สารส่องใจ Enlightenment

กรรมนิมิต คตินิมิต



พระธรรมเทศนา โดย พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี)
แสดงธรรม ณ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๖




กรรม ในทางพุทธศาสนาท่านแสดงไว้ตามตำราหลายอย่าง
ผู้สนใจศึกษาตามตำรับตำรา ก็พอเข้าใจและได้ความรู้กว้างขวาง
เพราะท่านแสดงไว้ดีหมดทุกอย่าง
วันนี้จะแสดงเฉพาะเรื่องกรรมที่ติดตามคน
หรือกรรมที่จะนำคนให้ไปเกิดในคตินั้นๆ
นั่นคือ กรรมนิมิตกับคตินิมิต



กรรม หมายถึง การกระทำ
คนเรานั้นกายกับใจเป็นเกลอกัน อยู่ร่วมกันสนิทสนมกลมเกลียวกันดีที่สุด
จะทำอันใดพร้อมเพรียงกันทุกสิ่ง
ไม่ว่าจะทำชั่วทำดี ทำบาปทำบุญ พร้อมเพรียงกันทุกประการ
แต่เวลากายแตกดับ กายไม่ได้รับผิดชอบสิ่งที่เกิดจากการทำร่วมกันนั้น
ใจเป็นผู้รับผิดชอบคนเดียว

ที่ว่าไม่ได้รับผิดชอบ ในที่นี้หมายความถึงว่ากายไม่ได้รับกรรม
เพราะเมื่อแตกดับหรือตายแล้ว ทอดทิ้งไว้ในดิน
กลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปตามเดิม
เรียกว่ารูปสลายไปตามสภาพของมัน ไม่ได้รับรู้ด้วย



ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ กายกับใจร่วมกันทำงานก็จริง
เช่น ไปฉ้อโกงลักขโมยของเขา ไปตีศีรษะเขา ทำทุจริตประพฤติผิดต่างๆ นานา
แต่กายเป็นผู้ได้รับโทษให้ปรากฏ เมื่อถูกจับกุมมันก็ต้องจับที่กาย
เอาไปติดคุกติดตะราง ร่างกายเป็นผู้ไปติดคุก
หรือเขาจะเอาไปฆ่าไปประหาร เขาก็ประหารที่กาย
ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ดูเหมือนว่ากายรับภาระหนักกว่าใจ
แต่ความเป็นจริงแล้ว ใจก็รับภาระหนักเหมือนกัน หากไม่มีใครเห็น
ความทุกข์ความกลุ้มใจนั้น จะหนักยิ่งกว่ากายด้วยซ้ำ
เพราะเมื่อเขาเอากายไปประหารไปฆ่า ถ้าหากไม่มีใจมันก็ไม่รู้สึกอะไร
ก็เหมือนกับตัดท่อนไม้หรือท่อนกล้วยท่อนหนึ่งเท่านั้นเอง
กายไม่มีความอาลัยอาวรณ์กับความเป็นอยู่ของมันเลย
ฆ่าก็ฆ่าไป สับก็สับไป ตีก็ตีไป
ผู้อาลัยอาวรณ์เป็นทุกข์เดือดร้อนคือตัวใจ
ดังนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ร่วมกันจึงทำกรรมร่วมกัน
และเวลารับผลกรรมก็รับร่วมกัน



แต่เวลาแตกเวลาดับ คือใจหนีจากร่างแล้ว กายไม่ได้รับรู้อะไรอีก
กรรมต่างๆ จะเป็นบาปหรือบุญ เป็นกุศล หรืออกุศลก็ตาม
ใจก็จะเป็นผู้รับมอบไปคนเดียวหมด
ในขณะที่หนีจากกัน ต่างคนต่างไม่อาลัยอาวรณ์กัน
เวลาที่กายมันจะแตกดับ ใจก็หนีไปคนเดียว ไม่ได้ร่ำลากันเลย
หรือบางครั้งบางคราว กายจะหนีจากใจ
เช่น รถชนตาย หรือฟ้าผ่า หรือเกิดอุปัทวเหตุด้วยประการต่างๆ ก็ดี
เวลาดับเวลาตายก็วูบวาบไปประเดี๋ยวนั้น ไม่ได้ร่ำลากันเลย
ทั้งๆ ที่อยู่มาด้วยกันตั้งแต่แรก สนิทสนมกลมกลืนกันตลอดมา
เวลาจะจากกันจริงๆ จังๆ ต่างคนต่างไปไม่อาลัยอาวรณ์กันและกัน



ธรรมชาติของคนเรามันเป็นอยู่อย่างนี้
คนที่ไปยึดไปถือนั้น ไปยึดไปถือลมๆ แล้งๆ หรอก ยึดถือว่าของกู
ความยึดถือนั่นแหละที่ท่านเรียกว่า กิเลส
กิเลสอันนี้แหละนำให้เกิดการกระทำ คือกรรม
กรรมนี่แหละเป็นของมีผล มีกำลังมาก
ไม่มีใครสามารถที่จะกีดกัน หรือต้านทาน หรือแก้ไขด้วยประการต่างๆ ได้

กรรมอันนี้ไม่มีหนทางแก้ไขเลย


ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ คนที่ทำกรรมชั่วประการต่างๆ ด้วยอำนาจของกิเลส
แล้วคิดว่าจะแก้ไขทีหลัง หรือบางคนยังพูดดันทุรังอีกว่า
ไปสู้กันอยู่ในนรกหรือแก้ไขกันกับนายยมบาล เป็นต้น
ความจริงมันไม่มีหนทางแก้ไขเลย
คนเราเวลาจะตาย มันต้องมีเครื่องดึงดูดชักจูง
คือกรรม ที่เรียกว่า กรรมนิมิต คตินิมิต



คนจะตายมันจะต้องหมดความรู้สึก
คือไม่รู้จักเจ็บปวด ใจทอดธุระกายแล้วจึงค่อยตาย
ในขณะที่ใจทอดธุระกาย ไม่ยึดกาย ปล่อยวางกาย ยังเหลือแต่ใจ
ตอนนั้นนิมิตจะเกิดขึ้นเป็นภาพของกรรม
คือการกระทำต่างๆ จะมาปรากฏขึ้นในขณะนั้น



ผู้ที่เคยทำดี ทำบุญสุนทาน สร้างกุศลมากมาย จิตใจอิ่มเอิบเบิกบาน
ก็จะปรากฏภาพที่เราทำดีนั่นแหละ
เช่น เราเคยสร้างกุฏิ เวลาสร้างก็ไม่เคยสร้างใหญ่โต ไม่สวยสดงดงามอะไรมาก
แต่ว่าภาพที่มาปรากฏในขณะนั้น มันจะสวยงามวิจิตร
เป็นของน่าเพลิดเพลินเจริญใจอย่างยิ่ง
และในขณะนั้น จิตจะต้องยึดเอาเป็นอารมณ์ คือเป็นอารมณ์แน่วแน่ในเรื่องนั้น
นี่เรียกว่า กรรมนิมิต คือ นิมิตจากการกระทำ



ส่วน คตินิมิต นั้นอาจจะปรากฏเห็นพวกเทวดาหรือมนุษย์ก็ตาม
ที่เป็นผู้มีความสุขสบาย แต่งกายงดงาม น่าเพลิดเพลินเจริญใจ
มาเรียงรอบร้องเรียก ร้องอ้อนวอนขอให้ไปอยู่ด้วยกัน
ในสถานที่โอ่โถงสวยงามน่าดูน่าชม ซึ่งเราจะมองเห็นสถานที่เช่นนั้นด้วยตนเอง
และเขาจะมาแห่แหนอย่างสมเกียรติยศ ที่เขาเรียกกันว่าเทวดามารับเอาคนมีบุญ
เขาจะพูดว่าเทวดาอะไรก็ช่างเถอะ
แต่ว่านิมิตมันเป็นอย่างนั้น และเราเห็นชัดด้วยตนเอง
คราวนี้เราก็เลยไปตามเขา เพราะความชอบใจมีมาก ก็ไปตามความชอบใจ
อันนี้เรียกว่า คตินิมิต “คติที่จะไป มองเห็นที่จะไป” เป็นทางกรรมที่ดี



ส่วนกรรมที่ชั่ว เคยทำบาปกรรม คิดชั่วช้าเลวทราม ฉ้อโกง ลักขโมย
ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดด้วยประการต่างๆ
ในขณะที่จิตใจมันปล่อยวางกายนั้น
จะปรากฏภาพที่เราทำความชั่วต่างๆ ให้เห็นชัดขึ้นมา
โดยที่เราไม่ตั้งใจจะคิดนึกระลึกถึง เราลืมไปแล้วนานแสนนานทีเดียว
ภาพจะแสดงขึ้นมาปรากฏในใจ หรือบางทีอาจแสดงออกมาภายนอกก็ได้
เช่น คนฆ่าหมูฆ่าวัว ในขณะนั้นจะแสดงอาการทางกาย
ทำท่าทีปฏิกิริยาของการที่เราทำความชั่ว ฆ่าหมูฆ่าวัวนั้น ให้ปรากฏแก่คนอื่น
ทั้งๆ ที่เรามีสติอยู่ แต่มันปรากฏขึ้นมา
หรือว่าบางทีในขณะนั้นจะเผลอสติไปก็ได้ ทำให้ปรากฏขึ้นมา
อันนี้เรียกว่ายังไม่ทันแตกดับ คือกายกับใจยังรวมกันอยู่



ถ้าหากยังเหลือแต่ใจอย่างเดียว คือมันทอดทิ้งกายแล้ว ดังอธิบายมานั้น
มันจะปรากฏภาพความชั่วของตน
ซึ่งเป็นเหตุให้วิตกวิจาร เดือดร้อนวุ่นวาย หรือหวาดเสียวน่ากลัวอย่างแสนสาหัส
เช่น ปรากฏว่ามีคนใจอำมหิตโหดร้าย หน้าบึ้งหน้าเบี้ยว
มาลากมาผูกมัดเอาไป กระชากขู่เข็ญด้วยประการต่างๆ
แม้จะขอร้องอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่มีใครจะช่วยเหลือได้ และก็ไม่ให้อภัยเสียด้วย
หรือปรากฏเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นสิ่งที่น่ากลัว วิตก สะดุ้ง ตกใจ แต่ไม่สามารถที่จะแก้ไขได้
อันนี้เรียกว่า กรรมนิมิตในทางชั่ว



ส่วน คตินิมิต นั้น อาจจะไปเห็นที่ซึ่งเราจะไปอยู่
เช่น เห็นหลุมถ่านเพลิงไฟลุกโซนอยู่ตลอดกาลเวลา กองไฟใหญ่โต
หรือว่าเห็นสถานที่อันทุรกันดาร อดอยากยากแค้น เดือดร้อนด้วยประการต่างๆ
เป็นสถานที่ซึ่งเขาจะเอาเราไปนั้น
เกิดสะดุ้งหวาดกลัวสุดแสน แต่ไม่สามารถแก้ไขได้



กรรมนิมิต คตินิมิต ทั้งสองอย่างนี้ อันใดอันหนึ่งจะเกิดก่อนก็ได้
กรรมนิมิตเกิดขึ้นก่อนก็ได้ หรือคตินิมิตเกิดขึ้นก่อนก็ได้
แต่ทั้งสองอย่างนี้แหละจะเป็นเครื่องดึงดูด
และชักจูงเอาจิตใจของเราที่ทอดทิ้งจากกายแล้วนั้นให้ไปเสวย


อาจมีปัญหาถามว่า เมื่อครั้งที่กายกับใจยังสามัคคีปรองดองกันอยู่
การทำก็ไม่เห็นทารุณโหดร้ายสักเท่าใดนัก
แต่เมื่อจิตคือใจนี้ทอดทิ้งกายแล้ว
ทำไมจึงทำให้เกิดนิมิตโหดร้ายน่ากลัว แสดงอาการโหดร้ายเหลือเกิน
นั่นมันเป็นธรรมดา ถึงเรื่องในใจของคนเรา
ถ้าใจยังอยู่กับกายพร้อมเพรียง ก็ยังมีการที่จะปลดเปลื้องและแก้ไขได้
สมมติว่าเรานั่งหรือเรานอนเหนื่อย มันเหนื่อยที่ใจ
เราก็พลิกกาย มันก็พอที่จะแก้ไขปลดเปลื้องกันได้
หรืออ่อนเพลีย หิวข้าว กระหายน้ำ เราก็เอาน้ำมาดื่ม ก็ดื่มลงที่กาย
ใจก็ค่อยสบายขึ้น มีช่วยกันแก้ไข
แต่ถ้ายังเหลือแต่ใจอันเดียวแล้ว มันหมดหนทาง ไม่มีหนทางแก้ไข



เหตุนั้น เมื่อทุกข์จึงทุกข์แสนสาหัส สุขก็สุขแสนยิ่ง
มันมีสิ่งเดียวเท่านั้น เหลือใจสิ่งเดียว และก็เป็นของเบาอีกด้วย
ของเบาๆ นั้น ไม่ว่าอะไร ลองพิจารณาของภายนอกก็แล้วกัน
เช่น รถวิ่งตามถนนหนทาง ถ้าพลาดบางครั้งบางคราวก็ไม่เหลือเกิน
ก็พอมีหนทางแก้ไข คือ สามารถที่จะปลดเปลื้องแก้ไขด้วยประการต่างๆ ได้
ถ้าหากว่ามันเป็นว่าว มันขึ้นไปปลิวอยู่บนอากาศ
มันเป็นของเบาๆ พอแฉลบก็วูบลงเลย ของเบาเป็นอย่างนั้น


ใจเป็นของเบาเหมือนกัน ถ้ามันตกลงได้เอนไปทางไหนแล้ว จะไปอย่างสุดขีดเลย
เหตุนั้น สุขก็สุขสุดขีด ทุกข์ก็ทุกข์อย่างสุดขีด
ดังนั้น เมื่อถึงตอนนี้จึงเรียกว่าไม่มีหนทางแก้ไข
ที่บางคนว่าจะไปแก้ไขตอนไปหรือตายไปแล้วจะแก้ไขนั้น
อย่าไปหวังเลย ไม่มีทางแก้ไขเลย



ที่ท่านเรียกว่า นรก ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส หรือ สวรรค์ ได้ความสุขอย่างยิ่ง
ไม่ใช่อยู่ที่อื่นที่ไกล อยู่เฉพาะในขณะนั้นแหละ ในขณะที่จิตมันวางทอดทิ้งร่างนั่นละ
ไม่ได้หมายความว่าอยู่ใต้ดินหรืออยู่บนอากาศกลางหาวที่ไหน
ขณะที่จิตมันถอนจากร่างแล้วนั่น เกิดกรรมนิมิต - คตินิมิต
ปรากฏเห็นนรก – สวรรค์ กันตรงนั้นเอง



เหตุนั้นผู้ที่มาเข้าใจในเรื่องทั้งหลายนี้แล้ว
จะแก้ไขตนเองก็พึงแก้ไขเสียในขณะที่ตนยังมีชีวิตอยู่ คือ เมื่อกายกับใจยังร่วมกันอยู่นี้
จะประกอบกุศลให้มีคุณงามความดีเจริญงอกงามขึ้น ก็พากันพร้อมใจเจริญเสีย
รู้สึกตนแล้วยังแก้ไขได้ เมื่อทำดีแล้ว ก็ทำให้เจริญยิ่งขึ้นๆ ไปได้
ถ้าหากว่าใจทอดทิ้งกายแล้ว ไม่มีหนทางแก้ไขเลย



ผลของกายกับใจร่วมกันทำ เรียกว่ากรรม มาส่อแสดงให้ปรากฏ
กรรมเป็นของมีพลังอย่างยิ่ง ไม่มีใครจะต้านทานหรือห้ามปรามไว้ได้
ไม่มีใครจะมาร้องขออ้อนวอนได้เลย
กรรมให้ผลยุติธรรมอย่างยิ่ง
ทำลงไปแล้วมากน้อยเท่าใดก็ได้ผลเท่าที่ตนทำนั่นแหละ

ไม่เหมือนเมื่อยังมีชีวิตอยู่ กายกับจิตยังร่วมกันอยู่
ปลิ้นปลอกหลอกลวงได้สารพัดทุกอย่าง จะโกหกมายาได้ทั้งนั้น
ส่วนไปถึงตรงนั้นแล้ว ยังเหลือแต่ใจ ไม่มีอัฐไม่มีสตางค์ ไม่มีทนายความ
ไม่มีใครจะอ้อนวอนร้องขอได้ และไม่ให้อภัยกันเสียด้วย
เมื่อถึงตรงนั้นแล้ว มีอย่างใดก็ต้องตรงไปตรงมาเลย ไม่มีการยกเว้น
กรรมดังนี้ไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีพี่น้อง ไม่มีญาติวงศ์ ไม่มีครูมีอาจารย์
เป็นเอกสิทธิ์ของมันคนเดียว มันไม่เลือกหน้าใครทั้งนั้น
กรรมถึงได้ชื่อว่าเป็นของมีกำลังมาก



กรรม ได้ชื่อว่าแยกสัตว์ให้เป็นไปต่างๆ นานา
เช่น เราทำกรรมชั่วด้วยประการต่างๆ มันจะแยก ให้เราไปเกิดในที่ชั่ว
ถ้าเราทำกรรมดี มันจะแยกเรามาในทางดี
ในทางชั่วหรือทางดีนั้น คนอื่นจะมาแยกไม่ได้ สุขหรือทุกข์คนอื่นมาแยกไม่ได้
กรรมเท่านั้นเป็นคนแยก เราจะมาแก้ตัวและผลัดเปลี่ยนกันไม่ได้ทั้งนั้น
นั่นจึงเป็นของน่ากลัว เป็นสิ่งที่เราพึงสังวรและรู้สึกตัว
จงรีบทำเสียตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่



เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ทรงสอนให้เราละชั่วทำดี เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เป็นโชคลาภอย่างยิ่ง
ถ้าหากเรามาระลึกได้ถึงเรื่องนิมิตว่า
กรรมนิมิต คตินิมิต เป็นสิ่งที่ไม่มีหนทางแก้ไขได้
เป็นสิ่งที่ควรจะกลัวและพยายามแก้ไขตนเสีย จึงจะไม่สายเกินกาล
รีบแก้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้

เพราะเราจะต้องเวียนว่ายตายเกิด ด้วยเหตุ - ผลของกรรมนำให้ไปเกิด
ถ้าเราแก้ไขเสียได้แล้ว การเกิดการตายก็เรียกว่าสั้นเข้ามา คือว่าใกล้ที่จะสิ้นสุดลงไป
เพราะฉะนั้น ให้พากันศึกษา พิจารณาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังที่อธิบายมานี้
ก็จะเป็นประโยชน์แก่ตนทุกๆ คน

เอวํฯ


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจากพระธรรมเทศนา “กรรมนิมิต - คตินิมิต”
ใน “พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๑๐ โดย ปฐมและภัทรา นิคมานนท์
ฉบับพิมพ์เมื่อสิงหาคม ๒๕๕๒.


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP