วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๓๐



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “น้องลานจะไปช่วยพี่ทำงานจริง ๆ นะ!” พี่มุกดาอุทานเสียงไม่เบานัก คนในรถแทบอุดหูไม่ทัน

            “เบา ๆ ก็ได้แม่” สามีพี่มุกดุกึ่งเอ็ดมาจากหลังพวงมาลัยคนขับ

            “แล้วเรื่องเรียนของน้องลานล่ะ” พี่มุกถามต่อ ไม่สนใจเสียงสามี

            “ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ...ลานไปช่วยแค่อาทิตย์ สองอาทิตย์ ไม่น่ากระทบอะไรมาก ฟังปัญหาที่บริษัทแล้วน่าเป็นห่วง ยังไงลานก็เคยฝึกงานอยู่ที่นั่น ถ้ามีอะไรพอช่วยได้ก็อยากทำให้ค่ะ”

            “แหม...พี่เกรงใจจัง” พี่มุกพูดคล้ายอยากปฏิเสธน้ำใจ แต่น้ำเสียงดีใจจนน่าเชื่อว่าเธอคงอยากจะตอบรับทันที

            “ไม่เป็นไรค่ะ ลานถือว่าได้ช่วยตอบแทนบุณคุณคุณหญิงท่านที่เคยเมตตา” คำพูดหญิงสาวไม่เกินความจริง คุณหญิงรัดเกล้าได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีเมตตาต่อลูกน้องทุกคนเสมอกัน

            “มีเหตุผลแค่นั้นจริง ๆ เหรอ...” บูรพาเอ่ยถามลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงแปร่งแปลก

            ลานน้ำค้างนิ่งงันชั่วขณะ มีแต่คนที่คุ้นเคยกัน จึงรู้ว่าน้ำเสียงบูรพาเช่นนี้คือการเริ่มรวน หาเรื่อง

            “อือ...” ลานน้ำค้างตอบสั้นที่สุด

            บูรพาไม่พูดอะไรอีก...กิริยานิ่งแบบนี้ เจ้าตัวรู้ดี...หากพูดต่อ ต้องได้ทะเลาะกันแน่!

            ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถ ลานน้ำค้างกับพี่มุกผูกขาดการสนทนาเพียงสองคน ทั้งคู่คุยเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณหญิง งานศพ เลียบเมือง ปันปัน จนถึงปัญหาต่าง ๆ ในบริษัท

            ที่บริษัทเริ่มมีปัญหาตั้งแต่คุณหญิงเสียชีวิต กลุ่มลูกค้าและผู้ถือหุ้นเริ่มไม่ไว้ใจอนาคตการบริหารของบริษัท เหล่าพนักงานขวัญเสีย กลัวเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

            เลียบเมืองจำเป็นต้องเลือก ระหว่างการขายหุ้นใหญ่ แล้วอยู่เฉย ๆ รับเงินตามสบาย กับการต้องลาออกจาก งานของตน ยอมเหนื่อย เข้ามาเรียนรู้งานใหม่ เพื่อเข้ามากุมบังเหียน ดำเนินงานต่อ

            เขายอมเลือกเส้นทางที่สอง...

            เมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้ว ต้องยอมเหนื่อยมากกว่าที่เคยเหนื่อย ลำบากมากกว่าที่เคยลำบาก การสร้างความเชื่อถือ ทำให้ทุกคนกลับมามั่นใจอย่างที่เคยไว้วางใจคุณหญิงรัดเกล้า มันไม่ใช่เรื่องง่าย

            มุกดาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเลียบเมือง ควบคู่กับงานเลขาซึ่งหนักแรงอยู่แล้ว ทุกคนในบริษัทต่างเหนื่อยกว่าเดิม เพื่อเรียกศรัทธาคืนมาจากลูกค้า กลุ่มผู้ถือหุ้น

            ลานน้ำค้างเอ่ยปากช่วยเหลือแบ่งเบาภาระงานของมุกดา อย่างน้อยในช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ ระหว่างที่เลียบเมืองกำลังศึกษา เรียนรู้งานใหม่

            บูรพาไม่เห็นด้วย เอ่ยปากอ้อม ๆ แบบเกรงใจพี่มุกดาเป็นระยะ บางครั้งก็แกล้งถามจี้ใจเพื่อนสาวให้สะดุดคิด แต่ลานน้ำค้างแกล้งฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ต่อความด้วยจนเขาต้องยอมเงียบไปเอง

            “ถ้าอย่างนั้นพี่ต้องขอบคุณน้องลานจริง ๆ ที่ช่วยให้หายใจขึ้นได้บ้าง” พี่มุกตอบรับอย่างไม่เกรงใจ

            “แต่...ลานยังไม่แน่ใจนะคะ ว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน” ลานน้ำค้างเอ่ยปากอย่างถ่อมตัว

            “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แค่ทำงานเท่าที่เคยทำ ก็ช่วยพี่ได้เยอะแล้ว” คราวนี้พี่มุกยิ้มแป้น

            “ว้า...แย่จัง เราคงไม่ค่อยมีเวลาไปส่งเธอเหมือนตอนไปฝึกงานแล้ว...” บูรพาพูดเรื่อย ๆ เหมือนออกตัวทีเล่นทีจริง...แต่คนฟังรู้...พูดอย่างนี้มันบอกถึงดีกรีความไม่พอใจในระดับสูง

            “ไม่เป็นไร...เดี๋ยวพี่จะคอยมารับ – ส่งน้องลานเอง อุตส่าห์มีน้ำใจมาช่วยพี่ขนาดนี้เนอะ อีกอย่าง บ้านเราก็ทางเดียวกันด้วย” พี่มุกดารีบเสนอตัวช่วยเหลือ โดยไม่ทันฉุกใจถึงน้ำเสียงชายหนุ่ม

            “ขอบคุณค่ะ ถ้าอย่างนั้น ลานต้องขอรบกวนจริง ๆ ด้วย” ลานน้ำค้างยอมรับน้ำใจง่ายดายผิดเคย

            บูรพานั่งนิ่ง ไม่พูดจา ถึงตอนนี้เขารู้ดี...ยังไม่ควรพูดอะไรทั้งนั้น

            “ลานขอถามเรื่องคุณปัณรสีหน่อยได้มั้ยคะ” ลานน้ำค้างเปลี่ยนประเด็น เข้าเรื่องที่เธอสงสัย อยากรู้

            “เอ่อ...น้องลาน...อยากรู้อะไร...เหรอ?” พอเข้าเรื่องนี้ พี่มุกก็อึกอัก พูดไม่ถูก ตั้งตัวไม่ทัน

            “คุณปัณรสี เขามาสร้างปัญหาอะไรให้คุณเลียบเมืองหรือคะ”

            “เอ่อ...เรื่องนี้...พี่ว่า...น้องลานคอยสังเกต หรือไม่...ก็ควรถามคุณเลียบเมืองเองดีกว่านะ...คือ...มันเป็นเรื่องในครอบครัวเขา...พี่ไม่กล้าเล่าน่ะ”

            ขนาดพี่มุกดาเป็นขาเมาท์ ช่างพูดได้ทุกเรื่อง ก็ยังไม่ยอมบอกเล่าถึงปัญหา เรื่องราวเหล่านี้ แสดงว่ามันต้องเป็นปัญหาสำคัญ เรื่องลับในครอบครัวเลียบเมืองที่ไม่ควรเปิดเผยจริง ๆ

            แล้วเรื่องราวใด จึงถือว่าเป็นความลับ ไม่ควรพูดออกไป!

            คำถามถูกตั้งในใจ...ก่อนได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว

            ...เรื่องที่ปันปันไม่ใช่ลูกสาวของคุณหญิงรัดเกล้า ไม่ใช่น้องสาวแท้ ๆ ของเลียบเมือง...

            ถึงเรื่องนี้จะไม่ใช่ความลับชนิดไม่มีใครรู้ แต่เชื่อแน่ ๆ ว่าต้องเป็นเรื่องที่ไม่สามารถบอกกล่าวพูดจาได้อย่างสะดวกปาก...อย่างน้อยต้องมีคนเป็นห่วง สงสารความรู้สึกของปันปัน

            ถ้าอย่างนั้น เรื่องที่ปัณรสีจะทำให้เลียบเมืองเกิดปัญหา หนักใจ น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปันปัน!

            พอได้คำตอบ ลานน้ำค้างก็สงบปาก ไม่ซักไซ้ต่อ

            ถึงพี่มุกดาจะช่างพูดขนาดไหน เธอก็รัก และจริงใจกับคุณหญิงรัดเกล้าอย่างแท้จริง



            รถมาจอดส่งถึงหน้าบ้านลานน้ำค้าง สองสาวต่างวัยนัดวันเวลามารับกันไปทำงานเรียบร้อย...

            ลานน้ำค้างลงจากรถพร้อมกับบูรพา

            “พี่เข้าไปส่งน้องบูที่บ้านท้ายซอยก็ได้นะจ๊ะ” พี่มุกดาเอ่ยปากบอกอย่างมีน้ำใจ

            “ไม่เป็นไรครับ ดึกแล้ว พี่มุกกลับเถอะ...ผมเดินเข้าไปเองได้ ไม่ไกลเท่าไหร่...ขอบคุณมากนะครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างสุภาพ ยังมีอาการแข็ง ๆ บางอย่างที่เพื่อนสาวพอสังเกตเห็น

            “ถ้างั้นพี่ไปละนะจ๊ะ” พี่มุกโบกมือลา

            รถแล่นจากไป จนไฟท้ายแดง ๆ ลับสายตา บูรพายังยืนอยู่หน้าบ้าน ทำท่ารอให้หญิงสาวไขกุญแจประตูรั้วจนเสร็จ ฝ่ายที่กำลังเข้าบ้านกลับมีอาการลังเล สีหน้าอึดอัด

            ทั้งสองรู้แก่ใจ ยังมีเรื่องที่ต้องพูดจา มีบางสิ่งต้องอธิบาย...เพียงแต่ฝ่ายหนึ่งไม่อยากเริ่มต้นออกปากถาม ส่วนอีกฝ่ายก็อึดอัดใจไม่อยากบอก

            ประตูรั้วเปิดออก ลานน้ำค้างยังไม่ก้าวเข้าไป หล่อนรู้สึกถึงสายตาบูรพาที่มองมาจากเบื้องหลัง...รอให้เธอยอมเอ่ยปาก พูดถึงสิ่งที่สมควรอธิบายต่อเพื่อนสนิท

            ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนลานน้ำค้างตัดสินใจก้าวเข้าบ้าน แล้วหันมายิ้มบอกลาด้วยกิริยาฝืนให้เป็นปกติ

            “ขอบใจนะหมูที่รอส่ง” หันมองในบ้าน เห็นไฟเปิดสว่าง แม่คงกลับมาแล้ว
  
            “แม่กลับบ้านแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงฉันหรอก”

            บูรพาไม่ตอบวาจา นัยน์ตามองตรงหญิงสาว กิริยาบอกชัด ต้องการรู้เหตุผลที่หล่อนเสนอตัวช่วยงานบริษัทเลียบเมือง รวมถึงเหตุผลเรื่องราวต่าง ๆ ที่เธอยังปิดบังเขา

            “เดินกลับบ้านดี ๆ ล่ะ ระวังโดนฉุดนะเออ” หญิงสาวพยายามทำเป็นไม่รู้ความหมายในท่าทางนั้น แสร้งพูดจาหยอกล้อเหมือนเคย

            “ลาน...” ที่สุดบูรพาก็เอ่ยปาก เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจะปิดประตู

            ลานน้ำค้างชะงักมือค้าง ในใจรู้...เวลานี้ยากหลีกเลี่ยงการพูดจากับบูรพาได้...เรื่องที่หล่อนขาดเรียนไปหลายวัน ช่วงรับยาคีโม เป็นเรื่องหนึ่งที่เขาอยากรู้...อุตสาห์ฝืนทนอดใจไม่เซ้าซี้ถาม ทั้งที่เป็นห่วง

            พอมาถึงเรื่องการกลับไปช่วยงานบริษัทเลียบเมือง ทั้งที่เธอไม่ควรเสียเวลาเรียนในปีสุดท้ายอย่างนี้ มันจึงทำให้เขาอดทนไม่ไหว ต้องถามให้ได้

            “ลาน...” น้ำเสียงชายหนุ่มหนักแน่น จริงจัง “เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่หรือเปล่า?”

            “ใช่” หญิงสาวตอบพลางถอนใจ หัวอกอัดแน่น ไม่รู้จะพูดอย่างไร

            “บอกได้มั้ย...ทำไมถึงต้องไปช่วยงานเขา ทั้งที่เทอมนี้เธอเรียนหนักมาก และมีงานต้องส่งตั้งหลายชิ้น”

            ลานน้ำค้างตอบไม่ถูก...บูรพายังไม่รู้ว่าหล่อนขอดร็อปเรียนแล้ว จึงสามารถไปช่วยงานบริษัทเลียบเมืองได้

            ถ้าบอกเหตุผลอย่างนี้ เขาต้องถามสาเหตุที่เธอขอดร็อปเรียนอยู่ดี สุดท้ายไม่อาจเลี่ยงที่จะบอกถึงอาการป่วยตนเอง

            ยิ่งเขารู้ว่าลานน้ำค้างป่วยแต่ยังยอมไปช่วยงานเลียบเมือง มันจะยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดใจ และมีคำถามตามมา

            “เธอป่วยขนาดนี้ ทำไมไม่พักรักษาตัว อุตสาห์ขอดร็อปเรียนแล้ว ยังจะไปทำงานหนักอีก...ถ้าอาการป่วยมันทรุดลง เธอจะทำยังไง...”

            ลานน้ำค้างรู้ว่าจะได้ยินคำพูดอย่างไร และจะได้ยินคำถามสุดท้ายจากเขาว่าอย่างไร...

             และคำตอบ...จากคำถามสุดท้ายนั้นเอง...เป็นสิ่งที่ลานน้ำค้างไม่ยอมให้มันหลุดจากปากโดยเด็ดขาด

            “หมู...” หญิงสาวเรียกขานเขาด้วยสรรพนามเดิม “ความเป็นเพื่อน...ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเพื่อนได้ทุกเรื่องนะ”

            ชายหนุ่มเบิกตากว้าง และสลดลงในพริบตา ความเจ็บปวดแผ่ซ่านจนฝ่ายตรงข้ามรู้สึกเสียใจที่หลุดปากไปอย่างนั้น

            หญิงสาวขยับปากจะบอก...ขอโทษ...แต่วาจาไม่ทันล่วงพ้นริมฝีปาก ก็ได้ยินเสียงของเขาก่อน

            “เวลา...สิบกว่าปี...ที่เรารู้จักกันมา...” เสียงเขาขาดเป็นห้วง ๆ จิตใจเจ็บปวดจนยากเรียบเรียงปะติดปะต่อวาจา “มัน...ไม่มีค่า...ไม่มีความหมายอะไรเลย...ใช่ไหม?”

            คำพูดของเขาทำให้ลานน้ำค้างจุกเสียดในอก พูดจาอะไรไม่ออก ยิ่งเห็นดวงตาคู่นั้นฉายแววปวดร้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก็ยิ่งปวดใจไม่ต่างกัน

             “เรารู้...ว่าเธอชอบ...คุณเลียบเมือง...”บูรพาหลุดคำนี้มาในที่สุด...นี่เป็นวาจาที่ลานน้ำค้างไม่กล้าพูดต่อเขา และเขาก็ไม่เคยยอมให้มันหลุดจากปากมาก่อน...

            เพราะรู้สึกว่า...ตราบใดที่ยังไม่พูดออกมา...มันก็จะยังไม่เป็นความจริง!

            เวลานี้เข้าใจแล้ว ‘ความจริง’ ก็คือ ‘ความจริง’ ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูด ก็ไม่อาจทำให้ความจริงเปลี่ยนแปลงได้เลย

            วาจาของบูรพา ทะลุเข้าไปกลางใจลานน้ำค้าง ฉีกม่านบังตาที่เจ้าตัวอำพรางใจมาตลอด...

            ถึงจะบอกกับพี่มุกดาว่า ไปช่วยงานเพราะเห็นแก่บุญคุณของคุณหญิงรัดเกล้า หรือบอกแก่ใจตัวเองว่า ที่ต้องการช่วยเหลือเขาก็เพราะคำขอร้องของดวงวิญญาณคุณสันติ...

            แต่เหตุผลที่เป็นคำตอบสุดท้ายจริง ๆ ก็คือ เลียบเมือง’ หล่อนอยากช่วยเขาเหลือเกิน

            ...เห็นกันวันนี้ เลียบเมืองไม่เหมือนชายหนุ่มคนเดิมที่เคยพบ ใบหน้าที่หม่นหมอง ริ้วรอยความทุกข์เศร้า ภาระที่แบกอยู่บนบ่า เปลี่ยนแปลงเขาจนยากทำใจเชื่อได้...

            ลานน้ำค้างอยากช่วยให้เลียบเมืองคนเดิมกลับมา เลียบเมืองคนที่หล่อนหลงไหล ชื่นชม รู้สึกเป็นสุข แม้เห็นแค่ใบหน้าเขาจากรูปถ่าย...เธอไม่ต้องการสูญเสียเลียบเมืองคนนั้นไปตลอดกาล

            เผชิญหน้ากับความจริงในหัวใจขนาดนี้ หญิงสาวไม่อาจเอ่ยปากคัดค้านคำพูดของเพื่อนสนิท

            บูรพาเห็นอาการนิ่งงันเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องได้คำยืนยัน เขาพูดต่อเหมือนอยากกรีดบาดแผลลงบนหัวใจตัวเอง

            “เธอชอบเขาจริง ๆ” ชายหนุ่มพูดราวกับย้ำให้หัวใจตนเอง “แต่...ถึงเธอจะชอบเขามากขนาดไหน ก็ไม่ควรเอาอนาคตตัวเองไปช่วยเขาขนาดนั้น...ถ้าเวลาเรียนไม่พอ ส่งงานไม่ครบ พลาดสอบวิชาสำคัญเธอจะทำยังไง...”

            “หมู...แกไม่เข้าใจฉันหรอก” ลานน้ำค้างรีบพูด ก่อนหมดเรี่ยวแรงกำลัง

            “เธออธิบายให้ฉันเข้าใจสิว่าทำไม...ทำไมเธอถึงชอบเขาขนาดนั้น ทำให้เขาได้ถึงขนาดนั้น ทั้งที่เขาไม่เคยทำอะไรให้เธอเลย” บูรพาสวนกลับด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดอย่างไม่เคยพูดกับใครบ่อยนัก

            “พอเถอะ...” เสียงลานน้ำค้างปนอาการกลั้นสะอื้น “ฉันไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว”

            “ไม่มีอะไรจะพูด...” ชายหนุ่มทวนคำอย่างเจ็บปวด “ระหว่างเรา...ไม่มีอะไรจะพูดกันอีกแล้วใช่มั้ย?”

            “ใช่!” ลานน้ำค้างตะโกนตอบอย่างเหลืออด “นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน...แกไม่เกี่ยว...ได้ยินมั้ยว่าแกไม่เกี่ยว”

            ไม่มีคำตอบโต้จากบูรพา ทั้งร่างนิ่งงันราวถูกสาป แววตาปวดร้าวพังภิณฑ์ แหลกสลาย...เจ็บปวดที่สุด เท่าที่คน ๆ หนึ่งจะเจ็บปวดได้ มองหญิงสาวที่ปิดประตูใส่หน้าด้วยความรู้สึกเฉยชา

            จิตใจมันเจ็บปวดจนถึงที่สุดแล้ว...เจ็บมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว...เจ็บจนชา...ชาไร้ความรู้สึก...ต่อให้ลานน้ำค้างทำอะไรร้ายกาจกว่านี้ เขาก็ไม่สะทกสะท้านเจ็บปวดได้อีก...

            ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองหันหลัง เดินกลับบ้านได้อย่างไร ร่างกายเหมือนไม่ใช่ร่างกายของตน ประสาทสั่งงานให้มันขยับก็ไม่อาจควบคุมบังคับอะไรได้ ดูไม่ต่างกับหุ่นยนต์ที่มีโปรแกรมอัตโนมัติใช้ยามฉุกเฉิน พาให้เขากลับถึงบ้านโดยปลอดภัย...เพื่อจมอยู่กับความเจ็บปวดอันโดดเดี่ยว เดียวดาย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ลานน้ำค้างรู้ว่าตนเองทำรุนแรงต่อบูรพาเกินไป...เกินกว่าจะขอโทษ ไถ่ถอนความผิดกันทีหลัง แต่มันไม่มีทางเลือก ช่วงเวลากระชั้นสั้นขนาดนี้ เธอไม่มีสติปัญญาหลีกเลี่ยงคำถามจากผู้ชายจริงใจที่สุดคนนี้ได้เลย

            ปิดประตูรั้ว เดินเข้าบ้านหงอย ๆ มองเห็นแม่ยืนรออยู่ที่หน้าบันได ท่าทางแสดงให้รู้ว่าได้ยินทุกวาจาที่ลูกสาวทะเลาะกับเพื่อนสนิท

            แม่ไม่พูดอะไร...มีแต่แววตาที่อบอุ่น เข้าใจ และรอคอยให้ลูกสาวมาหา...

            และนั่น...ลานน้ำค้างไม่ลังเลเลย ที่จะโผเข้าไปกอดแม่ พร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความอัดอั้นตันใจ...กดดันจนเกินจะทานทน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




             ฝนกำลังตกหนัก หยาดน้ำกระเซ็นมาเกาะบานกระจกหน้าต่าง แล้วไหลย้อยเป็นทางราวกับหยาดน้ำตา

            กระจกบานนั้นกำลังร้องไห้...โดมบอกต่อตนเอง

            มันร้องไห้ทำไมนะ?

            หรือว่า...มันก็มีเรื่องเศร้าใจไม่ต่างจากผู้คน

            เด็กหนุ่มคิดฟุ้งซ่านขณะนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เหม่อมองสายฝนฝ่าความมืดนอกห้องผู้ป่วยไปยังแสงไฟระยิบระยับจากอาคารสูงที่รายล้อมและท้องถนนเบื้องล่าง

            เวลานี้เขาอยู่ห้องพิเศษ ชั้นบนสุดของโรงพยาบาล เป็นห้องที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นสามารถเข้าได้ เพราะเป็นห้องพักฟื้นที่เตรียมไว้ให้มาตา ซูเปอร์สตาร์โดยเฉพาะ

            มาตานอนหลับเป็นเจ้าหญิงนิทราหลายวันแล้ว นายแพทย์นภัทรเชิญหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาตรวจอาการ พูดคุยปรึกษา เพื่อหาทางปลุกเธอให้กลับมา แต่ยังไม่มีวิธีที่เหมาะสม

            แฟนเพลง นักข่าวพยายามขอเยี่ยม ถ่ายรูป ทำข่าว ให้กำลังใจ ทั้งหมดถูกกันไว้ที่ชั้นล่าง โดยมีนายแพทย์นภัทรเป็นคนให้ข่าวรายละเอียดความคืบหน้าเกี่ยวกับการรักษาเป็นรายวัน

            ที่ชั้นล่าง ต้องจัดห้องว่างไว้ห้องหนึ่ง เพื่อคอยรับดอกไม้ ของเยี่ยม การ์ดอวยพรให้กำลังใจ จากเหล่าแฟนเพลงทั้งหลาย ทั้งหมอและเจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างหนัก ทั้งด้านรักษาพยาบาล และรับมือกับนักข่าว แฟนเพลง

            โดมได้สิทธิพิเศษอยู่ห้องเดียวกับผู้ป่วย คอยเฝ้าดูแลมารดาอย่างใกล้ชิด คนวงในต่างรู้ว่าเขาเป็นใคร เพียงแต่ยังไม่มีการกระจายข่าวออกไปเต็มที่ อีกทั้งตัวเด็กหนุ่มเองก็เริ่มรู้จักหลบหลีกนักข่าว ไม่ให้เป็นเป้าสายตาได้ดีกว่าเดิม

            ‘ชัช’ แฟนคนปัจจุบันของมาตา ขยันมาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอ เขารู้จักโดม พยายามที่จะพูดคุย สร้างความสนิทสนม ผูกสัมพันธ์ เด็กหนุ่มมีการตอบสนองอย่างเฉยชา ถามคำตอบคำ แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการคุ้นเคยด้วย

            โดมปิดโทรศัพท์เกือบตลอดเวลา ไม่ต้องการรับสายใคร เขาเห็นเบอร์และข้อความจากลานน้ำค้างที่เข้ามาหลายครั้ง แต่ไม่เคยโทรกลับ ทั้งที่อยากโทรหาใจแทบขาด ความคิดถึงที่มีต่อหญิงสาวรุนแรงแทบทนไม่ไหว เธอเหมือนหยาดน้ำใส สดชื่น ทั้งกำลังใจดี ๆช่วยให้ฟื้นคืนแรง คำพูดปลอบประโลมช่วยให้ใจมีพลัง

            แต่เขายังไม่ต้องการ...

            เวลานี้ เขาไม่อยากให้ผู้หญิงที่รักได้มาเห็นภาพความอ่อนแอที่สุดในชีวิต ไม่อยากให้เธอมาร่วมรับรู้ช่วงเวลาแย่ ๆ เห็นเขากำลังเคว้งคว้างเหมือนเด็กหลงทาง

            รอให้เขาผ่านมันมาได้ก่อน รอให้เขาเข้มแข็งพอ เป็นผู้ใหญ่กว่านี้แล้วจะรีบไปหาเธอเอง...

            โดมลุกจากเก้าอี้ริมหน้าต่าง เดินไปที่เตียง แม่ยังนอนนิ่ง ใบหน้าเหมือนคนหลับสนิททั่วไป เพียงแต่ผิวหน้าค่อนข้างซีดกว่าเดิม เขาดูนาฬิกาเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาช่วยแม่พลิกตัว จึงพูดเบา ๆ หวังว่าผู้ฟังจะได้ยิน

            “ผมจะลงไปชั้นล่างหน่อยนะครับแม่ จะดูว่าวันนี้พวกแฟนคลับเขาเอาอะไรมาให้แม่บ้าง”

            เด็กหนุ่มยิ้มสวยอย่างที่มารดาเคยชม นึกสะท้อนใจ...ทำไมแม่ถึงไม่ยอมลืมตาขึ้นมาดูเขานะ เวลานี้เขาทำสิ่งที่แม่พอใจตั้งหลายอย่าง

            เขายอมขนเสื้อผ้าไปอยู่บ้านแม่ เขายอมเป็นนักเรียน “ศิลปิน” ที่ดี ตั้งใจเรียนแต่ละคลาสเต็มที่ ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองยังอยากเป็นนักร้องจริง ๆ สักแค่ไหน นอกจากนี้ยังแบ่งเวลามาดูแลแม่ไม่ขาดตกบกพร่อง

            โดมพบหน้าพ่อในโรงพยาบาลเกือบทุกวัน พูดจาต่อกันน้อยคำเต็มที สองพ่อลูกไม่มีเรื่องราวสื่อสารกันสักเท่าไร ตารางเวลาของโดมแต่ละวันค่อนข้างเต็ม ไม่เหลือรอยต่อให้ฟุ้งซ่านมากนัก

            กิจวัตรอีกอย่างของเขาคือ ตอนดึกทุกคืนจะลงไปดูที่ห้องแฟนคลับว่ามีของขวัญ การ์ดอวยพรใดส่งมาให้แม่บ้าง หากการ์ดใบไหนมีข้อความดี ๆ ถูกใจ เขาก็จะนำมาอ่านให้แม่ฟัง ให้แม่รู้ว่ายังมีแฟนเพลงที่รัก และเป็นห่วงแม่มากมายขนาดไหน

            เด็กหนุ่มลงลิฟต์ไปยังชั้นที่จัดห้องไว้ให้พวกแฟนคลับ เวลาดึกดื่นขนาดนี้ โดยมากมักไม่มีนักข่าว แฟนเพลงมา เขาสามารถลงไปเดินดูแทนแม่ได้อย่างสบายใจ

            โดมเดินมาจนเกือบถึงหน้าห้อง จึงรู้ว่าตนเองคิดผิด เมื่อพบสาวใหญ่คนหนึ่งถือช่อดอกไม้ยืนมองรูปของมาตาอยู่ที่หน้าห้อง

            เขาหยุดยืนมองห่าง ๆ ไม่แน่ใจว่าควรเข้าไป หรือหลบออกมาดี ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้หันมาสนใจเขา มีความเงียบคลี่คลุมบาง ๆ สลับกับเสียงสายฝนจากด้านนอกดังลอดเข้ามาเป็นระยะ

            สักครู่ โดมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกึ่งวิ่งมาตามทางเดิน สาวใหญ่คนนั้นหันไปยิ้มรับเด็กสาวหน้าใสที่เดินตามมาทีหลัง

            “ขอโทษค่ะคุณแม่...น้องดรีมมาช้าไปหน่อย พอดีเจอเพื่อนอยู่ข้างล่าง” เด็กสาวพูดเสียงใส

            “ไม่เป็นไรจ้ะ แม่ไม่รีบ” คนเป็นแม่บอก ก่อนจะสังเกตเห็นว่าบริเวณนั้นยังมีอีกคนยืนอยู่

            “เอ๊...คุณ...”

            เสียงทักเช่นนี้ ทำให้โดมนึกโมโหตัวเองที่ไม่รีบหลบไปเสียตั้งแต่แรก...จะไปตอนนี้คงทัน...แกล้งทำเป็นไม่สนใจเสียก็สิ้นเรื่อง...คิดดังนั้นจึงหันหลังกลับ

            “เดี๋ยวค่ะ...นั่นน้องโดม ใช่มั้ยคะ” สาวใหญ่ทักขึ้น

            โดมชะงักกึก เหลียวมามองอย่างสงสัย ถ้ามีคนรู้จักเขา ก็น่าจะมาจากรูปที่ลงในหนังสือซุบซิบดารา แต่นั่นก็ไม่ได้มีชื่อเขาด้วย

            ได้ยินชื่อตัวเอง โดมจึงยอมเปลี่ยนทิศทาง เดินมาหาสองแม่ลูกที่เป็นแฟนคลับของมาตา

            “คุณรู้จักชื่อผมด้วยเหรอ” เขาถามอย่างสงสัย

            สาวใหญ่คนนั้นยิ้มอย่างยินดี

            “ก็ไม่แน่ใจหรอกค่ะ แค่คิดว่าน่าจะใช่ เพราะหน้าตาคุณคล้ายมาตา”

            ความสงสัยของโดมยิ่งเพิ่มพูน มองสาวใหญ่สลับสาวน้อยโดยไม่รู้จะพูดอย่างไรดี

            “น้องดรีมไหว้พี่โดมเขาสิจ๊ะ” พอผู้เป็นแม่บอก ลูกสาวยิ้ม ยกมือไหว้แบบไม่ขัดเขิน

            “คุณรู้จักผมได้ยังไง” เขาถาม

            “ก็ไม่น่ายากนี่คะ...แฟนคลับพันธุ์แท้ของคุณมาตา ก็ต้องรู้ว่าเธอมีลูกชายคนเดียว ชื่อโดม เป็นลูกที่เกิดกับคุณหมอนภัทร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้” สาวใหญ่ตอบ

            “แล้วพี่โดมก็เป็นคนเดียวกับที่มีรูปลงในหนังสือใช่มั้ยคะ” คราวนี้เด็กสาวเป็นฝ่ายออกปากถาม

            โดมพยักหน้า ไม่อยากต่อวาจา ตอบคำถามของสองแม่ลูก เขาอยากไปให้ไกลจากแฟนคลับของแม่เหลือเกิน...เพราะไม่อยากได้ยินประวัติตนเองจากปากของคนอื่น

            แต่ไม่อาจทำตามความตั้งใจ เมื่อสาวใหญ่คนนั้นพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา

             “น้ากับลูกสาวอยากมาให้กำลังใจคุณมาตา...คุณมาตาเธอมีบุญคุณกับน้ามาก...เพราะเพลงของเธอ บทสัมภาษณ์ของเธอ ทำให้น้าสามารถผ่านช่วงวิกฤตที่สุดของชีวิตมาได้...”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP