสียชีวิต และปัณรสีก้าวเข้ามาขอลูกคืน เกิดการถกเถียงถึงขั้นเตรียมขึ้นศาลสู้ความกัน

            “เธอควรคืนปันปันให้รสีเขานะ” คุณกาญจนาพูดเมื่อได้ฟังจนจบ

            “ผมคืนให้ไม่ได้” โทสะพลุ่งขึ้นพร้อมคำตอบสวนคืน

            “เธอมีเหตุผลอะไร ถึงไม่ยอมคืนลูกให้กับแม่แท้ ๆ ของเขา” คำถามจี้ตรงพร้อมเหตุผลประกอบ “เธอเองก็ยังหนุ่ม เป็นโสด มีภาระการงานมากเกินกว่าจะดูแลเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้ดีได้”

            อธิบายขนาดนี้ แสดงว่าคุณกาญจนาก็รู้จักเลียบเมืองเหมือนกัน

            ชายหนุ่มเตรียมเหตุผลเป็นร้อย คำอธิบายนับพันที่จะบอกต่อผู้หญิงคนนี้ เพื่อให้เธอเชื่อว่าเขาสามารถดูแลปันปันได้ และยังทำได้อย่างดีที่สุดด้วย แต่เหตุผล คำอธิบายเหล่านั้น ถูกกลืนหายลงลำคอ เมื่อเห็นแววตาของคุณกาญจนา...แววตานั้นบอกว่า...เธอเป็นคุณยายของปันปัน...คุณยายที่อาจไม่เคยเห็นหน้า และก็รักและหวังดีกับลูกหลานในสายเลือดอย่างจริงใจ

            “ผมรักปันปันครับ” เขาตอบสั้นที่สุด ตรงใจที่สุด...ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่ผู้พิพากษา ไม่ใช่ทนายที่ต้องมาชั่งน้ำหนัก ฟังเหตุผลเพื่อตัดสิน

            ผู้หญิงคนนี้คือยายของปันปัน เป็นญาติแท้ ๆ ของน้องสาวเขา แม้จะไม่เคยเจอกันเลย แต่เชื่อว่าสายเลือด ความผูกพันย่อมมี...จึงไม่มีเหตุผลใดมาใช้ได้ดีกว่า ...ความจริงจากหัวใจ

            “ฉันเชื่อ” คุณกาญจนายอมรับ... “แล้วเธอจะรักปันปันแบบนี้ได้นานแค่ไหน ตอนนี้เธออยู่ในฐานะพี่ชาย ต่อไปเมื่อเธอแต่งงาน มีครอบครัวของตัวเอง ปันปันจะไปอยู่ตรงไหน”

            “ความรักของผมไม่เปลี่ยน” เลียบเมืองย้ำ

            “เปลี่ยนสิ” คุณกาญจนาค้านเสียงหนักแน่น “ทุกสิ่งในโลกเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ความรัก!”

            ท้ายคำพูดสะเทือนถึงใจเลียบเมือง

            “เธอได้อ่านจดหมายของฉันแล้ว เคยนึกสงสัยมั้ยว่า ปัณรสีเป็นลูกของใคร” ไม่มีใครคิดว่าคุณกาญจนาจะถามแบบนี้ พอคำถามหลุดออกมา ทุกคนได้แต่อึ้ง ไม่กล้าตอบ

            “ถ้ารสีเป็นพี่น้องกับเธอ ก็แสดงว่าพ่อเธอนอกใจคุณหญิง อย่างนี้แล้วเธอจะคิดกับปันปันอย่างไร”

            เลียบเมืองไม่ตอบ คุณกาญจนาจึงถามซ้ำอีกครั้ง

            “เธอยังจะรักปันปันได้เหมือนเวลานี้หรือเปล่า”

            บางที...การโกหกว่าความรู้สึกของเขายังเหมือนเดิม หนำซ้ำยังรักปันปันมากกว่าเก่า เพราะเป็นสายเลือดเดียวกัน...มันคงพูดไม่ยาก...แต่จิตใจมันคัดค้าน...ค้านอย่างรุนแรง จนเอ่ยปากโกหกไม่ออก

            ...ไม่มีทาง ความเคลือบแคลงย่อมแทรกซึมในใจ...ทุกครั้งที่มองหน้าปันปัน เขาต้องนึกว่า นี่คือพยานการนอกใจที่พ่อเคยมีต่อแม่...

            “แต่คุณปัณรสีไม่ใช่ลูกของคุณสันติใช่มั้ยคะ” ลานน้ำค้างเอ่ยปากหลังจากเงียบไปนาน

            “เธอรู้ได้ยังไง” คุณกาญจนาถาม จ้องตาหญิงสาวอย่างสนใจ

            “เพราะข้อความในจดหมายไม่เคยเอ่ยเรื่องลูก หรือแม้แต่เรื่องเคยนัดพบกันเลย” หญิงสาวอ้างหลักฐาน

            “ฉันไม่จำเป็นต้องเขียนมันลงไปในจดหมายนี่”

            “ไม่หรอกค่ะ” ลานน้ำค้างค้าน “เนื้อความในจดหมายนั้น บอกถึงความรัก ความผูกพันที่ลึกซึ้ง บริสุทธิ์ ใครที่ได้อ่านต้องเชื่อว่าคนสองคนนั้นไม่มีทางทำเรื่องเลวร้าย ผิดต่อศีลธรรมเด็ดขาด”

            คุณกาญจนาระบายลมหายใจแผ่ว ใบหน้าเกลี่ยรอยยิ้มละไม

            “ถูกต้อง...ปัณรสีไม่ใช่ลูกของสันติ”

            คำพูดนี้เหมือนเป็นการปลดตรวนความเคลือบแคลงใจของเลียบเมืองออกไปในฉับพลัน

            “เรื่องมันเก่ามาก จนบางอย่างก็ลืมเลือนไปแล้วเหมือนกัน” คุณกาญจนาเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม “ความรักระหว่างฉันกับสันติ เริ่มต้นตั้งแต่สมัยวัยรุ่น มันเติบโตอย่างช้า ๆ ลึกซึ้ง มันก็มีอุปสรรค ปัญหาหลายอย่าง จนเราสองคนเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ จึงพอใจให้ความรักมันอยู่แค่ในใจเราเท่านั้นเอง”

            คุณกาญจนาไม่พูดถึงปัญหา อุปสรรค...เพราะเวลานี้ มันไม่จำเป็นถึงอ้างถึงมันอีกแล้ว

            “สันติได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ดี ส่วนฉันพลาดพลั้งเจอผู้ชายที่แย่ ต้องอุ้มท้องซมซานกลับมาอยู่บ้าน...ช่วงเวลานั้นฉันทดท้อ หดหู่ เศร้าใจจนถึงที่สุด...เราได้เขียนจดหมายติดต่อกัน มันเป็นจดหมายที่พูดถึงความรัก เรื่องราวเก่า ๆ ซึ่งเป็นยาช่วยเพิ่มพลังใจให้แก่ฉัน...ทำให้ฉันรู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีความรักที่งดงาม และยังมีผู้ชายดี ๆ เหลืออยู่ในโลก”

            ลานน้ำค้างได้ฟัง แล้วนึกถึงภาพตาม มองเห็นเป็นนวนิยายรักเรื่องยาวเรื่องหนึ่ง ที่ตัวละครต่างพ้นช่วงวัยฝันมาแล้ว

            “ฉันไม่พูดเรื่องของลูก ไม่เล่าปัญหาความทุกข์ให้เขารู้...เราคุยกันเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัว จดหมายทุกฉบับที่เขาตอบมา มันทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะต่อสู้ชีวิตที่จะเลี้ยงลูกได้...”

            คุณกาญจนาหยิบกล่องใบนั้นมาถือไว้ รอยยิ้มจาง ๆ แตะบนใบหน้า

            “คิดถึงตอนเขียนจดหมายพวกนี้แล้ว มันเป็นช่วงเวลาดี ๆ อย่างเดียว ท่ามกลางมรสุมชีวิตอันเลวร้ายของฉัน...มันทำให้ฉันตั้งหลัก เลี้ยงลูกมาได้จนโต แต่รสีก็มาพลาดพลั้งเหมือนฉันอีก แกกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่างแม่ จึงไม่คิดเอาเด็กไว้...ชะตากรรมจึงพาไปพบคุณหญิงกับสันติ”

            “แสดงว่าคุณสันติก็รู้แต่แรกแล้วว่า ปัณรสีเป็นลูกของคุณป้า” ลานน้ำค้างถาม เริ่มใช้สรรพนามนับญาติ

            “ตอนแรกเขาแค่สงสัย จนปันปันคลอด แล้วรสีมาทำหลักฐานมอบบุตรบุญธรรม เขาถึงได้รู้ ตอนนั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว...”

            คุณกาญจนาถอนใจ แววตาหดหู่ชั่วแวบ

            “หลังจากทิ้งปันปันให้พวกคุณ รสีก็เตลิดเปิดเปิง ไปไหนก็ไม่รู้ คนเป็นแม่อย่างฉันหัวใจแทบสลาย ช่วงเวลานั้นสันติติดต่อกลับมา ให้กำลังใจ ทั้งเข้ามาช่วยเหลือ รับปากสัญญาจะเลี้ยงดูปันปันอย่างดี รักให้เหมือนลูกของตัวเอง...เขาบอกว่า จะมอบความรักให้ปันปัน ชดเชยแก่ความรักที่ไม่สมหวังของพวกเรา...”

            เรื่องราวจบลง มองเห็นถึงความรักอันงดงามบริสุทธิ์ของผู้วายชนม์ เลียบเมืองเข้าใจแล้ว ทำไมพ่อถึงรักปันปันเหลือเกิน ลานน้ำค้างก็เห็นชัดเจน ถึงความรัก ความผูกพันของคุณสันติที่มีต่อปันปัน จนทำให้เขาต้องมาอยู่ในภพที่ต้องติดข้องกับการห่วงหาอาวรณ์ ไม่อาจไปสุคติภพได้...

             ความรักที่สร้างพันธนาการหัวใจ เป็นบ่วงร้อยรัดดวงวิญญาณ ไม่ให้สู่สุคติภูมิ...นับเป็นความร้ายกาจอย่างหนึ่งของวัฏสงสาร

            “พ่อรักปันปันมาก” เลียบเมืองพูดกับคุณกาญจนา “และปันปันก็เป็นที่รักของเราทุกคน”

            “ฉันรู้” คุณยายของปันปันตอบอย่างมั่นใจ “พวกคุณรักปันปันอย่างจริงใจ...ช่วงเวลานั้นฉันถึงคลายใจปัญหาไปได้เปลาะหนึ่ง...แต่กับเรื่องของรสี มันทำให้ฉันเป็นทุกข์ทรมานมากมาย ฉันไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ไปทำอะไร เป็นสุขหรือทุกข์อย่างไร ความทุกข์มันเล่นงานเสียจนฉันทนไม่ไหว...จะไปอาศัยพ่อเธออีกก็ไม่ได้ ฉันจึงเลือกหันหน้าสู้...เรียนรู้ความทุกข์ด้วยตัวเอง”

            “หันหน้าสู้...เรียนรู้ความทุกข์ด้วยตัวเอง” ลานน้ำค้างพึมพำ ซึมซับ จดจำประโยคนั้นไว้

            “ใช่...ฉันต้องทำอย่างนี้ เพราะไม่มีทางเลือกอื่นให้หนี และเป็นบุญกุศลส่งให้ได้พบครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐ มาอบรมสั่งสอนให้ฉันกล้าสู้ กล้าเรียนรู้ตัวเอง...สู้ชนิดหลังชนฝา ให้รู้กันไปเลยสิว่า ความทุกข์มันจะแน่สักแค่ไหน มันจะทำให้ถึงตายได้หรือเปล่า...”

            ประกายตาคุณกาญจนาบอกถึงความเป็นคนกล้า คนจริง

            “นับเป็นปี ๆ ที่ฉันเอาตัวเองเป็นสนามเรียนรู้ทุกข์...ศึกษาธรรมะจากกายและใจ ตามเส้นทางที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน จนความทุกข์น้อยลง มีความสุขมาให้เห็นเป็นกำลังใจ...แล้วรสีก็กลับมา พร้อมกับสามีฝรั่ง

            เขาบอกว่าจะชดเชยความผิดที่ทำให้ฉันเสียใจ ด้วยการสร้างบ้านหลังใหญ่โต ส่งเงินมาให้ใช้ทุกเดือนไม่มีขาด...เป็นแม่คนอื่นคงดีใจ ได้สุขสบายตอนแก่ แต่ฉันกลับเห็นว่ามันไม่จำเป็นเสียแล้ว...

            การที่ฉันได้มาทำงานตรงนี้มีความสุขมากกว่า ฉันช่วยเหลือให้คนแก่ได้มีคุณค่า ได้ฝึกเจริญสติกับการทำงานในปัจจุบัน ไม่ให้ใจเหม่อลอย ซึมเซาไปกับเรื่องในอดีตทั้งวัน แถมยังเปิดช่องทางหารายได้ให้พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีประโยชน์ เป็นสุขกับปัจจุบันไปเรื่อย ๆ เท่านี้ก็พอแล้ว

            จิตใจลานน้ำค้างร่วมยินดี อนุโมทนาไปกับงานที่คุณกาญจนาทำ ไม่แปลกใจเลยที่เห็นใบหน้าเธอผ่องใส มีความสุข ทั้งที่ผ่านเรื่องราวความทุกข์เหลือคณานับ

            “ปัณรสีเขามาที่บ้านนี้บ้างหรือเปล่าครับ” เลียบเมืองเอ่ยปากถาม

            “มา...เขาพยายามมาบ่อย ๆ เท่าที่ทำได้แหละ แต่ไม่ค่อยเข้าใจงานที่ฉันทำนักหรอก” คุณกาญจนาตอบ

            “ถ้าอย่างนั้นคุณป้าคงทราบเรื่องของปันปันก่อนแล้ว” ลานน้ำค้างถาม

            คุณกาญจนายิ้มอย่างเข้าใจ

            “ถ้าสันติยังอยู่ ฉันจะไม่ยอมให้รสีมาแย่งลูกคืนไปเด็ดขาด” คุณกาญจนาพูดหนักแน่น “เพราะฉันเชื่อว่า สันติสามารถรักปันปัน เหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่งด้วยหัวใจจริง”

            เลียบเมืองเข้าใจ เขาจึงกล้าเปิดเผยความรู้สึกตนเองอย่างตรงไปตรงมา

            “ปันปันมาอยู่ที่บ้านตอนผมโตมากแล้ว อายุเราห่างกันมาก ดูยังไงก็ไม่เหมือนพี่น้องกัน ผมช่วยเลี้ยงแก ดูแกเติบโตมาตลอด เห็นแกเป็นน้องเล็กในครอบครัว...ตอนที่พ่อเสีย ผมรู้สึกว่าต้องเป็นผู้นำ เป็นหลักให้แม่กับน้อง...จนเสียแม่ไปอีกคน ผมเหลือแค่ปันปันคนเดียวเท่านั้น...ครอบครัวเราไม่มีใครอีก นอกจากผมกับปันปัน”

            ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

            “ผมเป็นห่วง หวงแกมากกว่าเดิม อยากจะเลี้ยงดู เฝ้าดูแกเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อยากรู้ว่าโตขึ้นแกจะเป็นอย่างไร อยากเห็นอนาคตของแก...ปันปันเป็นมากกว่าน้องสาวผม...คุณบอกว่าความรักมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งมันก็จริง เวลานี้ผมรักปันปันมากกว่าเดิม มากกว่าน้องสาวคนหนึ่ง ผมเห็นแกเหมือนลูก เด็กที่ผมเฝ้าดูตั้งแต่แบเบาะ เคยป้อนข้าว ป้อนนมจนโตขนาดนี้ ผมยังอยากเห็นแกต่อไปอีก อยากโอบอุ้ม เลี้ยงดู ให้แกมีอนาคตสดใส เป็นหญิงสาวที่น่ารัก ที่ทำให้ผมภาคภูมิใจ”

            เลียบเมืองจบคำพูดของเขา ทุกวาจาออกมาจากจิตใจซื่อตรง ชัดเจน

            “คุณมีไฟแช็คมั้ย” คุณกาญจนาถามเลียบเมือง

            ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ หยิบส่งให้อย่างงง ๆ

            คุณกาญจนาเปิดฝากล่องไม้ หยิบจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง แล้วจุดไฟเผามัน สองหนุ่มสาวเบิกตากว้าง ตกใจ

            ไม่นานจดหมายทุกฉบับรวมถึงรูปที่อยู่ในกล่องก็ถูกเผารวมกันกลายเป็นเถ้า กระทั่งกล่องไม้ก็ไหม้ดำ ติดเป็นถ่านแดง ๆ

            “อดีตมันจบไปแล้ว” คุณกาญจนามองเลียบเมืองด้วยสายตาไว้วางใจ “วันนี้ฉันเชื่อว่าคุณเป็นพ่อของปันปันได้”

            และนั่นคือการยอมรับ ช่วยเหลือพูดจากับปัณรสี ให้ยอมยุติการขึ้นศาลแย่งชิงปันปัน

            “รสีเขาให้อะไรที่ฉันไม่อยากได้มาตั้งเยอะแล้ว คราวนี้ฉันจะขอในสิ่งที่อยากได้สักที เขาก็ไม่น่าจะขัดใจ” คุณกาญจนาพูดเรียบ ๆ ใจเย็นแต่มีความมั่นใจ

            คำพูดนี้เกือบจะเป็นการประกาศชัยชนะของเลียบเมือง ทว่าเขากลับไม่คิดว่านี้คือการชนะ หรือพ่ายแพ้

            เวลานี้เขามองเห็นตนเอง ปันปัน คุณกาญจนา และปัณรสี ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน...


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ตอนที่ได้เห็นภาพปันปันอยู่ในอ้อมแขนเลียบเมือง มีสีหน้าสดใส เบิกบานราวดอกไม้แย้มกลีบ ดวงตามีประกายเปี่ยมสุข ลานน้ำค้างรู้สึกว่า ทั้งหมดที่ทำไปมันคุ้มค่า เรี่ยวแรงที่สูญเสียนั้นไม่เปล่าประโยชน์เลย

            ท่ามกลางความยินดี ภาพแห่งความอบอุ่น คุณสันติก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังเลียบเมืองกับปันปัน มองชายหนุ่มกับเด็กน้อยอย่างปลอดโปร่ง โล่ง สบายใจ

            ผู้อยู่ต่างภพเงยขึ้นมองลานน้ำค้างด้วยรอยยิ้มกระจ่างตา

            “ขอบใจมากนะ” เสียงแว่วกังวานในความรู้สึก

            ลานน้ำค้างยิ้มให้ และตอบรับในใจ

            “ไม่เป็นไรค่ะ

            พอตอบเสร็จ เห็นใบหน้าคุณสันติกระจ่างสดใส พันธนาการหัวใจอ่อนคลาย ใกล้หลุด หญิงสาวฉุกคิด อยากช่วยทำอะไรบางอย่าง เผื่อดวงวิญญาณคุณสันติจะมีโอกาสเปลี่ยนไปสู่ภพภูมิสุคติได้

            “คุณปอนคะ เราไปทำบุญให้คุณสันติดีมั้ย” ลานน้ำค้างรีบพูด

            เลียบเมืองเงยหน้าตอบโดยไม่ต้องคิด

            “ดีสิ...ไปเมื่อไหร่ไหนดี”

            “เดี๋ยวนี้เลยค่ะ” หญิงสาวตอบ

            “อะไรนะ...เดี๋ยวนี้เลยหรือ” เลียบเมืองไม่ขัดเรื่องทำบุญ แต่ถ้าไปกะทันหันโดยไม่เตรียมตัวอย่างนี้ ออกจะดูแปลกไปหน่อย

            “ค่ะ...พ่อของคุณเคยทำบุญที่วัดไหนเป็นประจำมั้ยคะ...ถ้าไม่มีก็เลือกทำสังฆทานวัดใกล้ ๆ ก็ได้”

            “พ่อผมมีวัดที่พาพวกเราไปทำบุญเป็นประจำ อยู่ในกรุงเทพแถวชานเมืองนี่เอง ไปกันตอนนี้เลยก็ได้” ชายหนุ่มไม่ขัด

            ลานน้ำค้างแลตรงยังคุณสันติ ตั้งจิตส่งกระแสใจกล่าวอย่างเข้มข้น ชัดเจน

            “ไปทำบุญด้วยกันนะคะ อย่าเพิ่งไปไหน ตามมาด้วยกัน

            ลานน้ำค้างเคยทำบุญ อุทิศบุญกุศลให้แก่ดวงวิญญาณเช่นนี้เป็นประจำตั้งแต่เล็ก รู้ว่าบางตนสามารถรับได้ ก่อให้เกิดความอิ่มเอิบ ชุ่มเย็น บางครั้งก็ยังประโยชน์ได้มากกว่านั้น

            ใบหน้าคุณสันติคลายความหม่นมัวลง ลานน้ำค้างหวังว่า การทำบุญ อุทิศให้แก่ท่านเช่นนี้ น่าจะเกิดประโยชน์กว่าครั้งใด ๆ


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            การไปทำบุญถวายสังฆทานอุทิศให้แก่คุณสันติครั้งนี้ มีความสะดวก รวดเร็ว ไม่ติดขัด ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างฉุกละหุก ไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน

            คุณสันติมักพาครอบครัวมาทำบุญกับหลวงปู่เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองกรุงเทพเป็นประจำ จนเลียบเมืองพอจะรู้จักพระในวัด และขั้นตอนถวายสังฆทาน

            ระหว่างทางทำบุญ จนขึ้นไปหาหลวงปู่เพื่อถวายสังฆทาน ลานน้ำค้างเห็นคุณสันติตามมาแทบไม่คลาด อาจขาดหายก็แค่ช่วงระยะสั้น ๆ พอทุกคนอยู่บนกุฏิ คุณสันติก็นั่งพับเพียบใกล้ ๆ

            หลวงปู่เจ้าอาวาสรับเครื่องถวายสังฆทาน เหลือบตามองทางผู้อยู่อีกภพเพียงชั่วแวบ แล้วให้พรด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนชัดเจนทุกถ้อยคำ ทุกอักขระ ดวงหน้าเปี่ยมด้วยเมตตา

            ดวงวิญญาณคุณสันติสว่างไสวขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้ามีความแจ่มใสเบิกบาน ริ้วรอยหม่นหมองละลายหายปรากฏความแช่มชื่นแห่งกุศลทดแทน

            “สาธุ” ผู้มาทำบุญต่างอนุโมทนารับพร ลานน้ำค้างได้ยินอีกเสียงที่ชัดเจนกว่าใคร...

            “สาธุ...” เสียงของคุณสันติกังวานชัด บอกถึงกระแสศรัทธา อนุโมทนายินดีในบุญกุศลอย่างล้นเหลือ

            ช่วงเวลานั้นเองที่ลานน้ำค้างเห็นความสว่างไสวกระจายจ้า แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน ทุกอย่างดับวูบ ไม่มีร่องรอยของคุณสันติอยู่ในที่ตรงนั้นอีกต่อไป!

            ลานน้ำค้างรู้ขึ้นมาในใจ คุณสันติได้ไปอยู่ภพภูมิใหม่ที่ดีกว่าเดิมแล้ว

            “เพราะมีความห่วงกังวล ถึงยังติดอยู่ในภพของผู้มีห่วงกังวล” หลวงปู่พูดเบา ๆ หลังให้พร หญิงสาวแน่ใจว่าท่านตั้งใจบอกให้หล่อนรู้

            “บุญน่ะ ย่อมเคยสร้างสมเอาไว้ไม่น้อย แต่ความกังวล เป็นห่วง มันครอบงำ ทำให้ไปเกิดในภพทุคติแห่งนี้... พอหมดห่วง หมดกังวล ใจเริ่มเป็นอิสระ ได้ระลึกถึงบุญเก่าที่เคยทำมา ได้อนุโมทนาบุญใหม่ในที่ตนคุ้นเคย มันก็ช่วยพาให้ไปเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้”

            ทุกวาจา คำพูดมุ่งบอกแก่บุคคลเดียว ส่วนอีกสองคนฟังไม่เข้าใจ เลียบเมืองยังไม่เท่าไหร่ คิดว่ากำลังฟังเทศน์ทั่วไป แต่เจ้าตัวน้อยสงสัยจนอดถามไม่ได้

            “หลวงปู่พูดอาไรค้า...ปันปันฟังไม่รู้เรื่องเลย” เด็กหญิงคิดว่าการพูดช้า ๆ เป็นวาจาสุภาพ ผลจึงเป็นแบบนั้น

            หลวงปู่ยิ้มขัน มองเจ้าตัวน้อยอย่างเมตตา

            “ไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้เรื่องสิอีหนู...ตอนนี้ฟังเอาไว้ก่อน พอโตขึ้นค่อยศึกษาเรียนรู้เอา...มีบางคนน่ะ เขามีโอกาส ได้เรียนรู้มากกว่าคนอื่น ได้เห็นคนตายมาหลายครั้งแล้ว...คราวนี้ได้เห็นชีวิตใน ‘ภพ’ อื่นตายบ้าง ก็น่าจะเกิดประโยชน์ มีโอกาสศึกษา ‘มรณานุสติ’ ก่อนคนอื่น”

            ลานน้ำค้างสะดุ้งในใจ สะดุดกับคำว่า...

            “มรณานุสติ

             เข้าใจในสิ่งที่หลวงปู่พูด...หล่อนเคยไปงานศพของพ่อ งานศพคุณหญิงรัดเกล้า ได้เห็นการเพิ่งจากไปของมาตา...เหล่านี้ล้วนเป็นมนุษย์ ผู้ละจากภพภูมิของตน แต่เมื่อครู่ เธอได้เห็นชีวิตในอีกภพภูมิ...เพิ่ง ‘ตาย’

             ความตาย...ไม่เลือกหน้าผู้ใด ไม่เลือกว่าจะอยู่แห่งหนไหนในสังสารวัฏ

             เกิด – ตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในทุกภพภูมิ ไม่ว่าสูงหรือต่ำ ล้วนเวียนว่ายอยู่ในกฎเกณฑ์นี้

             ทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปเป็นธรรมดา...คือความจริงที่ไม่มีใครโยกคลอนเปลี่ยนแปลงได้

             ศึกษาเรียนรู้ อาศัยเรื่องมรณานุสติ เพื่อใช้เป็นบันไดก้าวไปสู่ ความเข้าใจ ‘ความจริง’ ข้อนี้


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            นั่งรถกลับบ้าน ปันปันยังส่งเสียงแจ้ว ๆ รบกวนผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างเป็นปกติ ลานน้ำค้างกับเลียบเมืองพูดจาต่อกันน้อยคำ เพราะพูดไม่ทันเจ้าตัวน้อยบ้าง ไม่มีเรื่องจะคุยกันบ้าง

            “แวะกินข้าวเย็นกันก่อนมั้ย” เลียบเมืองชวนหญิงสาว

            “กิน...กินด้วย ปันปันอยากกินไก่ทอด” เจ้าปันปันร้องตอบเอง

            “พี่ลานเขายังไม่ได้ตอบเลย ปันปันแย่งตอบซะแล้ว” ชายหนุ่มบ่นกึ่งหยอก

            “ก็ปันปันหิวข้าวแล้วนี่...” เด็กหญิงออดอ้อน พูดไม่ผิดความจริงนัก กว่าจะรับปันปันจากโรงเรียน กว่าจะไปทำบุญถวายสังฆทานเสร็จก็เย็นย่ำพอดี

            “ลานยังไม่ได้บอกแม่เลย...” หญิงสาวพูดเสียงอ่อย ที่จริงไม่ได้บอกแม่ตั้งแต่เรื่องแอบไปกับเลียบเมืองแต่เช้าแล้ว เลยตั้งใจอยากกลับถึงบ้านก่อนแม่ ขืนไปกินข้าวเย็นกับสองพี่น้องด้วยอย่างนี้ แม่รู้มีหวังโดนดุแน่ ๆ

            “ไม่เป็นไรนี่ ลานโทรบอกตอนนี้ก็ยังทัน” เลียบเมืองแนะนำ

            “อย่าเลยค่ะ เกรงใจ วันนี้รบกวนคุณปอนทั้งวันแล้ว”

            “ใครรบกวนใครกันแน่” เลียบเมืองหันมายิ้มล้อเลียน “ผมต่างหากที่กวนคุณทั้งวัน แถมยังไม่ได้เลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ตอบแทนสักทีเลย”

            “ใช่แล้ว...ปันปันก็หิ๊ว...หิวจังเลย” เจ้าตัวน้อยสนับสนุนพี่ชาย พร้อมโผล่หน้ามาหาพี่ลาน จับแขนเขย่าเชิญชวน “นะ...นะพี่ลานกินข้าวด้วยกันนะ”

            พอจับแขนพี่สาวใจดีมาเขย่า หนูน้อยก็รู้สึกถึงความผิดปกติ

            “เอ๋...ทำไมพี่ลานตัวร้อนจัง”

            ที่จริงลานน้ำค้างรู้สึกร่างกายผิดปกติมาสักครู่แล้ว มึนหัว วิงเวียน ขอบตาเริ่มร้อน เรี่ยวแรงจะพูดแทบไม่มี

            “จริงหรือปันปัน” เลียบเมืองถามอย่างเป็นห่วง ถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับแขนหญิงสาว “ร้อนจริง ๆ ด้วย ลานไม่สบายเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

            ชายหนุ่มถาม แขนที่จับมันร้อนจัดจนเขาทำอะไรไม่ถูก ลานน้ำค้างแข็งใจ สังเกตอาการตัวเอง ลักษณะเช่นนี้ หมอนภัทรเคยเตือนไว้ว่า อาจเป็นอาการติดเชื้อ ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยด่วน

            “ช่วยไปส่งที่โรงพยาบาลทีค่ะ” ลานน้ำค้างฝืนตอบ

            “ได้สิ...คุณจะไปโรงพยาบาลไหน” เลียบเมืองรีบถาม คิดว่าหล่อนน่าจะมีนายแพทย์ประจำตัวอยู่

            ลานน้ำค้างรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือบอกชื่อโรงพยาบาล...

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หญิงสาวพยายามหยิบมารับสาย เรี่ยวแรงอ่อนล้า ตาพร่า มึนหัวจนทำอะไรไม่ถูก หน้าจอโชว์เบอร์ชื่อแม่...แสดงว่าคุณดาริกากลับบ้านแล้วไม่พบลูกสาว จึงโทรศัพท์ตามตัว...คนป่วยพยายามกดปุ่มรับสาย...แต่มันไม่ไหว...ไม่ไหวจริง ๆ

 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP