วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๔



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๒๒



             ...ฝนทั้งฟ้า รินไหล แทนความเศร้าใจ...

             ...เจ็บปวดหัวใจ มากเพียงไร ใช้สิ่งใดทดแทน...



            โดมเดินฮัมเพลง ‘กว่าจะรู้ว่ารัก’ มาตลอดทาง ตั้งแต่ล็อบบี้โรงพยาบาล ในลิฟต์ บนทางเดินไปห้องพักฟื้นผู้ป่วย วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะเพลงนี้ได้บันทึกเสียงเรียบร้อย ทำเอ็มวีเสร็จพร้อมออกอากาศ และส่งแผ่นตามสถานีวิทยุต่าง ๆ ได้

            ตั้งแต่ทราบว่าเขาเป็นลูกใคร ทางต้นสังกัดก็เร่งโปรเจ็กต์ให้เร็วขึ้น เตรียมเพลงซิงเกิ้ลเปิดตัวไว้ให้ร้อง พอดีเกิดอุบัติเหตุกับมาตา และโดมยังไม่พร้อมทำงาน ทางค่ายจึงขอให้เขาจัดสรรเวลามาเข้าเรียน ฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวไว้ก่อน ไม่อยากให้ทิ้งไปเลย โดมยอมทำตามเพราะติดในเงื่อนไขสัญญา

            ภาพถ่ายที่ลงในหนังสือซุบซิบดาราคราวนั้น แม้จะไม่มีการแถลงข่าวอธิบาย แต่นักข่าวหลายคนก็สามารถสืบได้เองว่าโดมเป็นใคร เรื่องของมาตากับลูกจึงถูกเผยแพร่ออกมาคู่กับข่าวคืบหน้าอาการป่วยของเธอ

            ทุกวันนี้โดมไม่สนใจปกปิดสถานภาพตนเอง เพียงแต่ไม่พร้อมให้นักข่าวมาสัมภาษณ์ ประกอบกับทางค่ายต้องการเก็บตัวเขาไว้ รอเปิดตัวพร้อมเพลง ชีวิตของโดมจึงยังไม่วุ่นวายมากนัก

            โดมนำเพลง ‘กว่าจะรู้ว่ารัก’ ไปเสนอกับผู้ใหญ่ทางค่าย บอกถึงเหตุผลที่อยากใช้เพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัว แทนเพลงที่เตรียมไว้ก่อน

            หลังจากที่ประชุมได้ฟังเพลงของเขา ทั้งผู้บริหารและโปรดิวเซอร์ต่างพอใจ และยินดีใช้เพลงนี้เป็นซิงเกิ้ลเปิดตัว อีกทั้งยังเปลี่ยนแนวทางเพลงในอัลบั้มเสียใหม่ ให้เหมาะสมกับเขามากขึ้น

            “สนใจจะแต่งเพลงอื่น เป็นซิงเกิ้ลที่สองของตัวเองอีกมั้ย” โปรดิวเซอร์ถามเขา

            “ไม่รู้สิครับ” โดมตอบ “ผมไม่รู้เลยว่า จะยังเขียนเพลงได้อีกหรือเปล่า”

            คนเป็นโปรดิวเซอร์ย่อมรู้จักนิสัยพวกศิลปิน จึงไม่เร่งรัดให้เด็กหนุ่มเขียนเพลงเพิ่ม

            “งั้นพี่จะให้ทีมนักแต่งเพลง เขาเขียนเพลงให้โดมไว้ก่อนก็แล้วกัน ถ้ามีไอเดียอะไรจะเสนอก็บอกพี่ได้”

            “ครับ” โดมตอบอย่างไม่กระตือรือร้น อัลบั้มเพลงชุดแรกในอนาคตของเขา ไม่สำคัญเท่ากับเพลง ๆ เดียวที่อยากให้แม่ได้ยิน...เพลงที่หวังว่าแม่จะสามารถตื่นขึ้นมาฟังมันในวิทยุได้

            “พี่ขอแนะนำอะไรอย่างนึงนะ” โปรดิวเซอร์มองเด็กหนุ่มแล้วนึกอยากบอกกล่าว ตักเตือน

            “ครับ” โดมรับคำโดยไม่ใส่ใจ

            “โดมมีโอกาสที่วัยรุ่นเป็นหมื่นเป็นแสนอยากได้ โดมมีความสามารถ ที่บางคนพยายามฝึกฝนทั้งชีวิตก็สู้โดมไม่ได้...ถ้ายังอยากทำงานตรงนี้ต่อไป โดมต้องรักมันจริง ๆ มีความรับผิดชอบ แล้วก็ต้องทุ่มเทให้มันทั้งหัวใจ!”

            ประโยคสุดท้ายกระทบใจเด็กหนุ่มอย่างรุนแรง... ทุ่มเททั้งหัวใจ’ ....

            เพลง...กว่าจะรู้ว่ารัก เขาเขียนออกมาจากหัวใจ มันจึงสามารถจับใจได้ หากคิดจะทำงานตรงนี้ เสียงเพลงที่ร้อง ย่อมไม่ใช่เพื่อแม่คนเดียว แต่เพื่อแฟนเพลงผู้ฟังทุกคน ที่สละเวลาฟังเพลงของเขา
    
            “ครับ” ถึงโดมจะใช้คำตอบเดิม คนฟังก็รู้ว่า...ความรู้สึก...ความเข้าใจของเด็กหนุ่ม ไม่เหมือนเดิมแล้ว...



            เสร็จจากทำซิงเกิ้ลเพลงแรก โดมค่อยโล่งอก เพลงที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง เวลานี้เขาอยากมีโอกาสเปิดเพลงให้แม่ฟังเร็ว ๆ

            เด็กหนุ่มเดินเกือบถึงห้องมารดา แล้วฉุกคิดถึงใครบางคนได้ คน ๆ นั้นอยู่ในหัวใจเสมอมา แต่เขายังทำใจแข็งไม่ยอมติดต่อกลับ ด้วยไม่อยากเอาปัญหา ความทุกข์ใจของตนเองไปให้หล่อนร่วมแบกรับ

            เวลานี้มีเรื่องดี ๆ ที่อยากให้เธอร่วมรับรู้ มีความสุขด้วยกัน

            “ลานน้ำค้าง”

            โดมยังไม่เข้าห้อง เลี่ยงออกไปนอกระเบียงที่จัดเป็นสวนหย่อมสวย อากาศบริสุทธิ์ สดชื่น เปิดโทรศัพท์แล้วโทรหาเบอร์ที่คุ้นเคย

            สัญญาณดังอยู่หลายครั้ง กว่าจะมีคนรับสาย

            “สวัสดีครับ” โดมเอ่ยทัก เมื่อรู้ว่ามีคนรับสาย

            “ฮัลโหล” เสียงผู้หญิงแปลก ๆ ไม่ใช่ลานน้ำค้าง

            “ครับ...ขอสายลานน้ำค้าง” โดมบอกอย่างลังเล ไม่รู้ว่าตนโทรผิดหรือเปล่า

            “ใครจะพูดด้วย” คำถามดุแบบครูกับนักเรียน โดมพอฟังออกว่าเป็นคุณดาริกา

            “โดมครับ” เขาตอบพลางสงสัย ทำไมลานน้ำค้างต้องให้แม่รับสายแทน

            เงียบครู่ใหญ่ ก่อนแว่วเสียงเหมือนคนเถียงกันเบา ๆ ก่อนคุณดาริกาจะตอบสั้น ๆ

            “รอเดี๋ยวนะโดม”

            โดมไม่ทันตอบรับ ก็ได้ยินเสียงกระตือรือร้นของลานน้ำค้างมาตามสาย

            “โดมเหรอ ทำไมเพิ่งโทรมา...รู้มั้ยพี่เป็นห่วงแค่ไหน ชอบปิดโทรศัพท์แบบนี้มันเสียนิสัยรู้มั้ย...แล้วเป็นยังไงบ้าง”

            “จะให้ผมตอบคำถามไหนก่อนดีครับ” เด็กหนุ่มยิ้มให้กับปลายสาย หัวใจอบอุ่นบอกไม่ถูก

            “เป็นยังไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า”

            “สบายดี ผมมีข่าวดีจะบอกด้วย”

            “คุณแม่หายดีแล้วเหรอ...” น้ำเสียงหญิงสาวบอกความยินดี จริงใจ

            “เปล่าครับ” เสียงเด็กหนุ่มผิดปกตินิดนึง ก่อนปรับให้เป็นปกติ “ผมทำซิงเกิ้ลเพลงแรกเสร็จแล้วนะ...คงจะได้ฟังเร็ว ๆ นี้แหละ”

            “ว้าย...ดีใจจัง อยากฟัง อยากฟังจังเลย จะออกอากาศเมื่อไหร่...พี่จะคอย...” เจ้าหล่อนส่งเสียงดีใจดังลั่น อย่างกับตนเองเป็นเจ้าของเพลงเสียเอง

            “แล้วผมจะโทรบอกอีกที” โดมพูดกลั้วหัวเราะ

            “ยินดีด้วยนะ เพลงโดมต้องเพราะมาก ๆ แน่”

            ฟังคำชมแบบนี้ โดมได้แต่อมยิ้ม

            “นี่...แล้วตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ยอมส่งข่าวคราวมาเลย” เสร็จจากแสดงความยินดี ลานน้ำค้างก็เริ่มเป็นทนายซักไซ้

            “ผมอยู่บ้านแม่บ้าง อยู่โรงพยาบาลบ้าง ที่ไม่ได้ส่งข่าวก็เพราะกำลังยุ่ง”

            “ตอนนี้แม่ของโดมอยู่โรงพยาบาลไหน ถ้าว่างพี่จะไปเยี่ยม” ลานน้ำค้างบอก

            “อยู่โรงพยาบาล...” เด็กหนุ่มตอบตรงไม่ปิดบัง เวลานี้เขาพร้อมพบหน้าผู้คนแล้ว ไม่จำเป็นต้องเก็บตัวอยู่กับความทุกข์คนเดียว

            ช่วงเวลาที่เจอเรื่องร้าย ๆ ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว

            พอได้ยินชื่อโรงพยาบาล ลานน้ำค้างก็อึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ

            “อยู่ชั้นไหน ห้องไหน...”

            “มันเป็นห้องพิเศษ ชั้นบนสุดเลย ปกติไม่ให้ใครขึ้นมาเยี่ยมหรอก ถ้าคุณมาก็มีทางขึ้นได้...” เด็กหนุ่มอธิบายเส้นทางเฉพาะที่ขึ้นมาห้องพิเศษของแม่ได้

            “อ๋อ...เข้าใจล่ะ ถ้าพี่ว่างจะขึ้น...เอ๊ย...แวะไปเยี่ยมนะ โดมอยู่ตอนไหน”

            “ช่วงค่ำ ๆ ถึงดึก บางทีผมก็นอนค้างที่นี่เลย ส่วนตอนกลางวันบางวันผมต้องเข้าบริษัท”

            เด็กหนุ่มอธิบายอย่างละเอียด อยากให้หล่อนมาหาเขาเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ

            “เข้าใจล่ะ...” ลานน้ำค้างรับคำพลางชวนเด็กหนุ่มคุยต่อ หวังให้เขาเพลิดเพลิน ลืมเลือนปัญหาในปัจจุบัน

            ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะวางสาย โดมมีรอยยิ้มบนใบหน้า นัยน์ตาทอดมองท้องฟ้ายามเย็นอย่างเป็นสุข หัวใจเบิกบานราวกับจะโบยบินออกไปไกลแสนไกล

            ปัญหา ความทุกข์ ความเศร้าใจที่เคยมีล้วนเลือนหายจากความทรงจำ

            “ความทุกข์” เป็นเช่นนี้...ผ่านมาแล้วก็ไป...เฉกเช่นเดียวกับ “ความสุข”




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ขณะโดมกำลังหัวใจอิ่มเอมมีความสุข นึกถึงหญิงสาวผู้กุมหัวใจ เขาไม่อาจรู้เลยว่า ลานน้ำค้างอยู่โรงพยาบาลเดียวกัน ตึกเดียวกัน ต่างกันแค่ชั้นที่ต่ำกว่าไม่กี่ชั้นเท่านั้นเอง



            ในห้องผู้ป่วย

            ลานน้ำค้างวางโทรศัพท์ไว้บนหัวเตียง พลางหลบตามารดาที่จ้องมากึ่งตำหนิกึ่งระอาใจ

            “แม่เคยบอกให้ปิดโทรศัพท์ตอนเข้าโรงพยาบาลไม่ใช่หรือ” คุณดาริกาทำเสียงดุ เอาจริง

            “แหม...ก็ลานกำลังรอโทรศัพท์พี่มุกอยู่นี่คะ อยากรู้ว่าคุณปัณรสีแกเอาทนายมาคุยแล้วผลเป็นยังไงบ้าง”

            “รู้แล้วเราจะทำยังไง?” แม่ถามเสียงดุ

            ลานน้ำค้างหัวเราะแหะ ๆ รีบหาข้อแก้ตัว

            “แต่เปิดโทรศัพท์ทิ้งไว้อย่างนี้ก็มีประโยชน์นะแม่ เห็นมั้ย ได้รู้ข่าวดีจากโดมเขาด้วย”

            “เรานี่น้า...” แม่ส่ายหน้า ไม่รู้จะดุลูกสาวอย่างไร “ทำไมชอบยุ่ง ชอบเป็นห่วงเรื่องของชาวบ้านเขาจริง”

            “ก็...ลูกสาวแม่เป็นคนดีนี่หน่า...” หญิงสาวยิ้มเผล่

            คุณดาริกาอดหัวเราะไม่ได้ ลานน้ำค้างเห็นอย่างนั้นได้โอกาสสำทับต่อ

            “อย่างเจ้าโดมนี่ แม่ก็เห็นใช่มั้ย เขาเจอปัญหาให้กลุ้มตั้งหลายอย่าง ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องงาน เรื่องแม่ที่กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราอีก...ต่อให้พ่อเป็นหมอก็เถอะ ยังช่วยอะไรไม่ได้เลย”

            “เราก็เลยพยายามคุยให้เขาสบายใจ” แม่ต่อให้

            ลานน้ำค้างยิ้มอ่อนหวาน

            “ก็เวลานี้ลานทำได้เท่านี้นี่คะ...ใจจริงอยากช่วยเขามากกว่านี้ ที่จริงลานก็เพิ่งรู้ว่าโดมเขาอยู่ตึกเดียวกับเรา ชั้นบนสุดนี่เอง” หญิงสาวเพิ่งรู้เพราะมัวแต่ช่วยงานเลียบเมืองจนลืมติดตามข่าวสารใด ๆ

            “อ้าวเหรอ” แม่แปลกใจ “แต่เรานี่ก็จริง ๆ เลย ทั้งเรื่องคุณเลียบเมือง ทั้งเรื่องเจ้าโดม เก็บมาใส่ใจ เก็บมาเป็นห่วงหมด ทีกับคนบ้านใกล้กันกลับไม่สนใจ ไม่ห่วงเลย”

            “ใครเหรอ...ใครเหรอคะแม่...” ลานน้ำค้างแกล้งทำหน้าเหรอหรา จนแม่อยากจะฟาดผัวะเข้าสักที

            พอดีประตูห้องคนป่วยเปิดออก หมอน่านเดินยิ้มเข้ามา ยกมือไหว้คุณดาริกา ทักทายลานน้ำค้าง

            “สวัสดีครับคุณน้า...เป็นยังไงบ้างเจ้าลาน”

            “แข็งแรงดีค่ะ แต่แบกกระสอบข้าวสารไม่ไหวนะ” หญิงสาวหยอดมุก

            “ไม่มีใครเขาให้เราไปทำอย่างนั้นหรอกน่า” คุณหมอหนุ่มหัวเราะขัน “อาจารย์หมอท่านรออยู่ที่ห้องเตรียมยาแล้ว...พร้อมหรือยัง”

            “พร้อมตั้งแต่เช้าแย้ว...” ถึงเจ้าหล่อนแสร้งทำเสียงสดใส ดวงตายังปรากฏแววหวั่นขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด

            “ไปเรา...สู้ ๆ เดี๋ยวพี่พาไปเอง คุณน้ารอที่นี่ดีกว่านะครับ”

            “จ้ะ” คุณดาริกาตอบรับ

            คนเป็นแม่มองตามหลังลูกสาวด้วยหัวใจหวั่นวูบ ลานน้ำค้างชอบเป็นห่วงปัญหาของคนอื่น คิดถึงความทุกข์ของคนอื่นก่อนตัวเอง เวลานี้กลับต้องไปเผชิญความเจ็บปวดเพียงลำพัง ไม่มีใครสามารถช่วยบรรเทาแบ่งรับแทนได้เลย

            คุณดาริกาตอบไม่ถูกว่า...หัวใจลานน้ำค้างทำด้วยอะไร




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            มุกดาเลื่อนเวลานัดปัณรสีให้มาพบเลียบเมืองตอนบ่าย อ้างกับฝ่ายนั้นว่าช่วงเช้าติดประชุม แท้ที่จริงเธอนัดทนายมาคุย เพื่อเตรียมข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ ไว้ยันกับทนายฝ่ายปัณรสี

            ราวเที่ยง เกรซมาบริษัท ตั้งใจช่วยรับมือปัญหา... สิ่งแรกที่ทำได้คือรับประทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนเลียบเมือง ที่ห้องพักผ่อนข้างห้องทำงาน

            “โอกาสหน้าผมจะพาไปดินเนอร์ชดเชยนะ” เลียบเมืองบอก

            “เรื่องเล็กน้อยค่ะ เกรซรู้ว่าเลียบกำลังเตรียมตัวรับมือคุณปัณรสี ไม่ต้องห่วงหรอก”

            อาหารกลางวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองหนุ่มสาวพูดจาต่อกันน้อยคำ หลังมื้ออาหารเลียบเมืองรีบเคลียร์งานต่อ เพื่อจะมีเวลาตรวจเช็คเอกสารหลักฐานซ้ำอีกครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาด เกรซแค่นั่งดูเฉย ๆ ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากเท่าที่ต้องการ

            ปัณรสีกับทนายมาถึงบริษัทตรงเวลาตามที่นัดหมาย ไม่มีสามีชาวต่างชาติมาด้วย ทั้งหมดเข้าไปนั่งคุยห้องทำงานเลียบเมือง

            มุกดานำเครื่องดื่มของว่างมาเสิร์ฟ แอบยิ้ม พยักหน้าให้กำลังใจเลียบเมือง ก่อนถอยหลังมาดูความเรียบร้อย ทำท่าอยากจะรับฟังด้วย แต่ในห้องเวลานี้มีเกรซเพิ่มมาอีกคนก็ดูมากเกินไปแล้ว หากมีเลขาฯเพิ่มอีกคน คงดูประดักประเดิดมากเกินไป จึงยอมถอยอย่างไม่เต็มใจ

            ปัณรสีมองเกรซเป็นเชิงถามเลียบเมืองว่าจะให้หล่อนร่วมฟังด้วยหรือ? เลียบเมืองไม่แสดงท่าทีอย่างไรนอกจากพูดเข้าประเด็น

            “เชิญพูดได้เลยครับ”

            ปัณรสีมองหน้าทนายเป็นเชิงขอพูดก่อน ทนายวัยกลางคนพยักหน้าแล้วนิ่ง

            “ดิฉันไม่อยากให้เรื่องนี้บานปลายจริง ๆ นะคะคุณเลียบเมือง” ปัณรสีเริ่มต้น

            “เข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ” ชายหนุ่มบอกเรียบ ๆ

            หญิงสาวสูดลมหายใจยาวลึก มองชายหนุ่มเจ้าของห้องอย่างขอความเห็นใจ

            “ขอปันปันให้ดิฉันเถอะ...” เมื่อเขาให้เข้าเรื่อง หญิงสาวก็พุ่งตรงประเด็น “เวลานี้คุณหญิงกับคุณสันติท่านก็เสียชีวิตแล้ว ปันปันก็เป็นเหมือนลูกกำพร้า แกยังเด็กอยู่มาก ดิฉันอยากมีโอกาสให้ความรัก ความอบอุ่นกับแกอย่างคนเป็นแม่แท้ ๆ ควรจะทำ”

            “นั่นเป็นเรื่องที่คุณควรจะคิดได้ ตั้งแต่ก่อนจะเข้าคลินิกทำแท้งแล้ว” ชายหนุ่มพูดโดยไม่ใส่ใจต่อวาจาเว้าวอน

            “ตอนนั้นดิฉันไม่พร้อม ไม่มีอะไรสักอย่าง ถูกผู้ชายทิ้ง ไม่มีทั้งเงิน ทั้งอนาคต ไม่มีกระทั่งที่ซุกหัวนอน แล้วจะให้ดิฉันแบกภาระเด็กอ่อนได้ยังไง” ปัณรสีอธิบาย

            “ในเมื่อตอนนี้คุณพร้อมแล้ว ทำไมไม่มีลูกกับสามีใหม่ แล้วลืมปันปันไปเสีย” อารมณ์ขุ่นก่อตัวในน้ำเสียงเลียบเมือง

            “ลูกของเราเพิ่งเสียชีวิตไปคะ” ปัณรสีตอบ แววตาเจ็บปวด อาลัย “ทั้งเขาและดิฉันต่างทำใจไม่ได้ ถึงต้องใช้การเดินทางเที่ยวรอบโลกเพื่อให้ลืมแก ลืมบรรยากาศเดิม ๆ ที่เคยมีแกอยู่ในบ้าน”

            แววตาเลียบเมืองอ่อนลง คำพูดที่ตั้งใจสวนกลับรุนแรงหยุดลงที่ริมฝีปาก

            “เสียใจด้วยนะคะ” เกรซที่นั่งเงียบมาตลอด เอ่ยปากด้วยความจริงใจ ดวงตามองปัณรสีสื่อความเข้าใจเช่นผู้หญิงมีต่อผู้หญิง

            เลียบเมืองเห็นกิริยาเช่นนั้นก็ขัดใจ

            “คุณคิดจะเอาปันปันไปเป็นตัวแทนลูกคุณที่ตายไปอย่างนั้นหรือ” คำถามแฝงรอยหยัน

            “ไม่ใช่ค่ะ” ปัณรสีรีบบอกแล้วชะงัก พยักหน้าอย่างจำใจ “อาจจะจริงค่ะ เพราะดิฉันรู้สึกผิดที่ทิ้งปันปันไว้อย่างนี้ พอมีครอบครัวสมบูรณ์ มีลูกคนใหม่ ดิฉันจึงทุ่มเทความรักให้ลูกคนนี้เป็นสองเท่า ให้ความรักกับแกแทนในส่วนของปันปัน...พี่สาวที่แกไม่เคยรู้จักด้วย...”

            เสียงเล่าขาดชะงัก มีรอยสะอื้นเบา ๆ

            “พอสูญเสียแกไปอย่างไม่มีวันกลับ มันเหมือนโลกทั้งใบย่อยยับในพริบตา ไม่ต่างกับเสียลูกทีเดียวถึงสองคน ดิฉันแทบบ้า ร้องห่มร้องไห้ทั้งวัน อยู่บ้านไม่ได้ เห็นอะไรที่เป็นของลูกแล้วใจจะขาด จนสามีต้องพาหนีจากบรรยากาศเดิม ๆ พาตระเวนเที่ยวรอบโลก...”

            เสียงของปัณรสีค่อยปกติขึ้น

            “พอมาถึงเมืองไทย ดิฉันคิดถึงปันปัน แต่อดใจไม่มาหา เพราะเคยรับปากคุณหญิงท่านเอาไว้...จนกระทั่งคุณเป็นฝ่ายติดต่อให้ดิฉันมาบริจาคเลือดให้ปันปัน รู้มั้ยคะว่าตอนนั้นดิฉันดีใจแค่ไหน...แม่เลว ๆ คนนี้มีโอกาสได้ช่วยชีวิตลูก ได้มีโอกาสทำหน้าที่ของแม่จริง ๆ แม้จะเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่มันก็มีความหมายต่อดิฉันเหลือเกิน...ดิฉันอยากจะกราบขอบคุณคุณหญิงกับคุณที่เปิดโอกาสสำคัญนั้นให้ฉัน...”

            ปัณรสีเล่าทุกอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเสแสร้ง ความจริงใจชัดเจนในน้ำเสียงและแววตา หัวใจเลียบเมืองเกิดความสงสารขึ้นชั่ววูบ

            “จนทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณหญิง จึงมาร่วมงานศพ ได้พบปันปัน เห็นแกเศร้าเหลือเกิน ไม่ยอมคุยกับใคร เธอเป็นเด็กกำพร้าขาดทั้งพ่อและแม่ ความรู้สึกของเด็กกำพร้าเป็นอย่างไรดิฉันรู้ดี เพราะตัวเองก็ได้ชื่อว่าลูกไม่มีพ่อเหมือนกัน...”

            ท้ายเสียงไม่อาจปิดความสะเทือนใจได้มิด

            “ดิฉันไม่อยากให้ปันปันต้องว้าเหว่เคว้งคว้างเหมือนดิฉัน...คุณเป็นผู้ชาย ยังหนุ่ม เป็นโสด มีหน้าที่การงานรับผิดชอบมาก ต้องไม่มีเวลาดูแลปันปันแน่ ดิฉันจึงอยากขอร้องเพื่อปันปัน เพื่อตัวคุณเอง คืนปันปันให้ดิฉันเถอะ รับรองว่าดิฉันจะเลี้ยงแกอย่างดี ไม่แพ้กับที่คุณหญิงและคุณเลี้ยงดูแกเลย”

            ปัณรสีจบเรื่องราวด้วยดวงตาเว้าวอน ขอร้องจากใจของแม่คนหนึ่งที่รัก และหวังดีต่อลูกตนเองอย่างจริงใจ

            เลียบเมืองตั้งสติ วาจาเรียบเฉย

            “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่สามารถดูแล ให้ความรัก ความอบอุ่นแก่ปันปันได้ คุณรู้ได้ยังไงว่าปันปันเป็นเด็กกำพร้าแล้วต้องว้าเหว่ เป็นทุกข์...”

            ยิ่งพูดเขายิ่งควบคุมอารมณ์ตนเองได้น้อยลง

            “คุณเคยคุยกับปันปันกี่ครั้ง ตลอดเวลาที่ผมฝืนใจเปิดโอกาสให้คุณใกล้ชิดแกในงานศพ คุณสามารถทำให้แกเปิดใจกับคุณได้มั้ย...แล้วอย่างนี้คุณจะให้ผมไว้ใจยกปันปันให้คุณได้ยังไง”

            น้ำเสียงชายหนุ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

            “ปันปันเคยป่วยเป็นโรคหัวใจ แกเพิ่งผ่าตัดมาถึงสองครั้ง...คุณคิดดู เด็กตัวแค่นี้ต้องรับการรักษาที่เจ็บปวดแบบนี้ถึงสองครั้ง หัวใจแกยังอ่อนแอเหลือเกิน แล้วคุณยังจะใจร้ายพอที่หยิบยื่นความจริงให้แกรู้อีกหรือ... ว่าครอบครัวที่แกรู้จัก ที่แกรักไม่ใช่ครอบครัวของแกอีกต่อไป”

            “สักวันหนึ่งแกก็ต้องรู้” ปัณรสีค้าน

            “มันต้องไม่ใช่วันนี้!” เลียบเมืองตอบโต้ด้วยวาจากร้าว

            บรรยากาศการสนทนาเริ่มรุนแรงจนใกล้ถึงจุดเดือด เสียงกังวาน ทุ้มหนักของทนายวัยกลางคนก็ดังขึ้นเพื่อเบรกความรุนแรง

            “ผมว่าพวกคุณคงไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันก็ได้ครับ”

            คำพูดของทนายทำให้คู่กรณีต่างเงียบเสียง

            “เราน่าจะมองกันในแง่ของกฎหมายดีกว่า”

            เมื่ออีกฝ่ายยกเรื่องกฎหมายมาเป็นประเด็น เลียบเมืองก็หยิบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ มาวางบนโต๊ะ จงใจถ่ายเอกสารสองชุด ยื่นให้ทนายและปัณรสีคนละชุด

            “นี่เป็นหลักฐานการยกให้เป็นบุตรบุญธรรมจากคุณปัณรสี...คุณน่าจะจำลายมือตัวเองได้ หลังจากแม่เสียชีวิต ผมก็ได้ไปยื่นขออำนาจศาลเพื่อเป็นผู้ปกครองปันปันต่อแล้ว ทุกอย่างถูกต้องตามที่คุณเห็น”

            ทนายความพลิกดูเอกสารอย่างละเอียด แล้วเงยหน้าพูดยิ้ม ๆ

            “แต่ศาลยังไม่ได้สั่งให้คุณเป็นผู้ปกครองเด็กนี่ครับ”

           “หมายความว่าคุณจะไปยื่นค้าน” เลียบเมืองเสียงกร้าว

            “ก็...น่าจะทำได้” ทนายความยิ้มแปลก กึ่งเยาะกึ่งขัน “ถึงคุณจะมีอายุมากกว่าเด็กในปกครองเกินสิบห้าปี แต่ศาลอาจดูที่ความเหมาะสมอื่น ๆ ประกอบด้วย อย่างเช่นสถานภาพการสมรส... ในกรณีคนโสดอย่างคุณ การที่ต้องทำงานไปด้วย รับผิดชอบเด็กวัยขนาดนี้ด้วย ศาลอาจเห็นว่าไม่สมควรก็ได้”

            “ผมกำลังจะแต่งงาน!” อาจเป็นด้วยความต้องการเอาชนะ เลียบเมืองจึงหลุดวาจานี้ออกมา พร้อมกับมองไปทางเกรซ เหมือนยืนยันว่าเจ้าสาวของเขาเป็นใคร

            ปัณรสีและทนายความมองตามสายตาชายหนุ่ม มีแววเข้าใจตรงกัน

            “ถ้าเช่นนั้นผมต้องขอแสดงความยินดีด้วย” ทนายกลางคนพูดตามมารยาท ยิ้มให้สองหนุ่มสาว

            เกรซหน้าตึง เหลือบมองเลียบเมืองด้วยแววตาไม่พอใจ ปากเม้มสนิทราวกับกลัวจะหลุดวาจาบางคำออกมา

            “แต่...แค่นั้นอาจไม่พอก็ได้นะครับ” พูดจบทนายความก็หยิบเอกสารจากกระเป๋ามาวางตรงหน้าเลียบเมือง รอยยิ้มเนือย ๆ ประกายตาฉายวับ บอกให้รู้ว่าตนเองกำลังเป็นต่อ

            “นี่เป็นกฎหมายที่ออกมาใหม่ล่าสุด พูดถึงในกรณีบุตรบุญธรรม ที่บิดามารดาบุญธรรมเสียชีวิตทั้งคู่แล้วว่า...ให้บิดามารดาโดยกำเนิด กลับมีอำนาจปกครอง นับแต่เวลาที่ผู้รับบุตรบุญธรรมตาย...”

            เลียบเมืองเสมือนโดนน้ำเย็นจัดราดลงมาโดยไม่รู้ตัว สมองมึนเบลอ พูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ กว่าจะได้สติก็เรียบเรียงวาจาได้ไม่กี่คำ

            “คุณ...ค่อยคุยกับทนายความของผม...ก็แล้วกัน”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP