วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๓



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            รถแล่นมาจอดหน้าบ้านลานน้ำค้าง เวลายังไม่ดึกนัก แสงไฟจากห้องรับแขกยังเปิดสว่าง มองเห็นจากนอกรั้ว ปันปันรู้สึกตัว ตื่นทันทีที่รถจอดเรียบร้อย

            แม่หนูน้อยลุกขึ้นอย่างงัวเงีย เห็นพี่ลานเปิดประตู เตรียมลงจากรถ

            “พี่ลาน” ปันปันร้องเรียก ลานน้ำค้างชะงัก หันไปดูเบาะหลัง

            “ตื่นแล้วหรือจ๊ะปันปัน” หญิงสาวเห็นหน้ายุ่ง ๆ กำลังงัวเงียแล้วอดไม่ได้ต้องเอื้อมมือไปหยิกแก้มเบา ๆ

            “พี่จะเข้าบ้านแล้ว นอนต่อเถอะจ้ะ”

            “บ้านพี่ลานเหรอ” หนูน้อยตาโต ตื่นเต้น “ปันปันอยากไปเที่ยวบ้านพี่ลาน...ปันปันอยากไปเที่ยวบ้านพี่ลาน”

            เจ้าวายร้ายลุกขึ้น กระโดดหย็องแหยง

            “ดึกแล้วนะปันปัน ให้พี่ลานเขาได้พักผ่อนเถอะ” เลียบเมืองบอกน้องสาว

            “ไม่เอา...มาถึงแล้วนี่ ปันปันจะไปดูบ้านพี่ลานด้วย ปันปันอยากเห็น ปันปันไม่เคยมาเลย...นะนะ...พี่ลานให้ปันปันไปเที่ยวบ้านนะ”

            แม่หนูน้อยพูดเร็วเป็นรถด่วน ลงท้ายด้วยเสียงออดอ้อน

            ลานน้ำค้างมองเข้าไปในบ้าน เห็นเงาแม่แวบ ๆ แสดงว่ายังไม่เข้านอน

            “งั้นก็ไปสวัสดีคุณแม่ของพี่ก่อนก็ได้ ปันปันห้ามดื้อนะ”

            “ค่า...ปันปันไม่ดื้อ...ปันปันไม่เคยดื้อเลย...”

            เลียบเมืองแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่...เจ้าตัวน้อยบอก ‘ไม่ดื้อ’ ทั้งที่จริง ‘ดื้อ’ จนฝ่ายเจ้าของบ้านต้องยอมใจอ่อนต่างหาก




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คุณดาริกาได้ยินเสียงรถจอดหน้าบ้าน คิดว่าคุณเลขาคงมาส่งลูกสาวตนเองแล้ว ลุกขึ้นชะโงกหน้าดู เห็นรถยุโรปราคาแพงมาจอดแทนรถญี่ปุ่นคันเดิมที่เคยมาทุกวัน นึกสงสัยว่าเป็นรถของใคร มาธุระอะไร...

            ไม่นาน ลานน้ำค้างลงมาจากรถคันนั้น พร้อมเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่กำลังยิ้มอย่างถูกใจ มีชายหนุ่มร่างสูงที่แม้เห็นในแสงสลัว ก็บอกได้ทันทีว่าหน้าตาดี คมคาย ชนิดสาว ๆ ต่างเหลียวมองซ้ำ ตามลงมาด้วย

            “แม่คะ นี่คุณเลียบเมือง ส่วนนี่น้องปันปัน คุณแม่รู้จักแล้ว”

            ลานน้ำค้างแนะนำง่าย ๆ คุณดาริกาสนใจมองชายหนุ่มเป็นพิเศษ รู้สึกคุ้นตาในอากัปกิริยาท่าทาง บอกไม่ถูกว่าเคยเห็นมาจากที่ไหน

            “อยู่คุยกับคุณแม่ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะเอาน้ำมาให้”

            ลานน้ำค้างบอกต่อแขกที่มาด้วย ก่อนขอตัวเข้าไปในครัว โดยมีแขกตัวน้อยเดินตามต้อย ๆ มองซ้ายมองขวารอบบ้านอย่างสนใจ ปากคอยถามแจ้ว ๆ ชวนคุยไม่ขาดระยะ

            ห้องรับแขกเหลือเพียงเลียบเมืองกับคุณดาริกา... ฝ่ายเจ้าของบ้านกำลังเชิญแขกนั่งรอ สายตาชายหนุ่มมองเห็นภาพของ ‘กลางนภา’พ่อของลานน้ำค้างในชุดนักบิน ติดอยู่บนฝาผนัง ความสนใจของเขาอยู่ที่ชุดฟอร์มและเครื่องบินรุ่นเก่าที่อยู่เป็นฉากหลัง

            “รูปนี้ใช่คุณลุง...พ่อของลานน้ำค้างหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มหันมาถามอย่างสนใจจริง ๆ

            “ใช่จ้ะ” คุณดาริกาตอบ

            เลียบเมืองเดินเข้าไปใกล้ มองรายละเอียดในรูปอย่างทึ่ง ชุดฟอร์มนักบินนั้นมีอาร์มติดบอกสังกัด ป้ายชื่อ และเครื่องหมายยศ ซึ่งพอเห็นแล้วต้องหันมาถาม

            “ขอโทษนะครับ คุณลุงท่านเป็นศิษย์การบินรุ่นไหน”

            “รุ่น...” คุณดาริกาตอบ เธอสามารถจดจำทุกรายละเอียดเกี่ยวกับสามีผู้วายชนม์ได้ชัดเจน

            เลียบเมืองมีรอยยิ้มอย่างยินดี ถามต่ออีกครั้ง

            “เอ่อ...แล้วท่านเป็นนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นไหนครับ”

            “รุ่น...จ้ะ” คุณดาริกาตอบอีกครั้ง นึกสงสัยว่าทำไมชายหนุ่มถึงอยากรู้รายละเอียดมากขนาดนี้

            “จริง ๆ ด้วย” เลียบเมืองยิ้มสว่าง มองคุณดาริกาด้วยนัยน์ตาเป็นประกายพราว “คุณลุงท่านเป็นนักเรียนรุ่นเดียวกับผบ.ประณตเลยนะครับ”

            คุณดาริกาจำชื่อเพื่อนรักของสามีได้ ทราบว่าเวลานี้เขามีตำแหน่งใหญ่โต แต่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเลียบเมืองถึงยินดีขนาดนี้

            “คือ...รุ่นของท่านเป็นไอดอลของผมเลยนะครับ สมัยเป็นนักเรียนนายเรืออากาศ พวกผมได้ยินเรื่องของกลุ่มท่านเป็นเหมือนตำนานประจำรุ่น พวกท่านเป็นนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นเดียวกัน เป็นศิษย์การบินรุ่นเดียวกัน สร้างวีรกรรมให้ประเทศชาติมาด้วยกัน แล้วตอนนี้ พวกท่านก็ยกแผงขึ้นกันทั้งกลุ่ม”

            เลียบเมืองชะงัก เมื่อนึกได้ว่า...กลุ่มนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นไอดอลของเขา ไม่ได้มีชีวิตรอดมาถึงปัจจุบันทุกคน และคุณลุงคนนี้คือหนึ่งในบุคคลที่เขาพอจะจำชื่อได้ว่าเสียชีวิตจากวีรกรรมครั้งนั้น

            “ผม...” ชายหนุ่มพูดด้วยความรู้สึกผิด “ต้องขอโทษด้วยครับ”

            “ไม่ต้องขอโทษหรอก” คุณดาริกายิ้มละไม “ป้าไม่ได้เสียใจเลย แถมยังดีใจเสียอีกที่ยังมีคนจำคุณกลางได้...”

            “คุณกลาง...” เลียบเมืองทวนชื่อและยศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เรืออากาศเอกกลางนภา...พวกผมไม่มีวันลืมหรอกครับ”

            ชื่อนี้หลุดจากปาก บอกถึงจิตใจเต็มไปด้วยความยกย่อง วีรกรรมที่รุ่นไอดอลของเขาสร้างให้แก่ประเทศชาตินั้น...มีนักบินเสียชีวิตสองนาย หนึ่งในนั้นคือ เรืออากาศเอกกลางนภา

            “คุณเป็นนักบินเหมือนกันหรือ...ป้าคิดว่าทำงานบริษัทของครอบครัวเสียอีก” คุณดาริกาถาม

            “เคยเป็นครับ” เลียบเมืองตอบ มีกระแสอาวรณ์อยู่ในนั้น “แต่ลาออกตอนคุณพ่อท่านเสียชีวิต”

            ถึงตรงนี้คุณดาริกาไม่ถามอีก เข้าใจถึงความอาวรณ์ผูกพันที่ชายหนุ่มมีต่อท้องฟ้า เฉกเช่นเดียวกับ กลางนภา สามีของเธอ...

            ...ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ชายบนฟ้า” สองคน จะได้มาพบกันที่นี่ ในสภาพต่างกันคนละภพ...

            เลียบเมืองมองรูปบนฝาผนัง แววตามีความศรัทธา ชื่นชม

            “ท่านยิ่งใหญ่มากนะครับ ในความรู้สึกของนักบินรุ่นน้องรุ่นลูกอย่างพวกผม” ชายหนุ่มก้มมองมือทั้งสองข้างของตนเอง “มันทำให้ผมนึกละอายใจ ที่ไม่สามารถทำหน้าที่ชายชาติทหารได้สมเกียรติอย่างท่าน”

            “แต่คุณก็มีอะไรหลายอย่างคล้ายเขานะ” คุณดาริกาบอกอย่างอ่อนโยน แววตาที่มองภาพถ่ายมีรอยรำลึกอันงดงาม “ลักษณะท่าทางของคุณ วิธีการพูด วิธีคิด และสิ่งที่อยู่ในใจคุณ คล้ายเขามาก”

            นี่เองคือสิ่งที่คุณดาริกาสังเกตเห็นตั้งแต่แรกพบ

            ฝ่ายเจ้าของบ้านเงยหน้ามองชายหนุ่ม พร้อมกับมีคำพูดปิดท้าย

            “สถาบันของพวกคุณ ได้หล่อหลอมลูกผู้ชายจริง ๆ ออกมาอย่างสมบูรณ์แล้วค่ะ”

            เลียบเมืองยิ้มให้คุณดาริกา สองตาที่มองต่อกัน มีความเข้าใจร่วมกันลึกซึ้ง



            เสียงปันปันแจ้ว ๆ นำหน้า ก่อนเจ้าตัวและลานน้ำค้างจะออกมาจากห้องครัว พร้อมกับน้ำดื่ม น้ำหวาน ขนมขบเคี้ยว

            “ปันปันไปกวนอะไรพี่ลานเขาหรือเปล่า” เลียบเมืองถามน้องสาว

            “ป่าวน้า...ปันปันแค่ไปช่วยเลือกขนมเท่านั้นเอง”

            “ช่วยให้ยุ่งล่ะสิ” ชายหนุ่มหยอกล้อ ก้มตัวลงอุ้มเด็กหญิงขึ้นมา แล้วชี้ให้ดูรูปพ่อของลานน้ำค้าง

            “ปันปันมาสวัสดีคุณลุงกลางนภาก่อนเร็ว” ชายหนุ่มบอก

            “คุณลุงเป็นใครเหรอ” เจ้าตัวน้อยหันมาถามก่อน

            “เป็นพ่อของพี่ลานไง” เลียบเมืองตอบ

            “สวัสดีค่ะ” เด็กหญิงยกมือไหว้สวย ดวงตาแจ่มแจ๋ว จ้องภาพตรงหน้าแล้วบอกกับพี่ชาย

            “รูปคุณลุงเหมือนรูปพี่ปอนเลย...พี่ปอนก็มีรูปแบบนี้เหมือนกันใช่ม้า...”

            “จ้า...” เขาตอบลากเสียงก่อนวางเจ้าตัวเล็กลงกับพื้น

            “ดื่มน้ำ...กินขนมก่อนค่ะ คุณเลียบเมือง” ลานน้ำค้างบอก

            “รบกวนคุณแย่เลย” ชายหนุ่มยิ้มรับ นึกถึงเรื่องบางเรื่องได้ “เอ่อ...ต่อไปคุณอย่าเรียกผมว่า ‘คุณเลียบเมือง’ เลย ฟังดูแปลก ๆ ยังไงพิกล พ่อคุณเป็นถึงรุ่นพี่ผมเลยนะ”

            ลานน้ำค้างมองเขา แล้วหันไปทางมารดาอย่างไม่เข้าใจ คุณดาริกายิ้มน้อย ๆ แววตาไม่บอกว่าแปลกใจแต่อย่างใด

            “แล้วจะให้เรียกคุณว่ายังไงคะ” นี่เป็นข้อสงสัยมากกว่าคำถาม

            “เรียก ‘พี่ปอน’ แบบปันปันไง” เด็กหญิงทะลุกลางปล้องขึ้น

            “หือ” เลียบเมืองมองเจ้าตัวน้อย พลางถามอย่างล้อเลียน “ยอมให้คนอื่นเรียกชื่อพี่ปอนแล้วเหรอ”

            “ปันปันไม่ได้หวงไว้คนเดียวซะหน่อย” แม่หนูน้อยทำจมูกเชิด “ไม่มีใครเรียกตามปันปันต่างหาก”

            ลานน้ำค้างมองสองพี่น้องคุยกันแล้วอดขันไม่ได้ ภาพของเลียบเมือง ผู้ชายเพอร์เฟกต์ที่อยู่ในกรอบรูป ได้หลุดออกมาแล้ว กลายเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่อยู่ใกล้จนเกือบจะเอื้อมแตะเขาได้

            “ตกลงคุณเรียกผมว่า ‘พี่ปอน’ ตามแบบปันปันก็ได้ เจ้าตัวเขาอนุญาตแล้ว”

            “ไม่ดีมั้งคะ” ถึงอย่างไร หล่อนก็รู้สึกกระดากที่พัฒนาความสนิทสนมรวดเร็วขนาดนี้

            “ไม่ดีตรงไหน...คุณเป็นลูกสาวรุ่นพี่ผม ก็ต้องเรียกผมว่า ‘พี่’ น่ะถูกแล้ว หรือคุณจะเรียกผมว่า...คุณอา”

            ลานน้ำค้างหัวเราะคิก นึกไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้ก็มีอารมณ์ขันเหมือนกัน...

            วงสนทนาเริ่มต้น แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ดื่มน้ำหมดแก้ว กินขนมหมดจาน แต่เป็นบรรยากาศที่รื่นรมย์ สนุกสนาน สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ให้คืบหน้าอย่างเหลือเชื่อ

            กว่าหญิงสาวจะรู้ตัวอีกที ก็เดินมาส่งสองพี่น้องถึงหน้าบ้านแล้ว

            “พรุ่งนี้เจอกันที่งานศพนะครับ” เลียบเมืองบอกลา

            “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับ ก้มตัวโบกมือให้เจ้าตัวเล็ก “บ๊ายบายปันปัน”

            “บ๊ายบายค่ะ” ปันปันโบกมือตอบ แล้วรอยยิ้มของแม่หนูน้อยก็เปิดกว้างขึ้น เมื่อมองไปยังด้านข้างหญิงสาว

            “สวัสดีค่ะ ปันปันกลับแล้วนะคะ” ปันปันยกมือไหว้ พร้อมกับย่อตัวน้อย ๆ แบบเคารพผู้ใหญ่

            ลานน้ำค้างหันกลับไปมองด้านข้าง คิดว่าปันปันคงไหว้มารดาตนที่กำลังเดินตามมา แต่ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครสักคน...คุณดาริกายังอยู่ในบ้าน

            “ปันปันไหว้ใครน่ะ” เลียบเมืองออกปากถามอย่างสงสัย

            “ไหว้คุณลุงค่ะ” เด็กหญิงเงยหน้าตอบเสียงใส “คุณลุงนักบินคนที่อยู่ในรูปไงคะ”

            คำพูดไร้เดียงสาของปันปัน ทำให้สองหนุ่มสาวตัวชาวาบ พูดอะไรไม่ออก...เลียบเมืองอาจไม่รู้ความสามารถพิเศษของน้องสาวว่าแม่นยำ ชัดเจนเพียงใด...แต่ลานน้ำค้างรู้...

            สิ่งที่ปันปันเห็น มีความน่าเชื่อถือไม่น้อยกว่าที่หล่อนเห็นแน่นอน!

            เวลานี้ หญิงสาวกำลังนึกสงสัยอย่างรุนแรง...

            ทำไมปันปันถึงเห็นพ่อ...ในขณะที่ลูกสาวแท้ ๆ กลับไม่มีโอกาสเช่นนั้น??

            “คุณลุงว่ายังไงบ้างปันปัน” ลานน้ำค้างทรุดตัวลงกระซิบถาม

            แม่หนูน้อยยิ้มแป้น

            “ไม่ว่าไง...คุณลุงยิ้มให้ปันปันเฉย ๆ แล้วก็ไป”

            ลานน้ำค้างถอนใจเฮือกใหญ่ แล้วฉุกใจคิด...ปันปันก็ไม่เคยเห็นคุณสันติเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นคงเล่าให้ฟังนานแล้ว...หรือว่า...ยิ่งใกล้ชิด ยิ่งผูกพัน ยิ่งไม่ควรพบพาน เพื่อเพิ่มสายใยรัดรึงดวงวิญญาณ...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างปิดประตูรั้ว เดินเข้าบ้านด้วยคำถาม ความสงสัยวนเวียนในหัวสมอง สายตาพยายามมองหาบางสิ่งที่อาจหลบซ่อน บางสิ่งที่ยังอยู่ใกล้ด้วยความเป็นห่วง บางสิ่งที่โดนสายใยแห่งความห่วงหาร้อยรัดไว้ จนไม่อาจไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่านี้...

            “พ่อ...” ลานน้ำค้างพึมพำ “พ่อยังอยู่ใกล้ ๆ พวกเราเสมอใช่มั้ยคะ”

            คำถามปลิวหายไปกับความเงียบ...

            หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่จนเข้าใจ...ถ้าจะได้พบ คงได้พบนานแล้ว...ที่ไม่เคยสัมผัสเห็นกันเลย ทั้งที่ตนเองก็รู้จักผู้อยู่หลังความตายมากมาย นั่นก็เพราะ...ไม่สมควรได้พบ เท่านั้นเอง

            ทำใจได้เร็ว เข้ามาในบ้าน เห็นแม่กำลังเก็บแก้วเก็บจานอยู่ จึงรีบเข้าไปช่วย

            “เดี๋ยวลานจัดการเองค่ะ แม่ขึ้นไปนอนเถอะ”

            “จะรีบไล่แม่ไปนอนถึงไหนเจ้าลูกคนนี้” แม่บ่นแกมหยอก พลางดึงลูกสาวลงนั่งคุยกันที่โซฟา “เป็นยังไง ส่งแขกเรียบร้อยดีไหม”

            “เรียบร้อยแล้วค่ะ” หญิงสาวจงใจไม่เล่าถึงเรื่องคำพูดของปันปัน “ลานนี่แย่จัง พาแขกมากวนแม่ตอนกลางคืนอย่างนี้”

            “ไม่กวนหรอก เขาน่ารักดีออก ทั้งพี่ทั้งน้อง”

            “ค่ะ วันนี้เขาดูเป็นกันเองดี นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะรู้จักพ่อด้วย” หญิงสาวพูดอย่างแปลกใจ

            “คุณเลียบเมืองเขามีอะไรหลายอย่างคล้ายพ่อของลาน” แม่เงยหน้ามองรูปพ่อ แล้ววกกลับมาถามลูกสาว “ลูกชอบเขาใช่มั้ย”

            ลานน้ำค้างพูดไม่ออก นึกไม่ถึง แม่จะจู่โจมเร็วขนาดนี้

            “ค่ะ” เธอตอบตามตรง ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกแม่ เพราะครั้งหนึ่งแม่เคยได้ยินประโยคนี้มาแล้วจากบูรพา!

            “แม่เข้าใจ” คนเป็นมารดาเอื้อมมือลูบผมบุตรสาวเบา ๆ “เพราะลูกชอบเขา ถึงยอมเหนื่อยไปช่วยงานขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่แข็งแรง”

            “แต่ลานไม่เป็นอะไรนะคะ” ลานน้ำค้างอดเถียงไม่ได้

            แม่ยิ้มพลางส่ายหน้า...แรกทีเดียว คุณดาริกาไม่อยากให้ลูกสาวออกไปเหน็ดเหนื่อยช่วยงานบริษัทเลียบเมือง ทั้งที่ร่างกายไม่สมบูรณ์อย่างนี้ แต่เห็นอากัปกิริยาของลูกสาว ได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งระหว่างลานน้ำค้างกับบูรพา ทำให้รู้ว่า อย่างไรก็คงค้านความต้องการของบุตรสาวไม่ได้

            “แม่เป็นห่วงลานนะลูก” แม่บอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “คิดดู ขนาดเรื่องไปเรียน แม่ยังขอให้ดร็อปไว้ก่อน แล้วนี่ลูกต้องไปตรากตรำช่วยงานเขาขนาดนั้น แม่จะยอมได้ยังไง”

            ลานน้ำค้างมองมารดาด้วยแววตาเข้าใจ รู้สึกผิด

            “แต่ก็เพราะได้ยินลูกทะเลาะกับบูรพา...รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะคัดค้าน ถึงต้องยอมปล่อย”

            มือของแม่ยังอบอุ่นเสมอยามสัมผัสเส้นผมลูกสาว

            “พอแม่เห็นคุณเลียบเมืองวันนี้ ถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมลูกถึงชอบเขามากขนาดนี้”

            แม่พูดตรงไปตรงมา ลานน้ำค้างได้แต่ก้มหน้า พูดไม่ออก

            “เขามีอะไรหลายอย่างคล้ายพ่อ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็มีหลายอย่างที่ต่างจากพ่อเหมือนกัน” แม่พูดแค่นั้น ลานน้ำค้างก็เงยหน้าขึ้นบอกแม่ด้วยน้ำเสียงมั่นคง

            “ลานยอมรับว่าชอบเขา...แต่ก็ไม่เคยคาดหวังอะไรเลยค่ะแม่...ลานมีความสุขแค่ได้ช่วยเขา ได้ชอบ ได้มองเขาอยู่เฉย ๆ เท่านั้นเอง”

            แม่ดึงลูกสาวมากอด

            “แม่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร...รู้ว่าหัวใจคนเรามันดื้อ...ดื้อจนไม่สามารถบอกให้เชื่อ บอกให้เป็นไปอย่างต้องการได้ง่าย ๆ”

            “แม่ว่าลานใช่มั้ยนี่” ลูกสาวทำเสียงงอน คนเป็นแม่หัวเราะ ผลักศีรษะลูกสาวออก

            “แล้วนี่โทรคุยกับบูรพาเขาหรือยัง”

            “โทรทำไมคะ” พอแม่เปลี่ยนเรื่อง ลานน้ำค้างเริ่มตามไม่ทัน

            “แสดงว่าตั้งแต่ทะเลาะกันวันนั้น เราก็ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกับเขาเลย”

            “ไม่ต้องพูดก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องโกหก” หญิงสาวเฉไฉ

            “เราจะปล่อยให้เขาเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปหรือ”

            พอแม่ถามอย่างนี้ หล่อนก็ถอนใจ

            “เอาไว้ก่อนเถอะค่ะแม่...ตั้งแต่รู้จักกับเจ้าหมูมาเป็นสิบกว่าปี ลานทะเลาะกับมันเป็นร้อยครั้งแล้ว ไม่เคยเห็นมันตัดสวาทขาดสัมพันธ์กับลานจริง ๆ สักที”

            “แล้วไม่เข้าใจหรือ...ว่าเพราะอะไร” แม่วกกลับมาตั้งคำถาม ลูกสาวได้แต่อึ้ง ไม่กล้าตอบ

            ...เรื่องบางเรื่อง...ถ้ายังไม่ยอมให้หลุดจากปาก...มันก็ยังไม่เป็นความจริง...ใช่หรือไม่...

            แม่หัวเราะเบา ๆ คร้านจะพูดจาอะไรมากไปกว่านี้ สายตาผู้ใหญ่เช่นคุณดาริกา สามารถมองเห็นกระจ่างลึกซึ้งกว่าเด็กรุ่นลูก อีกทั้งยังแยกแยะความรู้สึกแต่ละฝ่ายออกมาชัดเจน จึงพอมองเห็น ‘อะไรบางอย่าง’ ที่เจ้าตัวไม่รู้ ไม่เคยสังเกต...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ควันไฟลอยออกจากปล่องเมรุเป็นระลอก บอกให้ทราบถึงการสิ้นสุดพิธีฌาปนกิจศพ ร่างผู้ตายถูกพระเพลิงชำระล้าง แยกธาตุ แยกความเป็นตัวตนออกมาให้เห็น เพียงแต่จะมีใครสักกี่คนสังเกต สนใจ

            แขกเหรื่อส่วนใหญ่ต่างทยอยกลับเมื่อสิ้นสุดพิธี ลานหน้าเมรุที่เคยคลาคล่ำหนาตาด้วยผู้คน กลับโล่งว่าง แทบไม่เหลือใคร

            ลานน้ำค้างยืนมองควันไฟระลอกน้อยใหญ่ที่ลอยออกมาจากปล่องเมรุ รับรู้ถึงการแยกสลายของร่างกาย อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

            ...นี่สินะคือความตาย...หล่อนบอกต่อตนเอง

            ตายก็เผา กระดูกป่นเป็นเถ้า คนที่เศร้าเสียใจอยู่เบื้องหลังไม่นานก็ลืมเลือน...มีอะไรให้เป็นห่วง...มีอะไรให้หวาดกลัว...มีใครในโลกบ้างไม่มีวันตาย?

            คนที่อยู่ใกล้ความตายเช่นเธอรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาชั่วขณะ จิตใจอาจหาญ กล้าท้าความกลัวในใจ

            ...ถ้ารักษามะเร็งไม่หาย...จะตายก็ตายไป...กลัวทำไมกัน อย่างน้อยก็สู้สุดแรง...

            “กลัว ก็ตาย ไม่กลัว ก็ตาย

            ตายอย่าง รู้ตื่น ถึงจะสมค่าที่ได้เกิดเป็นคน



            แขกในงานต่างทยอยกลับจนหมด เหลือเพียงเจ้าภาพกับญาติสนิทไม่กี่คน ในจำนวนนั้นมีเกรซกับปัณรสีอยู่ด้วย ส่วนลานน้ำค้าง คุณดาริกา และมุกดาอยู่อีกด้าน คอยดูแลเจ้าหน้าที่เก็บข้าวของให้เรียบร้อย

            ปัณรสีรอจังหวะที่ญาติสนิทของเลียบเมืองลากลับ จึงเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับสามีชาวต่างชาติ

            “ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ” ปัณรสีเริ่มต้น

            “ขอบคุณครับ พวกคุณจะกลับต่างประเทศเมื่อไหร่” เลียบเมืองจงใจตอบเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้สามีของปัณรสีรับรู้ด้วย

            “คงยังค่ะ ดิฉันนัดคุยกับคุณพรุ่งนี้นี่คะ” ปัณรสีตอบ

            “คุยกันที่นี่ ตอนนี้ก็ได้ครับ ผมว่างแล้ว” ชายหนุ่มยังตอบเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดิม

            “พรุ่งนี้ดีกว่าค่ะ” คราวนี้หญิงสาวยอมพูดภาษาเดียวกับเขา “เพราะดิฉันนัดทนายเอาไว้แล้ว”

            ดวงตาเลียบเมืองทอประกายวาวโรจน์ ขุ่นเคือง

            “ดิฉันพยายามพูดคุยกับคุณดี ๆ มานานแล้ว จนคิดว่าคงไม่มีประโยชน์...น่าจะใช้คนที่มีความรู้ด้านกฎหมาย มาพูดแทนจะดีกว่า” ปัณรสีทิ้งท้ายด้วยภาษาไทย

            สองสามีภรรยาเดินจากไป เลียบเมืองมองตามด้วยแววตากร้าว เจ็บใจจนแน่นอก...เกรซเดินเข้ามาหา หล่อนได้ยินวาจาทุกคำที่สนทนากัน

            “เลียบ...” น้ำเสียงหล่อนนุ่มนวล หวังช่วยให้เขาใจเย็นลง “ไม่เป็นไรนะ พรุ่งนี้เกรซจะอยู่กับคุณ”

            ชายหนุ่มฝืนยิ้มให้หล่อน ทั้งที่จิตใจหนักอึ้ง อึดอัดจนบอกไม่ถูก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP