วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๑





Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๒๐



            โดมเดินเชื่องช้ากลับห้องผู้ป่วย แต่ละก้าวถูกบรรจุด้วยความคิด ความรู้สึกหลากหลาย ยากจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

            เรื่องที่ได้ฟังจากปากแฟนคลับแม่ เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน...

            “น้ากับพ่อน้องดรีมเคยอยู่ด้วยกันโดยยังไม่ได้แต่งงาน พอเกิดปัญหาใหญ่ก็เลิกกันง่าย ๆ ตอนนั้นน้าเพิ่ง รู้ตัวว่ากำลังท้องน้องดรีม...มันเครียดมาก ไม่รู้จะหาทางออกยังไง จะขอกลับไปคืนดี เอาเรื่องลูกมาอ้างก็ทำไม่ได้ เขามีคนใหม่แล้ว ถ้ายอมคลอดน้องดรีมออกมา น้าก็กลัวจะเลี้ยงไม่ไหว...มันกลัวไปหมด กลัวพ่อแม่จะว่า กลัวคนรอบข้างจะดูถูก กลัวกระทั่งว่าจะหาผู้ชายคนใหม่ไม่ได้...”

            คำพูดของสาวใหญ่ชัดตรง ไม่ปิดบังความรู้สึก

            “ช่วงกำลังกลุ้ม หาทางออกไม่ได้ จู่ ๆ น้าก็ได้ยินเพลงของมาตา...เป็นเพลงที่โดนใจอย่างไม่เคยเป็นมา ก่อน”



            ...ฉันก็แค่ผู้หญิง...ผู้หญิงคนหนึ่ง...แต่ผู้หญิงคนนี้...ถึงไม่ดีอย่างไร...

            ...ฉันจะไม่วิงวอน ขอร้องกับใคร...ขาดเธอ ขาดไป...ยังไงก็ไม่ขาดใจ...

            ...ไม่มีเธอ ฉันก็อยู่ได้...ไม่มีเธอ...ฉันคง...ไม่ตาย...ไม่ตาย...



            เพลงนี้เป็นเพลงเปิดตัวอัลบั้มชุดแรกของมาตา บอกความเป็นตัวตนของเธอชัดเจน เพลงเปิดตัวที่ชื่อ แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง’ ช่วยสร้างชื่อเสียง พามาตาให้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นนักร้องยอดนิยมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

            “เพลงของมาตาทำให้น้าได้คิด...ฮึดสู้...น้าก็ผู้หญิงคนหนึ่ง ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงจะเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ ทำไมผู้หญิงคนนี้ต้องไปคอยรับเศษน้ำใจจากผู้ชายที่ไม่เหลือใจให้เรา...เพลงของมาตาทำให้น้าคิดถึงศักดิ์ศรีของตัวเอง น้าเลยเป็นแฟนเพลงของมาตาตั้งแต่นั้น”

            เรื่องเล่ายังมีต่อ...

            “ช่วงที่มาตากำลังดังแรก ๆ ก็มีข่าวมาสกัดดาวรุ่งว่าเธอมีลูก มีสามีแล้ว...น้าได้ดูภาพวันแถลงข่าว สัมภาษณ์ของเธอ มันทำให้น้าชื่นชม และรักเธอมากยิ่งขึ้น...”

            “มาตาไม่ได้ปฏิเสธข่าว เธอยอมรับเรื่องการแต่งงานกับหมอนภัทร ยอมรับว่าหย่าร้างกันแล้ว โดยมีลูกชายคนนึง...เธอบอกว่า...เธอแต่งงานด้วยความรัก และหย่าร้างด้วยความไม่เข้าใจ

            แม้เธอจะไม่ได้เป็นภรรยาคุณหมออีกแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นแม่ของน้องโดมตลอดไป ไม่มีสิ่งใดมาตัดสายสัมพันธ์แม่ลูกได้...ถึงวันนี้เธอจะไม่มีสิทธิเลี้ยงดูลูก แต่ไม่มีใครมีสิทธิมาห้ามเธอรักลูก...เธอเลิกกับคุณหมอก็จริง แต่เธอไม่มีวันเลิกรักลูกเธอได้เด็ดขาด

            เธอหวังไว้ว่าสักวันจะมีโอกาสได้อยู่กับลูก...ลูกชายคนเดียวที่เป็นแก้วตาดวงใจของเธอ...เรื่องนี้มันผ่านมานานพอ ๆ กับอายุของน้องดรีม ตอนนั้นน้าก็หวังไว้เหมือนกันว่าสักวันน้องดรีมเขาจะรู้ว่าน้ารักเขามากขนาดไหน...จนถึงวันนี้ น้าไม่เสียใจเลยที่ได้ตัดสินใจไปอย่างนั้น...

            ภาพสองแม่ลูกที่มองกันด้วยความรัก ความเข้าใจ ทำให้โดมรู้สึกหัวอกแน่น จิตใจแปลบ ๆ ตื้นตัน...

            โดมเดินกลับมาพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่จากคุณน้าคนนั้น เขารับปากจะนำมันมาใส่แจกันบนหัวเตียงของแม่ รับปากจะเล่าเรื่องราวที่ได้ยินให้แม่ฟัง

            เข้ามาในห้องคนป่วย เห็นใบหน้าของแม่หลับพริ้มอยู่บนเตียง ใจตื้นตัน พูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงนำดอกไม้ที่ได้ไปใส่แจกัน วางบนหัวเตียง ก้มมองมารดา รู้สึกถึงก้อนสะอื้นที่แล่นมาจุกในลำคอ

            “แม่...” โดมหลุดปากเพียงแผ่วเบา “ทำไมแม่ถึงรักผมเหลือเกิน...ทั้งที่ผมไม่เคยทำอะไรดี ๆ เพื่อแม่เลย สักครั้ง”

            พูดได้เท่านี้ ลำคอก็จุกตัน พูดอะไรไม่ออก ความเศร้าเสียใจ ใกล้ทะลักออกมา...ทนไม่ไหวรีบเดินไปที่ริมหน้าต่าง เกรงจะไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้...เขาไม่อยากให้แม่เห็นน้ำตา ไม่อยากให้แม่รู้ว่าเขาร้องไห้...

            สายฝนเบื้องนอกยังกระหน่ำหนักไม่สร่างซา...หรือว่า...ฟ้าก็มีเรื่องให้เศร้าเสียใจ...หยาดน้ำฝนกระทบกระจกหน้าต่างเป็นเม็ด ๆ แล้วหลากไหลลงมาไม่ขาดสาย ดูยิ่งเหมือนหน้าต่างกำลังร้องไห้...ร่วมเศร้าใจไปกับฟากฟ้า

            โดมเอามือทาบบานกระจกหน้าต่าง...เขากำลังร้องไห้...น้ำตามันไม่ได้ไหลออกมา ทว่าตกกระหน่ำเป็นพายุอยู่ภายใน รุนแรงไม่แพ้สายฝนด้านนอก...

            ชั่วขณะหนึ่ง เด็กหนุ่มสัมผัสถึงจังหวะของฝนน้ำตาในจิตใจ มันผสานเป็นเสียงเดียวกับเม็ดฝนที่กระทบบานหน้าต่าง กลมกลืนเข้ากับพายุฟ้าคะนองเบื้องนอก

            ปลายนิ้วที่แตะกระจกขยับเล็กน้อย เหมือนมันสัมผัสอยู่บนคีย์เปียโน ปลายนิ้วขยับเปลี่ยนทีละคีย์เป็นเสียง..เป็นจังหวะ...ท่วงทำนองที่ละล่องไหลตามหัวใจสรรสร้าง

            สมองเบา โปร่งโล่ง เสียงเพลงในหัวใจดังก้องกังวานชัด...เด็กหนุ่มรีบหยิบกระดาษ ปากกาในลิ้นชักโต๊ะออกมา แล้วขีดเขียนวลีจากใจ ไปพร้อมกับคีตาพิรุณ...



            ฝนทั้งฟ้า...รินไหล แทนความเศร้าใจ

            เจ็บปวดหัวใจ มากเพียงไร ใช้สิ่งใดทดแทน

            ...กว่าจะรู้ว่ารัก กว่าจะรู้ว่าเธอนั้น สำคัญแค่ไหน

            ...มันก็สายไปแล้ว...สายไปแล้วใช่ไหม

            อยากตะโกน กู่ก้อง...บอกให้รู้ว่ารัก...รัก...รัก คำเดียวคำนั้น

            ขอได้มีโอกาส โปรดเถิดฟ้า ขอโอกาสแก่ฉัน

            ...ที่ผ่านมาไม่รู้...ไม่รู้เลยว่าเคย ทำเธอเสียใจ...แค่ไหน

            ...ก็เพราะความโง่เขลา ก็เพราะเรา มัวคิด...แค่ตัวเอง

            ต่อแต่นี้สัญญา...ฉันขอสัญญา...จากใจ

            จะไม่ทำให้เธอร้องไห้ จะไม่ทำให้เธอเสียใจ...สัญญาจากใจ...ของฉัน

            ...โปรดเถิดฟ้า ได้โปรด...โปรดให้โอกาส...สักครั้ง

            ...กว่าจะรู้ว่ารัก กว่าจะมีวันนี้...ฉันรู้ดี เพราะมีเธอ...เสมอมา

            ...จะรักเธอให้มาก...มากกว่าเคยรักใคร...มากกว่าเธอรักฉัน...สัญญา...



            เด็กหนุ่มวางปากกา หัวอกเบา โล่ง ราวกับได้ระบายความรู้สึกในใจออกมาจนหมดสิ้น...ชื่อเพลงผุดขึ้น มาง่าย ๆ

             ...กว่าจะรู้ว่ารัก ...

            มันคือคำพูด ความรู้สึกที่อยากบอกต่อมารดา ถูกถ่ายทอดมาเป็นคำต่อคำ หวังว่าแม่จะสามารถรับรู้ เพลงจากหัวใจเขา

            โดมลุกขึ้นยืน วางกระดาษที่มีเนื้อเพลงไว้บนโต๊ะ เวลานี้อารมณ์เขาสงบพอที่จะคุยกับแม่ได้แล้ว

            เก้าอี้ถูกลากมาวางข้างเตียง ใบหน้าแม่สงบมีความสุข โดมระบายยิ้มบนใบหน้า เอื้อมมือไปดึงมือแม่มาเกาะกุม คำพูดอ่อนโยน นุ่มหู ผ่านออกมาจากใจที่มีความรัก

            “คืนนี้มีแฟนคลับพิเศษมาด้วยนะแม่...เขาเล่าให้ฟังว่า ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะเพลงของแม่ ช่วงเวลาหนึ่งที่เขากำลังสับสน ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะเลือกทางเส้นไหน...พอดีได้ฟังเพลงของแม่...เพลงในอัลบั้มแรกเลยนะ เขาบอกว่า ฟังแล้วมีกำลังใจฮึดสู้ คิดถึงศักดิ์ศรีของตัวเอง คิดถึงสิ่งดี ๆ จนสามารถเลือกทางที่ถูกสำหรับตัวเขาได้...”

            โดมหยุดพูด บีบมือแม่เบา ๆ ต้องการกระตุ้นให้รู้สึก

            “ไม่น่าเชื่อเลยนะแม่ แค่เพลง ๆ เดียว สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้...ถ้าผมเป็นนักร้อง ผมก็อยากให้เพลงของผม มีอิทธิพลในทางที่ดีอย่างนั้นได้เหมือนกัน”

            พูดถึงตรงนี้ โดมชะงัก ความคิดบางอย่างผุดขึ้น เหลียวกลับไปมองเนื้อเพลงที่วางบนโต๊ะ

            จริงสิ...ถ้าเพลง ๆ หนึ่งสามารถมีอิทธิพลได้ขนาดนั้น แล้วเพลงที่กลั่นออกมาจากหัวใจเพื่อแม่ ย่อมส่งถึงหัวใจแม่ได้เช่นกัน ไม่แน่...เพลงนี้อาจปลุกแม่ขึ้นมาก็ได้

            มือที่กุมกระชับมือมารดาบีบแรงอย่างมีความหวัง...หากเขาร้องเพลงนี้ให้แม่ฟังที่นี่...มันอาจส่งไปไม่ถึงใจแม่ แต่ถ้าเพลงของเขากระจายออกไปในวงกว้าง ลอยไปตามสายลม มีหลายเสียงร้องผสานตาม มันก็อาจเป็นเสียงเพรียกให้แม่กลับมาจากแดนไกล...ชักนำให้แม่นึกถึงลูกชายคนนี้

            โดมตั้งความหวังไว้ว่า...เสียงเพลงจากลูกชายที่เพิ่งรู้ว่ารักแม่...จะเป็นสะพาน พาแม่กลับมาหาเขาได้อย่างปลอดภัย...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            พายุฝนที่กระหน่ำมาตลอดคืนค่อยสร่างซา เหลือเพียงสายฝนพรำยามเช้า ฟ้าเป็นสีเทาขมุกขมัว หยาดพิรุณพร่างพรมจนฉ่ำชื่น มนุษย์งานหลายคนส่ายหน้าบ่นท้อใจกับบรรยากาศเช่นนี้ บางคนกลับไม่รู้สึกรู้สม เพราะจิตใจเขาขมุกขมัวไม่ต่างจากฟ้าฝนยามนี้

            บูรพาลืมตาตื่นด้วยจิตใจมัวซัว ได้ยินเสียงฝนพรำแล้วพาลหดหู่ใจ ถึงอย่างนั้นก็ยังยันกายลุกขึ้นจากเตียง ลากขาเดินเนือย ๆ ออกจากห้องไปเสียบกาต้มน้ำให้พ่อ

            “คงเดช” พ่อของเขาติดกาแฟงอมแงม ต้องดื่มทุกเช้า ขณะที่บูรพาไม่สนใจดื่ม จึงไม่เคยเสียบกาต้มน้ำทิ้งไว้ เมื่อคืนพ่อเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด มานอนบ้าน ถึงสองพ่อลูกไม่ค่อยพูดจามากความ แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าต้องเตรียมอะไรให้บิดาตนบ้าง

            เสร็จจากเสียบกาต้มน้ำ บูรพาไม่รู้จะทำอะไรต่อ ยังขี้เกียจอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน นึกเบื่อบรรยากาศฝนพรำ ทำให้ขับมอเตอร์ไซค์ไปมหาวิทยาลัยลำบาก...เปิดดูตามตู้กับข้าว หาขนมปังมาเตรียมเป็นอาหารเช้าคู่กับกาแฟให้บิดา แต่ไม่เจอ เสบียงติดบ้านเหลือเพียงไข่กับโจ๊กซองสำเร็จรูป



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            คงเดชอาบน้ำ แต่งตัวออกมานอกห้อง เตรียมตัวไปทำงาน นึกแปลกใจที่เห็นบนโต๊ะอาหารมีโจ๊กควันกรุ่น วางคู่กับกาแฟหอมฉุย ที่น่าแปลกใจกว่านั้นก็คือ เจ้าลูกชายคนเดียวกำลังนั่งละเลียดกาแฟแบบซึม ๆ ผิดลักษณะนิสัยปกติของเขา

            “เป็นอะไรวะไอ้บู” คนเป็นพ่อทัก

            “ผมก็เป็นลูกพ่อไง...หรือไม่ใช่” ชายหนุ่มตอบกวน ๆ

            “ไอ้ลูกเวรนี่ หาเรื่องโดนถีบแต่เช้า” ถึงพูดอย่างนั้น คงเดชก็ยังหัวเราะอารมณ์ดี “แล้วนี่อะไร...กาแฟกับโจ๊ก...ทำให้ใครกิน”

            “อยู่กันแค่สองคน ผมจะทำให้ใครกินอีกล่ะ” บูรพายังกวนไม่เลิก

            “บ๊ะ ชักกวนใหญ่แล้วไอ้นี่” พ่อบ่นแล้วนั่งลงหยิบกาแฟมาดื่มโดยไม่อิดเอื้อน รสชาติกาแฟคุ้นลิ้น กลมกล่อมอย่างคนชงมีความตั้งใจ

            สองพ่อลูกนั่งดื่มกาแฟเงียบ ๆ โดยไม่พูดจา บูรพาเห็นบิดาไม่สนใจโจ๊กในชามจึงออกปาก

            “โจ๊กนั่นน่ะ...ก็ของพ่อนะ”

            “แล้วแกไม่กินหรือไง” พ่อถาม

            “ขี้เกียจกิน ไม่หิว” เขาตอบ

            “เออ...เป็นอะไรไป วันนี้ทำตัวแปลก ๆ” คงเดชพูดกึ่งบ่น พลางเลื่อนชามโจ๊กมาวางตรงหน้า

            “แปลกตรงไหน แค่ชงกาแฟ ต้มโจ๊กให้กิน” บูรพาตอบ

            “นั่นแหละ แปลกของแก” พ่อพูดหลังจากเริ่มกินโจ๊ก “ปกติแกเคยชอบกินกาแฟที่ไหน...ทำท่าเหมือนคนอกหักแล้วมาซัดเหล้า”

            บูรพาชะงัก รีบดื่มกาแฟจนหมด เตรียมตัวลุกขึ้นนำถ้วยไปล้าง แต่เสียงจากพ่อฉุดเขาไว้

            “ไม่สบายใจเรื่องอะไรวะ” คำพูดลอย ๆ ทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากชามโจ๊ก

            “ไม่มีอะไร” เขาพูดจนเป็นวาจาติดปาก

            พ่อเงยหน้าขึ้นยิ้ม แววตาบอกความเท่าทัน รู้จิตใจลูกชาย

            “ทะเลาะอะไรกับหนูลานเขาล่ะ” คำถามแทงตรง จนคนฟังหลุดกิริยาออกมาให้ผู้พูดแน่ใจว่า ‘ถูกจุด’

            “ไม่มีอะไรนี่พ่อ” บูรพารีบพูด แล้วเลี่ยงจากโต๊ะอาหารไปล้างถ้วยกาแฟ

            คงเดชไม่เร่งรัดลูกชาย ตักโจ๊กเข้าปากสบายอารมณ์จนหมด จากนั้นถือชามโจ๊กพร้อมกับถ้วยกาแฟเดิน ตามลูกชายไปที่อ่างล้างจาน

            บูรพายืนหันหลังให้ ทำท่าเหมือนกำลังละเอียดลออกับการล้างถ้วยกาแฟของตนเสียเหลือเกิน

            ชามโจ๊กกับถ้วยกาแฟของพ่อถูกวางไว้ข้างอ่าง โดยเจ้าตัวไม่ยอมไปไหน บูรพาอดไม่ได้ต้องหันหน้าไป ถามบิดา

            “ทำไมไม่รีบไปทำงานอีกล่ะ” เขาพูดเหมือนไล่

            คนเป็นพ่อส่ายหน้า ทำท่าเหมือนจะหัวเราะ

            “จำไว้นะไอ้หนู...คนที่สามารถทำให้เราโกรธได้มากที่สุด ก็คือคนที่เรารักเขามากที่สุด

            คำพูดของพ่อทำให้บูรพานิ่งอั้น พูดไม่ออก

            ดวงตาของพ่อยามพูดคำต่อมา มีประกายเมตตา เอ็นดู...

            “ถ้าเราจะรักใครมากมายขนาดนั้น...ก็ต้องเตรียมคำว่า ‘อภัย’ ให้มากมายพอกัน

            บูรพาอึ้ง รู้สึกเหมือนโดนพ่อหวดด้วยวาจา กระทบเข้าถึงกลางใจ

            “เฮ้ย...แล้วอย่าลืมล้างจานให้พ่อด้วยล่ะ...จะรีบไปทำงานแล้ว” พ่อตบบ่าเขาแรง ๆ แล้วเดินจากไป



            ชายหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิม หมอกมัวในใจค่อยจางลง จิตใจที่หม่นซึมคลายออก ถึงกระนั้นก็ยังมีความอ่อนล้าบางอย่างบอกว่า...หัวใจไม่มีเรี่ยวแรง

            ‘ความรัก’ ย่อมคู่กับการให้ ‘อภัย’ แต่จะทำอย่างไร หัวใจที่บาดเจ็บ บอบช้ำ ถึงจะฟื้นคืน...ดังเดิม

            บาดแผลจากการพูดจาแตกหักรุนแรงครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าต้องการแค่คำ...ให้อภัย...อย่างเดียว

            คนอย่างเขา...ไม่เคยถือโกรธลานน้ำค้างเนิ่นนานอยู่แล้ว...

            หัวใจที่บอบช้ำคราวนี้ มันเจ็บจนเกินเยียวยา

            เหมือนคนอกหัก ทั้งที่ยังไม่เคยบอกรัก

            ถูกหักหลัง ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรผิด...

            สิ่งที่ทำได้...คงเหลือแค่ รอให้ ‘กาลเวลา’ เป็นผู้รักษา ปลอบประโลม

             บูรพาเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า...หัวใจ...มันไม่ยอมบาดเจ็บนานนักหรอก...ที่สุดแล้ว มันต้องพยายามเยียวยา รักษาตนเองจนได้...ขอเพียงเขามีความอดทนพอ...เท่านั้นเอง



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เกรซนั่งอยู่เก้าอี้ตรงข้ามเลียบเมือง อาหารกลางวันสุดหรูจากภัตตาคารห้าดาวของตึกสูงระดับประเทศวางอยู่ ชายหนุ่มแตะ ๆ อาหารรับประทานแบบไม่สนใจรสชาติ หญิงสาวคอยมองทุกอากัปกิริยาของเขา โดยไม่สนใจบรรยากาศรอบภัตตาคาร ที่สามารถมองออกไปเห็นกรุงเทพจากมุมสูง สวยกว่าเคย

            “อร่อยมั้ยเอ่ย?” หญิงสาวเอียงคอถาม พยายามปรุงบรรยากาศบนโต๊ะอาหารให้สดใสกว่าเดิม

            “ครับ” เลียบเมืองตอบสั้น ๆ

            “เกรซคงทำความผิดร้ายแรงแน่ ๆ เลย ที่ลากท่านประธานเลียบเมือง ออกมากินข้าวกลางวันแบบนี้” หญิงสาวพูดกึ่งงอน กึ่งล้อเลียน

            “ไม่หรอก” ชายหนุ่มเงยหน้าบอกหล่อนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าผ่อนคลายลง

            “งั้นสั่งอะไรเพิ่มดีมั้ยคะ เกรซเห็นคุณกินน้อยจังเลย”

            “ไม่ล่ะครับ แค่นี้ก็อิ่มแล้ว”

            “จะรีบไปทำงานล่ะสิ” เกรซดักคอ รู้ทัน

            เลียบเมืองไม่ตอบ หญิงสาวจึงถามต่อ

            “ไหนว่างานเริ่มเข้าที่แล้วยังไงคะ”

            “ก็...” ชายหนุ่มรู้สึกจำเป็นต้องตอบ แต่ไม่รู้ควรอธิบายอย่างไร จึงปล่อยวาจาให้ค้างคาเช่นนั้น

            “น้องปันปันเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวฉลาดพอที่จะไม่เซ้าซี้ ร่ำไรกับคำถามเดิม

            “อืม...ดีขึ้นเยอะ” พอพูดถึงน้องสาว สีหน้าเขาค่อยสดชื่นขึ้น “ตอนนี้ยอมไปโรงเรียนแล้ว”

            “หรือคะ?” เกรซแปลกใจแกมยินดีด้วย “ทีแรกเห็นแกติดคุณแจ ไม่ยอมไปไหนเลย โรงเรียนก็ไม่ยอมไป”

            “เขาได้พี่เลี้ยงดีน่ะ” เลียบเมืองตอบ ใจอดคิดถึงหญิงสาวอีกคนไม่ได้

            “อ๋อ...” เกรซทำเสียงเข้าใจ ไม่สนใจถามถึง “พี่เลี้ยง” คนนั้น “ค่อยเบาใจหน่อย อย่างนี้เลียบก็คงไม่ต้องหนักใจ มากเท่าเดิม”

            “อืมม์...” ชายหนุ่มตอบแบบถนอมปากคำ

            “แล้ว...” คราวนี้หญิงสาวลังเลที่จะเอ่ยปากถาม...เห็นชายหนุ่มยังอารมณ์ดี จึงรีบพูดถึงปัญหาคาใจออกมา “เรื่องของคุณปัณรสี ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง...เขามาที่งานศพทุกคืนเหมือนเดิมหรือเปล่า”

            เลียบเมืองชะงักช้อน เงยหน้ามองหญิงสาวด้วยแววตาที่อีกฝ่ายเข้าใจ จึงยอมหยุดวาจา ไม่พูดต่อ

            เกรซเริ่มเขี่ย ๆ อาหารคล้ายต้องการรีบกินให้เสร็จ สายตามองนอกกระจก ดูภาพมหานครจากยอดตึก แลเห็นทางด่วนเป็นเส้นคดเคี้ยว รถราดูเล็กกะจิดริดแล่นไปมาไม่ต่างจากขบวนมดต่อแถว

            ความเงียบอันน่าอึดอัดครอบคลุมบรรยากาศอาหารมื้อกลางวัน ไม่มีใครยอมเอ่ยปากก่อน จนชายหนุ่มรู้สึกผิด พยายามฝืนยิ้มพูดกับหญิงสาว

            “ผมขอโทษนะเกรซ” น้ำเสียงอ่อน ๆ แฝงความจริงใจนี้ คงยากที่จะมีใครยอมถือโกรธได้นาน

            “ขอโทษเรื่องอะไรคะ” หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้ม ไม่มีริ้วรอยหมางเมิน แง่งอน

            “ทุกเรื่อง...ในตอนนี้” เขาพูดพลางถอนใจ “อะไรต่อมิอะไรประดังกันเข้ามา จนผมตั้งตัวไม่ทัน ทำตัวไม่ถูกแล้ว”

            “เลียบก็อย่าแบกมันไว้คนเดียวสิคะ มีอะไรก็ปรึกษากันได้...เกรซบอกแล้วว่าเต็มใจช่วยทุกเรื่อง”

            คำพูดจริงใจจากหญิงสาว ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น

            “ผมไม่อยากให้คุณลำบากไปด้วย” เขาบอก

            “อย่าลืมสิ...ว่าเลียบเคยให้สิ่งดี ๆ กับเกรซมาตั้งเยอะแล้ว...ตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาสให้เกรซทำดีกับเลียบ บ้างดีมั้ยคะ”

            เลียบเมืองสัมผัสความจริงใจในน้ำเสียง ค่อยยิ้มออกมาได้โดยไม่ต้องฝืน...

            บรรยากาศอาหารกลางวันแจ่มใสขึ้น ชายหนุ่มรับประทานต่ออีกสองสามคำก็พูดขึ้นมาเอง

            “ปัณรสี...เขายังมาที่งานศพทุกวัน”

            เกรซวางช้อน ตั้งใจฟัง

            “แล้วก็พูดเรื่องเดิมซ้ำซาก...ทุกครั้ง” เขาเน้นคำหลัง

            “เลียบเองก็ปฏิเสธทุกครั้งใช่มั้ย”

            เลียบเมืองพยักหน้า เขาวางใจพอที่จะพูดกับเกรซได้หลายเรื่อง อาจเป็นเพราะเธอรู้เรื่องที่เขาไม่ค่อยอยากให้คนทั่วไปรู้

            นั่นคือ...เรื่องปันปันเป็นลูกสาวของปัณรสี ไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของเขา!

            “ผมต้องปฏิเสธอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงหนัก “มีอย่างที่ไหน ตัวเองไม่เคยเลี้ยงดูปันปันเลย จู่ ๆ จะมาขอคืนกันแบบนี้”

            นี่คือปัญหาของเลียบเมือง ปัญหาที่เขาลำบากใจ หนักอกยิ่งกว่าปัญหาเรื่องงาน เรื่องการลาออกจากการเป็นนักบิน

            ปัณรสีมาที่งานศพทุกคืน เพื่อทำความคุ้นเคยกับปันปัน และมาขอร้องให้เขาคืนปันปันแก่เธอ...

            “อย่าเก็บเรื่องนี้มาหนักใจเลยค่ะ ยังไงเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว...เรามีหลักฐานการยกปันปันอยู่ในมือ ถ้าคุณไม่คืนเสียอย่าง เขาก็เอาทำอะไรไม่ได้”

            ถึงเลียบเมืองได้ยินอย่างนั้น ก็ไม่อาจทำให้คลายใจได้ แน่ใจว่าปัณรสีคงไม่ยอมหยุดง่าย ๆ เพียงแค่เจอคำปฏิเสธ...

            เมื่อนึกถึงแววตาของเธอ ท่าทีที่มีต่อปันปัน มักทำให้รู้สึกหนาววูบในอกขึ้นมาทุกครา

            “พรุ่งนี้ก็จะเผาศพคุณหญิงแล้วใช่มั้ยคะ” เกรซเปลี่ยนเรื่อง

            ชายหนุ่มพยักหน้า เขาไม่ได้เก็บศพไว้นานถึงร้อยวัน ระยะเวลาที่ตั้งศพบำเพ็ญกุศล และกำหนดการเผาฌาปนกิจนั้น ดูตามความสะดวก เหมาะสมเป็นหลัก

            “เกรซว่า หลังเผาศพแล้ว เขาก็คงไม่มีข้ออ้างมาหาน้องปันปันได้ เลียบอย่ากังวลไปเลย”

            หญิงสาวพยายามพูดให้คลายใจ โดยหารู้ไม่ว่า เลียบเมืองกำลังคิดถึงเรื่องบางเรื่อง...
   
            ปัณรสีหายหน้าไปหลายปี ด้วยคำขอร้องจากคุณหญิงรัดเกล้า แต่ยังมีเหตุให้เธอกลับมาช่วยปันปันได้ ด้วยการพยายามติดตามของเขา...และด้วยมือปริศนาที่นำเบอร์โทรศัพท์ กับชื่อโรงแรมที่ปัณรสีพักมาทิ้งไว้ให้

            จนถึงบัดนี้เลียบเมืองก็ยังหาตัวมือปริศนาไม่ได้ นั่นทำให้เขาคิดว่า...บางสิ่ง ถ้ามันจะต้องเป็นไป...ก็ย่อมมี เส้นทางเดินของมันเอง ไม่ว่าเขาจะอยากให้มันเป็นไปอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม...

            ครั้งนี้...เขานึกหวั่น หากมีเหตุต้องสูญเสียปันปันจริง ๆ ... ต่อให้มีหลักฐานการมอบบุตรบุญธรรมของปัณรสี ก็อาจช่วยอะไรไม่ได้เลย

            เกรซมองชายหนุ่มตรงหน้า ทั้ง ๆ ที่ใกล้กันขนาดนี้ แต่เลียบเมืองดูเหมือนลอยห่างออกไปเรื่อย ๆ จนแทบจะคว้าไม่ถึง

           หญิงสาวรู้สึกตนเองกำลังเป็นฝ่ายวิ่งไล่ตามอะไรบางอย่างที่ไม่มีตัวตน เหนื่อยใจจนบอกไม่ถูก แลเห็นช่องว่างขนาดใหญ่ขวางกลางระหว่างกัน

           เธอไม่รู้ว่าช่องว่างนั้น...มันเพิ่งปรากฏหลังจากประสบเรื่องร้ายเหล่านี้ หรือว่า...มันมีอยู่นานแล้ว แต่ไม่มีใครฉุกคิด สนใจ เพราะถูกคำว่า ‘เหมาะสม’ ปิดบังอยู่



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP