วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๕



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ปัณรสีและทนายความขอตัวกลับไปนานแล้ว เกรซยังนั่งอยู่ในห้องทำงานเลียบเมือง บรรยากาศระหว่างสองหนุ่มสาวอึมครึม ไม่ต่างจากฝนกำลังตั้งเค้า พายุใหญ่ใกล้มา

            มุกดาตั้งใจมาฟังผลการเจราจา พอเห็นบรรยากาศเช่นนี้ก็ถอยแทบไม่ทัน

            เกรซมองเลียบเมือง แววตาฉายความรู้สึกชัด ชายหนุ่มเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายว่าหล่อนโกรธด้วยเหตุผลใด

            “ผมขอโทษ” ดวงตาเขาบอกว่ารู้สึกผิดจริง

            เกรซนิ่งไปนานเหมือนไม่ยอมรับคำขอโทษนั้น สุดท้ายก็เอ่ยอย่างต้องการปัดให้พ้น ๆ

            “ช่างมันเถอะค่ะ”

            หลังจากนั้น ความเงียบเข้ากั้นกลาง ต่างฝ่ายกำลังรอให้อีกคนยอมเปิดปากก่อน

            “เลียบจะทำยังไงต่อ” เกรซยอมพูดก่อน

            “ผมก็คงคุยกับทนายดูว่าจะสู้กับเขายังไงดี”

            หญิงสาวนิ่งเพื่อไตร่ตรอง จะเลือกวาจาแบบไหนไม่ให้ขัดหูชายหนุ่ม

            “ถ้าเกรซพูดบางอย่างไป เลียบอย่าเพิ่งใจร้อน ฟังให้จบก่อนได้มั้ย...”

            เลียบเมืองพอจะเดาได้ว่าเกรซจะพูดเช่นไร ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังยอมพยักหน้า ทั้งที่ขัดต่อความรู้สึก

            “โอกาสชนะของเราไม่มีเลย” เพียงวาจาแรก ไฟโทสะก็ถูกจุดในดวงตาชายหนุ่ม “ทั้งในทางกฎหมาย และในแง่ความเหมาะสม”

            ชายหนุ่มอยากพูดค้าน ติดที่อีกฝ่ายออกปากตัดหน้าไว้แล้ว จำเป็นต้องทนฟังต่อ

            “คืนปันปันให้เขาไปเถอะ” เกรซบอกในที่สุด “ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่กลัวว่าเราจะแพ้ แต่เกรซคิดถึงหัวใจคนเป็นแม่ เลียบก็ได้ยินทุกอย่างเหมือนกัน แล้วไม่คิดสงสารคุณปัณรสีบ้างเลยหรือ เธอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เธอรักปันปันจริง อยากเลี้ยงปันปันชดเชยความผิดเก่า เกรซอยากให้เลียบเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่บ้าง”

            “เขาอยากได้ปันปันไปเป็นตัวแทนลูกที่ตายน่ะสิ...ปันปันก็คือปันปัน จะให้ไปแทนใครได้ยังไง เขารู้จักปันปันแค่ไหน รู้หรือเปล่าว่าปันปันชอบอะไร ไม่ชอบอะไร...รู้หรือเปล่าว่าปันปันเอาแต่ใจ ดื้อรั้นแค่ไหน เขายอมรับทุกอย่างที่เป็นปันปันได้มั้ย”

            หญิงสาวถอนใจ คร้านจะพูดจา ความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อเลียบเมืองเริ่มเปลี่ยนไป เธอเพิ่งเห็นแง่มุมดื้อรั้น ต้องการเอาชนะจากเขาเป็นครั้งแรก...ต้องการเอาชนะถึงขนาดกล้ายกเรื่อง ‘การแต่งงาน’ มาพูดพล่อย ๆ

            คำพูดนี้ควรเป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์ สำหรับคนสองคน...เขาควรบอกรัก และขอแต่งงานกับหล่อนก่อนที่จะประกาศไปอย่างนั้น...

            ที่เขากล้ายกเรื่องแต่งงานมาพูดแบบนี้ แสดงว่าเขาไม่ได้เห็นถึงความสำคัญของมัน อย่างที่หล่อนรู้สึกและเคยฝันเอาไว้เลย

            เลียบเมืองคนนี้ ไม่เหมือนเลียบเมืองที่หญิงสาวเคยรู้จักเสียแล้ว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            สนามฟุตบอล กลางแดดยามบ่าย

            บูรพาวิ่งไล่เจ้าลูกกลม ๆ อยู่กลางสนาม ร่วมกับผู้เล่นรุ่นน้องอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ตลอดเวลาในเกม เขาขยันวิ่งไล่ลูกจนเหงื่อโทรมตัว ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำประตูให้ฝ่ายตนเองได้ชัยชนะ เรียกเสียงโห่ร้องยินดีจากเพื่อน ๆ ข้างสนามกันเกรียวกราว

            จบเกมมานั่งพักอยู่บนอัฒจันทน์ ปล่อยเหงื่อไหลพลั่ก ๆ เปียกปอนราวกับลูกหมาตกน้ำ

            บูรพาเคยชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ที่พระเอกอกหัก เสียใจแล้วออกไปวิ่ง...

            ...เขาบอกว่าต้องการวิ่งให้เหงื่อออกมามาก ๆ จะได้ไม่เหลือน้ำในร่างกายให้กลายมาเป็นน้ำตา...

            เหงื่อไหลมากมายขนาดนี้ คงทำให้น้ำตาในใจแห้งขอดได้แล้วกระมัง

            ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยคิดจะร้องไห้ หัวใจมันเจ็บเท่าไร ก็ยอมปล่อยให้มันเจ็บอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจห้ามปราม

            ชายหนุ่มพยายามหางานโน้นงานนี้มาทำ เร่งงานวิทยานิพนธ์ เพื่อไม่ให้มีเวลาว่างมาคิดฟุ้งซ่าน มานั่งหดหู่เศร้าเสียใจ

            พอตั้งหลักอย่างนั้นได้ เขาก็เห็นความทุกข์ใจ แวะเวียนมาได้เป็นระยะ ๆ ชั่วคราวเท่านั้น

            ถ้าไม่ปล่อยใจให้จ่อมจม คิดวนเวียนซ้ำซากแต่เรื่องเศร้าใจ ก็จะเห็นความสุข ความสบายใจเปลี่ยนหน้ามาแทนที่ความทุกข์เป็นระยะเช่นกัน

            ‘ความทุกข์’ มันก็แค่ของชั่วคราว... ‘ความสุข’ มันก็มาเป็นครั้งคราว... สุขบ้าง ทุกข์บ้าง วนเวียนเปลี่ยนหน้าเช่นนี้ จะไปจริงจังอะไรกับมัน

            ตอนนี้บูรพาเหนื่อยแทบขาดใจ ไม่มีเวลาคิดเรื่องหดหู่ แค่พยายามหายใจให้อากาศเข้าปอดเต็มที่ ก็แทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว

            “เฮ้ย ฝีเท้ายังไม่ตกเลยนะมึง” เพื่อนร่วมคณะเข้ามาตบไหล่นั่งคุย

            “อือ...” เขาเหนื่อยจนขี้เกียจอ้าปากตอบ

            “วิ่งซะเหงื่อซ่กเชียว ไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนวะ”

            บูรพาไม่คิดว่านี่เป็นคำถาม จึงคร้านที่จะตอบ

            “ได้ข่าวแม่มึงบ้างหรือเปล่า” พอได้ยินอย่างนี้ หัวใจกระตุกเจ็บแปลบโดยอัตโนมัติ

            “แม่กูตายไปตั้งนานแล้ว...ใครได้ข่าวบ้างล่ะ” เขาย้อนแบบกวน ๆ

            “ไอ้เวร กูหมายถึงแม่ทูนหัวของมึงที่คณะนั้นน่ะ” คนเป็นเพื่อนไม่ถือสา หนำซ้ำยังหัวเราะขัน

            บูรพาไม่ตอบ เลี่ยงไปหยิบขวดน้ำมาดื่ม...เขาไม่อยากพูดถึงเธอ...แค่คิดถึง ใจก็เจ็บเหลือเกิน ถ้าให้เอ่ยชื่ออีก ก็จะเป็นการทรมานตัวเองเกินไป

            “กูได้ข่าวจากหญิงคณะนั้นว่ะ...” ดูท่าเพื่อนอยากเล่าเต็มแก่ ขนาดไม่ถาม คนพูดก็อยากพูดอยู่ดี

            “ว่า...แม่คุณของมึงน่ะ เขาขอดร็อปเรียน เพื่อน ๆ งี้งงกันหมดเลย...แม่คุณไม่บอกไม่กล่าวใครสักคน ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าดร็อปทำไม ใกล้จะจบอยู่แล้ว เลยฝากมาถามมึงน่ะ...ว่ารู้หรือเปล่า”

            เขาวางขวดน้ำไว้ข้างตัว คลายมือออก หันไปมองคนบอกข่าวด้วยแววตาสงสัย ไม่เข้าใจ

            “อะไรนะ...มึงบอกว่าไอ้ลาน มันขอดร็อปเหรอ”

            “เออ แล้วมึงคิดว่ากูพูดถึงใครล่ะ” เพื่อนย้อนให้

            “มึงได้ข่าวจากไหน” บูรพาถาม

            คนให้ข่าวบอกชื่อแหล่งข่าว...วาจายังไม่ทันจบประโยค บูรพาก็คว้ากระเป๋าเป้ลงจากอัฒจันทน์ เดินกึ่งวิ่งออกจากสนามอย่างรวดเร็ว

            บูรพาไม่เชื่อว่าลานน้ำค้างจะขอดร็อป...เธอจะหยุดเรียนได้อย่างไร ทั้งที่มันเป็นปีสุดท้าย ใกล้จบเต็มทีแล้ว

            ใครเป็นคนบอกว่าอยากเรียนให้จบเร็ว ๆ ... ใครเป็นคนบอกว่าอยากเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว จะได้ทำงานเลี้ยงแม่ ช่วยให้แม่สบาย ไม่ลำบากอีก แล้วนี่จู่ ๆ เหมือนเดินไม่กี่ก้าวจะถึงจุดหมาย เจ้าตัวกลับหยุดเสียกะทันหัน

            มันต้องมีเหตุผลสำคัญ เหตุผลอะไรสักอย่างที่สามารถหยุดลานน้ำค้างไว้ได้

            บูรพาไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวกับบริษัทของผู้ชายที่ชื่อเลียบเมือง...ผู้ชายที่ลานน้ำค้างยอมเสียเวลาไปช่วยงานเขาตั้งสัปดาห์สองสัปดาห์

            เขารู้...ต่อให้ลานน้ำค้างรักผู้ชายคนไหน มากสักเท่าไหร่...มันก็ไม่มากไปกว่าที่เธอรักมารดา รักอนาคตของตัวเอง

            เขาไม่เชื่อว่าเธอจะขอหยุดเรียนเพื่อไปทำงานบริษัทนั้น

            ...มันต้องมีเหตุผลสำคัญจริง ๆ...

            เมื่อคิดถึงเหตุผล ที่อาจทำให้ลานน้ำค้างต้องหยุดเรียนแล้ว...มันอดทำให้ใจบูรพาหล่นวูบไม่ได้







บทที่ ๒๓



            บูรพาตามไปที่คณะของลานน้ำค้าง ตึกธุรการเพื่อได้รับคำยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ลานน้ำค้างหยุดเรียนจริง ๆ ไม่มีเพื่อนคนไหนรู้สาเหตุ จู่ ๆ เธอก็หายไปโดยไม่บอกกล่าวใคร

            “ก็ ‘เพื่อนสนิท’ อย่างเธอยังไม่รู้ แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า” เพื่อนสาวของลานน้ำค้างที่คณะบอกเขาอย่างนั้น

            ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา มองเบอร์ลานน้ำค้างอย่างชั่งใจ...เขาควรจะโทรไปดีหรือไม่ แน่ใจได้อย่างไรว่าโทรแล้วหล่อนจะยอมบอกเหตุผลตามความจริง

            มัวแต่คิดมากไม่มีประโยชน์ ลองโทรไปก็รู้เรื่องเอง

            ครั้งแรก...สัญญาณไม่ว่าง ครั้งต่อมา...มีเสียงตอบรับว่าหมายเลขยังไม่เปิดใช้บริการ สรุปรวมความว่า... ลานน้ำค้างปิดโทรศัพท์!

            บูรพาโดนลานน้ำค้างปิดโทรศัพท์เป็นครั้งที่สองแล้ว แต่ละครั้งสร้างความว้าวุ่นใจจนเกินระงับ เป็นห่วงสารพัด ด้วยรู้ว่าหญิงสาวไม่มีนิสัยแบบนี้

            สิ่งที่ทำได้ต่อมาก็คือตามไปดูที่บ้าน...



             หน้าบ้านลานน้ำค้างปิด ใส่กุญแจทั้งที่เวลาเริ่มจะค่ำ ช่วงหลังบูรพามักเลี่ยงไม่ใช้เส้นทางผ่านหน้าบ้านของเธอ จึงไม่รู้ว่ามันปิดแบบนี้มากี่วันแล้ว

            รอจนค่ำยังไม่เห็นใคร ยิ่งนาน ใจยิ่งร้อนรุ่ม ไม่อาจอดทนรอต่อไปได้อีก สมองครุ่นคิดทบทวน...ที่ผ่านมา มีเรื่องราวใดที่สะดุดใจ อยู่ในข่ายน่าสงสัยบ้าง

            แวบหนึ่งเขานึกถึงโรงพยาบาล ลานน้ำค้างเคยเป็นลมโดยไม่มีสาเหตุ หมอน่านสั่งให้หล่อนไปเจาะเลือด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ทราบผลเลือดครั้งนั้น

            หรือว่าผลเลือดมีปัญหา!

            ลานน้ำค้างป่วยถึงขนาดต้องขอหยุดเรียนเพื่อรักษาตัว

            ดวงความคิดสว่างวาบ ขจัดความมืดมัว สงสัยประเด็นอื่นออกไป

            คนที่ให้คำตอบแก่เขาได้น่าจะเป็นคนเดียว ‘หมอน่าน’



             “สวัสดีครับพี่หมอ” บูรพาต่อโทรศัพท์ถึงหมอน่านทันที
 
            “ว่าไงบู ตอนนี้พี่เข้าเวรอยู่นะ มีธุระอะไรหรือเปล่า?”

            บูรพาขยับปากจะถามข้อข้องใจ แต่ฉุกคิดได้...เรื่องนี้ไม่ควรคุยทางโทรศัพท์ หากลานน้ำค้างป่วยจริงแล้ว สั่งหมอน่านห้ามบอกต่อคนอื่น เขาคงได้รับคำตอบปฏิเสธอย่างง่าย ๆ

            ถ้าคุยกันต่อหน้า ถึงคุณหมอจะพยายามปกปิด หลีกเลี่ยง เขายังพอสังเกตออก บางทีสามารถขอร้อง อ้อนวอน คาดคั้นเอาความจริงได้เหมือนกัน

            “ผมไปหาพี่ที่โรงพยาบาลได้มั้ยครับ”

            “ไม่สบายเป็นอะไรหรือเปล่า?” คุณหมอถามอย่างเป็นห่วง

            “เปล่าครับ พอดีผมมีธุระ ขอไปหาพี่ที่โรงพยาบาล ตอนนี้เลยนะ” ชายหนุ่มรวบรัด ไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ปฏิเสธ ก็รีบปิดโทรศัพท์ทันที

            เก็บโทรศัพท์ สตาร์ทรถ หัวใจเต้นตึกตัก เกิดสังหรณ์หวั่นใจประหลาด แอบหวังว่าสิ่งที่คิดอาจไม่เป็นความจริง ขอให้มันเป็นเพียงความสงสัย เพ้อเจ้อของเขาคนเดียวก็แล้วกัน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ถึงโรงพยาบาล บูรพาเดินตามหาหมอน่านไม่ลำบากนัก แปลกใจเล็กน้อยที่เห็นผู้คนมาโรงพยาบาลมากผิดปกติ ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนป่วย หรือญาติ หลายคนถือช่อดอกไม้มาด้วย

            ถ้าเป็นปกติ บูรพาคงสนใจอยากรู้ว่าคนเหล่านี้มาเยี่ยมใคร คนดังที่ไหนมาป่วยอยู่นี่...แต่ใจเขาจดจ่ออยู่กับหมอน่าน เรื่องของลานน้ำค้าง จึงเลี่ยงกลุ่มผู้คน หลบไปทางห้องแพทย์เวรที่ไม่ค่อยพลุกพล่าน

            ชายหนุ่มเดินมาถึงบริเวณลิฟต์เฉพาะเจ้าหน้าที่ ซึ่งหลบมุมไม่ค่อยมีคนเห็น พบเด็กหนุ่มผมยาว ที่ยังแต่งตัวง่าย ๆ เหมือนเดิม กำลังเดินฉับ ๆ แบบไม่สนใจใครไปยังลิฟต์นั้น

            “โดม” บูรพาทักเสียงไม่ดังนัก

            “พี่บู” โดมทักแปลกใจแกมยินดี “มาได้ยังไงนี่”

            เด็กหนุ่มพูดพลางมองไปด้านหลังบูรพา ดูว่ามีใครอีกคนตามมาด้วยหรือเปล่า

            “พี่มาหาหมอน่าน โดมล่ะมาทำอะไร” บูรพาตอบ

            สีหน้าเด็กหนุ่มมีรอยผิดหวังพาดผ่าน

            “พี่มาคนเดียวหรือ” เขาถามอย่างมีความหวัง ปกติบูรพามักไปไหนมาไหนกับลานน้ำค้างเสมอ

            “มาคนเดียวสิ...คิดว่าจะมีใครมาด้วยล่ะ” บูรพาตอบ ดับความหวังเด็กหนุ่มลง “แล้วเราล่ะมาทำอะไรที่นี่”

            บูรพาถามย้ำ โดมปรับสีหน้าเป็นปกติ

            “แม่ผมป่วยอยู่ที่นี่”

            “อ้าวเหรอ...ขอโทษที พี่ไม่ได้ตามข่าวเลย” บูรพาขอโทษกึ่งเสียใจ... มิน่าล่ะ ในโรงพยาบาลถึงมีคนมากกว่าที่เคยเห็น แถมมีช่อดอกไม้มาด้วย คงเป็นกลุ่มแฟนคลับของมาตาแทบทั้งหมด

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ” โดมไม่คิดติดใจ เขาพูดต่อเหมือนชวนคุย “วันก่อนผมโทรคุยกับลาน...เขาบอกว่าจะมาเยี่ยมแม่ผม พอเจอพี่วันนี้ เลยคิดว่าเขาจะมาด้วย”

            “โดมโทรเจอไอ้ลานมันด้วยเหรอ” บูรพายินดีแกมตื่นเต้น

            “ครับ” โดมตอบงง ๆ ไม่เข้าใจ

            “ไอ้ลานเป็นยังไงบ้าง” เขาถามอย่างกระตือรือร้น

            “ก็...ปกติดี” เด็กหนุ่มไม่เข้าใจ แทนที่บูรพาจะถามอาการป่วยแม่เขา กลับถามถึงลานน้ำค้าง ทั้งที่บ้านอยู่ซอยเดียวกัน

            บูรพาเพิ่งได้สติ เห็นว่าตนเองถามอะไรไม่เข้าท่า

            “ขอโทษทีนะ อาการของแม่โดมเป็นยังไงบ้างล่ะ”

            “ยังทรงอยู่...ตอนนี้นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราเหมือนเดิม” คำถามนี้เจอบ่อย จนโดมสามารถตอบด้วยน้ำเสียงปกติได้แล้ว

            “หมอให้เยี่ยมได้หรือเปล่า พี่เห็นแฟนคลับมากันเต็มเลย”

            “ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ไหวหรอกครับ หมอเขาสั่งห้ามคนนอกมาเยี่ยม แต่ถ้าพี่บูจะไปเยี่ยมก็ได้ ผมจะพาไปเอง” โดมบอก

            บูรพาลังเลใจ เขาไม่ใช่แฟนคลับมาตา ที่สนใจพิเศษก็เพราะเป็นแม่ของโดม เหตุผลที่มาโรงพยาบาลคราวนี้เพื่อคุยกับหมอน่าน จึงไม่อยากเสียเวลา แต่ถ้าไม่ไปตามคำชวน ก็รู้สึกตนเองแล้งน้ำใจ

            โดมเห็นอาการลังเลนั้นก็พอเข้าใจ จึงบอกยิ้ม ๆ

            “พี่บูไปทำธุระให้เสร็จก่อนเถอะ ถ้าว่างแล้วค่อยขึ้นไปเยี่ยมแม่ผมก็ได้ ขึ้นเฉพาะลิฟต์ตัวนี้นะ กดชั้นบนสุดเลย มีห้องพิเศษไม่กี่ห้องหรอก เดินหาเดี๋ยวก็เจอ...คืนนี้ผมอยู่ดึกหน่อย ถ้าพี่ไม่สะดวกจะมาวันหลังก็ได้ ช่วงค่ำอย่างนี้ผมอยู่กับแม่ตลอด”

            บูรพามองกิริยาท่าทางของโดมแล้วชวนให้นึกแปลกใจ...ห่างกันไม่เท่าไหร่ เด็กหนุ่มดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นผิดหูผิดตา

           “อือ...ขอบใจนะโดม” บูรพาบอกอย่างเกรงใจ ถ้าไม่ติดว่าใจร้อน อยากเจอหมอน่านเร็ว ๆ เขาคงตามโดมขึ้นไปแล้ว...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เวลานี้บูรพานั่งอยู่ตรงหน้าหมอน่าน คำถามถูกส่งออกไปแล้ว รอเพียงคำตอบ เป็นคำตอบที่ผู้รอคอยเสมือนกำลังเตรียมฟังคำพิพากษา

            “ถ้าพี่บอกว่า ลานไม่เป็นอะไร บูจะเชื่อมั้ย” หมอน่านถามหยั่งความรู้สึก

            “ทำไมต้องมีคำว่า ‘ถ้า’ ครับ ผมอยากฟังความจริง” บูรพาตอบตามตรง

            หมอน่านนิ่งอั้น จ้องตาชายหนุ่มรุ่นน้องแล้วไตร่ตรอง แววตามีความสับสนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นบ่อยนัก หากไม่ติดรับปากใครบางคน เขาคงสะดวกใจพูดมากกว่านี้

            บูรพาเห็นอาการเช่นนั้นก็พอเดาออก คำถามต่อมาจึงตีวงให้แคบเข้าไปอีก

            “ลาน...ป่วยเป็นโรคอะไรครับ”

            “พี่ยังไม่ได้บอกนะ ว่าเจ้าลานป่วย” หมอน่านแย้ง

            “แต่พี่หมอก็คะยั้นคะยอให้มันไปเจาะเลือด และจนถึงตอนนี้ ผมยังไม่รู้ผลเลือดของมันเลย ถ้ามันไม่เป็นอะไร ทำไมต้องขอดร็อปเรียน...ถ้ามันไม่เป็นอะไร ทำไมที่บ้านถึงไม่มีคนอยู่ และถ้ามันไม่เป็นอะไร ทำไมต้องปิดโทรศัพท์ด้วย”

            หมอน่านไม่ตอบ...การไม่ตอบ บางครั้งมันก็คือการตอบรับ...เพียงแต่การตอบรับของเขาไม่มีคำอธิบายชี้ชัดอย่างที่ผู้ฟังต้องการได้ยิน

            “ผมขอร้องนะครับพี่หมอ” บูรพาอ้อนวอน “บอกผมเถอะ ลานป่วยเป็นโรคอะไร...ผมรับรองจะไม่กวนเขา ถ้ามันจะทำให้อาการแย่ลง แต่ถ้าผมสามารถช่วยอะไรได้ ผมก็จะทำเต็มที่”

            เห็นอย่างนี้ หมอน่านไม่อาจยืนยันคำปฏิเสธได้อีก...สิ่งที่ทำได้คือนั่งนิ่ง มองชายหนุ่มด้วยแววตาเห็นใจ

            บูรพารู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มใจอ่อน แต่คงติดรับปากรักษาความลับเอาไว้

            ถ้าเป็นคนอื่น เรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับลานน้ำค้าง เขาจะยอมหยุด ไม่เซ้าซี้ ไม่ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ แต่นี่เป็นลานน้ำค้าง ผู้หญิงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา

            “พี่หมอก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับลาน...ผมคงบ้าตายแน่ ถ้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา...”

            หมอน่านถอนใจเฮือกใหญ่ เบือนหน้าไม่ยอมสบตาบูรพา ตัดสินใจไม่ถูกควรทำอย่างไร...

            จู่ ๆ ประตูห้องก็เปิดออก คุณดาริกาเดินเข้ามา คล้ายเป็นแสงสว่างฉายส่องขจัดความมืด...ความมืดที่ชายสองคนไม่สามารถหาทางออกจากวงกตพันธะสัญญาและความไม่รู้ได้

            “บอกเขาไปเถอะน่าน” คุณดาริกาพูดด้วยรอยยิ้ม

            รอยยิ้มของแม่ แทนการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของหมอน่าน ทำให้เขาปลดตรวนสัญญาลง และบอกทุกอย่างด้วยวาจาที่ขึ้นมาจ่อรออยู่ริมฝีปากเนิ่นนานแล้ว




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บูรพาแทบวิ่งออกจากห้องพักแพทย์เวรไปยังลิฟต์ เกือบจะทันทีที่ฟังคำพูดคำอธิบายจากหมอน่านจบ ปล่อยให้คุณดาริกาอยู่ในห้องเพียงลำพังกับคุณหมอหนุ่มสองคน

            “ขอบคุณนะครับคุณน้า ที่ช่วยให้ผมหมดภาระไปได้” หมอน่านบอก

            “ไม่เป็นไรจ้ะ”

            “จริงสิ คุณน้าลงมาทำอะไรครับ แล้วเจ้าลานไม่มีปัญหาเรื่องอาการข้างเคียงเหรอ”

            “น้ากำลังจะกลับบ้าน เลยแวะมาฝากน่านให้ช่วยขึ้นไปดูหน่อย พอดีพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า ส่วนเจ้าลานไม่ค่อยน่าเป็นห่วง เมื่อวานไม่อาเจียนเลย วันนี้รับยาเสร็จดูปกติดี แถมยังไล่แม่กลับบ้านเสียอีก”

            หมอน่านขมวดคิ้ว อยากบอกว่าอย่าเพิ่งไว้ใจเรื่องผลข้างเคียงของยา แต่เห็นอีกฝ่ายมีธุระรีบกลับบ้านจริงจึงไม่คิดรั้งไว้ สักครู่ค่อยขึ้นไปดูเองก็ได้...

            อีกอย่าง เวลานี้มีคนเป็นห่วงลานน้ำค้างที่สุด เพิ่งวิ่งออกไปแล้ว ถ้าเจ้าหล่อนเกิดอาการผิดปกติขึ้นมา มีหรือเจ้านั่นจะไม่รีบตะลีตะเหลือกตามหมอกันให้วุ่นทั้งโรงพยาบาล



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP