ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ผู้ที่เสียชีวิตและไปอยู่บนสวรรค์แล้ว จะยังคงห่วงใยญาติมิตรในโลกบ้างหรือไม่


ถาม – ถ้าคนที่เรารักเสียชีวิตลงและไปอยู่บนสวรรค์แล้ว เขาจะยังรู้สึกห่วงใยเราบ้างหรือไม่คะ


หมายถึงถ้าหากว่าไปเป็นเทวดานางฟ้าแล้วนะ
เขาจะย้อนกลับมามีความรู้สึกกับคนในโลก
ที่เคยเป็นญาติ ที่เคยมีความสนิทชิดเชื้อกัน มากน้อยแค่ไหนนะ
คงจะเป็นแบบนั้นที่เป็นโจทย์ตั้งมา
ก็อย่างนี้แล้วกัน คือเคยมีคนถามคล้ายๆ อย่างนี้
แล้วก็มีการตอบไปนะครับ ที่มันคล้ายคลึงกัน น่าจะเข้าเป้ากับคำถามนี้แหละ
คือว่าถ้าสมมติสวรรค์มีจริง ทำไมญาติๆ ถึงไม่กลับมาบอก ถึงไม่กลับมาคุยกัน
ก็มีผู้ตอบไว้ว่าถ้าหากว่าขึ้นจากหลุมคูถมูตรได้แล้วนะ
คือหมายความว่าถ้ามีถังที่อุดมไปด้วยอึฉี่นะครับ
แล้วก็มีคนที่ลอยคออยู่ในนั้นเยอะแยะนะ เคยมีความสนิทคุ้นเคยกันอยู่ในถังคูถถังมูตร
แล้วมีใครสักคนหลุดขึ้นไปอยู่ในที่ที่แห้งสบาย
แล้วเขาจะมีแก่ใจอยากกลับมาที่ถังคูถมูตรนั้นอีกไหม



จริงๆ แล้วอันนี้เป็นคำเปรียบเปรยเท่านั้นแหละ
มันไม่ถึงขั้นที่ว่าจะกลับมาไม่ได้ มันน่ารังเกียจอะไรขนาดนั้น
เพราะว่าคนทั่วโลกนะครับก็มีประสบการณ์
รายงานตรงกันว่าได้พบกับญาติที่สิ้นชีวิตไปแล้ว กลับมาพูดคุยด้วย
บางทีก็มาแสดงให้เห็นฉากสวรรค์ นิมิตสวรรค์อะไรต่างๆ
แต่ว่าไม่ใช่ทุกราย ซึ่งพอไม่ใช่ทุกราย มันก็เหมือนกับว่า
ไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นแค่อุปาทานของคนที่คิดถึงญาติมากเกินไปหรือเปล่านะ
ถ้าหากว่ากลับมากันทุกคน อย่างนี้ยืนยันได้เป็นวิทยาศาสตร์เลยว่า
ญาติพี่น้องที่ล่วงไปแล้ว กลับมาหาญาติกันทุกคน
เป็นของแน่นอนว่าสวรรค์มีจริงนะ



การที่เราจะไปมองนะครับว่าเขาขึ้นไปแล้ว
จะยังมีความห่วง มีความหวง มีความอาลัย ยึดติดยินดีกันแค่ไหน
ก็ดูจากตรงนี้แหละว่าเขาสามารถที่จะมีความรู้สึกเท่าเดิมหรือเปล่า
ถ้าหากว่ามีความรู้สึกเท่าเดิมนะ ก็คงจะมีความพยายามที่จะติดต่อกลับมาอีก
แล้วถึงแม้ว่าจะอยากติดต่อมา มีความพยายามที่จะติดต่อมา
ก็ต้องตั้งข้อแม้อีกว่ามีฤทธิ์มากพอหรือเปล่า
ซึ่งเทวดาแต่ละองค์ ก็มีบอกไว้ในพระคัมภีร์นะครับว่า
ฤทธิ์ไม่เท่ากัน ความสามารถต่างๆ ไม่เท่ากัน ไม่ใช่ว่าอยากจะมาแล้วได้มาเสมอไป
มันมีเรื่องของความสามารถที่จะสื่อสาร
หรือว่าความเหมาะสมที่กรรมและวิบากเปิดช่องให้นะ


ส่วนใหญ่แล้วเท่าที่มีการบอกเล่ากันมานะ ทั่วโลก
เวลาคนที่ล่วงผ่านโลกนี้ไปแล้วจะกลับมาติดต่อกับญาติอีก
มักจะเข้ามาในช่องทางของความฝัน
ซึ่งการที่เข้ามาในช่องทางของความฝัน
มันมีความเป็นไปได้สูงที่คนฟังจะทึกทัก จะมีความรู้สึกว่าคงฝันเหลวไหลไปเอง
มันเป็นช่องทางที่ทำให้ไม่มีใครสามารถแน่ใจได้ว่ามันเกิดขึ้นจริง เพราะฝันกันทุกคืน
แล้วฝันก็เป็นสิ่งที่ลอยมาแล้วลอยไป ไม่สามารถเอาอะไรมายืนยันได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราบอกเล่าให้คนอื่นฟังได้



การที่เราฝันถึงญาติที่ล่วงไปทุกคืนนะ
แล้วเกิดความรู้สึกว่าในฝันนี่เต็มไปด้วยความห่วงหาอาลัย
หรือว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยังยึดติดไม่ต่างกับตอนยังมีชีวิตอยู่
ก็อาจจะเป็นความห่วงหรือว่าความอาลัยของเราเองก็ได้นะ
นี่แหละ ตรงนี้แหละที่มันเลยไม่มีใครสามารถยืนยันได้
ว่าการที่ญาติไปอยู่บนสวรรค์แล้ว เขาจะห่วงเรา
หรือว่าเราเป็นฝ่ายอยากจะให้เขากลับมาเองนะ



แต่ถ้าตอบตามเนื้อผ้านะครับ ในพระคัมภีร์ก็มีบอกไว้เหมือนกัน
ว่าเวลาที่ญาติสิ้นชีวิตไปแล้ว ไปอยู่บนสวรรค์นะ
ไม่จำเป็นต้องเป็นพ่อแม่พี่น้องเสมอไป บางทีเป็นเพื่อน
เป็นกัลยาณมิตรที่เหมือนกับปฏิบัติธรรมมาด้วยกันนะครับ ก็มีความห่วงใยมาก
บางคนไปอยู่ถึงพรหมโลก
มองย้อนกลับมาว่าเพื่อนสหธรรมิกที่ปฏิบัติธรรมมาด้วยกัน
ยังอยู่ดี หรือว่าปฏิบัติกันย่อหย่อน มีความพากเพียรเพียงใดนะ
พอเห็นเพื่อนย่อหย่อนไม่มีความพากเพียร ก็ลงมากระตุ้นเตือนหรือลงมาช่วย
หรือแม้กระทั่งว่าเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมมาด้วยกันนี่ตายไปแล้ว
ไปอยู่ภพอื่นหรือกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก
ก็ยังตามไปห่วง ตามไปตักเตือน ตามไปช่วยเหลือนะครับ
ในยามที่พรรคพวกเกิดความเห็นผิด



อย่างที่ในอรรถกถาก็จะมีเล่าเรื่องของพระพาหิยะ
ซึ่งไปปฏิบัติธรรมกับพรรคพวก
สมัยนั้นท่านเห็นว่าพระพุทธศาสนาในยุคครั้งกระโน้น
เสื่อมลงทุกที เสื่อมถอยลงทุกที
ก็เลยเหมือนกับพากันไปอยู่บนยอดเขา เจ็ดท่านนะ
แล้วก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าหากยังไม่บรรลุอรหัตผล ก็จะไม่ลงจากเขา ให้ตายไปเลยนะ
ถ้าจะลงจากเขาก็ด้วยวิธีเดียว คือสำเร็จอภิญญา ได้อรหัตผล แล้วก็เหาะลงไป
นี่อันนี้เป็นความตั้งใจ
เสร็จแล้วก็มีพระอรหันต์เกิดขึ้นได้แค่องค์เดียว หรืออะไรทำนองนี้นะ
และส่วนอีกท่านหนึ่งก็ไปเป็นพระอนาคามีอยู่บนสุทธาวาส บนชั้นพรหมโลกนะครับ
ก็มองย้อนกลับมาเห็นว่าพรรคพวกที่เหลืออยู่ก็กระจัดกระจาย แตกตาย
แยกย้ายกันไปตามวาสนา



แล้วก็มีท่านพาหิยะนี่แหละที่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์
แล้วก็เหมือนกับไปหลอกลวงชาวบ้านเขา
ด้วยการที่ไปสมมติตัวเองว่าเป็นพระอรหันต์
คือเรือแตก แล้วก็เหมือนกับเสื้อผ้าหลุดลุ่ย
ชาวบ้านเห็นนึกว่าปลงได้แล้ว ไม่ต้องใส่เสื้อผ้านะ ทั้งๆ ที่รูปร่างหน้าตาดี
ก็นึกว่าเป็นพระอรหันต์กัน
ท่านเห็นชาวบ้านมากราบไหว้บูชานะ ก็สวมรอย บอกว่าข้านี่แหละเป็นพระอรหันต์จริง
เพื่อนอยู่บนพรหมโลกก็มาตักเตือนนะครับ ว่าทำแบบนี้มันผิด มันไม่ถูกต้องนะ
แล้วก็รวมทั้งบอกด้วยว่าพระพุทธเจ้าองค์จริงอุบัติแล้ว
แล้วก็ให้ไปเรียนธรรมะกับท่าน



อันนี้ก็จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงอย่างไรก็แล้วแต่
แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่เราสามารถที่จะใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงนะครับ
ว่าพระพุทธศาสนาชี้ให้เห็นนะว่า
แม้ว่าจะตายไปแล้ว แล้วก็ไปอยู่บนสวรรค์หรือว่าพรหมโลก
มีสิทธิ์ที่จะมีความห่วง มีความอาลัย
มีความปรารถนาดีกับผู้ที่อยู่ข้างหลังนะ ทิ้งไว้บนโลกนี้
หรือแม้กระทั่งว่าจะข้ามภพข้ามชาติไปแล้ว ไปเป็นอื่นแล้ว ก็ยังตามไปดูแลได้
อันนี้ก็เป็นคำตอบนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP