ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะเกิดปีติในการทำบุญ



ถาม - ก่อนไปทำบุญ ขณะทำบุญ และหลังทำบุญ ควรจะคิดอย่างไรให้เกิดความศรัทธา
และรักษาความสุขที่เกิดจากการทำบุญไว้ได้นานๆ คะ



คำถามคือก่อนทำบุญ ขณะทำบุญ แล้วก็หลังทำบุญ
ควรจะทำใจไว้อย่างไร ควรจะคิดอย่างไร เพื่อที่จะให้เกิดศรัทธา เกิดปีตินั่นเองนะ
เพราะหลายคนบอกว่าพอทำบุญไปเรื่อยๆ แล้ว
ปรากฏว่าปีติหายไปไหนก็ไม่ทราบ
เหมือนกับมีความเคยชิน เหมือนกับความรู้สึกชื่นใจที่ได้ทำบุญเนี่ยหายไปเฉยๆ
คำตอบง่ายๆ ก็คือว่าวิธีที่เราจะคิด วิธีที่เราจะไปทำบุญ
อย่าไปทำตามความเคยชิน



จริงๆ แล้วถ้าเราไปทำอย่างสม่ำเสมอนี่ดีนะ
เพราะว่าเป็นการสร้างความแข็งแรง สร้างความตั้งมั่นให้กับการทำทาน
การไปวัด การไปทำบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างสม่ำเสมอ
เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
แต่เราไม่ต้องกะเกณฑ์ตัวเองว่าจะต้องไปเมื่อนั่นเมื่อนี่แน่ๆ ก็ได้นะ
เอาอย่างที่เหมือนกับที่มีความรู้สึกขึ้นมาว่าอยากทำบุญ
ตัวอยากทำบุญนี่แหละที่ทำให้เกิดปีติ

ตัวอยากที่จะให้ ตัวอยากที่จะสงเคราะห์นะ
คือถ้าตัดคำว่าอยากทำบุญทิ้งไป อยากได้บุญทิ้งไป
เหลือแต่ความรู้สึกอยากอนุเคราะห์ อยากให้พระสงฆ์องค์เจ้ามีของใช้ มีปัจจัยสี่
เพื่อที่จะสืบทอดพระศาสนา เพื่อที่จะปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา
เพื่อที่จะทำกิจของสงฆ์ให้ลุล่วงตามที่ตกลงกับพระพุทธเจ้าไว้
ว่าเราบวชเข้ามาเพื่อที่จะทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง



ถ้าหากว่าใจเรารู้สึกอยากให้ อยากถวาย อยากทำ อยากอนุเคราะห์พระสงฆ์
ด้วยความรู้สึกออกมาจากแก่นของใจแล้วจริงๆ จะเกิดปีติเสมอ
ปีติที่อยากทำแล้วได้ทำนี่นะ เป็นสิ่งที่เขาเรียกว่าใจมีทานจิต
มีลักษณะของทานจิตครบวงจร อยากให้แล้วก็ได้ให้ สมใจอยาก

เหมือนกับคนที่คาดหวังว่าจะได้รับอะไรสักอย่างหนึ่ง
แล้วได้รับตามความคาดหมาย ก็เกิดความสมใจ ก็เกิดความดีใจ
อันนี้เป็นในทางกลับขั้วกัน คือเราเกิดความอยากให้นำขึ้นมาก่อน แล้วก็ได้ให้สมใจ
นั่นแหละนะจะเกิดปีติ จะเกิดความรู้สึกที่ดีขึ้นมา



อีกทางหนึ่งคือ พยายามทำบุญให้หลากหลาย
บางคนทำรูปแบบเดิมซ้ำๆกัน
มีข้อดีเหมือนกันคือทำให้บุญประเภทนั้นๆ หรือว่าทานประเภทนั้นๆ
มีความตั้งมั่น มีความสม่ำเสมอ มีความแน่นอน
เวลาที่กรรมเผล็ดผลก็จะเผล็ดผลแน่นอน
มีสิ่งอื่นที่เข้ามากีดขวางหรือว่าขัดขวางการให้ผลของบุญได้ยาก
แต่ใจของเรา ณ ขณะปัจจุบันที่ได้ทำบุญ
จะเกิดความรู้สึกเฉยๆ จะเกิดความรู้สึกชินๆ
ซึ่งเป็นธรรมชาติของจิต ทำอะไรบ่อยๆ ทำอะไรทุกวัน ทำอะไรซ้ำๆ
โดยที่ไม่ได้เกิดความรู้สึกยินดีตั้งแต่ต้นว่าอยากให้
ในที่สุดก็เกิดความรู้สึกเฉยๆ เป็นธรรมดาขึ้นมา



แต่ถ้าหากว่าเราสลับ สลับขาหลอกกิเลสมัน
สลับลักษณะของการทำบุญให้ครบวงจร
เช่น แทนที่จะไปวัดอย่างเดียวนะ ลองไปสถานสงเคราะห์คนอนาถาดูบ้าง
ลองไปที่สถานสงเคราะห์เด็กอนาถา ไม่มีพ่อไม่มีแม่ เด็กกำพร้า
แล้วก็คนชราที่ลูกเต้าไม่เลี้ยงดูไม่เหลียวแล
เราไปเหลียวแลแทน เราไปทำให้เด็กดีใจ ไปทำให้คนแก่มีกำลังใจ
การที่เราได้ทำบุญหลากหลาย การที่เราได้ทำบุญแบบครบวงจร
ไม่ใช่ให้เฉพาะพระ ให้คนธรรมดาด้วย



แล้วก็ให้สัตว์ด้วย ให้เศษอาหารกับหมาแมวข้างทาง แค่นี้มีผลมากนะ
เพราะว่าเรากินของเสร็จ บางทีก็จะเกิดความรู้สึกเสียดาย
ของในจานนี่มันน่าจะให้หมาแมว แล้วเกิดความรู้สึกว่า
เออ น่าจะนำไปให้หมาแมวสักตัวหนึ่งที่อยู่ระหว่างทางแบบไม่เจาะจง
แค่คิดอย่างนี้มันรู้สึกดีแล้ว แล้วพอได้ให้จริงๆ มันรู้สึกอิ่มใจ รู้สึกปลื้ม
เห็นไหม มันเริ่มต้นขึ้นมาจากความอยากให้
แล้วไม่จำกัดว่าจะต้องถวายพระเท่านั้น แม้แต่ให้ของสัตว์ก็ได้ความรู้สึกที่ดีมากแล้ว
แล้วพระพุทธเจ้าก็ยืนยันนะว่าบุญแม้กระทั่งด้วยการให้สัตว์เดรัจฉาน
ถือเป็นบุญใหญ่นะ ถือเป็นทวีคูณนะ

ให้เศษกระดูกนี่เราได้คืนมาเป็นไก่ทั้งตัว
นี่คิดแบบเทียบง่ายๆ เป็นอัตราส่วนที่ให้เห็นภาพ
นอกจากนั้นเราอาจจะไปปล่อยนกปล่อยปลา ปล่อยสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า



ลองทำบุญให้ครบวงจรดู แล้วเวียนกลับมาทำบุญกับพระอีกที
เราจะเกิดความรู้สึกชัดเจนขึ้นมาว่า เออ ทำบุญกับพระนี่เป็นบุญระดับสูงนะ
คนที่ได้รับ ผู้ที่ได้รับมีจิตวิญญาณที่สูงส่งกว่าเด็กอนาถา
หรือว่าคนชรา หรือว่าคนธรรมดาทั่วไป
เพราะว่าพระมีศีล รักษาศีล ๒๒๗ ข้อนะครับ
แล้วก็มีการปฏิบัติธรรมเจริญสติ ซึ่งเป็นบุญขั้นสูงสุดในพุทธศาสนา
ปกติเวลาเราไปทำบุญกับพระโดยตรง
เราก็จะรู้สึกว่าได้ทำบุญใหญ่ ได้มีความอิ่มใจ
แต่ไม่มีตัวเปรียบเทียบให้เกิดความชัดเจน

ต่อเมื่อเราทำบุญครบวงจร ทำทั้งกับสัตว์ ทำทั้งกับเด็กอนาถา ทำทั้งกับคนชรา
ทำทั้งกับเพื่อน ทั้งกับคนรอบๆ ตัวที่มีฐานะใกล้เคียงกัน



เราจะรู้สึกเลยว่าเวลาให้ผู้รับแต่ละระดับ จะมีความแตกต่างกัน
คือความอิ่มใจในการให้เท่ากันนะ
แต่ว่าความรู้สึกถึงกระแสของผู้รับ ที่มีความสูงส่ง
ที่มีความรู้สึกว่าสะท้อนกลับมาเป็นบุญใหญ่
สะท้อนกลับมาเป็นความสว่างอย่างใหญ่
มันจะค่อยๆ เลื่อนระดับขึ้นมา

เริ่มจากสัตว์ก็จะมีความรู้สึกว่าสะท้อนกลับมาแบบหนึ่ง
เราทำบุญกับสิ่งมีชีวิตระดับบุญแบบนี้
แล้วก็ขยับขึ้นมาเป็นเด็กอนาถา ขยับขึ้นมาเป็นคนชรา
แล้วขยับเรื่อยขึ้นมาจนกระทั่งมาเป็นพระ แล้วเป็นพระก็มีหลายระดับอีก
พระนวกะก็มีเพิ่งบวชเข้าไป หรือว่าพระที่ท่านบวชเข้ามาตามประเพณีตามธรรมเนียม
แล้วก็ขึ้นมาถึงพระที่ท่านเข้าใจจริงๆ ว่าการบวชคืออะไร
การปฏิบัติธรรม การทำกิจในพระพุทธศาสนาคืออะไรนะ
เราก็จะได้ความรู้สึกหลากหลายแตกต่างกันไป



แล้วก็ทำให้เราเลิกที่จะเกี่ยงงอนว่าจะต้องทำบุญกับพระดี
จะต้องทำบุญกับพระอริยเจ้าเท่านั้น
เราจะมีความรู้สึกว่าการทำบุญครบวงจรนั่นแหละดีที่สุด
เพราะได้ความอิ่มใจเรื่อยๆ

เป็นความอิ่มใจที่มีการหมุนเวียน ไม่ใช่เป็นความอิ่มใจที่ซ้ำไปซ้ำมา
แล้วก็เกิดความรู้สึกชาชินนะ จนกระทั่งสงสัยว่า เอ๊ะ แบบนี้ได้บุญหรือเปล่า
ทำไมได้บุญใหญ่ได้บุญเยอะแล้วถึงเกิดความรู้สึกเฉยๆ
ที่เฉยก็เพราะว่าทำซ้ำๆ จนชินนะครับ ไม่ใช่ว่าทำแล้วไม่ได้บุญ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP