ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะมีใจที่เด็ดเดี่ยว จนสามารถแยกทางกับสามีที่นอกใจมาตลอดได้



ถาม – ดิฉันกับสามีคบหาและแต่งงานกันมา โดยยังไม่มีลูก รวมเวลาทั้งหมด ๙ ปี
เคยคิดว่าเขาเป็นคนดีมาตลอด แต่เพิ่งมาทราบในช่วงหลังว่าเขาทั้งนอกใจและโกหก
ที่ผ่านมาได้ให้อภัยและพยายามแก้ไขทุกวิธีแต่ก็ไม่ดีขึ้น
ดิฉันเคยขอแยกทาง แต่พอเขามาง้อก็ใจอ่อนทุกครั้ง
ทำอย่างไรถึงจะตัดใจได้เด็ดขาด และต้องทำบุญประเภทไหนถึงจะได้ผลเร็วคะ



หลายคนยังเข้าใจอยู่ว่าการทำบุญ
จะมีผลให้เกิดผลที่ต้องการตามปรารถนาอย่างรวดเร็วนะครับ
จริงๆ แล้วการทำบุญนี่ขอให้เข้าใจว่าเป็นการก่อกรรมใหม่
เป็นการทำกรรมใหม่ สร้างกรรมใหม่นะ
ไม่ใช่ของที่ถูกวางแผนไว้แต่เดิมโดยบุญเก่าหรือว่าบาปเก่านะครับ
บาปเก่าหรือบุญเก่า เรามองไม่เห็นแต่ว่ามันมีจริง
เราสามารถเห็นหลักฐานหรือว่าร่องรอยของบาปบุญเก่าๆ
ผ่านสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา เกิดมากับพ่อแม่แบบไหน
หรือว่ามีชะตาชีวิตที่จะต้องไปพบเจอกับใคร ไปร่วมชีวิตกับใคร
ล้วนแล้วแต่ถูกวางแผนไว้นะครับโดยบาปเก่าบุญเก่า



บาปเก่าบุญเก่าไม่ได้หมายถึงอดีตชาติอย่างเดียว
บางทีมันหมายถึงการที่เราจะเลือกคบใครนะครับ
หรือว่าเราเลือกที่จะเชื่อฟังครูบาอาจารย์แบบไหนนะ
มันมีวิธีที่จะเลือก แล้วก็วิธีที่ตัดสินใจ มีวิธีที่จะตกลงปลงใจกับใคร
ซึ่งมองแล้ว มันอาจจะเป็นเหมือนกับเรื่องที่ว่า เราเพิ่งมาก่อ เราเพิ่งมาสร้าง
ถ้าเห็นด้วยตาเปล่า ถ้าได้ยินด้วยแก้วหูในชาติปัจจุบัน ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น
แต่ที่แท้แล้วมันมีการสืบสายมา
คือไม่ใช่ว่าเราเลือกตัดสินใจที่จะคบกับใครหรือว่าอยู่กับใคร
มันไม่ใช่ด้วยความชอบใจอย่างเดียว มันด้วยเหตุปัจจัยบีบคั้น
เราจะรู้สึกเหมือนกับว่า นี่ต้องเอาคนนี้แหละ ต้องใช่คนนี้แหละ
หรือว่าหนีไปไหนไม่รอด อะไรทำนองนั้น
ซึ่งการที่เราจะอยู่ร่วมกับใคร มันพิสูจน์ได้นะ
ว่าเราเคยทำบุญทำบาปร่วมกับเขามามากแค่ไหน



ถ้าหากว่าไม่ได้เคยมีปมของกรรมนะครับ ทั้งในฝ่ายบุญทั้งในฝ่ายบาป
เราจะไม่ได้อยู่กับใครเลย เราจะไม่ได้เลือก เราจะไม่ได้ลงเอยกับใครเลยนะครับ
คือโดยหลักของกรรมวิบาก
เราไม่มีทางที่จะลงเอยกับใครด้วยการที่เพิ่งมาเจอนะ
ด้วยการที่เพิ่งมาพบเพิ่งมาเห็น แล้วก็ตัดสินใจเอา
ต้องมีแรงหนุนจากบุญหรือบาปเก่าอยู่

คือในแง่ของบุญก็ต้องเคยอาจจะอนุเคราะห์ ร่วมกันอนุเคราะห์ผู้อื่นมา
ร่วมกันใส่บาตร ร่วมกันทำบุญกับใครต่อใคร
ในฝ่ายบาปก็คืออาจจะเคยทำร้าย อาจจะเคยสาปแช่งกันมา
อาจจะเคยคิดอาฆาตกันมา อะไรต่างๆ นะ



แล้วส่วนใหญ่คู่ที่มาอยู่ด้วยกัน
เท่าที่เราสามารถจะมองเห็นด้วยตาเปล่าโดยไม่มีอคติ โดยไม่มีความลำเอียง
เราจะพบว่าส่วนใหญ่แล้ว เป็นทั้งคู่บุญและก็คู่ทรมาน
ไม่ค่อยจะมีคู่บุญอย่างเดียว ไม่ค่อยจะมีคู่ทรมานอย่างเดียว
คู่ทรมานคืออะไร คืออยู่ด้วยกันแล้วทรมานจริงๆ นะ
ต่างฝ่ายต่างเหมือนกับตั้งท่าจะประหัตประหารกัน แล้วก็ไม่มีอะไรดีเลย
คืออยู่ด้วยกันนี่ มันมีแต่ความทุกข์ มันมีแต่ความร้อน มันมีแต่เสียงด่า
มันมีแต่การสาดใส่กันด้วยทุจริต ๓ ทั้งกายจริต วจีทุจริต แล้วก็มโนทุจริต
อันนี้เรียกว่าเหมือนกับพออยู่ด้วยกันแล้วไม่เข้าใจ ลืมไปแล้ว
ว่าเหตุผลนี่ทำไมต้องมาอยู่ด้วยกัน มันมีแรงดึงดูดอะไรกันหนอ
จำได้แต่ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน


นี่ตรงนี้เป็นหลักฐานของบาปเก่าที่เคยทำมาร่วมกัน
บางคู่นี่นะเคยโกงแผ่นดินมาด้วยกัน
หรือบางคู่นี่โกงวัดมาด้วยกันนะ บางคู่นี่ไปโกงชาวบ้านมาด้วยกัน
บางคู่นี่เคยเหมือนกับรบราฆ่าฟันกันก็มีนะ แล้วก็ผูกใจอาฆาตกัน
คือต่างฝ่ายต่างเคยเป็นชายด้วยกันทั้งคู่
มาเกิดใหม่ ฝ่ายหนึ่งเป็นชาย ฝ่ายหนึ่งเป็นหญิง
แล้วแรงอาฆาตนั้นก็ไปดึงดูดกันด้วยผ่านธรรมชาติความรู้สึกทางเพศนะ
แล้วก็พอมาอยู่ด้วยกันปุ๊บ มันก็จำกันได้ นี่ศัตรูไม่ใช่คู่รักนะ
คือจำได้จากส่วนลึกเนี่ย มันก็เลยมีอาการฮึ่มฮั่มใส่กันตลอดเวลานะ



หรือฝ่ายบุญนี่ก็จะเคยอยู่ร่วมกันมาอย่างดีนะ
ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน มีความเอ็นดูต่อกัน แล้วก็เกื้อกูลกันอย่างดี
พอมาอยู่ด้วยกันมันมีแต่ความสุข มันมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองนะ


ส่วนคู่ปกติทั่วไปที่เป็นทั้งคู่บุญและคู่ทรมานกันมา
มักจะพบได้จากการที่ฝ่ายชาย
ไม่สามารถหยุดอยู่กับภรรยาเพียงคนเดียวได้ จะต้องไปมีเล็กมีน้อย
หรือว่าทำให้ภรรยาเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
เกิดความรู้สึกบาดเจ็บ เกิดความรู้สึกทุกข์ทรมาน
แล้วก็จะผ่านเรื่องการโกหกบ้าง การที่ไปนอกใจบ้าง การที่ไม่ทำหน้าที่สามีที่ดี
ไม่เลี้ยงดูภรรยาด้วยความมีแก่ใจที่เสมอต้นเสมอปลายอะไรแบบนี้
แล้วฝ่ายภรรยา ฝ่ายหญิงนี่นะ ธรรมชาติฝ่ายหญิง
ก็มักจะเหมือนกับอยากจะให้เอาใจตัวเองมากๆ
แล้วก็อยากจะเรียกร้องความสนใจ เรียกร้องความสงสาร เรียกร้องการดูแล
หรือว่าความอบอุ่นจากฝ่ายสามี โดยที่บางครั้งอาจจะไม่สมเหตุสมผล


อันนี้พูดโดยทั่วไป คือไม่ได้พูดถึงคู่ปัจจุบันที่เป็นคำถามนะครับ
ก็จะบอกว่าที่เป็นทั้งคู่บุญแล้วก็เป็นทั้งคู่ทรมานกัน คู่บาปคู่กรรม
มันก็เพราะว่าธรรมชาติของทั้งสองเพศ ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่
ฝ่ายหนึ่ง ถูกคาดหมายถูกคาดหวังว่าสมควรจะเป็นที่พึ่ง
ฝ่ายเป็นที่พึ่งนี่ก็ไม่ค่อยทำตัวเป็นที่พึ่ง ไม่ค่อยทำตัวเป็นที่อบอุ่นนะ
ไม่ค่อยทำตัวเป็นอะไรที่มันตรง อะไรที่มันเป็นเสาหลักนะ
ตรงกันข้ามจะทำตัวเป็นไม้เลื้อย จะทำตัวเป็นคนที่ยังไม่มีเจ้าของ ยังโสดอยู่อะไรแบบนี้
ส่วนฝ่ายที่น่าจะทำหน้าที่ดูแลเอาใจใส่ แล้วก็พะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ
ก็กลายเป็นฝ่ายที่พยายามจะเรียกร้องความสงสาร
เรียกร้องความเห็นใจ เรียกร้องการเอาอกเอาใจนะ



มันก็เลยเกิดความขัดแย้ง เรียกว่ามาอยู่กันราวกับผิดฝาผิดตัวนะ
ต่างฝ่ายต่างจะเอาแต่ใจของตน
ก็เลยไม่มีใจที่มาประกบประกอบประจวบกันอย่างสมน้ำสมเนื้อนะครับ
มันกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างไปตามทิศตามทางของกิเลสที่ตนเองมี
ไม่ใช่อยู่กันด้วยธรรมชาติทางเพศที่สมควรแก่กันนะ
ธรรมชาติทางเพศในที่นี้ก็หมายความว่า
ฝ่ายชายควรจะอบอุ่นแล้วก็เป็นที่พึ่ง
แล้วก็ฝ่ายหญิงควรจะมีความเยือกเย็น
แล้วก็มีลักษณะของความเป็นที่ฝากใจได้ เป็นที่ใฝ่ฝันอะไรแบบนั้นนะ

กลายเป็นว่าเห็นหน้ากันแล้ว
ฝ่ายชายมีความรู้สึกว่าฝ่ายหญิงนี่เอาแต่ใจตัวเองนะ
นอกจากจะไม่ทำให้นึกชวนฝันแล้ว
มันยังจะชวนเบือนหน้าหนี หรือว่าชวนวิ่งหนีอะไรแบบนั้น
ส่วนฝ่ายชายนี่นะ แทนที่จะมีความซื่อสัตย์เป็นเสาหลักของบ้าน
ก็กลายเป็นไม้เลื้อยไปอะไรแบบนี้นะ ฝ่ายหญิงก็เกิดความผิดหวังนะ


อันนี้เป็นต้นเหตุของการที่ต่างฝ่ายต่างเป็นคู่บุญแล้วก็คู่เวรต่อกัน
เจอกันครั้งไหนก็จะมีทั้งรักแล้วก็มีทั้งชัง
มีทั้งดูดดื่มหวานชื่นนะครับ แล้วก็มีทั้งความรู้สึกขมขื่น
มีทั้งความรู้สึกทรมาน มีทั้งความรู้สึกทุกข์ใจ
แล้วก็การเดินทางท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดไปเป็นอนันตชาติในสังสารวัฏนี้
มันไม่มีหรอกที่เราจะได้เจอแต่ดีกับดีนะครับ
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นทั้งคู่บุญแล้วก็คู่เวรกันอย่างนี้แหละโดยมากนะ

ส่วนน้อยนักที่จะพบพระพุทธศาสนา หรือไม่ก็อยู่ในศาสนาอื่นนะ
แล้วก็มีศรัทธาที่ตรงกัน มีศรัทธาที่ยิ่งใหญ่ในความดีในความสว่างนะครับ
แล้วก็สามารถที่จะประคับประคองเกื้อกูลกัน
ด้วยความเอ็นดู ด้วยความมีใจเดียว ซื่อสัตย์เด็ดเดี่ยวนะครับ



อันนั้นพอเราทำความเข้าใจอย่างนี้นะ
ก็จะไม่มามองง่ายๆ ว่าเราควรจะทำบุญอย่างไรถึงจะหนีจากคนคนหนึ่งไปได้
ถ้าหากว่าเราเคยพบเคยเกี่ยวพันกับเขามาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยชาตินะ ในทางดีทางร้าย
ส่วนใหญ่แล้วก็จะเกิดความผูกพันเหนียวแน่นนะครับ
ทั้งทางดีทางร้ายนั่นนะ มันต้องชดใช้กัน
จนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนะ สามารถที่จะอยู่บนอีกเส้นทางหนึ่งที่แตกต่างไป
เส้นทางแห่งการให้อภัยอย่างบริสุทธิ์
เส้นทางแห่งการที่จะครองพรหมจรรย์อย่างบริสุทธิ์
เส้นทางที่จะไม่นึกอยากจะเอาคู่
ไม่อยากจะเกาะเกี่ยว ไม่อยากจะอยู่มีชีวิตอยู่เป็นคู่ๆ นะ
อย่างนั้นถึงจะออกจากวงจรแห่งภัยแห่งเวรได้นะ

นอกนั้นคืออย่าไปหวังนะ อย่าไปคาดหวัง
ว่าเราจะเจอแต่คนที่จะรักแล้วก็เอาใจใส่เราตลอดไป
เมื่อมองเป็นภาพรวมได้อย่างนี้เกี่ยวกับชีวิตคู่
ทีนี้เราจะต้องทำอย่างไรต่อ ถ้าหากว่าคู่ของเราไม่ได้มีศรัทธาในทางเดียวกับเรา
แล้วก็พื้นจิตพื้นใจไม่ได้เป็นคนมีศีลมีธรรมนะ ทำอย่างไร


ก็มี ๒ ทางให้เลือกนะครับ
ทางเลือกแรก เราพิจารณาว่าเราเป็นฝ่ายที่ครองศีลนะ
ต้องคิดอย่างนี้นะ คือฟังดีๆ นะ เราเป็นฝ่ายที่ครองศีลมาโดยบริสุทธิ์
แล้วเราไม่สามารถอยู่กับอีกฝ่ายที่ไม่สามารถครองศีลบริสุทธิ์ได้นะครับ

โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อพิจารณากันที่ศีลนะครับ
เราจะละจากความติดใจ ติดใจอยู่กับอะไรที่ทำให้ใจอ่อนได้ในภายหลังนะครับ
ติดใจในภาวะคู่ ติดใจในภาวะที่เคยคบหากันมา เคยมีความผูกพันที่แน่นแฟ้นต่อกันนะ
มันจะมีแง่มุมการพิจารณาที่ประจักษ์ต่อใจอย่างหนึ่งนะครับ


อันนี้ขอให้ฟังดีๆ นะ นี่ไม่ได้ยุให้เลิกกันนะ
อันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของผมนะที่จะไปบอกให้ใครเลิกกับใคร
แต่พิจารณาอย่างนี้ว่า อันนี้เป็นไปตามหลักในพระไตรปิฎกที่ท่านแนะนำไว้นะ
ถ้าหากว่าบุคคลมีศีลแล้วนะ ไม่ควรที่จะไปคบหาหรืออยู่ร่วมกับคนไม่มีศีล
ถ้าหากว่าไม่สามารถพบใครที่มีศีลเสมอกับตนได้นะ
ก็ควรท่องเที่ยวไปตามลำพังโดยเดียวประดุจนอแรด

อันนี้คือคำเปรียบเทียบนะครับว่า มีนอเดียวอย่างนี้
จะดีกว่าไปหลายคนหรือว่าอยู่กันเป็นคู่ๆ อะไรทำนองนั้น
คือพิจารณาอย่างนี้ด้วยใจแบบนี้นะ
คือถ้าเราเห็นด้วยกรอบด้วยบรรทัดฐานของศีล
เราก็จะพบว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ขาวกว่า
หรือว่าอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องกว่า หรืออย่างไรนะครับ
ถ้าพิจารณาอย่างนั้นแล้ว เราก็จะสามารถละความติดใจได้



ทีนี้การละความติดใจ ไม่ใช่ว่าเราจะไปเลิกกับเขาทันทีนะ
แต่เราสามารถที่จะเหนี่ยวนำให้เขามา ถ้าเขาจะยังอยากอยู่กับเรา
เหนี่ยวนำให้เขามามีศีลแบบเดียวกับเราได้
คือเน้นกันเรื่องนี้ แล้วก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างนะครับว่า
คนมีศีลนี่นะต้องซื่อสัตย์อย่างไร ต้องประพฤติตนอย่างไร
และต้องมีความเยือกเย็น มีความสะอาด มีความพร้อมอย่างไร

ถ้าเขาไม่สามารถที่จะเป็นคนมีศีลได้
ในที่สุดมันก็จะเกิดความรู้สึกผลักดันออกจากกันโดยดีนะครับ
แต่ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะเหนี่ยวนำให้เขามามีศีลแบบเดียวกับเราได้
อันนี้ก็จะกลายเป็นว่าเราเป็นฝ่ายชนะ
เราเป็นฝ่ายที่สามารถนำทางเขามาสู่ความถูกต้องความสว่างได้นะครับ



กับอีกทางหนึ่งนะ อันนี้เมื่อกี้นี้พิจารณาเรื่องการมีศีล
อีกทางหนึ่งคือเรานะครับพิจารณาเรื่องว่าเราให้อภัยเขาได้กี่ครั้ง ลิมิตได้กี่ครั้งนะ
มีการตกลงกันชัดเจนว่าถ้าหากทำอีกครั้งนั้นครั้งนี้ เราจะไม่อภัยแล้วนะ
เพราะว่ามันไม่ไหว มันไม่ใช่สิ่งที่จะต้องไปเห็นใจกันตลอดชีวิตนะครับ
เราต้องมีความเด็ดเดี่ยวบ้างนะ
ถ้าหากว่าเขาจะต้องการที่จะใช้ชีวิตกับเราอยู่จริงๆ
ก็ไม่ควรมาทำให้เราเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า
นี่ไม่ใช่คู่ของเราแต่เป็นของใครก็ไม่รู้ มีใครเป็นเจ้าของบ้างก็ไม่รู้
คือมันต้องมีคำพูดที่บอกชัดเจนนะว่า
เราอยากอยู่กับเขาแต่เขาต้องอยากอยู่กับเราด้วย
ไม่ใช่ว่าเราอยู่ของเรานะในฐานะภรรยา แต่เขาไม่ได้อยู่ในฐานะของสามี
คือถ้ามีการตกลงกันชัดเจนว่าถ้าขืนทำอีกนะ
เราก็จะต้องประกาศให้คนอื่นเขารู้อย่างชัดเจนนะ ว่าเราไม่ใช่คู่กันอีกแล้วนะครับ



ก็แนะนำไป ๒ กรณีนะ มันไม่มีบุญข้อไหนที่ทำแล้วจะทำให้เกิดความมีใจเด็ดเดี่ยวได้
แต่มันมีการที่เราตกลงกับตนเองว่าให้โอกาสเขาที่สุดเท่าไหร่นะ ที่สุดแค่ไหน
แล้วก็บอกว่า ถ้าหากว่าเกินกว่านั้น
ก็จะไม่มีการต่ออายุความเป็นสามีภรรยากันอีกนะครับ อย่างนี้ดีกว่า
มันไม่ใช่เรื่องการทำบุญ มันเป็นเรื่องของการมีความเด็ดเดี่ยวกับตนเอง
มีความตั้งใจแล้วทำตามความตั้งใจให้ได้



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP