วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๘



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บูรพาฟังเรื่องราวทั้งหมดเพียงด้านเดียว จากคำพูดของลานน้ำค้าง มันอาจไม่ได้ใจความร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พอให้เขาลำดับเรื่องราวคร่าว ๆ ได้ ตั้งแต่ปัญหาระหว่างเลียบเมืองกับปัณรสี เรื่องการแย่งเลี้ยงดูปันปัน

            เขาได้รู้ว่าปันปันเป็นลูกของปัณรสี ไม่ใช่ของคุณหญิงรัดเกล้า และเวลานี้ปัณรสีกำลังจะมาขอลูกตนเองคืน หลังจากคุณหญิงกับสามีเสียชีวิต

            จากนั้นเขาก็รู้ว่าลานน้ำค้างกำลังตามหากล่องอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับคุณสันติ บิดาเลียบเมือง ไม่ทราบว่ากล่องนั่นมีความสำคัญอย่างไร สังเกตจากสีหน้า อากัปกิริยาเวลารอคำตอบของลานน้ำค้างแล้ว เขาก็แน่ใจว่ามันไม่ธรรมดา หากเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องแรก เขาก็คาดเดาเอาเองว่า...มันคงมีประโยชน์ต่อการชิงตัวปันปันคืน

            ลานน้ำค้างคืนโทรศัพท์ให้บูรพา มองตากันก็รู้อีกฝ่ายคิดอย่างไร ถึงตอนนี้คงยากที่จะไม่ให้เขามายุ่งเกี่ยวด้วย...สิ่งเดียวที่ทำได้คือ...ไม่ปิดบัง...แต่ไม่อธิบาย!

            “พรุ่งนี้ฉันได้กลับบ้านแล้วล่ะ” หล่อนพูดลอย ๆ “แกก็กลับไปเรียนได้แล้ว”

            “เราไปเรียนทุกวันนั่นแหละ ไม่เคยขาด” บูรพาตอบแบบรู้ทัน “ถ้าเธอจะทำอะไร ไปไหน เราไม่ขัด...”

            ลานน้ำค้างไม่จำเป็นต้องรอให้พูดจบ ก็รู้ว่าบูรพาจะพูดต่ออย่างไร...

            “แต่เราจะไปด้วย!”

            หญิงสาวยิ้มเฉย ไม่เถียง ไม่คัดค้าน ชายหนุ่มรีบดักคออย่างคนรู้ใจกันดี

            “ถ้าเธอแอบไปคนเดียว...เราจะขนเสื้อผ้าไปนอนเฝ้าเธอที่บ้านเลย”

            ลานน้ำค้างย่นจมูก

            “ยี้...แม่ไม่ยอมหรอก”

            บูรพายิ้มพราย ดวงตาเป็นประกายระยับ บอกถึงความมีแต้มเหนือกว่า...

            “อ๋อ...คุณครูดาริกา...” คำพูดพร้อมแววตาเจ้าเล่ห์ ยักคิ้วอย่างจงใจขยักบางคำพูดไว้

            ลานน้ำค้างพยักหน้าอย่างหมดทางสู้...ถึงเขาไม่ขู่ หล่อนก็รู้ หากชายหนุ่มนำเรื่องเหล่านี้ไปเล่าให้แม่ฟัง รับรอง ต้องเจอประกาศิตเด็ดขาด ห้ามยุ่ง ห้ามวุ่นวาย ให้นอนอยู่บ้าน พักรักษาตัวอย่างเดียว

            “จะไปด้วยก็ได้ แต่มีข้อแม้ ห้ามถามอะไรทั้งนั้น เข้าใจมั้ย” แล้วหล่อนก็พูดอุบอิบ “ฉันไม่ปิดบังก็ได้...แต่ขี้เกียจอธิบายเท่านั้นแหละ”

            ชายหนุ่มหัวเราะขัน มองหญิงสาวค้อนทำตาปะหลับปะเหลือกอย่างเอ็นดู อยากดึงหล่อนเข้ามากอดอีกครั้ง ไออุ่นเมื่อคราวก่อนยังประทับติดใจไม่หาย...

            สงสัยครั้งนี้คงทำไม่ได้ เพราะนอกจากลานน้ำค้างขัดขืนแล้ว น่าจะยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะตบเขาได้อีกด้วย

     

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างกับบูรพามาถึงบริษัทเลียบเมืองตอนหัวค่ำ รอให้พนักงานส่วนใหญ่กลับจนหมด เหลือเพียงแค่ยามประจำตึกไม่กี่คน

            ยังดีที่ลานน้ำค้างรู้จักยามที่นี่ทุกคน อีกทั้งบัตรพนักงานระดับผู้ช่วยเลขาก็ยังอยู่ จึงทำให้ผ่านด่านเข้าออกสะดวก ไม่มีปัญหา

            บูรพาเดินตามหญิงสาวโดยไม่รู้จุดมุ่งหมาย เจ้าหล่อนยืนยันว่าไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น เขาจึงต้องอาศัยการสังเกต คาดเดา ทำตัวลื่นไหลไปเรื่อย ค่อนข้างมั่นใจในจุดประสงค์การมาครั้งนี้ น่าจะอยู่ที่กล่องไม้ใบนั้น

            ...กล่องปริศนาของคุณสันติที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน...

            เขาตอบไม่ได้ว่าลานน้ำค้างรู้ที่ซ่อนของมันหรือยัง แต่ไม่เอ่ยปากถาม คอยตามดูหล่อนไปเรื่อย หากเห็นทำอะไรไม่เหมาะสมค่อยเข้าไปช่วยเหลือ ทำแทนให้เท่านั้นเอง

            ตรงหน้าทั้งสองเป็นลิฟต์ตัวหลัก ยังเปิดใช้ทำงานทั้งที่ไม่มีพนักงานในตึก ลานน้ำค้างยื่นมือไปกดเรียกลิฟต์ ไฟแดงวาบ ประตูลิฟต์เปิดออก บูรพารู้สึกมีลมเย็นชืด ๆ พัดผ่าน

            หญิงสาวเดินล่วงหน้าเข้าไปก่อน ชายหนุ่มรีบตามอย่างไม่ลังเล...

            ประตูลิฟต์ปิด บูรพาไม่เห็นลานน้ำค้างกดเลือกชั้น แต่ไฟในแผงชั้นก็แดงสว่างขึ้นมาที่ชั้น ๑๑ ทันที!

            ชายหนุ่มเหลียวขวับไปทางหญิงสาว ขยับปากจะพูดถึงความแปลกประหลาดตรงหน้า ทว่าสายตาหญิงสาวไม่ยอมเงยขึ้นสบตอบ นัยน์ตาเธอแลตรงประตูลิฟต์ อาการนิ่งสงบจนเขารู้สึกได้เองว่าไม่ควรรบกวน

            ถึงตอนนี้อากาศในลิฟต์เริ่มเย็นแปลก ๆ มีกระแสบางอย่างหมุนวนชวนตะครั่นตะครอ ขนลุกเป็นวูบ ๆ บูรพาไม่เคยกลัวอะไรง่ายดาย แต่เหตุการณ์แปลกเช่นนี้ เขาไม่ค่อยประสบบ่อยนัก

            มันรู้สึกเหมือนกับว่า...ในลิฟต์ไม่ได้มีเพียงเขากับลานน้ำค้างเท่านั้น

            ในที่สุดประตูลิฟต์เปิดออก...เปิดในชั้นที่ ๑๑

            ลานน้ำค้างค่อยเงยหน้ามองเขา เป็นเชิงบอกให้รู้และตามออกมา...หล่อนจะรู้หรือไม่ว่า ตลอดเวลาที่อยู่ในลิฟต์ด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดจากันเลย...

            ประตูลิฟต์ปิดแล้ว ทิ้งสองหนุ่มสาวไว้บนทางเดินสลัว ไฟหัวมุมเปิดสว่างแค่ดวงเดียว ข้างหน้าเป็นเส้นทางไปสู่ความมืด มืดอย่างไม่รู้จุดหมาย...

            จู่ ๆ บูรพาก็รู้สึกเย็นวูบ คล้ายมีอะไรเดินผ่าน รอบกายเงียบกริบทั้งที่ไม่ได้อยู่คนเดียว

            หญิงสาวเปิดไฟฉายก้าวนำออกไป ชายหนุ่มไม่รอช้า ตามติดหล่อนชนิดไม่คลาด ลานน้ำค้างคอยสังเกตอะไรบางอย่างที่เบื้องหน้าตลอดเวลา ทำให้ชายหนุ่มต้องมองตาม

            มองไปมองมาประสาทตาเริ่มล้า แสงไฟฉายไม่อาจขับไล่ความสลัวรางได้มากนัก ชั่วแวบหนึ่งบูรพามองเห็นร่างของยามวัยชราเป็นเงาราง ๆ ซ้อนอยู่ในแสงสลัวเบื้องหน้า

             ขนลุกซู่ ตัวชา...นี่อาจเป็นคำยืนยัน เวลานี้ไม่ได้มีเขากับลานน้ำค้างเพียงลำพังจริง ๆ...







บทที่ ๒๕



            ทว่า...เพียงชั่วพริบตา เงาร่างยามชราก็หายวับ จนอาจคิดว่ามันคือภาพลวงตา ไม่ก็ประสาทสัมผัสหลอกตัวเอง...บูรพากลับมองตรงข้าม สายตาอาจผิดเพี้ยน หลอกลวง แต่ความรู้สึกขณะนี้มันชัดเจน...จริงจัง

            เบื้องหน้ามี ‘ใคร’ นำทางอยู่...ลานน้ำค้างกับเขากำลังเดินตามบุคคลนั้น

            ชั้นที่ ๑๑ แบ่งซอยเป็นห้องตามแผนกงานค่อนข้างมาก ทางที่พวกเขาเดินไปเป็นคนละด้านกับห้องเหล่านั้น ด้านนี้มืดทึบถูกแยกฝั่งต่างหาก ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมาสักเท่าไหร่

            ทั้งสองมาหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง ซึ่งเป็นบานเดียวในบริเวณนั้น บานพับคล้องกุญแจดอกใหญ่ แถมด้วยกุญแจลูกบิด บูรพาเห็นแล้วนึกอยากไปตามมือสะเดาะกุญแจมาก่อน

            ชายหนุ่มมองหญิงสาวเชิงถามว่าจะทำอย่างไรต่อ...หากลานน้ำค้างมีลูกกุญแจติดตัวมาด้วยก็รีบเปิดเสีย...

            ใบหน้าเรียวเงยขึ้นยิ้มหวานแทนคำตอบ พร้อมกับมีเสียงกุญแจถูกไขดัง...กริ๊ก...

            บูรพาก้มมองลูกกุญแจดอกโต ที่บัดนี้มันเปิดออกเรียบร้อยแล้ว

            “ห้ามถามใช่มั้ย” เขาพูดไม่เกินกระซิบ เมื่อเห็นลานน้ำค้างไม่แปลกใจสักนิด

            เจ้าหล่อนยื่นมือปลดกุญแจอย่างไม่สนใจคำถาม บูรพาพยักหน้าเข้าใจ...มันคงเป็นแบบเดียวกับลิฟต์ที่เลือกชั้นขึ้นมาเองโดยไม่มีใครกดเช่นกัน

            คิดเสียว่ามี ‘ผี’ มาช่วยก็ได้...ง่ายดี...

            ประตูเปิดออก กลิ่นอับลอยคลุ้งมาปะทะ ลานน้ำค้างก้าวนำหน้า บูรพารีบดึงแขนหล่อนไว้ กราดไฟฉายนำร่องเข้าไปก่อน

            จากแสงไฟเห็นภายในค่อนข้างกว้าง ใช้เป็นห้องเก็บของ มีข้าวของถูกเก็บแยกประเภทอย่างเป็นระเบียบ ฝุ่นจับหนาเตอะลอยคลุ้ง แสดงว่าไม่ค่อยมีคนเข้ามาดูแล

            “เธอรออยู่ข้างนอกนี่แหละ” บูรพาบอก

            “แล้วแกจะหาเจอได้ยังไง” ลานน้ำค้างเถียง

            “แค่กล่องใบเดียว เรามีปัญญาหามาให้เธอแน่ ๆ” เขายืนยัน

            “แต่มันจะช้าเสียเวลานะ”

            “มันยังดีกว่าให้เธอเป็นอะไรไปนั่นแหละ จำไม่ได้เหรอ หมอบอกว่าเธอไม่ควรเข้าไปอยู่ในสถานที่อับ ๆ อากาศไม่ถ่ายเท...อาจทำให้ติดเชื้อได้”

            โดนเหตุผลนี้เข้า ลานน้ำค้างอึ้ง เถียงไม่ออก...ขนาดรถเมล์ แม่ยังไม่ยอมให้ขึ้น แล้วห้องอับ ฝุ่นคลุ้งขนาดนี้ รับรองไม่มีทางยอมเสี่ยงแน่

            “ไปยืนรอห่าง ๆ ไป๊...เดี๋ยวเราจัดการเอง” บูรพาพูดเชิงไล่

            “หมู...” หญิงสาวจับแขนเขาพูดจริงจัง

            “ว่าไง”

            “ถ้าจะเข้าไปหาคนเดียว...” ลานน้ำค้างพยายามคิดหาถ้อยคำ “ให้เชื่อในความรู้สึก มากกว่าความคิดนะ

            บูรพานิ่งอย่างสงสัย ก่อนพยักหน้า

            “ตกลง” เขาตอบรับและเดินเข้าประตู...



            ลานน้ำค้างหนักใจลึก ๆ มองเงาหลังบูรพาแล้วหันหน้าไปยังเงามืดด้านข้างประตู ยิ้มบาง ๆ แล้วโบกมือเป็นเชิงบุ้ยใบ้ให้กับใครบางคน...บูรพาไม่เห็นกิริยานี้ เพราะมัวแต่มองกองพัสดุตรงหน้า...

            ลานน้ำค้างกำลังโบกมือให้กับลุงธง ยามที่เสียชีวิต เป็นเชิงบอกให้แกเข้าไปในห้องเพื่อช่วยบูรพาหาของสำคัญ

            ลุงธงคือคนรับกล่องจากคุณหญิงรัดเกล้าไปทิ้ง แต่ไม่ได้ทิ้งลงถังขยะ แกเคยเห็นคุณสันติรักและเอาใจใส่กล่องใบนี้มาก คิดว่ามันคงมีความสำคัญ จึงไม่กล้าทิ้งขว้าง นำมาไว้ในห้องเก็บของนี้แทน

            ตอนลานน้ำค้างมาถึงบริษัท จิตใจก็ระลึกถึงลุงธงตั้งแต่แรก...พอแกปรากฏตัวหน้าลิฟต์เรียบร้อย...หญิงสาวก็บอกความต้องการให้ทราบผ่านทางความคิด ซึ่งแกเข้าใจ พาขึ้นลิฟต์ กดเรียกชั้นให้เรียบร้อย

            ขึ้นมาถึงชั้นที่ต้องการ แกเดินนำหน้าพาไปยังห้องเก็บของโดยไม่ลังเล ช่วยไขกุญแจให้เสร็จ แล้วยืนรอเพื่อจะนำหญิงสาวเข้าไปหยิบกล่องนั้นด้วยตัวเอง

            พอโดนบูรพาทักขึ้น ลานน้ำค้างก็เห็นว่าไม่ควรเข้าไป ได้แต่ยืนรอข้างนอก ส่งสัญญาณบอกให้ลุงธงเข้าไปช่วยชายหนุ่มแทน...แต่คนที่สื่อสารกับผีไม่รู้เรื่องอย่างนั้น ไม่รู้ว่าถึงพรุ่งนี้จะหาเจอหรือเปล่า...
  
  

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เพลง ‘กว่าจะรู้ว่ารัก’ ได้รับความนิยมรวดเร็ว สร้างชื่อให้โดมในชั่วข้ามคืน เพียงออกอากาศวันแรกก็มีกระแสตอบรับชนิดถล่มทลาย ทุกสถานีวิทยุได้รับเสียงเรียกร้องขอให้เปิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

            โดมถูกเรียกตัวเข้าประชุมที่บริษัท พูดคุยถึงการทำซิงเกิ้ลต่อไป แผนทำอัลบั้มเต็ม และมีคิวงานโปรโมทตามมาอีกยาวเหยียด แต่เด็กหนุ่มตอบปฏิเสธด้วยเหตุผล...

            “ผมอยากมีเวลาให้แม่...”

            ไม่มีใครกล้าค้าน...บางทีอาจเพราะทุกคนเห็นใจ เข้าใจ ยอมรับในเหตุผล หรือไม่ก็รู้ว่าไม่มีทางบังคับเขาได้ ยิ่งใช้เงื่อนไขสัญญามาต่อรอง เด็กหนุ่มก็กล้ายกเลิกสัญญาทันที แถมครอบครัวเขายังมีความสามารถจ่ายค่าปรับที่ผิดเงื่อนไขสัญญาได้อีก

            ที่สำคัญ...สมัยนี้ ขอให้มีเพลงดังจริง ๆ แค่เพลงเดียว ก็ทำเงินได้ไม่น้อยกว่าอัลบั้มเต็มแล้ว เพราะการละเมิดลิขสิทธิ์สูง ยอดขายอัลบั้มไม่ค่อยดี แต่เพลงดังสามารถขายในลักษณะต่าง ๆได้ อีกทั้งยังรับเงินจากการโหลดเพลงเป็นกอบเป็นกำ รับประกันงานโชว์ตัว คอนเสิร์ตต่าง ๆ อีก

            “เอาอย่างนั้นก็ได้” ผู้บริหารบริษัทยอมรับ “แต่ถึงยังไงโดมก็ต้องให้เวลากับงานโชว์ตัว โปรโมทเพลงบ้างเหมือนกัน เราพบกันครึ่งทางดีมั้ย”

            “ก็ได้ครับ” โดมตอบง่าย ๆ

            “อีกอย่าง พี่อยากทำเอ็มวีเพลงนี้เป็นเวอร์ชั่นสอง โดมคิดว่ายังไง”

            “ทำแบบไหนครับ” เด็กหนุ่มสงสัย

            “เราจะใส่ดนตรีให้เต็มวง แล้วถ่ายทำภาพใหม่”

            “ทำยังไงครับ”

            คราวนี้ผู้บริหารหันไปให้โปรดิวเซอร์เป็นคนอธิบาย

            “โดมบอกพี่เองใช่มั้ย ว่าอยากแต่งเพลงนี้ให้แม่”

            “ครับ”

            “โอเค...ตอนนี้คนส่วนใหญ่เขาก็รู้กันแล้วล่ะ ว่าโดมเป็นลูกใคร...พี่อยากถ่ายเอ็มวีแบบเป็นเรื่องราว ใช้ภาพของมาตา อินเสิร์ทใส่เข้าไปในเพลงด้วย บอกให้คนรู้ว่าโดมแต่งเพลงนี้เพื่อแม่...อยากให้เกิดปาฏิหาริย์ ปลุกแม่ขึ้นมาให้ได้”

            เด็กหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ ไม่ใช่เข้าใจแค่คำพูดนั้น แต่เข้าใจถึงคำว่า ‘ธุรกิจ’

            “หมายความว่าพี่จะดึงกลุ่มแฟนคลับแม่ผม ให้หันมาสนใจเพลงนี้ด้วยเหมือนกันใช่มั้ยครับ”

            เสียงโดมแข็งขึ้น จนผู้ร่วมประชุมรู้สึกได้

            “คิดในแง่ดีสิโดม...ถ้าคนฟังจำนวนมากเห็นใจ ร่วมอธิษฐานด้วยกัน พี่เชื่อว่าอาจทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้นะ” ผู้บริหารอธิบายอย่างใจเย็น

            โดมพยักหน้ายอมรับ เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ก่อน จึงไม่นึกค้านไปเสียทุกเรื่อง

            “แต่แม่อยู่อีกค่าย สัญญาเขายังไม่หมด ทางโน้นเขาจะยอมให้เราเอาภาพ ฟุตเตจของแม่มาลงในเอ็มวีหรือครับ”

            “เฮ้ย เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เดี๋ยวพี่ไปคุยกับเขาเอง” ลงผู้บริหารพูดแบบนี้ แสดงว่าไม่มีปัญหาจริง ๆ

            “อย่างนั้นก็แล้วแต่พี่เถอะครับ” โดมไม่ค้านอีก

            จากนั้นเป็นการคุยเรื่องจัดสรรเวลา คิวงาน ถึงแม้โดมไม่ต้องการรับงานมากมายนัก แต่ส่วนของแผนโปรโมทเพลง สัมภาษณ์ ออกรายการโทรทัศน์ สถานีวิทยุก็จำเป็นต้องทำอยู่...

            หลังประชุมมีคิวสัมภาษณ์ โดมได้ไฟเขียวให้พูดถึงแม่เต็มที่ จึงกล้าบอกแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงนี้โดยไม่ปิดบัง...

            มันอาจเป็นเรื่องดีก็ได้ ถ้าจะมีคนจำนวนมากรับรู้ และร่วมอธิษฐานพร้อมกับเขา เพื่อขอให้เกิดปาฏิหาริย์กับแม่



             กว่าจะกลับถึงโรงพยาบาลก็ค่ำ โดมคิดว่าที่ห้องคงยังไม่มีใครมาดูแลแม่ แต่ผิดคาดที่เห็นพ่อมานั่งอยู่เป็นเพื่อน กำลังพูดจาอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่ถนัด พอโดมเข้าห้อง พ่อก็หยุดแล้วเอ่ยทัก

            “วันนี้มาค่ำนี่”

            “ครับ...ผมมีสัมภาษณ์ต่อจากประชุม”

            พ่อถอนใจ ดึงเก้าอี้อีกตัวมาวางข้าง ๆ เป็นเชิงบอกให้เขานั่งคุยด้วย เด็กหนุ่มทำตามโดยไม่อิดเอื้อน

            “ตั้งใจจะเป็นนักร้องจริง ๆ หรือ” คุณหมอใหญ่ถามหยั่งเชิง

            “ผมเซ็นสัญญากับเขาไปแล้ว” โดมตอบ

            “ถ้าไม่อยากทำต่อ ก็ขอเลิกสัญญาได้นี่” คราวนี้คนเป็นพ่อใจเร็วกว่าลูก

            “ผมไม่ได้บอกว่าไม่อยากทำต่อ...อีกอย่าง ถ้ายกเลิกสัญญา ผมก็โดนปรับอานเลย”

             “พ่อจ่ายให้ก็ได้” คนพูดเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาลขนาดใหญ่รับรอง...ไม่ใช่วาจาล้อเล่น

            “ผมเสียดายเงินพ่อ” โดมนึกอยากยิ้มขึ้นมา “แล้วผมก็ยังชอบการร้องเพลงอยู่”

            “แลกกับการสูญเสียชีวิตส่วนตัวของแกเลยนะ” พ่อย้ำถามน้ำเสียงจริงจัง

            โดมถอนใจ คนที่รักอิสระ รักความเป็นส่วนตัวอย่างยิ่งเช่นเขา กล้ายอมแลกมันกับการเป็นนักร้องหรือไม่

            “ผมตอบไม่ถูกหรอกพ่อ...บางทีมันอาจไม่ลำบากขนาดนั้นก็ได้” เด็กหนุ่มพูดจากใจจริง “ตอนนี้ผมคิดแค่อยากให้ทุกคนได้ฟังเพลงของผม...อยากให้พวกเขาร้องเพลงนี้ต่อ ๆ กัน เพื่อให้แม่ได้ยิน”

            คุณหมอใหญ่ถอนใจตามลูกชาย เบือนหน้ามองอดีตภรรยาที่ยัง “หลับ” สนิทอยู่บนเตียง

            “รู้มั้ย ทำไมแม่แกไม่ไปงานแถลงข่าววันนั้น” คุณหมอพูดด้วยแววตาหดหู่

            “เพราะพ่อไปห้ามแม่ใช่มั้ย” โดมตอบ

            หมอนภัทรหันกลับมามองลูกชาย

            “ใครบอกแกล่ะ”

            “แม่บ้าน...แกเล่าให้ผมฟังว่าพ่อไปหาแม่ตอนเย็น ก่อนวันแถลงข่าว แต่แกไม่รู้ว่าพ่อพูดยังไงบ้าง”

            “แล้วแกอยากรู้หรือเปล่า”

            โดมส่ายหน้า

            “มันไม่สำคัญแล้วล่ะพ่อ...”

            คนเป็นพ่อพยักหน้า แววตาซ่อนความรู้สึกผิด

            “อาจจะจริง...มันไม่สำคัญแล้ว...แต่ถ้าวันนั้น แม่แกไม่เชื่อพ่อ ยอมไปงานแถลงข่าว เขาก็คงไม่จำเป็นต้องหาเรื่องหลบไปงานการกุศลที่ต่างจังหวัด จนเกิดอุบัติเหตุอย่างนี้หรอก”

            เด็กหนุ่มสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ...เขาเริ่มรู้สึกว่า คุณหมอนภัทรผู้เด็ดขาด เข้มแข็ง ไม่แคร์ใคร กำลังเกิดความรู้สึกผิดอย่างรุนแรง

            “พ่อ...” เสียงเรียกขานเต็มไปด้วยความเข้าใจ “ผมไม่เคยคิดว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ เป็นความผิดของพ่อเลยนะ”

            หมอนภัทรจ้องตาลูกชาย เห็นความจริงใจอยู่ในแววตาคู่นั้น

            “ที่จริงวันนั้น พ่อกับแม่แกเถียงกันพอสมควร...พ่อบอกเขาว่า...ถ้าคุณไปงานแถลงข่าว ทุกคนจะรู้จักลูกภายในเวลาชั่วข้ามคืน แล้วชีวิตส่วนตัวของลูกจะหมดไป กลายเป็นลูกดาราที่มีข่าวคาวมากที่สุดคนหนึ่งของวงการ...ลูกจะตกอยู่ในวังวนต่าง ๆ อย่างที่คุณเคยโดน แล้วเขาจะรับมันไหวหรือ”
  
            นี่คือความรู้สึกของคนเป็นพ่อ ที่พยายามปกป้องลูกมานานนับสิบปี

            “แม่เขาก็เถียงว่า...ลูกรักที่จะเดินมาบนเส้นทางนี้ แกมีความสุขที่ได้เล่นดนตรีร้องเพลง อย่างไรเสีย สักวันหนึ่งถ้าลูกเป็นนักร้องมีชื่อเสียง ก็ต้องถูกขุดคุ้ยอยู่ดี...”

            นี่คือเหตุผลของแม่ ที่มองเห็นอีกมุมหนึ่งของลูกชาย

            “ตอนนั้น...พ่อไม่รู้หรอกว่าแกทำอะไรบ้าง อดทนใช้ชีวิตแบบไหนเพื่อจะได้ทำในสิ่งที่แกรัก พ่อคิดว่าแกคงอยู่กับแม่อย่างสุขสบาย มีแม่คอยตามใจทุกอย่าง ไม่ลำบาก...จนกระทั่งเมื่อวาน ถึงได้รู้จากคนสองคนว่าแกใช้ชีวิตแบบไหน ลำบากยังไง เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่แกคิดว่าเป็นเส้นทางเดินที่แกรัก...ยิ่งได้ยินพวกเขาพูดถึงแก พ่อก็ยังนึกสงสัยว่าทำไมแกเป็นผู้ใหญ่ได้เร็วขนาดนี้...แต่นั่นแหละ...พ่ออาจจะได้รู้ช้าเกินไป”

            โดมอยากจะขยับปากถามว่า พ่อรู้เรื่องของเขาจากใคร แต่ไม่มีโอกาส เพราะคำพูดของพ่อยังต่อเนื่องเหมือนสายน้ำไหล เมื่อเขื่อนถูกเปิดออก

            “วันนั้นพ่อกับแม่เถียงกันอยู่นาน จนพ่อถามแม่เป็นครั้งสุดท้าย...ให้เขาประมวลความสุขความทุกข์ทั้งหมด ที่ได้รับเมื่อเข้ามาอยู่วงการนี้...ถามตัวเองว่าสุขมากกว่าทุกข์ หรือทุกข์มากกว่าสุข แล้วถ้าเลือกได้ เขาอยากจะให้ลูกชายคนเดียว ได้เข้ามาประสบอย่างที่ตัวเองได้รับหรือเปล่า...”

            โดมนิ่งอั้น...เนิ่นนาน...มองใบหน้าแม่ด้วยนัยน์ตาฝ้าฟาง หยาดน้ำตาเอ่อคลอ...คนเป็นแม่ย่อมไม่อยากให้ความทุกข์ ความเจ็บปวดใจแม้สักกระผีกน้อยนิดเข้ามาแผ้วพานลูกรักของตนแน่นอน...

             ถ้าเลือกได้...แม่ทุกคนในโลก ต้องหวังให้ลูกประสบพบแต่ความสุข...เท่านั้น!

            “ถ้าอย่างนั้น...ก่อนผมเข้ามา พ่อคงกำลังสารภาพผิดกับแม่อยู่...” โดมพูดช้า ๆ ไม่ได้มองหน้าบิดา

            “ผมสามารถตอบแทนแม่ได้เลยครับว่า...แม่ไม่ถือโทษพ่อแน่ ๆ เพราะสิ่งที่พ่อทำไปคือความหวังดี ปรารถนาดีอย่างจริงใจ แม่ไม่มีวันโกรธคนที่รักลูกของแม่ถึงขนาดนี้หรอกครับ

            มีความเงียบแผ่ซ่านอยู่โดยรอบ...ไม่มีใครเอ่ยปากกล่าววาจา กระทั่งลมหายใจก็ผะแผ่วแทบไม่ได้ยิน...

            ในความเงียบเช่นนี้ มีความอบอุ่นบางอย่างกระจายออกมาโดยไม่มีใครรู้ตัว...ความอบอุ่นแห่งรัก สามารถเยียวยารักษาหัวใจ...ที่เหน็บหนาวจากความรู้สึกผิดได้...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP