วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๗



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ถึงโรงพยาบาล บูรพาแวะดูลานน้ำค้างที่ห้อง ตั้งใจชวนไปเยี่ยมมาตาด้วยกัน เห็นห้องว่างโล่ง แสดงว่าเจ้าของคงไปเตร็ดเตร่ตามเคย

            ขอให้มีเรี่ยวแรงสักหน่อยเถอะ ลานน้ำค้างไม่เคยอยู่นิ่ง ๆ สักที

            ชายหนุ่มตัดสินใจไปเยี่ยมมาตาคนเดียว โดมเคยบอกว่า เขามักอยู่เป็นเพื่อนแม่ตอนค่ำ ๆ ช่วงบ่ายอย่างนี้อาจไม่เจอใคร นอกจากร่างของมาตานอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา อย่างดีอาจมีนางพยาบาลมาทำกายภาพ คอยดูแล พลิกตัวไม่ให้เป็นแผลกดทับ

            ถึงอย่างนั้นก็อยากไปเยี่ยมอยู่ดี

            ลิฟต์พิเศษชั้นล่างค่อนข้างปลอดคน ไม่เสียเวลาคอยนาน กดเรียกไม่เกินสิบวินาทีก็เปิดออก บูรพาขึ้นลิฟต์คนเดียว ยังไม่ทันลิฟต์จะปิดสนิท ก็มีคนมากดซ้ำ ทำให้มันเปิดรับอีกครั้ง

            “ขอไปด้วยคนค่า...” เสียงแจ้ว ๆ คุ้นหูมาก่อนตัว

            ร่างบอบบางผลุบเข้ามาในลิฟต์โดยไม่ทันดูว่ามีใครอยู่ก่อน จนลิฟต์ปิด เลื่อนขึ้น ค่อยเงยหน้ามอง

            “ว่ายังไง จะไปไหน” บูรพาทักก่อน

            ผู้มาใหม่คอย่น เกือบสะดุ้งโหยง เหมือนเด็กเกเรพบอาจารย์ฝ่ายปกครอง

            “มาทำอะไรน่ะ” ลานน้ำค้างถามพลางยิ้มสู้

            “แล้วเธอล่ะ มาทำอะไร ทำไมไม่นอนพักอยู่ในห้อง” นอกจากไม่ตอบ บูรพายังย้อนถามแกมดุ

            “ไม่ง่วงนี่จะนอนทำไม” หญิงสาวเถียงข้าง ๆ คู ๆ

            บูรพาอมยิ้ม แววตาเป็นห่วง

            “นอนพักมาก ๆ จะได้มีเรี่ยวแรง”

            “ฉันแข็งแรงดีแล้วย่ะ” ลานน้ำค้างยืนยัน ทั้งที่ใบหน้ายังเผือด ริมฝีปากซีดไม่มีสีสัน

            “แข็งแรงที่ไหน คืนก่อนยังต้องให้อุ้มขึ้นเตียง” ชายหนุ่มบอก

            เจอไม้นี้เข้า ลานน้ำค้างก็หน้าแดง แกล้งทำเสียงข่ม

            “พูดดี ๆ นะยะ อุ้มใครขึ้นเตียง...มีคนเสียหายนะโว้ย”

            บูรพาไม่เถียงด้วย...

            หลังจากคืนนั้น สองหนุ่มสาวทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น บูรพาจะรู้อาการป่วยหญิงสาวก็รู้ไป การพูดจา แสดงออกยังคงเดิม ไม่มีวาจาห่วงใยเกินจำเป็น ไม่มีทีท่าประคับประคองออกนอกหน้า ต่างฝ่ายรู้แก่ใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ทั้งคู่พอใจที่จะให้ทุกอย่างเป็นเหมือนทุกวัน เช่นที่เคยเป็น...
   
            “ตกลงจะไปไหน” บูรพาย้ำถาม

            “ไปทางเดียวกันนั่นแหละ แกกดชั้นบนสุดใช่มั้ยล่ะ” ลานน้ำค้างตอบกวน ๆ

            “จะไปเยี่ยมมาตา?”

            “แหม...ก็ชั้นไฮโซวีไอพีน่ะ ตอนนี้มีคนป่วยแค่ห้องเดียวเองมั้ง”

            บูรพานึกขัน เห็นจริง...

            “ฟังเพลงของโดมหรือยัง” เขาชวนคุยเรื่องอื่น

            “ฟังแล้ว ถึงอยากขึ้นมาหาคุณมาตายังไง” หญิงสาวยิ้มน้อย ๆ “จะมาบอกเขาว่า...เพลงของลูกชายคุณสุดยอดมาก ๆ”

            ชายหนุ่มแอบยิ้ม คิดไม่ถึงเขากับเธอจะมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน

            “เราเพิ่งฟังที่มหา’ลัย เห็นพวกสาว ๆ กรี๊ดกันใหญ่ มาดโดมยังกับเจ้าชาย ดูหล่อผิดหูผิดตาไปเลย”

            “อ้าว...ก็ร้องเพลงซึ้ง ๆ อย่างนี้ จะให้โดมใส่ยีนส์ขาด ๆ เล่นเปียโนร้องเพลงเหรอ” หญิงสาวเถียงแทน

            ชายหนุ่มเอนหลังพิงลิฟต์ ไม่ต่อคำ มองลานน้ำค้างปราดเดียวโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้สึก เท่าที่เห็นตอนนี้ หล่อนดูแข็งแรงเกือบปกติ อาจเพราะจิตใจเข้มแข็ง มีกำลังใจดี และไม่ใช่ผู้หญิงนุ่มนิ่ม เจ็บนิดเจ็บหน่อยทนไม่ไหว ใบหน้าซีดหน่อย ๆ พอดูรวมแล้วค่อยไว้ใจได้
  
            ระหว่างเขากับเธอ ไม่จำเป็นต้องพูดคำว่า เป็นห่วงเป็นใย” ไม่จำเป็นต้องถาม “ไม่สบายตรงไหน?” คำพูด คำถามเหล่านั้นล้วนเกินจำเป็น อาศัยการสังเกต การแสดงออกก็พอรู้ เข้าใจได้ดี

            ลิฟต์เปิด สองหนุ่มสาวแว่วเสียงดนตรีคุ้นหู หันมองหน้ากันแล้วเดินตามเสียงเพลง...ห้องผู้ป่วยอยู่เกือบสุดทางเดิน ใกล้กับระเบียงสวนหย่อมลอยฟ้าด้านนอก

            ประตูห้องมีช่องกระจก สามารถมองเห็นภายในชัดเจน เตียงมาตาถูกปรับเอนให้สูงขึ้น น่าสบาย โต๊ะหัวเตียงมีวิทยุซีดีตั้งอยู่ กำลังขับขานบรรเลงเพลงที่ลานน้ำค้าง บูรพาเดินตามมาฟัง

  

            กว่าจะรู้ว่ารัก...กว่าจะรู้ว่าเธอนั้น สำคัญแค่ไหน

            มันก็สายไปแล้ว...สายไปแล้วใช่ไหม...



            บัดนี้ทั้งสองรู้แล้วว่า ‘เธอ’ ที่อยู่ในบทเพลงนั้นหมายถึงใคร...นี่ไม่ใช่เพลงรักซึ้ง ๆ ร้องคร่ำครวญขอคืนดี มันเป็นเพลงจากใจลูกชายหนึ่ง ที่แสดงความสำนึกผิดต่อมารดาตน



            ที่ผ่านมาไม่รู้...ไม่รู้เลยว่าเคย...ทำเธอเสียใจ...แค่ไหน

            ก็เพราะความโง่เขลา...ก็เพราะเรามัวคิด...แค่ตัวเอง



            คำพูดจากหัวใจลูกชายคนนี้ หวังเพียงให้แม่ได้ยิน...รับรู้...และถ้าจะให้โอกาสแก่เขาสักครั้ง ก็ขอให้กลับมา...กลับมาจากนิทราอันยาวนาน กลับมาจากความฝันที่หลงวนเวียน หาทางออกไม่เจอนั้นเสีย



            ต่อแต่นี้สัญญา...ฉันขอสัญญา...จากใจ

            จะไม่ทำให้เธอร้องไห้ จะไม่ทำให้เธอเสียใจ สัญญาด้วยใจ...ของฉัน



            เสียงเปียโนพลิ้วไหว พาให้เพลงซึมซาบเข้าสู่หัวใจคนฟัง ลานน้ำค้างคล้ายจะสัมผัสสายฝนน้ำตา ที่พร่างพรมลงมาไม่ขาดสายจนหัวใจเปียกปอน

            โดมนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงแม่ มือกุมมือมารดา เปิดเพลง ๆ เดิมให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก หวังให้มันเป็นคำกู่ร้อง เพรียกขาน ให้มารดากลับมา

            บรรยากาศเช่นนี้ ลานน้ำค้าง บูรพาไม่กล้าเข้าแทรกแซง มองหน้ากันแล้วถอยหลังจากประตูโดยไม่ได้นัดหมาย

            หันหลัง กำลังจะลงลิฟต์กลับห้อง พอดีพบหมอนภัทรยืนมองพวกเขาอยู่กลางทางเดิน

            “สวัสดีค่ะคุณหมอ” ลานน้ำค้างทัก บูรพายกมือไหว้

            หมอนภัทรคือนายแพทย์เจ้าของไข้ลานน้ำค้าง เป็นคนให้ยาคีโมแก่หล่อนตลอดช่วงเวลาการรักษา จึงจำคนป่วยของตนเองได้

            “พวกคุณขึ้นมาทำอะไรกันที่นี่” เสียงไม่ดัง แต่ดุกำหราบอยู่ในที

            “คือ...จะมาเยี่ยมคุณมาตากับโดมค่ะ” หญิงสาวรีบตอบก่อน

            “รู้จักโดมด้วยหรือ” คุณหมอใหญ่ดูแปลกใจ

            “รู้จักกันตอนโดมเขาเล่นดนตรีอยู่ที่ร้านอาหารค่ะ...” ลานน้ำค้างหลุดปากแล้วชะงัก ไม่รู้ว่าควรเล่าต่อหรือไม่ แต่คุณหมอก็จ้องเขม็งเชิงคาดคั้นอยากได้รายละเอียดกว่านี้

            “แล้วก็...” หญิงสาวไม่กล้าปิดบังแววตาดุ ๆ คู่นี้ “โดมเคยไปนอนค้างที่บ้านเพื่อนหนูด้วย”

            สุดท้ายก็โบ้ยให้บูรพา

            นายแพทย์นภัทรมองสองหนุ่มสาวด้วยแววตาเปลี่ยนไปจากเดิม

            “มาคุยด้วยกันข้างนอกหน่อยสิ”

            ได้ยินอย่างนี้ใครจะกล้าขัด...

            คุณหมอใหญ่พาสองหนุ่มสาวเดินออกมาที่ระเบียงด้านนอก ซึ่งจัดเป็นสวนหย่อมลอยฟ้า บรรยากาศสดชื่น ร่มรื่น สบายตา

            การสนทนาต่อมา ไม่ต่างจากการซักถามของทนาย คุณหมอเป็นฝ่ายถาม สองหนุ่มสาวคอยตอบ อธิบายอย่างเดียว...คำถามส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องของโดม เช่นรู้จักกันอย่างไร โดมอยู่นอกบ้านแบบไหน ทำอะไรบ้าง...จากคำถามทั้งหลายบอกให้รู้ว่า คนเป็นพ่อรู้รายละเอียดลูกชายตัวเองน้อยเหลือเกิน

            ทีแรกลานน้ำค้างไม่คิดจะบอกความจริงทั้งหมด รู้ว่าโดมมีหลายเรื่องไม่อยากให้พ่อรู้...แต่มาถึงตอนนี้แล้ว อะไรก็เปลี่ยนไปมาก การบอกเรื่องราวทั้งหมด อาจทำให้คนเป็นพ่อเข้าใจลูกชายตนเองดีกว่าเดิมก็ได้

            บูรพาแอบนึกสงสัย ทำไมเรื่องพวกนี้พ่อลูกไม่คุยกันเอง ไม่ยอมไถ่ถามให้กระจ่าง อย่างเขากับพ่อที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง รู้ทัน รู้ใจกันโดยไม่ต้องพูดจามากความ

            คุณหมอนภัทรสร้างเกราะกำแพงบางอย่างเอาไว้ เป็นเกราะที่แข็งแรง ซึ่งคนภายนอกไม่อาจรู้เลย ข้างในเป็นอย่างไร...

            ระหว่างพูดคุย ซักถาม สองหนุ่มสาวสัมผัสถึงความเป็นห่วง อาทร อยากรู้เรื่องของลูกชาย จากบิดาที่ทำหน้าเฉย ๆ ไม่แสดงออกคนนี้อย่างชัดเจน

            คุยจนหมดข้อมูลเกี่ยวกับโดมแล้ว หมอนภัทรจึงบอกเชิงสั่งกลาย ๆ

            “ตอนนี้ยังไม่น่าไปเจอเขานักหรอก”

            ลานน้ำค้างเห็นจริงตามนั้น โดมกำลังอยู่อีกโลก ที่มีจุดมุ่งหมายเพียงพยายามดึงมาตากลับมา

            “คุณมาตามีโอกาสฟื้นมั้ยคะ” หญิงสาวถามตรง ๆ

            หมอนภัทรนิ่งไปนาน คำตอบนี้ลำบากใจที่จะพูด

            “ตราบใดที่หัวใจเขายังเต้น ก็ยังมีความหวัง” คำตอบเหมือนไม่ใช่คำตอบ

            “แล้วจะมีความหวังได้สักกี่เปอร์เซ็นต์ครับ” บูรพาถามบ้าง

            คำถามเหล่านี้ล้วนเป็นคำถามที่นักข่าว สื่อมวลชนรุมกระหน่ำแทบทุกวันอยู่แล้ว ถึงหมอนภัทรไม่ใช่แพทย์เจ้าของไข้ แต่มีฐานะเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล และอดีตสามีเก่า จึงโดนสัมภาษณ์ไม่เว้นแต่ละวัน

            “ฉันตอบไม่ได้หรอก” คุณหมอรู้สึกว่าคำตอบห้วนเกินไป จึงขยายความอีกนิด “ตอนที่มาตามาจากต่างจังหวัด เข้าไอซียู เราได้ผ่าตัดรักษาอาการเรียบร้อยแล้ว พอรู้ว่าเขายังไม่ฟื้น ก็รีบตรวจเช็ค หาสาเหตุเท่าที่ทำได้ แต่ไม่พบ เวลานี้ทีมแพทย์กำลังพยายามหาทางกันอยู่”

            “หรือไม่ก็...รอปาฏิหาริย์” ลานน้ำค้างต่อให้เบา ๆ

            หมอนภัทรพยักหน้าอย่างจำยอม ความกระด้างแข็งขืนลดลง

            “ใช่...ปาฏิหาริย์” พูดพลางมองไปทางห้องผู้ป่วย สายตาราวกับจะแลเห็นลูกชายตนเองอยู่ข้างใน “และ บางที...สิ่งที่เจ้าโดมกำลังทำ...มันอาจสร้างปาฏิหาริย์ก็ได้

 

            คุณหมอผู้อำนวยการเดินจากไป โดยไม่เร่งให้สองหนุ่มสาวลงจากชั้นพิเศษ ปล่อยให้ทั้งคู่ตัดสินใจเอาเอง ว่าจะรอโดมออกมาจากห้องคนป่วย หรือค่อยกลับมาใหม่ทีหลัง

            ลานน้ำค้างนั่งพักบนเก้าอี้ เงยหน้ามองปุยเมฆขาวที่แลอยู่ใกล้มือ บูรพานั่งไม่ห่างกัน สายตามองใบหน้าหญิงสาวโดยไม่พูดจา รอคอยอีกฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

            “ปาฏิหาริย์มีจริงมั้ยหมู” ลานน้ำค้างถามลอย ๆ นัยน์ตายังไม่ละจากท้องฟ้า

            “เราเชื่อในหลักของเหตุและผล” บูรพาตอบ

            “แต่มันก็มี ‘เหตุ’ หลายอย่างที่มนุษย์เราไม่รู้ และ ‘ผล’ หลายแบบที่คนเราคาดเดาไม่ได้เหมือนกันนะ” ลานน้ำค้างแย้งขึ้น

            “นั่นล่ะมั้ง ที่ใคร ๆ เรียกว่าปาฏิหาริย์” ชายหนุ่มสรุป

            ลานน้ำค้างเลื่อนสายตาลงมาสบกับบูรพา ดวงตาสองคู่มีวาจาซ่อนเร้นมากมาย

            “ปาฏิหาริย์จะช่วยให้ฉันหายจากมะเร็งได้มั้ย” นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวพูดตรงไปตรงมาเรื่องอาการป่วยของตนเอง

            “ได้” บูรพาตอบ “ถ้าปาฏิหาริย์นั้นจะมาจากกำลังใจที่เข้มแข็งของเธอ การปฏิบัติตัวตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด และการรับยาที่ถูกกับโรค”

            สีหน้าหญิงสาวสลดลง

            “เทียบกับคุณมาตาแล้ว ฉันยังมีโอกาสมากกว่าเขาเยอะเลยนะ”

            บูรพามองหล่อนด้วยแววตาเข้าใจ...ลานน้ำค้างก็คือลานน้ำค้าง...ผู้หญิงที่มักเห็นปัญหา ความทุกข์ของตนเองเล็กน้อยกว่าคนอื่นเสมอ

            “เธอนี่...ทำไมชอบห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองทุกทีเลยนะ”

            ลานน้ำค้างหัวเราะเบา ๆ ดวงตาสุกใสเป็นประกาย

            “หมู...ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิ” จู่ ๆ เจ้าหล่อนก็พูดอีกเรื่องหน้าตาเฉย

            บูรพาขมวดคิ้ว มองหล่อนกึ่งหมั่นไส้กึ่งตำหนิ...เขารู้ว่าลานน้ำค้างถูกสั่งปิดและเก็บโทรศัพท์ตอนอยู่โรงพยาบาล เพื่อป้องกันไม่ให้รับสาย รับรู้เรื่องราวปัญหาคนโน้นคนนี้

            คนเดียวที่สั่งลานน้ำค้างได้คือ คุณดาริกา

            ที่คุณดาริกาไม่รู้คือ ต่อให้ถูกสั่งเก็บโทรศัพท์ ลูกสาวตนก็แอบใช้ตู้สาธารณะได้

            เช่นเมื่อครู่ ก่อนขึ้นมาเยี่ยมมาตา...ลานน้ำค้างแอบโทรศัพท์คุยกับมุกดา เรื่องปัญหาของเลียบเมืองกับปัณรสี แต่เหรียญหมดก่อนจึงไม่ได้รายละเอียดมากนัก

 

            สืบเนื่องจากเมื่อคืน...ลานน้ำค้างฝันเห็นเหตุการณ์ถกเถียงระหว่างเลียบเมืองกับปัณรสีและทนาย ได้พบคุณสันติ รับการไหว้วาน ขอร้องให้ช่วยเหลือหลายอย่าง

            วันนี้พอมีเรี่ยวแรงลงจากเตียง ลานน้ำค้างก็แอบมาโทรศัพท์ถึงมุกดา ถามไถ่รายละเอียด เหตุการณ์ที่ปัณรสีกับทนายเข้าพบเลียบเมือง ปรากฏว่าเรื่องราวตรงกับในฝัน มุกดาบอกด้วยว่า เกรซอยู่ร่วมในการเจรจาด้วย

            พอลานน้ำค้างแน่ใจ กำลังจะถามพี่มุกดาเกี่ยวกับรายละเอียดอีกเรื่องหนึ่ง พอดีเหรียญหมด คุยต่อไม่ได้...ขณะเดินเตร็ดเตร่หาวิธีโทรศัพท์ ก็นึกถึงมาตา และมิวสิควิดีโอที่เพิ่งชมเมื่อกลางวัน เลยนึกอยากไปเยี่ยมนักร้องดังเสียก่อน เผื่อเจอโดมจะได้ขอยืมโทรศัพท์ใช้เสียเลย

            เข้ามาในลิฟต์ พบบูรพา พูดคุยกับหมอนภัทรติดพัน ไม่มีจังหวะขอยืมใช้โทรศัพท์ จนถึงเวลานี้

            “จะโทรหาใคร” บูรพาถามทั้งที่รู้ อย่างไรก็ต้องให้ยืม

            “โทรหาพี่มุก” เวลานี้ลานน้ำค้างไม่จำเป็นต้องปิดบังบูรพาอีกแล้ว

            ชายหนุ่มยื่นโทรศัพท์ให้โดยไม่เสียเวลาเซ้าซี้ถามต่อ...แค่ปล่อยให้หล่อนพูดไป แล้วเขาคอยฟังก็รู้เรื่องแล้ว

            “พี่มุก...คุยต่อได้มั้ยคะ” ลานน้ำค้างต่อสายแล้วนั่งคุยที่เดิม ไม่หลบคุยส่วนตัว ถือว่าทำตามสัญญากลาย ๆ

             ...อย่าปิดบังเราอีก...อย่าเห็นเราเป็นคนนอก...

            คำพูดบูรพาชัดเจนในความทรงจำ ต่อให้ไม่ตกปากรับคำ แต่ส่วนลึกในใจก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องจากผู้ชายคนนี้ได้อีกแล้ว

            “ได้จ้ะน้องลาน...เออ...เราคุยกันถึงไหนแล้ว พี่ลืมไป พอวางสายก็ทำงานจนลืม” พี่มุกออกตัว

            “หลังจากคุณปัณรสีกลับไปแล้ว คุณเลียบเมืองทำยังไงคะ” ลานน้ำค้างย้อนทบทวน...ที่จริงหล่อนต้องเรียกเลียบเมืองว่า ‘พี่ปอน’ ตามปันปัน แต่เวลานี้กระดากเกินกว่าจะเรียกขานอย่างนั้น

            “คุณเลียบให้พี่ติดต่อทนายโดยด่วนเลย...หาทางรับมือเต็มที่”

            “แล้วเราพอจะสู้เขาได้มั้ยคะ” ลานน้ำค้างเอาใจช่วย

            “ยากมากเลยน้องลานเอ๊ย...กฎหมายใหม่ที่ออกมาน่ะ ให้สิทธิพ่อแม่โดยกำเนิดเต็มที่เลย ขนาดเราไปยื่นขออำนาจศาลเพื่อเป็นผู้ปกครองต่อแล้ว แต่มันก็ไม่ชัวร์ เพราะศาลยังไม่สั่ง ทางนั้นต้องไปยื่นค้านแน่ ๆ งานนี้หินสุด ๆ”

            “ทนายความฝ่ายเรา แนะนำคุณเลียบเมืองยังไงบ้างคะ”

            “ก็ต้องสู้กันในศาล น้องปันปันโตพอรู้ความแล้ว ศาลอาจถามความสมัครใจของเด็ก ว่าอยากอยู่กับใคร” พี่มุกดาตอบ

            “ถ้าอย่างนั้นปันปันก็ต้องรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกคุณหญิง ไม่ใช่น้องคุณเลียบเมืองสิคะ” ลานน้ำค้างอุทานอย่างตกใจ และตกใจยิ่งกว่า เมื่อได้นึกว่าบูรพาก็นั่งฟังอยู่ด้วย

            แอบเหลือบมองชายหนุ่มนิด ๆ เขาทำท่าเฉย ๆ ไม่แสดงกิริยาอย่างไร อีกทั้งไม่ยอมแสดงมารยาทเลี่ยงไปนั่งที่อื่น แสดงออกชัดเจนว่าต้องการรู้เรื่องทั้งหมดเช่นกัน

            พี่มุกดาตอบกลับมา...

            “ตรงนั้นมันก็ไม่แน่หรอกน้องลาน อยู่ที่ทางผู้พิพากษาท่านจะถามเด็กแบบไหน พี่เองไม่เคยมีประสบการณ์ตรงนี้ ไม่ค่อยรู้ละเอียดเท่าไหร่ แต่ที่ศาลเขาต้องดูแน่ ๆ คือความเหมาะสมของผู้ปกครองเด็ก เช่นเราเคยทำร้ายเด็กหรือเปล่า ฐานะเราเป็นอย่างไร อายุ วุฒิภาวะ ทุกอย่างต้องใช้ประกอบกันหมดเลย”

            แค่ฟัง ลานน้ำค้างก็ใจแป้ว

            “อย่างนี้คุณปัณรสีก็แต้มสูงกว่าสิคะ...สามีเธอรวยขนาดพาเที่ยวรอบโลกอย่างไม่เดือดร้อน เรื่องฐานะไม่ต้องพูดถึง ส่วนด้านความเหมาะสมเธอก็ยังเป็นแม่แท้ ๆ ของปันปันเสียด้วย...เฮ้อ”

            “ในเรื่องฐานะ คุณเลียบก็ไม่แพ้เขาหรอก สามารถรับผิดชอบเลี้ยงดูจนโตอย่างไม่มีปัญหาแน่ ๆ ถ้าถามน้องปันปัน แกก็ต้องเลือกอยู่กับพี่ชายอยู่แล้ว...ติดตรงที่แกยังเป็นโสดนี่แหละ ทนายความเขาว่าอาจเป็นจุดอ่อนให้อีกฝ่ายใช้เล่นงานได้” มุกดาพูดอย่างออกรส

            “แล้วคุณเลียบเมืองทำยังไงคะ” ลานน้ำค้างถามเสียงอ่อย

            “จุ๊ ๆ ...อย่าเอ็ดไปนะน้องลาน” พี่มุกทำเสียงกระซิบกระซาบ “วันก่อนโน้นพี่เห็นคุณเลียบเตรียมแหวนไปขอคุณเกรซแต่งงานแล้ว...”

            ลานน้ำค้างตัวชาวาบ เหมือนจู่ ๆ โดนผลักตกเหวไม่ทันรู้ตัว

            “แล้ว...ยังไง...คะ” หญิงสาวเริ่มพูดไม่ออก “เขาจะแต่งงานกันเมื่อไหร่”

            เสียงมุกดายิ่งเบากว่าเดิม

            “เรื่องนี้สำคัญมากนะน้องลาน... พี่ว่าคุณเลียบขอแต่งงานไม่สำเร็จหรอก”

            ลานน้ำค้างโล่งอกกะทันหัน

            “วันต่อมานะ พี่เห็นแกหน้าหมอง ๆ ยังไงพิกล แหวนก็ยังอยู่เหมือนเดิม ดูแกทิ้งขว้างไม่สนใจเลย ทั้งที่เพชรตั้งหลายกะรัตอยู่นะนั่น”

            “ทำไมคะ...คุณเกรซจะปฏิเสธได้ยังไง...ก็เห็นชอบกันดีออก” ถึงอย่างไร ลานน้ำค้างก็ยอมรับว่าคู่นี้เหมาะสมกันอย่างยิ่ง และเกรซก็มีใจให้เลียบเมืองไม่น้อย

            “เรื่องนี้พี่ไม่รู้จริง ๆ จากนั้นคุณเกรซเธอก็ไม่โทรมาหาคุณเลียบเมืองอีกเลย ไม่มากินข้าวกลางวัน ไม่ไปดินเนอร์...พี่เห็นคุณเลียบเมืองกินข้าวกลางวันที่บริษัททุกวัน ตกเย็นก็กลับบ้านพร้อมน้องปันปัน ไม่ออกไปไหน”

            “ทางคุณปัณรสีว่ายังไงคะ” ลานน้ำค้างถามต่อ

            “ยังเงียบ ๆ อยู่ แต่พี่มั่นใจว่า ทนายความของเขาต้องยื่นค้านเรื่องการขอเป็นผู้ปกครองน้องปันปันแล้วแน่ ๆ ทางเราต้องคอยดูเชิง ตั้งรับก่อน”

            ในเมื่อสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นนี้ ลานน้ำค้างต้องเร่งทำตามคำขอร้องของคุณสันติโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นหนทางดึงปันปันเอาไว้ให้ได้

            “พี่มุกจำคุณสันติได้มั้ยคะ”

            “ใครนะคะน้องลาน...คุณสันติ พ่อของคุณเลียบเมืองใช่มั้ย” มุกดาตกใจที่จู่ ๆ ได้ยินชื่ออดีตเจ้านายที่เสียชีวิตไปแล้ว

            “ค่ะ...พี่มุกเคยทำงานกับท่านใช่มั้ย” ลานน้ำค้างถาม

            “ใช่จ้ะ แต่ตอนนั้นพี่ยังไม่ได้เป็นเลขาส่วนตัวแบบนี้นะ” เส้นทางการทำงานของมุกดา ไต่มาเป็นขั้น ๆ เช่นเดียวกับพนักงานบริษัททั่วไป

            “พี่มุกพอทราบมั้ยว่า คุณสันติท่านเก็บของส่วนตัวไว้ที่ไหน”

            “เอ...ของส่วนตัวท่าน ไม่ได้เก็บไว้ที่บ้านหรือคะ” มุกดาตอบลังเล ไม่แน่ใจ

            “ไม่หรอกค่ะ ของชิ้นนี้ท่านไม่เก็บเอาไว้ที่บ้านแน่ ๆ”

            “ของชิ้นนั้นรูปร่างหน้าตาเป็นยังไงน้องลาน พี่ฟังแล้วงง ๆ นึกภาพไม่ออก” พี่มุกย้อนถามอย่างสงสัย

            “คือ...” ลานน้ำค้างลำบากใจที่จะตอบ เหลือบตามองเพื่อนหนุ่มนิดนึง นึกอยากเลี่ยงไปคุยที่อื่น แต่ก็ฝืนหักใจ...อยากรู้ ก็ให้รู้ไป...

            “มันเป็นกล่องไม้เก่า ๆ ขนาดไม่ใหญ่มากหรอกค่ะ ที่ฝาแกะสลักเป็นรูปดอกไม้ ไม่รู้เหมือนกันว่าดอกอะไร บานพับที่เป็นกุญแจรู้สึกว่าจะหักด้วย...”

            “ฟังอย่างนี้ชักคุ้น ๆ นะ พี่น่าจะเคยเห็น...นานมากแล้ว”

            “เคยเห็นที่ไหนคะ” ลานน้ำค้างถามกระตือรือร้น

            “เคยเห็นตอนที่คุณหญิงเข้ามารับงานแทนคุณสันติใหม่ ๆ ตอนนั้นท่านให้รื้อข้าวของ จัดโต๊ะใหม่หมด... ท่านบอกว่า ถ้าอยู่อย่างเดิม ท่านอดคิดถึงคุณสันติไม่ได้...”

            “แล้ว...ยังไงคะ” ลานน้ำค้างตั้งใจรอฟังต่อ

            “ข้าวของใช้ส่วนตัวของคุณสันติหลายชิ้น ท่านให้เอากลับบ้าน...บางชิ้นท่านก็บริจาค...”

            “แล้วกล่องนั่นล่ะคะ” หญิงสาวแทบอดใจรอฟังคำตอบไม่ไหว

            มุกดานิ่งไปนาน เพื่อทบทวนความจำ...ความที่พยายามนึกเรื่องราวในอดีต ทำให้ลืมสงสัยว่าเหตุใดลานน้ำค้างถึงรู้จักกล่องใบนี้...กล่องที่แทบไม่มีใครจดจำมันได้อีกต่อไปแล้ว

            “อ๋อ...” พี่มุกอุทานขึ้น “พี่นึกได้แล้ว คุณหญิงท่านพบกล่องนี้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานคุณสันติ แล้วเปิดกล่องออกมาดูข้างใน พี่ไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง คุณหญิงท่านปิดห้องนั่งดูอยู่คนเดียวเป็นชั่วโมง สุดท้ายท่านก็เปิดประตู สั่งให้พี่เรียกยามเข้ามา เอากล่องนั่นไปทิ้ง”

            “ไปทิ้ง!” ลานน้ำค้างอุทานเสียงดัง ความหวังดับวูบ

            “จ้ะ ตอนนั้นพี่จำได้ว่าท่านตาแดง ๆ ด้วย เหมือนจะร้องไห้หรือไงนี่แหละ”

            ถึงตอนนี้ ลานน้ำค้างเกือบหมดหวังจนไม่อยากฟังอะไรต่อแล้ว แต่ฉุกนึกขึ้นได้...งานชิ้นแรกที่คุณสันติขอให้หล่อนช่วย คือหากล่องใบนี้... ถ้าของมันหายสาบสูญจริง ๆ คุณสันติไม่มีทางสั่งให้หล่อนค้นหาแน่ ๆ เพราะฉะนั้นกล่องนั่นต้องยังอยู่ และน่าจะอยู่ในบริษัทแน่นอน

            “พี่มุกจำได้มั้ยคะ คุณหญิงท่านใช้ให้ยามคนไหนเอาไปทิ้ง แล้วเขายังทำงานอยู่กับเราหรือเปล่า” คำถามนี้ เต็มไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยม

            “จำได้สิน้องลาน...ก็ลุงธงไง...ยามที่ตายในลิฟต์นั่นแหละ”

            ลานน้ำค้างใจหายวาบ ขนลุกซู่...ถ้าเป็นคนอื่นอาจเห็นว่ามาถึงทางตันแล้ว พยานรู้เห็นคนสุดท้ายเสียชีวิต ไม่สามารถตามร่องรอยกล่องใบนั้นได้อีก...

            สำหรับลานน้ำค้าง...ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด...ไม่ใช่ทางตัน มันคือการเริ่มต้นในอีกสภาวะหนึ่ง ซึ่งหากใครมีความสามารถพิเศษ ก็จะมองเห็น ติดต่อกับบุคคลในสภาวะนั้นได้

            และ...ลานน้ำค้าง...ก็เป็นคนหนึ่งในบุคคลพิเศษนั้น



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP