วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๙



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ห้องเก็บของค่อนข้างกว้างขวางกว่าที่เห็นตอนแรก พอเข้ามาแล้ว บูรพายืนงงพักใหญ่ กราดแสงไฟไปทั่ว สุ่มดูอย่างไม่มีเป้าหมายจริงจัง เห็นชั้นวาง ตู้ ข้าวของ เอกสารเป็นเงาวูบวาบ หาทางเดินไม่เจอ

            ...ต้องเริ่มหาทีละจุด...บูรพาบอกกับตนเอง จากนั้นเลือกจุดใกล้ ๆ เดินเข้าไปฉายไฟ ส่องตามชั้นที่มีเอกสารวางเรียงเป็นตับ ไล่ลงมาตามพื้น มีลังวางเรียงเป็นแถว บางลังปิดฝา บางลังเปิดอ้า ส่องไฟสำรวจข้าวของภายในได้สะดวก

            บูรพาก้ม ๆ เงย ๆ เปิดดูลังเหล่านั้นอย่างละเอียด ไม่ยอมให้มีจุดไหนคลาดสายตา เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาค้นตรงจุดเดิมซ้ำ

            เสียเวลาเกือบสิบห้านาที รู้สึกเย็นวูบที่สันหลัง เหมือนมีมือเย็น ๆ ลูบผ่าน เขาชะงัก หันหลังกลับ...ไม่เห็นมีอะไร...แต่อีกด้าน ที่สุดมุมห้องฝั่งโน้นมีเงาดำ ๆ ดูมืดกว่าความมืดในห้องกำลังขยับตัววูบวาบ

            ชายหนุ่มชะงัก ขนลุก ตัวชาวาบชั่วขณะความรู้สึกบอกให้เดินไปสำรวจบริเวณนั้น ความคิดในใจกลับบอก ให้ค่อย ๆ ไล่หาไปเรื่อย ๆ

            “เชื่อความรู้สึกมากกว่าความคิดนะ” คำพูดลานน้ำค้างย้อนกลับมาในหู

            เอ้า...เชื่อก็เชื่อ...บูรพาไม่สนใจคิดมากความ หาทางเดินดุ่ม ๆ ไปอีกมุมห้อง ฝ่ากองขี้ฝุ่นหนาเตอะ รอยเท้าย่ำเป็นเทือกทาง ฝุ่นฟุ้งกระจายจนหายใจลำบาก สุดท้ายก็มาถึงบริเวณนั้นจนได้

            แถวนั้นวางเรียงด้วยลังซ้อน ๆ กันเป็นแถว ถ้าให้ยกลงมาไล่เปิดดูทีละลัง คงต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะหมด

            ...บอกมาเลยแล้วกันว่าลังไหน...บูรพาคิดในใจอย่างหมั่นไส้

            “ตึ้ก!” แฟ้มเอกสารตกลงมาใส่ลังใบหนึ่ง ซึ่งถูกวางแยกต่างหาก พอฉายไฟไปยังเห็นฝุ่นกำลังลอยคลุ้ง

            ชายหนุ่มตรงเข้าไปหยิบแฟ้มวางคืนที่เดิม แล้วเปิดฝาลังออก ข้าวของภายในแน่นเอี้ยด ระเกะระกะแยกแทบไม่ออก ค่อย ๆ หยิบของชิ้นใหญ่ด้านบนออกมาวางนอกลังทีละชิ้น ฉายไฟสังเกตดูชนิดไม่ให้พลาดสายตา สุดท้ายก็พบมันซุกอยู่ก้นลัง

            บูรพาหยิบกล่องไม้นั้นขึ้นมาฉายไฟดูฝากล่อง เห็นแกะสลักเป็นรูปดอกไม้จริง ๆ บานพับก็หลุด สภาพเก่าคร่ำคร่า ฝุ่นหนา พอแน่ใจว่าใช่ก็ไม่สนใจเปิดดูภายใน รีบหยิบของที่วางนอกลังใส่คืนให้เรียบร้อย แล้วเดินกลับไปยังประตู

            อีกไม่กี่ก้าวจะถึงประตู เขาก็ชะงัก นึกได้...

            หันหลังกลับไปในห้องอีกครั้ง หนีบกล่องไม้ไว้ที่ซอกรักแร้ แล้วยกมือพนมไหว้

            “ขอบพระคุณมากครับที่ช่วยผม”

            ถึงจะไม่รู้ว่า ‘ใคร’ คอยช่วยเหลือ แต่จากที่สังเกตมาตั้งแต่ต้นขึ้นลิฟต์ จนพบกล่องไม้ใบนี้ ก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา

            ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไร ที่เขาจะกล่าวขอบคุณ ‘ใคร’ คนนั้น ด้วยความสำนึกจริงใจ


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            กล่องไม้ถูกเช็ดทำความสะอาดเรียบร้อย วางอยู่บนโต๊ะลานน้ำค้าง ทุกสิ่งที่อยู่ภายในถูกนำออกมาอ่านดูจนหมด ข้างในนั้นเป็นรูป และจดหมายจากผู้หญิงคนหนึ่ง ถึงคุณสันติ

            เห็นแล้วเข้าใจเหตุผลว่าทำไมคุณหญิงถึงสั่งให้ลุงธงนำมันไปทิ้ง!

            ผู้หญิงคนนั้นอาจจะเป็นอดีตรักฝังใจที่ไม่อาจลืมของคุณสันติ...

            ลานน้ำค้างคาดเดาต่อ...จากคำขอร้องจากคุณสันติที่บอกให้หล่อนพาเลียบเมืองไปหายายของปันปัน...

            ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นแม่ของปัณรสี ยายของปันปันก็ได้!

            หากต้องการคำยืนยันก็ต้องหาหลักฐานที่ชัดเจนกว่านี้

            หลักฐานเพิ่มเติมที่ว่านั้น จะหาได้จากที่ไหน...และหล่อนจะพาเลียบเมืองไปหายายของปันปันได้อย่างไร?

            ลานน้ำค้างมองออกไปนอกหน้าต่างยามดึก พึมพำเบา ๆ

            “ช่วยหาวิธีหน่อยสิคะ คุณสันติ”

            ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ไม่มีร่องรอยการติดต่อจากผู้อยู่คนละภพ บางครั้งหล่อนนึกสงสัยสัมผัสพิเศษของตน เห็นว่ามันไม่สม่ำเสมอแน่นอน บางครั้งเชื่อถือไม่ได้ด้วยซ้ำ

            อย่างเช่นดวงวิญญาณของพ่อ...ลานน้ำค้างไม่เห็น แต่ปันปันเห็น...อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร

            พ่อยังวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ จริงหรือไม่...จะยืนยันอย่างไร

            หญิงสาวมองเห็นความคิดหมกมุ่นของตนเอง เห็นความสงสัยอันเปล่าประโยชน์ สุดท้ายก็ปล่อยวางทั้งหมด

            ...มันไม่มีประโยชน์ที่จะหาคำตอบ...

            เสียงโทรศัพท์มือถือสั่น บอกสัญญาณเรียกเข้า ลานน้ำค้างหยิบมันมาดู...ชื่อโดมปรากฏ...นึกยิ้มในใจ ตอนอยู่โรงพยาบาลไม่มีโอกาสแสดงความชื่นชมผลงานของเขา พอออกมาก็วุ่นเรื่องหากล่องใบนี้ สุดท้ายต้องให้เจ้าตัวโทรมาเอง

            “ขอแสดงความยินดีด้วยจ้า...โดม” หญิงสาวกรอกเสียงสดใส

            “เรื่องอะไรครับ” โดมออกจะงง กับวิธีจู่โจมแบบนี้

            “พี่ได้ฟังเพลงแล้ว สุดยอด...เพราะมาก ๆ นี่ขนาดมีแค่เสียงเปียโนกับโดมเท่านั้น ยังจับใจขนาดนี้ ใครได้ยินครั้งแรกต้องหยุดฟังทุกคนแน่ ๆ”

            “...เกินไปแล้วล่ะ...” เสียงเด็กหนุ่มฟังดูเขิน ๆ ปนถ่อมตัว

            “อย่าถ่อมตัวเลยน่า...เพราะจริง ๆนะ พี่ฟังแล้วน้ำตาไหลเลย”

            “ขอบคุณครับ” โดมบอกด้วยเสียงอบอุ่น

            “ไม่เป็นไร...ก็เพลงของโดมเพราะจริง ๆ นี่หน่า”

            “ไม่ใช่...” เด็กหนุ่มบอกเสียงสะดุดนิด ๆ “ผมขอบคุณ...ลานกับพี่บู ที่มาเยี่ยมแม่ผม”

            “อ้าว...รู้แล้วเหรอ” หญิงสาวพูดเหมือนเด็กโดนจับผิดได้

            “มาแล้วทำไมไม่เข้ามาหาล่ะครับ”

            “ก็...แหม...พี่เห็นโดมเปิดเพลงให้แม่ฟังอย่างนั้น เลยเกรงใจ ไม่อยากรบกวน บังเอิญเจอคุณหมอ พ่อของโดมเข้าพอดี” พูดแล้วนึกได้ว่าตนเองกับบูรพาเอาเรื่องชีวิตนอกบ้านของโดม ไปบอกพ่อเขาเสียหมด...ไม่ทราบเจ้าตัวรู้หรือยัง

            “ครับ พ่อเป็นคนบอกว่าพวกพี่มาหา...ขอบคุณมากนะครับ” เด็กหนุ่มยังย้ำคำขอบคุณ

            “โธ่...โดมมาขอบคุณอะไรกันบ่อยนักหนา เหมือนเป็นคนอื่นคนไกลกัน”

            “คราวนี้ผมไม่ได้ขอบคุณเรื่องที่มาเยี่ยมแม่...แต่ขอบคุณ เรื่องที่ลานกับพี่บูได้คุยกับพ่อผม”

            น้ำเสียงของโดมยากจะบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ลานน้ำค้างนึกหวาดในใจ ส่วนหนึ่งกลัวเด็กหนุ่มเสียความเชื่อถือ ใจอีกส่วนก็คิดว่าดีแล้ว ที่บอกให้คนเป็นพ่อได้รู้จักลูกชายตัวเองมากขึ้น

            “แล้ว...” หญิงสาวพูดลำบาก “โดม...โกรธพี่กับเจ้าหมูหรือเปล่า”

            เด็กหนุ่มหัวเราะมาตามสาย

            “ถ้าโกรธ...แล้วผมจะบอกขอบคุณทำไมล่ะครับ” เขาพูดราวกับมันไม่ใช่เรื่องควรคิดมาก

            “แหะ แหะ พี่คิดว่าโดมประชดน่ะ” หญิงสาวหัวเราะแห้ง ๆ “งั้นพี่ก็ดีใจนะ ที่ทำให้โดมกับพ่อเข้าใจกันได้”

            เสียงตอบของโดมมีร่องรอยผิดปกติ

            “ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก...แค่พ่อไม่ด่าผม แล้วลากตัวกลับบ้าน ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว”

            “เฮ้อ...โดมนี่น้า...พี่ไม่เข้าใจเลย ถึงหมอนภัทรแกจะดุ ไม่ค่อยยิ้ม พูดจาไม่สนใจใคร ชอบใช้อำนาจไปบ้าง แต่คุณหมอก็เป็นคนจริงจัง จริงใจ และเขารักโดมมากนะ”

            “ดูคุณเข้าใจพ่อผมดีจัง...แค่คุยกันครั้งเดียวเอง”

            “เอ่อ...” ลานน้ำค้างสะดุดกึก เกือบหลุดปากว่าเจอหน้ากันประจำทุกวัน ตอนรับยาคีโมแล้วเชียว...

            “แหม...ของอย่างนี้มันดูกันออกนะโดม”

            จากนั้นหญิงสาวก็ชวนเด็กหนุ่มคุยเรื่องอื่นกลบเกลื่อน หาเรื่องโน้นเรื่องนี้เล่าอย่างขำขันไปเรื่อย ๆ เรียกเสียงหัวเราะอารมณ์ดี เบิกบานใจแก่เขาไม่น้อย จนกระทั่งวางหูโทรศัพท์ในที่สุด

  

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บูรพาเปิดสมุดบัญชี ดูตัวเลขเงินเก็บที่สะสมไว้หลายปี ส่วนใหญ่เป็นเงินจากงานพิเศษที่ทำตลอดช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ตัวเลขค่อนข้างมากสำหรับเขา ไม่แน่ใจว่ามันพอจะซื้อของที่ต้องการได้หรือไม่

            “รวยนี่หว่าไอ้บู...แอบเก็บเงินตอนไหน พ่อไม่ยักรู้เลย” คงเดชมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ลูกชายอย่างบูรพาไม่รู้ จนได้ยินเสียงทักนั่นแหละ

            “เงินแค่นี้พอซื้อรถมือสองสักคันมั้ยพ่อ” ชายหนุ่มถามลอย ๆ

            “หนอยแน่ ไอ้ลูกคนนี้ เรียนยังไม่จบ งานไม่มีทำ จะซื้อรถมาขับอวดสาวแล้วหรือไง” พ่อบ่นไปอย่างนั้นเอง รู้ว่าลูกชายไม่มีนิสัยอย่างนั้น

            “ถ้ามีไว้สักคันก็ดี” เขาทิ้งคำพูดแค่นั้น ไม่อธิบายเพิ่มเติม

            คงเดชเริ่มสงสัย บูรพามีเหตุผลในการตัดสินใจเสมอ การที่เขาอยากซื้อรถ แสดงว่ามีเหตุจำเป็นต้องใช้

            “ไหน...มีอะไรว่าไปสิ” พ่อนั่งตรงหน้าลูกชาย จ้องตารอคำตอบ

            บูรพามองตอบบิดา สายตาครุ่นคิด...

            เรื่องอาการป่วยของลานน้ำค้างยังไม่สมควรพูด หากเจ้าตัวไม่อนุญาต แต่เขากับพ่อไม่ค่อยมีเรื่องปิดบังกัน มีอะไรพูดจาตรง ๆ เหมือนเพื่อนสนิท จึงลำบากใจหากไม่บอกเหตุผลการซื้อรถครั้งนี้

            “ลานไม่สบาย ต้องไปหาหมอบ่อย ถ้ามีรถยนต์เองก็จะสะดวกเวลาไปรับไปส่ง” เขาบอกแค่นั้น

            “หนูลานไม่สบายเป็นอะไร...” คงเดชกระตือรือร้นถามด้วยความเป็นห่วง

            ถึงตรงนี้ไม่อาจปิดบังอะไรได้อีก บูรพาเล่าอาการป่วยของลานน้ำค้างให้พ่อฟัง พูดถึงการดูแล ระวัง รักษาเท่าที่รู้จากหมอให้พ่อฟังจนหมด

            การที่เขาอยากมีรถสักคัน เพื่อใช้ในเหตุฉุกเฉิน อาจต้องพาหญิงสาวไปโรงพยาบาลกลางดึก บ้านลานน้ำค้างมีแค่ผู้หญิงสองคน ฉุกเฉินขึ้นจะลำบาก

            เขาเหมือนคนในครอบครัว จึงคิดว่าหากมีรถยนต์สักคัน ก็สะดวกเวลาบริการสองแม่ลูกไปโรงพยาบาล หรือมีเหตุฉุกเฉินก็สามารถพาลานน้ำค้างไปส่งทันท่วงที

            พอฟังจบ คงเดชก็หยิบสมุดบัญชีธนาคารลูกชายขึ้นมาดู แล้วยิ้มขัน ๆ

            “เก็บเงินมากี่ปีแล้วนี่”

            “หลายปีแล้ว” เขาตอบอย่างไม่เข้าใจเจตนาพ่อตนเอง

            “ไม่เสียดายเหรอ”

            “มันจำเป็นนี่...เงินหมดหาเอาใหม่ก็ได้” เขาตอบไม่ใส่ใจ

            คนเป็นพ่อยัดสมุดบัญชีธนาคารคืนใส่มือลูกชาย

            “วันนี้ไปเต๊นท์รถกัน”

            “แล้วพ่อไม่ไปทำงานเหรอ” บูรพาถามอย่างสงสัย ถึงอย่างนั้นก็ดีใจ ถ้าพ่อมาช่วยดู ช่วยเลือกรถที่เหมาะสม ไม่มีปัญหาให้

            “วันนี้ออกต่างจังหวัด...ไม่รีบก็ได้...จะไปซื้อรถให้ลูกชาย” คงเดชพูดพลางยักคิ้วให้บูรพา

            “หา! อะไรนะพ่อ” ชายหนุ่มไม่เชื่อหูตัวเอง

            “อย่าเพิ่งดีใจไปไอ้หนู...พ่อซื้อให้ได้แค่รถมือสองเท่านั้นแหละ ถือว่าเป็นของขวัญรับปริญญาล่วงหน้า... แต่ถ้าเอ็งเรียนไม่จบล่ะก็...โดนเตะแน่”

            บูรพาจ้องหน้าบิดาด้วยความประหลาดใจ ถึงพ่อจะเลี้ยงเขาแบบบุฟเฟต์ ให้เงินใช้เป็นรายเดือน แต่ไม่เคยตามใจซื้อของราคาแพงขนาดนี้ให้เลย

            คงเดชเห็นแววตาประหลาดใจปนไม่อยากเชื่อถือจากลูกชาย ก็หัวเราะเสียงดัง พูดต่ออีกประโยค จี้แทงใจลูกชายอย่างแรง

            “ที่ซื้อให้นี่ก็เพราะหนูลานหรอกโว้ย...บอกซะก่อนนะว่า ถ้าไม่ใช่คนนี้ พ่อไม่รับคนอื่นเป็นลูกสะใภ้เด็ดขาด”

            บูรพาสะอึก นึกอยากหัวเราะตาม แต่ไม่สามารถทำได้ ส่วนลึกเขาแอบคิดให้มันเป็นอย่างนั้น แม้วันนี้จะไม่มีหวัง ดวงตาเขาก็มีประกายสุกใส ที่นานครั้งคนเป็นพ่อจะได้เห็นสักที

            สุดท้าย ชายหนุ่มบอกพ่อแค่วาจาสั้น ๆ ยักคิ้วคืน แกล้งทำสีหน้าเฉย

            “ขอบคุณนะพ่อ”

            คงเดชอยากจะยันลูกชายให้ตกเก้าอี้สักที สมกับมาดที่กวนเหลือใจ แต่ทำไม่ลง เพราะบูรพาคือสิ่งมีค่า ที่แกรักมากยิ่งกว่าชีวิต


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คุณดาริกาให้ลานน้ำค้างหยุดเรียนเพื่อพักรักษาตัว คนป่วยกลับทำตัวไม่เหมือนคนป่วยสักเท่าไหร่ พอแม่ไปทำงาน ไม่อยู่บ้าน เจ้าหล่อนก็หาเรื่องแอบไปทำธุระเช่นกัน

            วันนี้ลานน้ำค้างไปบริษัทเลียบเมือง

            โทรศัพท์คุยนัดแนะกับมุกดา ถามข่าวคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องของปันปัน ปรากฏว่าทนายความทางปัณรสี ได้ยื่นค้านการเป็นผู้ปกครองปันปันของเลียบเมืองเรียบร้อยแล้ว และกำลังยื่นขอให้ปันปันกลับมาอยู่ในความดูแลของปัณรสี มารดาโดยกำเนิด

            ทนายความฝ่ายเลียบเมืองเตรียมตั้งเรื่องสู้ ค้านคำขอของปัณรสี...สถานการณ์ตอนนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การเจรจาไม่เป็นผล จำเป็นต้องให้ศาลตัดสิน

            ลานน้ำค้างบอกมุกดาว่าพอจะมีทางช่วยเหลือเลียบเมือง จึงนัดให้มุกดาออกมาปรึกษากันที่ร้านอาหารใกล้บริษัท

            หญิงสาวมาถึงร้านอาหารเกือบเที่ยง นั่งรอมุกดา โดยยังไม่สั่งอาหารมารับประทาน ระหว่างรอก็หยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมาดู ในนั้นเป็นจดหมาย และภาพถ่ายที่อยู่ในกล่องของคุณสันติ

            ลังเลใจอยู่นานว่าจะนำของในนั้นส่งให้เลียบเมืองหรือไม่ สุดท้ายยังตัดสินใจไม่ถูกเลยถือติดมือมาก่อน

            มุกดามาตรงเวลา ที่ผิดคาดคือ มีชายหนุ่มประธานกรรมการบริษัทตามมาด้วย

            “สวัสดีค่ะคุณเลียบเมือง พี่มุก” หญิงสาวรีบทักทายก่อน

            “ครับ” ชายหนุ่มรับคำทักทาย พูดเชิงหยอกล้อ “เอ...จำได้ว่าผมให้ลานเลิกเรียกว่า ‘คุณเลียบเมือง’ แล้วนะ”

            “จริงหรือคะคุณเลียบ” มุกดาหันไปถามอย่างสนใจ “แล้วให้เรียกว่าอะไรล่ะคะ”

            ทั้งเลียบเมือง ลานน้ำค้างต่างไม่ยอมตอบ มุกดายิ้มพราย ไม่เซ้าซี้ รีบออกตัวกับหญิงสาวรุ่นน้อง

            “ทีแรกพี่จะมาคนเดียวแล้วนะ แต่คุณเลียบกำลังหาเพื่อนกินข้าวกลางวัน เลยขอตามมาด้วย...พี่เลยคิดว่า ถ้ามีเจ้ามือจ่ายก็ดีนะ”

            ถึงพี่มุกจะบอกอย่างนั้น ลานน้ำค้างก็รู้ว่าเธอคงบอกเลียบเมืองหมดแล้ว เรื่องที่สองสาวคุยปรึกษากัน เขาถึงขอตามมาฟังด้วย

            “ค่ะ” ลานน้ำค้างยิ้มแหย ๆ ไม่แน่ใจว่าเลียบเมืองจะนึกตำหนิหรือเปล่า ที่มีทางช่วยปันปันแล้วหล่อนไม่ยอมบอกเขาก่อน

            “ลานเงียบหายไปเลยนะ เจ้าปันปันบ่นคิดถึง เห็นบอกว่าโทรไปหาก็ไม่ติด” เลียบเมืองพูดจาสนิทสนมกว่าเคย จนพี่มุกสังเกตได้

            “ขอโทษด้วยค่ะ” ลานน้ำค้างไม่บอกว่าช่วงเข้าโรงพยาบาลถูกสั่งให้ปิดโทรศัพท์

            “งั้นสั่งอาหารเลยมั้ยคะ น้องลานรอนานแล้วคงหิวน่าดู” มุกดาพูดพลางเรียกบริกรนำเมนูมาเลือกอาหาร

            อาหารมื้อกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วงสนทนาค่อยเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น คุยกันไปเรื่อย ๆ พี่มุกจึงได้รู้ว่าพ่อของลานน้ำค้างเป็นนักบิน ที่เคยสร้างวีรกรรมให้แก่ประเทศชาติ จนเลียบเมืองนับถือเป็นวีรบุรุษ ทำให้เขารู้สึกสนิทใจ มีความรู้สึกที่ดีกับหล่อนเป็นพิเศษ เช่นคนเลือดสีเดียวกัน เป็นครอบครัวของ ‘คนบนฟ้า’ ที่ถูกอบรมสั่งสอนให้รักใคร่กลมเกลียว เสมือนเป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน

            นี่คือเหตุที่ให้เขารู้สึกสนิทสนม คุ้นเคยกับหญิงสาวรวดเร็วกว่าเมื่อก่อน

            พอลานน้ำค้างตั้งหลักได้แล้ว พูดจาคุ้นเคยกับเลียบเมือง จนบางครั้งหลุดปากเรียก ‘คุณปอน’ แทนคุณเลียบเมืองก็มี กล้าแสดงความเป็นตัวของตัวเองชัดเจน รู้สึกพร้อมที่จะปรึกษา แบ่งปันความเห็นเรื่องของปันปันโดยไม่เก็บงำ

            หลังอาหารกลางวัน แต่ละคนผ่อนคลาย สีหน้าสบาย ๆ ลานน้ำค้างเตรียมเปิดเรื่อง พอดีถูกเลียบเมืองชิงพูดก่อน

            “พี่มุกบอกว่า ลานมีช่องทางช่วยปันปันได้ ผมเลยอยากตามมาฟังด้วย...ถ้ามีโอกาสเราจะได้รีบทำเลย”

            “ค่ะ” ถึงตอนนี้หญิงสาวก็รู้ว่าที่เข้าใจแต่แรกนั้นไม่ผิด จึงกล้าพูดความเห็นของตนอย่างไม่ลังเล

            “คือ...ลานมีความเห็นว่า...ถ้าเราคุยกับคุณปัณรสีไม่ได้...ทำไมเราถึงไม่คุยกับแม่ของเธอเสียเลยล่ะ”

            คำพูดนี้จุดประกายสว่างในความคิดของอีกสองคนที่ร่วมโต๊ะ...

            ใช่แล้ว คุณสันติบอกให้ลานน้ำค้างพาเลียบเมืองไปหายายของปันปัน...นั่นย่อมหมายความว่ายายของปันปันอาจช่วยคลี่คลายสถานการณ์ตอนนี้ได้

            “จริงสิ” พี่มุกเห็นด้วย “แต่เราจะไปตามหาแม่ของปัณรสีได้ที่ไหน”

            ลานน้ำค้างมองหน้าเลียบเมืองเป็นเชิงถามความเห็นเขา...ข้อนี้คุณสันติไม่ได้บอกไว้ หญิงสาวก็ไม่มีปัญญาหาที่อยู่ คิดว่าชายหนุ่มน่าจะมีแนวทางวิธีที่ดีกว่า

            “ใช้บริการของพวกนักสืบน่าจะได้” เลียบเมืองบอก ลานน้ำค้างแอบร้องอ๋อในใจ...ทำไมหล่อนไม่คิดได้ตั้งแต่แรกนะ “สำคัญว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า หรือต่อให้มีชีวิตอยู่ เขาจะยอมช่วยเรามั้ย”

            “ขอให้เราเจอตัวแกก่อนดีมั้ยคะ ปัญหาอื่นค่อยคิดทีหลัง” ลานน้ำค้างพูดพลางก้มมองขอบซองสีน้ำตาลที่โผล่มาจากกระเป๋า

            ส่วนลึกในใจอดคิดไม่ได้ว่า...เอารูปและจดหมายเหล่านี้ให้เลียบเมืองดีหรือไม่ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นข้อมูลเบาะแสส่วนหนึ่งได้

            แต่อีกส่วนก็นึกค้านว่า...ที่คุณสันติจงใจให้หล่อนไปตามหากล่องความทรงจำใบนั้นมา ไม่น่าจะใช้ประโยชน์แค่เป็นเบาะแสตามหายายของปันปัน

            ใช้บริการนักสืบน่ะถูกต้องแล้ว

            เพราะรูปและที่อยู่ในจดหมาย มันผ่านไปหลายสิบปี ถึงจะพอเป็นตัวตั้งกำหนดทิศทางค้นหาได้ แต่ไม่น่าง่ายกว่าให้นักสืบตามจากร่องรอยทางปัณรสี

             แล้วรูปกับจดหมายนั้นสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้?

             เวลานี้ลานน้ำค้างคงต้องรอ ให้เวลาเปิดเผยข้อสงสัยเหล่านี้เอง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP