วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เถ้าน้ำค้าง ๒๙
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
หลังพระสวดเสร็จ บูรพากับลานน้ำค้างตามพี่มุกไปช่วยดูแลจัดอาหารแจกแขกที่มาร่วมงาน หนูน้อยปันปันเดินตามต้อย ๆ ไม่ห่าง เจ้าตัวเล็กไม่พูดจาอะไรมาก แต่มือน้อย ๆ ที่คอยเกาะชายกระโปรงหญิงสาว และสายตาที่ไม่ยอมมองคนอื่น บอกให้รู้ว่าใครมีความสำคัญต่อเธออย่างยิ่ง
“ปันปันจ๊ะ มาอยู่กับคุณน้าก่อนดีมั้ย...อย่ากวนพวกพี่ ๆ เขาเลย”
ลานน้ำค้างเห็นหญิงแปลกหน้าเดินเข้ามายิ้มให้ ยังนึกไม่ออกว่าหล่อนเป็นญาติฝ่ายไหนของปันปันกับเลียบเมือง
ปันปันเงยหน้ามองผู้พูดก่อนจะส่ายหน้า หันมาสนใจพี่ลานตามเดิม
“น้องปันปันไม่กวนพวกเราหรอกค่ะ คุณปัณรสี” พี่มุกเห็นอย่างนั้นจึงรีบออกตัวแทนทุกคน
ได้ยินชื่อ ‘ปัณรสี’ ลานน้ำค้างก็ชะงักงัน ตัวชาวาบ รีบหันมามองซ้ำ พิจารณาอย่างละเอียด...
หญิงสาวคนนั้นอายุยังไม่มากเท่าไหร่ แก่กว่าเลียบเมืองก็คงไม่กี่ปี ใบหน้าได้รูปสวย ดวงตาหวานอมเศร้า ชนิดที่ใครเห็นแล้วชวนให้เกิดความเมตตา มีริ้วรอยหม่นจาง ๆ เคลือบบนใบหน้า เหมือนคนที่กำลังวิ่งไขว่คว้าหาความสุข แต่ยังไม่อาจพบพาน
ลานน้ำค้างจำชื่อนี้ได้ชัดเจนติดความทรงจำ เพราะหล่อนเป็นคนเขียนชื่อนี้ พร้อมเบอร์โทรศัพท์ไปวางไว้บนโต๊ะห้องคนป่วย เพื่อให้เลียบเมืองเห็น จะได้ติดต่อขอเลือดมาช่วยชีวิตปันปัน
หญิงสาวคิดไม่ถึงว่าจะได้พบผู้หญิงคนนี้ในงานศพคุณหญิงรัดเกล้า และยิ่งคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเธอจะใช้สรรพนามแทนตัวเองกับปันปันว่า ‘คุณน้า’
เมื่อปันปันไม่ยอมไปด้วย ปัณรสีจึงยืนอยู่ใกล้ ๆ คอยช่วยทุกคนตักอาหาร ทำตัวกลมกลมกลืนเป็นกันเอง พร้อมกับช่วยเสิร์ฟอาหารแก่แขกไม่ต่างจากเจ้าภาพคนหนึ่ง
ในใจลานน้ำค้างเกิดความสงสัย อยากรู้ว่าหลังจากคุณหญิงเสียชีวิต เกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเลียบเมือง ทำไมปัณรสีถึงมาอยู่ในงานนี้ได้...
ปัณรสีคือแม่ของปันปัน...ลานน้ำค้างรู้เรื่องนี้มานานแล้ว จากดวงวิญญาณของคุณสันติ ตอนที่เข้ามาขอร้องให้ช่วยคราวนั้น แต่หล่อนก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ การติดต่อสื่อสารไม่ชัดเจนนัก รู้เพียงคร่าว ๆ เป็นภาพในหัวที่ไม่ชัดเจน
คนที่น่าให้คำตอบได้ดีในเวลานี้คงเป็นเลียบเมืองกับพี่มุกดา...
“พี่รสีอยู่ต่างประเทศหลายปีแล้วหรือครับ” บูรพาเอ่ยถามกึ่งชวนคุย หลังจากรู้ประวัติคร่าว ๆ ว่าปัณรสีแต่งงานกับชาวต่างชาติ แล้วใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่
“จ้ะ หลายปีแล้ว” หญิงสาวตอบอย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดา “พี่กับแฟนอยู่ในช่วงเดินทางเที่ยวรอบโลกกัน แวะมาถึงเมืองไทยได้สักระยะ ก็ได้ข่าวเสียชีวิตของคุณหญิงท่านพอดี”
“แล้วแฟนพี่เขามาในงานด้วยหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มถาม
“วันนี้ไม่มาจ้ะ เขาบอกว่าเบื่อ ขี้เกียจมาทุกวันเหมือนพี่”
“พี่รสีมางานทุกวันอย่างนี้ แสดงว่าคงรู้จักกับคุณหญิงท่านนานแล้วสิครับ” บูรพาถามแบบชวนคุย ไม่ให้อีกฝ่ายเก้อเขินท่ามกลางคนไม่คุ้นเคย หารู้ไม่ว่าเพื่อนสาวก็อยากได้ยินคำตอบข้อนี้เหมือนกัน
“นานแล้วค่ะ...ตั้งแต่...” ปัณรสีพูดแล้วหยุดชะงัก เหมือนนึกได้ ก้มมองปันปันก่อนพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเป็นเหมือนคนละเรื่อง
“คุณหญิงท่านมีพระคุณกับพี่ล้นเหลือ...”
ได้ยินอย่างนี้บูรพาก็เริ่มสนใจ อยากซักไซ้ต่อ ส่วนลานน้ำค้างหูผึ่ง อยากรู้ว่าคุณหญิงท่านมีพระคุณอย่างไร...ใช่เรื่องเกี่ยวกับปันปันหรือเปล่า
“น้องบูรพาจ๋า...ช่วยเก็บจานชามให้หน่อยนะ แขกเขาเริ่มทยอยกลับกันแล้วล่ะ” พี่มุกเอ่ยขัดจังหวะ เหมือนเกรงชายหนุ่มจะหลุดคำถามที่ไม่สมควรออกไป
บูรพาเห็นแขกในศาลาเริ่มทยอยกลับกันจริง ๆ ทิ้งจานชามไว้ระเกะระกะ จึงรีบออกไปเก็บโดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ...พอเขาผละไป ลานน้ำค้างจึงเห็นแววโล่งใจในดวงตาพี่มุกดา
“แฟนน้องลานนี่ว่าง่าย ใช้คล่องดีเนอะ” พี่มุกดาพูดกึ่งแซว
คำว่า “แฟนน้องลาน” ทำให้ปันปันหูผึ่ง เงยหน้าขึ้นกระตุกชายกระโปรงหญิงสาว
“ผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนพี่ลานจริง ๆ เหรอคะ” ปันปันเห็นบูรพามาพร้อมกับลานน้ำค้าง แต่ไม่เคยสนใจ จนได้ยินคำพูดนั้น
“เปล่าจ้ะปันปัน...เจ้าหมูเป็นเพื่อนพี่เอง” ลานน้ำค้างตอบ
“ผู้ชายอะไรชื่อหมู” ปันปันย่นจมูกบ่นเบา พี่มุกดาหัวเราะคิก
“เฮ้อ...หล่อขนาดนี้ เอาใจขนาดนี้ ยังไม่ใจอ่อนอีกเร้อน้องลาน” ผู้สูงวัยกว่าไม่เลิกแซว
ลานน้ำค้างไม่ทันตอบ หรือคัดค้านคำพูด ก็เห็นเลียบเมืองเดินตรงมาหา จากสีหน้าท่าทางเขาเวลานี้ แทบจะหาความสดใสมีชีวิตชีวาแบบผู้ชายคนเก่าแทบไม่เจอเลย
“มากวนพวกพี่ ๆ อยู่นี่เองปันปัน อยากกลับบ้านหรือยังจ๊ะ” เขาถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงพยายามฝืนให้สดใส
ปันปันลังเลใจ มองหน้าพี่ลานสลับกับพี่ปอนไปมา ใจจริงอยากอยู่ต่อ อยากคุยกับพี่ลานสองต่อสอง ถึงเรื่องที่รู้กันเฉพาะสองคน อีกใจก็นึกสงสารพี่ชายไม่อยากให้เป็นห่วงตัวเธอ
“พี่ปอนจะกลับบ้านแล้วเหรอ”
“อีกสักเดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ” ชายหนุ่มพูดกับน้องสาวจบก็เงยหน้ายิ้มให้ลานน้ำค้าง “ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลปันปัน แล้วก็ยังมาช่วยงานอีกทั้งที่คุณเป็นแขกแท้ ๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างจริงใจ “ดิฉันก็อยากช่วยงานคุณหญิงเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับความหวังดี แววตาฉายความรู้สึกที่ดีตอบให้ จากนั้นก็หันไปพูดกับมุกดา
“วันนี้ผมจะรีบกลับไปอ่านแฟ้มศึกษางานต่อ แล้วจะสะสางงานที่ค้างด้วย...ฝากพี่มุกช่วยจัดการทางนี้ด้วยนะครับ” เขาพูดอย่างเห็นมุกดาเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
“ได้ค่ะ คุณเลียบอย่าเพิ่งเร่งรัดตัวเองมากนะคะ รักษาสุขภาพด้วย”
ชายหนุ่มไม่ตอบคำ ดวงตาอ่อนโรยมีแรงฮึดขึ้นมา เขาพยายามไม่สบตาปัณรสี เหมือนอยากหลีกเลี่ยงการสนทนา อีกฝ่ายจึงรีบเอ่ยปากก่อน
“คุณเลียบเมืองคะ” คำพูดหลุดจากปาก ทำให้สีหน้าชายหนุ่มเคร่งลงทันที “เรื่องที่ดิฉันขอให้คุณคิดดูอีกที คุณจะ...”
คำพูดท้ายขาดหายเมื่อชายหนุ่มสวนคำพูดห้วน ๆ รวดเร็วผิดนิสัยชายคนเดิม
“ผมไม่เปลี่ยนใจ!”
จบคำพูดเขาก็ก้มตัวเอื้อมมือจับจูงน้องสาวตนเองมาจากลานน้ำค้าง
“กลับบ้านกันเถอะจ้ะปันปัน”
“อ้าว...ไหนพี่ปอนบอกว่าอีกเดี๋ยวถึงกลับไง...” เจ้าตัวน้อยค้านเสียงอ่อย พอเห็นสีหน้าเครียดของพี่ชายแล้ว ก็ไม่กล้าขัดขืน รีบหันไปมองลานน้ำค้าง ขอคำสัญญา
“พี่ลานมาหาปันปันอีกนะ...อย่าหายไปเลยนะ...”
“จ้ะ...พี่จะมาช่วยงานบ่อย ๆ ดีมั้ยเอ่ย” ลานน้ำค้างทำเสียงสดใส ช่วยคลี่คลายบรรยากาศ
“ดีจังเลย พี่ลานสัญญาแล้วน้า...”
หญิงสาวยอมเกี่ยวก้อยสัญญา เจ้าตัวน้อยตามพี่ชายไปลาแขกผู้ใหญ่กลุ่มสุดท้าย จากนั้นทั้งสองก็ออกจากงาน ตามขบวนแขก...
เสียงถอนใจพี่มุกดาตามหลัง พร้อมคำพูดเชิงเห็นใจ
“เฮ้อ...น่าสงสารคุณเลียบเมืองนะคะ” พูดแล้วก็จ้องหน้าปัณรสีตรง ๆ “คุณก็ไม่น่าไปเพิ่มปัญหาให้เธอเลย”
“ดิฉันอยากช่วยเขานะคะ” ปัณรสีค้านเสียงอ่อน
“แต่มันเป็นความช่วยเหลือที่เขาไม่ต้องการนี่คุณ...” น้ำเสียงพี่มุกดาเริ่มแข็งขึ้น
“คุณน่าจะเข้าใจหัวอกดิฉันเหมือนกัน” อีกฝ่ายน้ำเสียงอ่อนข้อ
“แล้วคุณล่ะ เข้าใจหัวอกคุณเลียบเมืองหรือเปล่า” พี่มุกดาสวนกลับทันที
ปัณรสีคร้านที่เถียง จึงขอตัวกลับ ปล่อยให้มุกดามองตามด้วยสายตาไม่พอใจ...ลานน้ำค้างสงสัยความนัยของบทสนทนาเหล่านั้น
“คุณปัณรสีมีปัญหาอะไรกับคุณเลียบเมืองคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม
มุกดาอ้ำอึ้ง ไม่รู้ควรตอบอย่างไร พอดีบูรพาเก็บถ้วยชามเรียบร้อย เดินเข้ามาหา
“ผมเก็บจานชามหมดแล้ว มีอะไรให้ช่วยทำอีกมั้ยครับ”
“มีจ้ะมี...ตามพี่มานี่เร็ว...มีเรื่องให้ช่วยอยู่พอดี...” พี่มุกรีบพาชายหนุ่มไปอีกด้านของศาลา เหมือนจงใจเลี่ยงการตอบคำถามลานน้ำค้างชั่วคราว
ในเมื่อถามพี่มุกไม่ได้ ก็น่าจะสืบจากต้นตอเลยดีกว่า ปัณรสีเพิ่งกลับ ไม่น่าจะไปไกลนัก ถ้าขับรถมาเองก็คง ยังเดินไม่ถึงลานจอดรถในวัด รีบวิ่งไปน่าจะทันพอดี
คิดได้ก็ออกจากศาลา มุ่งไปบริเวณลานจอดรถ หวังจะพบปัณรสี...
ลานจอดรถค่อนข้างโล่ง เหลือรถเพียงสองสามคัน ไม่มีแม้แต่เงาหญิงสาวที่ตั้งใจตามมาถาม ลานน้ำค้างจึงคิดได้...ปัณรสีเพิ่งมาจากต่างประเทศ ไม่น่าจะขับรถยนต์มาเอง...คิดดังนั้นเร่งฝีเท้า เปลี่ยนทิศทางไปยังหน้าวัด มั่นใจว่าปัณรสีคงกำลังรอขึ้นแท็กซี่อยู่ที่นั่น
ขยับเท้าออกจากลานจอดรถได้ไม่กี่ก้าว ลานน้ำค้างต้องสะดุดกึก มองเห็นเงาตะคุ่มร่างดำๆ ยืนอยู่บริเวณแนวใต้ต้นลั่นทม บรรยากาศรอบตัวมีกระแสชืด ๆ หม่น ๆ ลมโชยพัดกลิ่นแปลก ๆ มากระทบ หญิงสาวเขม้นมองเงาดำนั้นอย่างสงสัย ร่างเลือนรางแต่กระแสความรู้สึกบางอย่างแล่นกระทบใจชัดเจน
กระแสความรู้สึกเช่นนี้คุ้นเคยมาตั้งแต่เยาว์วัย มันอาจเคยทำให้ขนลุกซู่ ตัวชา เกิดความตะครั่นตะครอชวนอึดอัดใจ ยามนี้เมื่อรู้สึกถึงคลื่นแปลก ๆ กระทบใจ หล่อนเพียงแค่ยอมรับมัน รู้ถึงความมีอยู่ของมัน สังเกตเห็นความกลัวเล็ก ๆ แวบผ่านเข้ามาในใจ ก่อนจะมีความสงบ ตั้งมั่น หนักแน่นขึ้น
ลานน้ำค้างก็สาวเท้าไปใต้เงาต้นลั่นทม แสงสว่างไม่อาจส่องมาถึง มีเพียงเงาสลัวไหววูบวาบ ราวกับมีเหล่าปิศาจเริงระบำ ความเงียบอย่างน่าแปลกแผ่กระจายออกมาคล้ายเป็นยามวิกาลที่เหล่ามนุษย์หลับใหล ไม่มีใครแผ้วพาน
ร่างที่อยู่ใต้เงาลั่นทมมองเห็นชัดขึ้น ระยะห่างร่นมาเหลือเพียงสองสามก้าว ลานน้ำค้างสังเกตรายละเอียดชัดเจนกว่าเคย รู้ถึงการมีอยู่ของเขาโดยไม่จำเป็นต้องให้ใครมายืนยัน
“สวัสดีค่ะ...คุณสันติ!”
หญิงสาวเอ่ยทัก ราวกับเห็นผู้อยู่ต่างภพเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่รู้จัก คุ้นเคยกันดี...
บทที่ ๑๙
‘คุณสันติ’ คือสามีผู้วายชนม์ของคุณหญิงรัดเกล้า...พ่อของเลียบเมือง และเป็นดวงวิญญาณที่เคยติดต่อขอความช่วยเหลือจากลานน้ำค้างมาแล้ว
“เธอไม่จำเป็น...ต้องตามเขาไป...” คำพูดขาดเป็นห้วง แต่ชัดเจนในใจ
“ทำไมคะ...” ลานน้ำค้างเอ่ยปากอย่างสงสัย “ดิฉันอยากรู้ว่าคุณปัณรสีเขาต้องการอะไร...แล้วมีปัญหาอะไร กับคุณเลียบเมือง”
ใบหน้าคุณสันติหม่นลง สีเทาจาง ๆ เคลือบทาดูไร้ราศี น้ำเสียงตอบกลับแผ่วเบา...
“ปัณรสี...ไม่ได้...ทำ...อะไรผิด” คำบอกเล่าสร้างความงุนงงแก่คนได้รับรู้
“คุณปัณรสีเขาทำอะไรคะ” ลานน้ำค้างถามตรง ๆ
“ฉัน...ขอร้อง...เธอ...ได้ไหม” วิญญาณคุณสันติไม่ตอบคำถาม หน้ำซ้ำยังเอ่ยปากขอร้อง
“จะให้ดิฉันช่วยอะไรหรือคะ” ลานน้ำค้างถาม
มีความเงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนคำตอบจะกลับมา
“ช่วยเลียบเมืองกับปันปัน...ให้ผ่านวิกฤตช่วงนี้ด้วยเถอะ”
ได้รับคำขอร้องอย่างนี้ ลานน้ำค้างอยากถอนใจแรง ๆ หล่อนเองก็มีปัญหา...วิกฤตชีวิตส่วนตัวที่ต้องเผชิญหน้าอยู่แล้ว...เอาตัวเองยังไม่รอด ยังได้รับคำขอร้องจากดวงวิญญาณที่มีห่วง ให้มาคอยช่วยคนอื่นอีก
“ค่ะ...ดิฉันรับปาก!” ด้วยนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแท้ ๆ ทำให้หลุดปากออกไปอย่างนั้น
ลานน้ำค้างมักเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นมากกว่าตัวเองอยู่แล้ว ชอบคิดว่าปัญหาของตัวเองไม่หนักหนา ปัญหาของคนอื่นสำคัญกว่า...จึงไม่แปลกที่หล่อนจะตอบรับโดยแทบไม่เสียเวลาคิด ไตร่ตรองเลย
“ขอบใจมาก” คุณสันติยิ้มบาง ๆ เป็นรอยยิ้มหม่นที่ชวนหดหู่เหลือเกิน...
ร่างที่เห็นค่อยจาง เลือนราง ลานน้ำค้างรีบร้องเรียก
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” หล่อนยังไม่ได้คำตอบเกี่ยวกับปัญหาของคุณปัณรสีอย่างชัดเจนเลย
คำร้องเรียกไร้ผล วิญญาณดวงนั้นจางหาย คล้ายไม่อาจปรากฏตัวได้เนิ่นนานนัก
ลานน้ำค้างยืนคว้างอยู่ใต้ต้นลั่นทม บรรยากาศสงัดเงียบดั่งโลกร้างค่อยคลี่คลายตัวออก เผยให้โลกปกติเคลื่อนเข้ามาอย่างเชื่องช้า
“ลาน...มาทำอะไรแถวนี้” เสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากเบื้องหลัง
บูรพาเดินเข้ามาหา ใบหน้ามีริ้วรอยวิตกกังวล
“หายออกมาตั้งนาน...คิดว่าเป็นอะไรไปเสียอีก” คำพูดแสดงความเป็นห่วงชัดเจน
“มีธุระนิดหน่อยน่ะ” หญิงสาวตอบพอให้เขาคลายใจ “เคลียร์งานข้างในเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“อือ...” บูรพาพยักหน้ารับ
“งั้นกลับบ้านกันเถอะ” หญิงสาวชวน พลางเดินออกมาจากเงาลั่นทม
“ไปสิ...แต่พี่มุกเขาชวนเธอกลับบ้านด้วยนี่...ถ้าไม่ไปก็ไปบอกพี่เขาก่อน” บูรพาไม่คิดว่าหญิงสาวจะยอมรับน้ำใจให้พี่มุกไปส่งบ้าน
ลานน้ำค้างหยุดคิดนิดนึงก่อนบอก...
“กลับพร้อมพี่มุกก็ได้...จะได้ประหยัดตังค์ค่าแท็กซี่ไง...”
“หือ...” บูรพาอุทานอย่างแปลกใจ กำลังจะขยับปากถามอย่างสงสัย แต่ก็ต้องหยุด...เพราะเขาได้เห็นรอยยิ้มจากลานน้ำค้างเป็นครั้งแรกของวันนี้
รอยยิ้ม...ที่บอกถึงความเป็นลานน้ำค้างคนเก่า...หญิงสาวที่สดใส ไม่กังวลต่อสิ่งใดเนิ่นนาน มีจิตใจกว้างขวาง เอื้อเฟื้อต่อคนทั่วไปแทบไม่เลือกหน้า
เป็นรอยยิ้มที่บูรพาพอใจได้เห็นมัน และกล้าที่จะใช้ทุกสิ่งที่มีเข้าแลก เพื่อให้มันไม่เลือนหายไปจากใบหน้าของเธอ...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
รถยุโรปคันใหญ่แล่นอยู่บนถนนที่คลาคล่ำด้วยยวดยาน เวลาหัวค่ำเช่นนี้ผู้คนยังคึกคัก การจราจรติดขัดเป็นช่วงระยะ...
เลียบเมืองนั่งเบาะหลัง โดยมีปันปันนอนหนุนตักหลับปุ๋ยอย่างไว้วางใจ
ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้ว...เลียบเมืองบอกต่อตนเอง
เขาไม่เคยชอบทำตัวเป็นเจ้านาย ผู้บริหารที่ไปไหนมีคนขับรถประจำตำแหน่ง แต่ระยะนี้มันจำเป็น เขาอ่อนล้า เพลีย และเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะขับรถฝ่าการจราจรติดขัดกลับบ้านเอง
ทว่า...การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ มันเทียบไม่ได้เลยกับการที่เขาต้องยอมเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิต เพื่อครอบครัว และสิ่งที่เหลืออยู่
เขาเพิ่งตัดสินใจเลิกอาชีพนักบิน...งานที่รัก...เพื่อมาบริหารบริษัทต่อจากแม่ บริษัทที่พ่อสร้างรากฐานเป็นสมบัติไว้ให้ก่อนตาย
เมื่อตัดสินใจเช่นนี้ เขาจำเป็นต้องเรียนรู้ นับหนึ่งใหม่ ไปพร้อม ๆ กับพยายามตัดใจ ไม่นึกถึง เสียดายอาชีพเก่าที่เขารักอีกต่อไป
มันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย...
น่าแปลก ที่ชีวิตคนเรา บทจะมีปัญหา ก็มักทยอยเดินเรียงแถวมาสร้างความทุกข์ มาบีบคั้นให้ปวดหัว ให้แก้ไขต่อเนื่องเป็นทอด ๆ ไม่หยุดหย่อน
แม่ตาย...นั่นนับเป็นเรื่องใหญ่แล้ว...บริษัทยังมีปัญหาตามมาอีก เขาไม่อาจปล่อยมันตามยถากรรม ไม่อาจตัดใจขาย จำเป็นต้องเลือกระหว่างอาชีพที่รัก กับงานที่เป็นมรดกจากบุพการี
พอตัดสินใจเลือก ก็ยังมีอีกปัญหาเข้ามาจ่อรอ!
ผู้หญิงคนนั้น...ผู้หญิงที่หายหน้าไปหลายปี จนคิดว่าเธอจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับครอบครัวเขาแล้ว... ‘ปัณรสี’ ... จู่ ๆ เธอกลับมาเพิ่มปัญหาให้ เป็นปัญหาที่ชวนหนักใจ ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรดี
ชายหนุ่มถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ก้มลงมองน้องสาวตัวน้อยที่นอนหนุนตัก หลับสนิทอย่างสบายอารมณ์...เอื้อมมือลูบเส้นผมอ่อนนุ่มเบา ๆ จิตใจผ่อนคลาย อ่อนโยน
เขาเพิ่งรู้ว่ารักเจ้าตัวน้อยมากขนาดไหน ก็ตอนชีวิตไม่เหลือใครอีกแล้ว ถึงไม่ใช่น้อง ก็เหมือนน้องสาวแท้ ๆ
ปันปันทำให้เขารู้สึกว่าตนเองมีภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบ ต้องปกป้อง ดูแลคนในครอบครัว
ความรู้สึกที่ว่า...ยังมีครอบครัว...นี่เอง ทำให้เขาไม่ลอยเคว้งคว้าง เหมือนว่าวขาดสายป่าน ปลิวตามกระแสลมความทุกข์
ดวงหน้าเล็ก ๆ ซุกหลับตาพริ้มบนตักอย่างวางใจ เลียบเมืองเห็นแล้วรู้สึกหัวใจอบอุ่น อ่อนโยน เห็นหน้าเจ้าตัวเล็กแล้วชวนให้นึกถึงใบหน้าหญิงสาวอีกคน...ผู้หญิงที่ปันปันเกาะแจ ไม่ต่างจากที่เคยเกาะติดเขา
‘ลานน้ำค้าง’ ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดี ถึงทำให้ปันปันรัก และวางใจขนาดนี้
ผู้หญิงที่ปันปันวิ่งเข้าหา โผกอดโดยไม่ลังเล ร้องไห้กับเธออย่างที่ไม่เคยทำกับคนอื่น คอยตามต้อย ๆ นั่งตัก และมองตามเธอไม่ยอมให้คลาดสายตา
“ทำไมเรารักพี่ลานมากนักหือม์...ปันปัน” เลียบเมืองเอ่ยถามน้องสาวเสียงเบา
“รักเขามากกว่าพี่หรือเปล่า...”
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมถึงหลุดคำถามเหล่านี้ออกมา...เป็นคำถามที่ไม่หวังได้รับคำตอบ...ภาพใบหน้าหญิงสาวชัดเจนในห้วงความทรงจำ เกิดความรู้สึกอยากรู้จัก อยากค้นหาตัวตนแท้จริงของเธอ
‘ลานน้ำค้าง’ เธอจะทำให้เขารู้สึกได้อย่างเดียวกับปันปันหรือไม่นะ...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|