ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เป้าหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์คืออะไร



ถาม (๑) – ขอถามเกี่ยวกับเรื่องของการสวดมนต์ในหลายประเด็นที่สงสัยมานานค่ะ
คำถามแรกคือเป้าหมายที่แท้จริงของการสวดมนต์คืออะไรคะ


การสวดมนต์ที่แท้จริง
ก็คือการที่ทำให้จิตใจของเรา เป็นไปตามคำที่เราสวดนั่นแหละ
การสวดมนต์มีหลายแบบ สวดแบบอ้อนวอนก็มี
สวดแบบขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเหลือก็มี
แต่สวดแบบพุทธนี่นะ คือการสวดแบบจาระไนธรรม
มีการที่จะสรรเสริญนะว่าเทวดาไปเป็นเทวดาบนชั้นฟ้าเสวยทิพยสุข ด้วยกรรมอันใด
พระพุทธเจ้ามีคุณอันยิ่งใหญ่ มีคุณวิเศษยิ่งใหญ่อย่างไร
พระธรรมมีคุณวิเศษยิ่งใหญ่อย่างไร
พระสงฆ์ปฏิบัติตัวเช่นไร จึงควรแก่การสรรเสริญ ควรแก่การนบไหว้
ควรแก่การนอบน้อมให้ ควรแก่การยอมเอาศีรษะลง กราบลงกับพื้น
หรือควรแก่การเป็นนาบุญ เนื้อนาบุญให้เราทำบุญ
มีการจาระไนธรรมแบบนี้ เรียกว่าเป็นพุทธ



หรือการแผ่เมตตา การเจริญพุทธมนต์นี่นะ บางทีมีเรื่องของการผูกมิตร
ขอให้เป็นมิตรกัน ขอให้มีความเมตตาต่อกัน
ขอให้คุณธรรมที่ท่านได้แล้วจงมีความแก่กล้ายิ่งๆ ขึ้นไป อะไรแบบนี้
อย่างนี้เรียกว่าเป็นพุทธ คือไม่ได้ไปขอ ของพุทธนะไม่มีการอ้อนวอนขอ
มีแต่การสรรเสริญ มีแต่การแผ่เมตตา หรือมีแต่การจาระไนคุณ
ถ้าหากพบบทสวดไหนที่มีการอ้อนวอนขอ
หรือมีการเรียกร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาปกป้อง อันนั้นไม่ใช่แนวทางของพุทธ
เป็นแนวทางของพราหมณ์ เป็นแนวทางของศาสนาที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นใหญ่
เข้าใจว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถดลบันดาลอะไรให้เราได้
แต่ของเรานี่จะเน้นเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมและการพ้นทุกข์
เพราะฉะนั้นอะไรที่เกี่ยวข้องกับการจาระไนกรรมได้ พุทธศาสนาเอาหมด



เมื่อเราสวดสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อยู่
โดยทางตรงจิตจะเกิดความปีติ จะเกิดความรู้สึกว่าเข้าใจ
มันเป็นการรีเฟรช (
refresh) ความทรงจำและจิต
ให้สอดคล้องกับแนวทางของพุทธศาสนา
แต่ในทางที่ลึกลับไปกว่านั้น การที่จิตของเราจูนติดเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนานะ
ก็จะมีพลังพุทธคุณ มีพลังธรรมคุณ มีพลังสังฆคุณมาปกป้องเราด้วย
คำว่าปกป้องในที่นี้นะ เอาชัดที่สุดคือทำให้จิตของเราเองเป็นกุศล
ไม่ไปแปดเปื้อน ไม่ไปเกี่ยวข้อง ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไรที่เป็นอกุศลง่ายๆ


การที่เราถูกปกป้องไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับอกุศลได้ง่ายๆ
ไม่ว่าจะด้วยความคิด คำพูด หรือการกระทำนั่นแหละ
คือการปกป้องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต

เพราะอะไร เพราะว่าทำให้ชีวิต ในขณะที่กำลังมีชีวิต มีลมหายใจอยู่อย่างนี้
เป็นชีวิตที่ดี เป็นชีวิตที่สว่าง เป็นชีวิตที่ไม่เกลือกกลั้วอยู่กับคูถมูตร สิ่งสกปรก
แล้วต่อไปก็ประกันได้ว่าจะไม่ไหลลงไปสู่ทุคติภูมิ



บางทีนะคนอุตส่าห์ไปหาเกจิอาจารย์ ได้ไสยคุณมา ปกป้องกระสุนไม่ให้ทะลุอกได้
มีจริง หนังเหนียวจริง อันนี้ยืนยัน มีจริงนะ ไม่ใช่ไม่มีจริง
แต่ว่าปกป้องไม่ให้จิตถลำลงไปสู่ความเป็นผู้หลงผิด คิดทำบาปทำชั่ว
อันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ปกป้องไม่ได้
โดยเฉพาะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเรียกเข้ามาปกป้องกระสุนนี่นะ
มักจะได้แต่ดู ดูด้วยความสมเพชเวทนาว่า เออ เราปกป้องเขาได้แต่เนื้อหนัง
แต่ว่าปกป้องจิตของเขาไม่ให้ไหลลงสู่อบายไม่ได้นะ
มันเป็นเรื่องที่จะต้องมีแก่ใจที่จะเข้าใจเรื่องของกรรม เรื่องของวิบากเอาเอง
ซึ่งวิธีที่ง่ายที่โบราณได้ให้ไว้ก็คือให้เป็นบทสวด
ถ้าเราเข้าใจบทสวดว่าแปลว่าอะไรนะ ท่องได้ขึ้นใจ
จะมีทั้งความรู้สึกของปีติที่ได้ท่องบาลี
แล้วก็มีทั้งความเข้าใจ มีทั้งปัญญาที่ถูกรีเฟรซ (
refresh) ทุกวัน
เป้าหมายของการสวดมนต์ที่แท้จริงก็จำแนกไปตามเนื้อหาของการสวดนั่นแหละ





ถาม (๒) – การสวดมนต์เป็นการฝึกสมาธิได้ด้วยหรือเปล่าคะ


ถ้าหากคุณสวดมนต์ ด้วยความตั้งใจจะเปล่งเสียงเต็มปากเต็มคำนะครับ
อิติปิ โส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
สวดด้วยใจอาจหาญ สวดด้วยใจที่หนักแน่นเป็นกุศล มันเป็นสมาธิได้แน่
แต่ประเภทที่สวดงึมงำๆ นะ สวดไปแล้วก็ฟุ้งซ่านไป
นอกจากจะไม่ได้สมาธิแล้ว เผลอๆ ยังทำลายสมาธิอีกด้วย
ระวังนะพวกชอบสวดมนต์นะ สวดลวกๆ นี่มันทำให้จิตเบลอได้นะ
ผมสังเกตมาหลายคนแล้ว ประเภทที่กะจะมาเอาบุญตอนสวดมนต์
กลายเป็นมาสร้างต้นตอของบาป


ลองสังเกต เราสวดมนต์ด้วยอาการอย่างไร
จิตของเราก็เป็นไปตามอาการแบบนั้นนั่นแหละ
อย่างถ้าสวดมนต์ไปแล้วก็ฟุ้งซ่านเรื่อยเปื่อยไปด้วยนี่นะ
เวลาทำงานก็จะออกแนวเดียวกัน
หรือแม้กระทั่งว่ากำลังคุยกับใครอยู่ กำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่
มันก็จะคอยคิดเลื่อนเปื้อนเลอะเทอะ ไปที่โน่นที่นี่
กระโดดไปเป็นจิงโจ้เลยนะ ไม่สามารถที่จะหยุดอยู่กับที่ได้
นี่ก็เพราะว่าเราทำบุญด้วยอาการของใจอย่างไร
ชีวิตและใจโดยรวมมันก็จะเป็นไปตามนั้น

สำคัญนะตอนทำบุญ อาการของใจ ถ้าไม่สำรวม ถ้าไม่ระวัง



ถ้าหากว่าเรามีความหนักแน่น มีความคิดตั้งใจจะถวายแก้วเสียง
เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
โอกาสที่จะเกิดสมาธิขึ้นมา สูงมาก
คนที่ตั้งใจสวดมนต์หลายๆ รอบนะ
ด้วยความเคารพในพระรัตนตรัยจริงๆ
เวลานั่งลงทำสมาธิ จะดูลมหายใจหรืออยากจะสวดพุทโธอะไรก็แล้วแต่
มันมีความรู้สึกเหมือนกับว่าลงได้ง่าย มีความสว่างนะ



ก็เพราะว่าตอนสวดมนต์น่ะ
จิตใจมันนุ่มนวลลงอยู่แล้ว มีความสว่างนำอยู่แล้ว
พอเอาความนุ่มนวล เอาความสว่างของจิต
มารู้มาดูลมหายใจหรือว่าคำบริกรรมพุทโธเข้า
มันก็เหมือนกับกลมกลืน เหมือนกับมีความชอบใจ
เหมือนกับมีความรู้สึกว่าอยู่เรียบๆ ง่ายๆ กับลมหายใจหรือว่าคำบริกรรมพุทโธ
สบายดีอยู่แล้ว มีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่ต้องกระโดดไปหาอะไรอื่นก็ได้
นี่มันจะรู้สึกอย่างนี้นะ แล้วก็เลยได้กลายเป็นสมาธิขึ้นมา






ถาม (๓) – ระยะเวลาของการสวดมนต์ สำคัญไหมคะ
บางทีถ้านอนไม่ดึกก็จะสวดเกือบชั่วโมง


อันนี้ถ้าวัดเป็นชั่วโมงวัดเป็นนาทีนะ บางทีไม่ได้เท่ากับวัดเป็นคุณภาพของจิต
ถ้าหากคุณภาพของเสียง คุณภาพของจิตที่ใช้ในการสวดมนต์
เป็นไปอย่างดี เป็นไปอย่างประณีตนะ ๕ นาที ๑๐ นาที
บางทีได้ผล ได้บุญ ได้สมาธิยิ่งกว่าคนที่สวด ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงเสียอีก
ผมเคยเห็นนะคนสวด ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง นึกว่าได้บุญ
ไปเชื่อคำโฆษณา บอกว่าบทสวดบางบท
จะทำให้เกิดเป็นเทวดานางฟ้า จะทำให้รวยยิ่งใหญ่
จะทำให้ไปเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ อะไรต่อมิอะไรนี่นะ
แต่ขณะสวด จิตเต็มไปด้วยความโลภ
จิตเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านอยากจะเลิกสวด
แต่ฝืนสวดเพราะว่านึกว่าสวดไปมันจะได้ มันจะได้รางวัล
ไปเอาความคิดแบบที่ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมากมาเป็นตัวตั้ง
การสวดมนต์แทบจะไม่ได้อะไรเลยนะ มันได้แต่ความโลภ



คือลองนึกภาพดูนะ คนนั่งอยู่ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง
ด้วยความตั้งใจว่านี่ฉันจะเอาความเป็นเทวดา
ฉันจะเอาความเป็นนางฟ้า ฉันจะเอาเงินล้าน
ถามหน่อย ความรู้สึกมันมืดหรือว่าสว่าง
ถามหน่อย ความรู้สึกมันแคบหรือว่าเปิดกว้างสบาย
ถ้าหากคุณเอาความรู้สึกของตัวเองเป็นตัวตั้งได้
สำรวจเข้ามาที่ใจ แล้วใจรู้สึกอย่างไร เปิดกว้างหรือปิดแคบนะ
ตัวนี้แหละ มันยิ่งกว่าจะไปกะเกณฑ์เอาว่าจะต้องสวดให้ได้กี่ชั่วโมงหรือกี่นาที



การที่เราเอาจิตเป็นตัวตั้ง เราจะรู้สึกเพลิดเพลิน
แล้วก็บางทีชั่วโมงนาทีผ่านไป ไม่รู้สึกตัวหรอก
บางคนนะสวดมนต์ ในสมัยพุทธกาลมีผู้หญิงชาวบ้านอยู่คนหนึ่ง
มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาก
และระลึกถึงพระพุทธเจ้า
ก็ด้วยอาการประมาณว่าเราบริกรรมพุทโธๆ อะไรประมาณนั้นแหละ
จนจิตเกิดสมาธิ แล้วประจวบกับนางมีอภิญญาติดตัวมาแต่ก่อนด้วย
ถึงขั้นที่ว่าพอเกิดปีติ ตัวเบาเหาะได้เลย
เหาะจากบ้านที่ตัวเองถูกพ่อแม่กักไว้ เป็นลูกสาวอายุยังน้อย
ลอยไปทำการบูชาพระพุทธเจ้า ไปกราบพระพุทธเจ้าได้ถึงที่วัดเชตวันเลย
อันนี้ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในตำนานของพุทธนะครับ
แล้วไม่ใช่เรื่องเกินวิสัยที่คนมีอภิญญานี่จะดูเบานะ
อันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเล่นๆ มันทำได้จริงๆ
ทุกวันนี้ก็มีนะ ประเภทที่เขาไปฝึกสมาธิในแบบจะทำให้ตัวเบา
มีการแข่งกระโดดกบกันด้วยซ้ำ คือนั่งขัดสมาธิกันอยู่
แล้วก็กระโดดลอยขึ้นมา ว่าใครจะลอยไปได้ไกลกว่ากันอะไรแบบนั้น
ก็มีพวกที่เขาฝึกสมาธิกันเพื่อฤทธิ์เพื่อเดชกันโดยเฉพาะ



ที่ผมพูดถึงคำถามเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์นี้ยาวหน่อย
เพราะว่ามันเป็นต้นทาง อันนี้ก็ขอใช้เวลาไปเยอะนิดหนึ่ง
มันตรงกับความสงสัยของคนหลายๆ คนแหละนะที่จะสวดมนต์
ถ้าสวดมนต์เป็นนี่นะ มันได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่มหาศาลจริงๆ
แล้วก็เป็นทางลัดที่จะช่วยให้คนธรรมดาคนหนึ่ง
ได้เกิดสมาธิได้อย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว
ยิ่งใหญ่ในที่นี้ก็คือสามารถมาเจริญสติ
รู้ตามจริงเห็นตามจริงต่อได้นะครับ






ถาม (๔) – การที่เราสวดมนต์แล้วขอพร
เช่น ขอเรื่องการสอบ ขอเรื่องอนาคตต่างๆ ถือว่าสมควรหรือเปล่าคะ



ก็ไม่เป็นไรถ้าหากว่าเราเพิ่งเริ่มต้นนะ จะขอพรบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ว่าจุดมุ่งหมายของการสวดมนต์ที่แท้จริงไม่ใช่การขอพร
พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสนะ เวลาใครไปขอพรท่านน่ะ
ท่านบอกว่าเราตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว
พรนี่มันเป็นสิ่งที่ทำให้คนลุ่มหลงงมงาย
นึกว่าจะได้อะไรดีๆ จากใครได้เพียงด้วยวาจา
จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องของกรรมที่ให้ช่วยตัวเอง ไม่ใช่ไปขอให้คนอื่นช่วย
ถ้าหากว่าท่านช่วยได้ขึ้นมา คนก็ไปหลงติดว่า เออ ท่านเป็นผู้วิเศษ
แล้วก็ไปขอพรท่าน ไม่ทำกรรมกันเอาเอง



เพราะฉะนั้นการที่เราขอพร โอเคไม่เป็นไรนะ แต่ขอพรให้ถูกหลักก็แล้วกัน
ขอให้จิตของเราเป็นสมาธิ ขอให้จิตของเรามีกำลัง
มีความกระตือรือร้นที่จะไปอ่านหนังสือ
ขอให้สมองของเรา ในเวลาทำสอบมีความปลอดโปร่งมากพอ
แต่อย่าขอให้สอบได้นะ ขออะไรก็ได้ ขอเกี่ยวกับจิต แต่อย่าขอให้สอบได้
การขอให้สอบได้ ขอจากตัวเอง ขอให้อ่านหนังสือเถิด ขอให้ทำความเข้าใจดีๆ เถิด
แล้วในที่สุดนะครับคุณจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของกรรมอย่างชัดเจน



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP