ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เราสามารถทำให้กรรมเก่าหมดไปในชาตินี้ได้ไหม



ถาม - ถ้าเราไม่ทำบาปเพิ่ม แล้วหมั่นสร้างบุญกุศลเสมอๆ
มีโอกาสที่กรรมเก่าจะหมดไปในชาตินี้ได้ไหมครับ
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ากรรมเก่าหมดแล้ว



อย่างนี้ก็แล้วกัน จริงๆ แล้วเรื่องของกรรมนี่นะ
เป็นสิ่งที่ไม่อาจคะเนได้ ไม่อาจที่จะมาประมาณเอา ไม่อาจจะคาดคะเนเอา
แต่ผมบอกได้อย่างนี้ คิดง่ายๆ ก็แล้วกัน
ถ้าหากว่าเราทำบุญมาแบบหนึ่ง ที่จะให้ผลในช่วงตอนเด็ก
มันจะมาในรูปที่ว่ามาเกิดกับพ่อแม่คู่หนึ่งนะ ที่ดีหรือไม่ดี
จะเลี้ยงดูเราอย่างประคบประหงมเรา แบบประณีตหรือว่าแบบลวกๆ หยาบๆ
หรือว่าบุญแบบไหนที่จะทำให้โตขึ้นมาได้เรียนแบบใดกับใคร
แล้วก็จะมีชะตาชีวิตได้ไปทำงานแบบใด
อันนี้นี่นะเขาจะให้ผลชัดเจนว่าจะนำเราไปพบกับใครบ้าง
ถ้าหากว่ามองนะครับว่าบุญให้ผลอย่างไร
เรามองเป็นหลักๆ อย่างนี้ก่อน เขาพาเราไปเจอใคร
ทีนี้เราจะทำกับเขาอย่างไร จะทำกับพ่อแม่อย่างไร จะทำกับครูบาอาจารย์อย่างไร
อันนี้เป็นเรื่องกรรมใหม่แล้ว
นี่มองอย่างนี้นะ นี่มองแบบคร่าวๆ แบบหยาบๆ ที่สุดนะ



ถ้าหากว่ามองเป็นระยะการให้ผล เราก็อาจจะมองได้ว่า
ถ้าทำบุญมามาก อาจจะให้ผลไป ๒๐ ปี มีความสุข
ไม่มีความทุกข์เลย ไม่มีชะตาร้ายๆ คือไม่มีเรื่องกระทบใจ
ไม่มีเรื่องที่จะมาทำให้กายนี่ต้องบาดเจ็บ หรือว่ามีอาการที่ทุพพลภาพต่างๆ นะครับ
อย่างนี้ก็ ๒๐ ปีนั้นบุญให้ผล เขาวางแผนไว้ว่าจะให้ยาวขนาดนี้ประมาณนี้
ถ้าหมด ๒๐ ปีนั้นก็อาจจะเจอทุกข์บ้าง
อาจจะเกิดชะตากรรมอะไรบางอย่างที่มาตัดรอนความสุข มาบั่นทอนความรู้สึกสบายใจ
นี่อันนี้เป็นเรื่องของการวางแผนของบุญเก่า
ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นเป็นภาพ ยกเว้นแต่ว่าจะมีอภิญญา
แต่สามารถรู้ได้ด้วยประสบการณ์ตรง ว่าช่วงนี้รู้สึกว่าโชคดีตลอด
เอ๊ะ ช่วงนี้ทำไมแย่นักมีแต่เรื่องร้ายๆ แล้วก็เหมือนกับผีซ้ำด้ำพลอย ลากจูงกันมาเลย
ดวงไม่ดีเรื่องนี้ไม่พอ ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก อะไรแบบนี้
นี่ก็เรียกว่าเป็นประสบการณ์ตรงที่เราจะรู้สึกได้ว่า
วิบากของกรรม มันมีมืดบ้างมีสว่างบ้างอย่างไร



แต่ถ้าหากเรามองออก มองกายของตัวเองออก มองใจของตัวเองออก
มองเห็นว่าลักษณะของกาย มีส่วนผสมของความสว่างหรือว่าความมืดมากกว่ากัน
อย่างเช่นบางคนรูปร่างหน้าตาดี สุขภาพดี
อันนี้ก็เรียกว่าผลของความสว่างมีความชัดเจนกว่าความมืด
หรือในทางจิตใจเราคิดดีหรือคิดร้ายมากกว่า
อะไรที่มันดลใจออกมาจากข้างในนี่นะ
ให้รู้สึกโน้มเอียงไปในทางบุญในทางกุศลมากกว่ากัน
นี่ก็เรียกว่าเป็นของเก่าที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกใฝ่ดีหรือใฝ่ร้าย
ทีนี้ตัวที่มันจะตัดสินใจจริงๆ ว่าจะคล้อยตามอาการดีหรืออาการร้าย
จะต่อต้านแรงยั่วยุให้ทำบาปทำกรรมแค่ไหน
นี่ตัวนี้เราก็จะมองเห็นนะครับว่า เออ มันมีความเป็น...
ฝรั่งเขาเรียกความเป็นไดนามิค (
dynamic) อยู่ คือไม่ใช่อยู่นิ่งนะ
มันมีส่วนผสมของความเคลื่อนไหว มันมีแรงเก่าแล้วก็แรงใหม่


การที่มาตั้งคำถามว่ากรรมเก่านะ
เราสร้างบุญกุศลอย่างเดียวโดยไม่ทำบาปเพิ่ม แล้วมันจะหมดได้หรือเปล่า
ต้องตั้งโจทย์ใหม่นิดหนึ่งนะครับ
ว่าบุญเก่าของเรา เราต้องสร้างไว้อย่างไรแค่ไหน
มันถึงจะให้ผลได้นานกว่า มันจะให้ผลชนะความอยากจะทำบาป
ที่ไม่ทำบาปเพิ่มเลยนี่เป็นไปไม่ได้
เพราะว่าคนเรา ตราบใดที่ยังมีอวิชชาอยู่ ยังหลงผิดอยู่ ยังเข้าใจผิดอยู่
มันไม่มีทางทำบุญได้อย่างเดียว

เอาแค่ว่าโมโห แล้วคิดด่าในใจ แค่นี้ทำบาปแล้ว
เพียงแต่เป็นบาปเล็กน้อยยังไม่ได้หลุดออกมาทางปาก
การที่เราไม่ทำบาปเพิ่ม บอกได้เลยว่าเป็นไปไม่ได้
ยกเว้นแต่เป็นพระอนาคามี ตรงนี้บาปเริ่มจะไม่ทำแม้ด้วยอาการทางใจนะครับ
แม้แต่พระโสดาบันกับพระสกิทาคามี ยังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่
โอกาสที่จะทำกรรมด้วยใจก็ยังมี แม้ว่าจะไม่ค่อยทำด้วยวาจา
ไม่ได้ทำด้วยทางกายกรรมแล้วนี่นะ แต่ก็ยังทำด้วยใจอยู่



นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่าเราต้องเข้าใจให้ถูกต้อง
ว่าการทำบุญไม่สามารถเป็นไปได้อย่างเดียว
อย่างไรๆ ก็ต้องทำบาปไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนะครับ โดยที่เราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
ส่วนที่ว่าบุญเก่าจะหมดหรือไม่หมดแค่ไหน
เราก็ถ้าไม่มีอภิญญาก็ต้องดูเอาด้วยประสบการณ์ตรง
ว่าช่วงไหนดวงดี ช่วงไหนดวงร้าย แล้วเขาวางแผนมาหมดแล้ว กรรมเก่านะ
มันจะสลับกัน ช่วงขึ้นช่วงลง ช่วงสว่างช่วงมืด



แต่ถ้าเราเจริญสติไปมากๆ เข้า เห็นกายเห็นจิตนะ
จนกระทั่งประมาณถูกว่าอย่างนี้เรียกว่าความมืด อย่างนี้เรียกว่าความสว่าง
มองเห็นนะว่าจากตัวตนนี่เลย
ที่กำลังปรากฏนั่งอยู่นี่ ยืนอยู่นี่แหละ คุยกันอยู่นี่ ฟังกันอยู่นี่แหละ
ว่าสัดส่วนนี้มีความสว่างหรือความมืดมากกว่ากัน
แล้วมองเห็นนิมิตของชีวิตโดยรวมเลยว่า
ช่วงของความสว่างจากของเก่า มันให้ผลช่วงไหน
ช่วงต้นชีวิต ช่วงกลางชีวิต หรือช่วงปลายชีวิต
แล้วมันจะค่อยๆ เห็นไป เป็นเรื่องอจินไตยนะ



ความสว่างประมาณนี้ ตอนแรกๆ ก็อาจจะมองว่า เออ สัก ๑๐ปีได้กระมัง
หรือว่าสัก ๒๐ ปี สักครึ่งชีวิตได้กระมัง
แต่จะไม่เห็นนะ จะไม่มีเห็นเลยว่าชีวิตของใครมีแต่สว่าง
ผลมีแต่ความสว่างรออยู่อย่างเดียว ไม่มี
มันมีแต่มืดแล้วก็สว่าง มืดแล้วก็สว่างสลับกัน
เพียงแต่มันจะเห็นคลี่ออกมาเป็นไทม์ไลน์ (
timeline)
ว่าสว่างยาว แล้วก็มามืดสั้นๆ แล้วก็กระโดดกลับไปสว่างอีกนะ
แล้วบางทีสลับกลับมามืดยาวบ้าง
นี่ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่เราจะเห็นนะคำว่าบุญเก่าหมด มันไม่มีหรอก
มันมีแต่ว่าถูกวางแผนมาเป็นล็อกๆ ไว้อย่างไร


แล้วปัจจุบันนี้เรากำลังทำบุญมากกว่าทำบาป หรือทำบาปมากกว่าทำบุญ
มันจะซ้อนเข้าไปเป็น ๒ มิตินะ
มิติของของเก่าที่ให้ผลอยู่ กับมิติของของใหม่ที่เรากำลังสร้างอยู่
มันเป็นปฏิสัมพันธ์กัน มันเป็นอะไรที่เคลื่อนไหวไปขนานกัน

แต่จะไม่มีนะ จะไม่มีเด็ดขาดที่เห็นแต่สว่าง เห็นแต่มืดอย่างเดียว


Kesara
About the author:


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP