วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๒๘



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๘



            ลานน้ำค้างเดินออกจากห้องธุรการด้วยใจโหวง บางอย่างในความรู้สึกขาดหายโดยไร้สาเหตุ เหมือนกำลังยืนเคว้งคว้างบนหนทางที่ไม่รู้จัก มองนักศึกษารุ่นน้องที่เดินสวนไปมาแล้วใจหาย...การที่ต้องเสียเวลาอย่างน้อยเป็นปี กว่าจะมีโอกาสเรียนจบทันเพื่อนฝูง...การที่ต้องกลับมาเรียนร่วมกับนักศึกษารุ่นน้อง มันเป็นรสชาติที่บอกไม่ถูกจริง ๆ

            หญิงสาวตั้งใจตรงกลับบ้านโดยไม่แวะทักทายเพื่อนฝูง ไม่อยากตอบคำถามว่าเหตุใดถึงขาดเรียน ไม่อยากให้ทุกคนรู้จากปากว่าหล่อนมามหาวิทยาลัยวันนี้ เพื่อขอดร็อปพักการเรียน

            จงใจไม่ยอมเดินผ่านตึกคณะของตน เลี่ยงใช้เส้นทางอีกด้านเพื่อขึ้นรถที่หน้ามหาวิทยาลัย ถึงอย่างนั้น หล่อนก็ไม่อาจเลี่ยงการเผชิญหน้ากับใครบางคน ที่ไม่นึกอยากเจอในเวลานี้ได้เลย...
  

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ช่วงเวลาหลายวันมานี้ บูรพารู้สึกชีวิตขาดบางอย่างไป บางอย่างที่มีความสำคัญ บางอย่างที่ทำให้ตนเองสดชื่น แจ่มใส ยิ้มได้ตลอดทั้งวัน เขาได้คำตอบว่าสิ่งนั้นคืออะไรเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนพูดเข้าหู...
  
            “ไอ้บู...ตะกี้กูเห็นแม่มึงอยู่แถวตึกธุรการแน่ะ”

            เพียงเท่านี้ ขาทั้งสองข้างก็พาเขาไปยังที่หมายโดยไม่ต้องคิด เดินเร็วจนเกือบเป็นวิ่ง และมันก็กลายเป็นวิ่ง... วิ่งเต็มกำลังด้วยแรงคิดถึงทะยานหาอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน

            มองเห็นลานน้ำค้างแต่ไกล ค่อยผ่อนฝีเท้าลง แน่ใจว่าหญิงสาวต้องเห็นเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งให้เร็วกว่านี้...หล่อนเดินช้า ๆ ไม่ได้หันเหทิศทางหนีไปไหน อาจรู้ว่าต่อให้หลบ ให้หนีไปอยู่ไหน เขาก็จะตามเธอไปอย่างแน่นอน

            ระยะทางระหว่างคนทั้งสองหดสั้นทีละน้อย หัวใจชายหนุ่มเต้นเร็วกว่าเคย ราวกับเพิ่งได้รับอากาศที่โหยหามานาน เขาสังเกตเห็นใบหน้าของหล่อนดูเผือดซีด นัยน์ตาอ่อนโรย ยามสบตากัน ถึงค่อยดูมีประกายกว่าเดิม

            “ว่าไง” ลานน้ำค้างเป็นฝ่ายหยุดทักทายก่อน “จะรีบวิ่งไปไหน”

            “วิ่งตามหาหัวใจ” คำพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อเช่นเคย คราวนี้คนพูดกลับรู้สึกมันชัดเจน จริงจังเหลือเกิน

            “แล้วเธอหายไปไหนมาตั้งหลายวัน เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดเชียว” บูรพารีบชิงถามคำถามก่อน

            “ไปตามหาหัวใจเหมือนกัน” ลานน้ำค้างแกล้งเอาคำพูดเขามาเป็นมุก หลีกเลี่ยงการตอบ

            “เจอหรือยังล่ะ” ชายหนุ่มถามทั้งที่รู้อีกฝ่ายกำลังโยกโย้

            “หัวใจก็ต้องอยู่ในใจ...ไปตามหาข้างนอกจะเจอได้ยังไง” หญิงสาวตอบแล้วเดินต่อ ทำท่าไม่สนใจสานการสนทนาให้เยิ่นเย้อ

            “อ้าว...จะรีบไปไหน ไม่กลับที่คณะเหรอ” บูรพาเดินตาม ถามอย่างสงสัย

            “ไม่ล่ะ จะกลับบ้าน”

            “บ่ายนี้ไม่มีวิชาเรียนล่ะสิ” ชายหนุ่มเข้าใจอีกทาง “แล้วถามจริง ๆ เถอะ หายไปไหนมาตั้งหลายวัน ถามแม่เธอ...แม่ก็บอกให้รอถามเธอเอง”

            พอบูรพาจี้ถาม ต้องการคำตอบจริง ลานน้ำค้างก็ลำบากใจจะพูด...หากบอกความจริง เกรงว่าเพื่อนสนิทจะกังวลใจ เป็นทุกข์ร้อนไปด้วย แต่ถ้าให้โกหก ก็รู้สึกละอายใจที่ต้องแต่งเรื่องโป้ปด

            “ไปงานศพกันมั้ย” ลานน้ำค้างใช้วิธีหาเรื่องชวน แทนการตอบคำถาม

            “งานศพใคร?” บูรพาย้อนถามอย่างสงสัย ก่อนความทรงจำจะผุดขึ้น “อ๋อ...คุณหญิงรัดเกล้าใช่มั้ย...เราว่าจะบอกเรื่องนี้กับเธออยู่เหมือนกัน...รู้ข่าวตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ”

            “หลายวันแล้ว พี่มุกโทรมาบอก...ว่ายังไง จะไปด้วยกันมั้ย คืนนี้แม่ไม่ว่างด้วย” ลานน้ำค้างพยายามดึงเรื่องให้ห่างจากตัวเองมากที่สุด

            “ไปสิ...จะให้ไปรับที่บ้านกี่โมง เขาตั้งสวดวัดไหนรู้แล้วเหรอ”

            “รู้แล้ว...สักห้าหกโมงเย็นไปรับที่บ้านก็ได้ อยากไปถึงงานเร็วหน่อย เผื่อมีอะไรพอช่วยเขาได้”

            “ได้” บูรพารับปาก

            ทั้งสองเดินมาหน้ามหาวิทยาลัย ชายหนุ่มตั้งใจเดินไปส่งหญิงสาวถึงป้ายรถเมล์ พอมีแท็กซี่ผ่าน ลานน้ำค้างก็โบกมือเรียก

            “ไปล่ะนะ” หญิงสาวบอกเขาก่อนขึ้นรถ

            บูรพาแปลกใจที่เห็นคนประหยัดอย่างลานน้ำค้างยอมขึ้นรถแท็กซี่...ความประหลาดใจทำให้ย้อนคิด ระหว่างทางที่เดินคุยมาด้วยกัน ลักษณะสีหน้า ท่าทีของหญิงสาวผิดแผกไปจากเดิม...

            ความสดใสของหล่อนหายไป มีความหม่นเคลือบอยู่ในสีหน้า วาจาสนทนา และเขาก็เพิ่งแน่ใจว่าลานน้ำค้างจงใจหลีกเลี่ยง ไม่ยอมตอบคำถามเรื่องที่หายไปหลายวันนั้นตลอดเวลา

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ปันปันหยุดร้องไห้แล้ว เด็กหญิงตั้งใจไม่ร้องไห้ให้ใครเห็นอีก ถ้าเธอร้องไห้ พี่ปอนก็ต้องเสียใจ เสียเวลามาปลอบ ปันปันไม่อยากเห็นใบหน้าพี่ปอนหม่นหมอง ไม่อยากให้เขาต้องคอยมาเป็นห่วง ดูแลทั้งที่มีภาระรับผิดชอบมากมาย

            ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวน้อยก็ยังตามเกาะพี่ชายต้อย ๆ ไม่ว่าเขาไปทางไหน ใคร ๆ จะเห็นเด็กหญิงตัวป้อมอยู่ไม่ห่าง เป็นเงาตามตัว...หัวใจดวงน้อยบอกต่อปันปันว่า เธอไม่ควรห่างจากพี่ชาย อย่าให้เขาคลาดสายตา ไม่อย่างนั้นจะต้องสูญเสียเขาไป อย่างที่เคยสูญเสียแม่มาแล้ว

            มือเล็ก ๆ เกาะเกี่ยวมือใหญ่เดินตามกัน จนเป็นที่คุ้นสายตาคนทั่วไป ทั้งสองมางานสวดศพทุกคืน ตัวไม่ห่างกัน ปันปันชอบนั่งตักพี่ชายเงียบ ๆ เอ่ยปากพูดจาน้อยกว่าเดิม หยาดน้ำแห้งจากดวงตา ไม่สนใจพิธีการงานศพ ไม่เหลือบแลสนใจใครทั้งนั้น

            ผู้ใหญ่หลายคนพยายามเข้ามาพูดจา ปลอบโยน มากอดด้วยความรัก เมตตาสงสาร เจ้าตัวน้อยก็เฉย ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ ขยับเขยื้อนร่างกายตามแต่พี่ชายจะบอกจะพาไป ดวงตารับรู้ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา แต่ไม่สนใจนำพากับทุกเรื่องราว

            ตลอดเวลาหลายวันมานี้ เกรซพยายามเข้ามาช่วยดูแลปันปันแทนเลียบเมือง แต่หนูน้อยปฏิเสธความหวังดี ไม่พูดจา ไม่ตอบรับจนอีกฝ่ายต้องยอมถอย นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงแปลกหน้าอีกคนพยายามเข้ามาใกล้ชิดกับปันปัน เป็นผู้หญิงที่พี่ปอนบอกให้ปันปันเรียกเขาว่า ‘คุณน้า’

            คุณน้ามีความอดทนต่อปันปันมากกว่าพี่เกรซ ถึงปันปันจะทำเฉย ไม่พูดด้วย ไม่สนใจ ทำตัวแข็ง สะบัดหนีเวลาถูกกอด คุณน้าก็ไม่ว่า แถมยังมีรอยยิ้ม คำพูดจาหวานหูเสมอต้นเสมอปลาย แต่มันไม่ช่วยให้ปันปันคลายเศร้าลงได้ หัวใจดวงน้อยถูกปิดกั้นไว้แล้ว ไม่ยอมให้ความทุกข์ ความเสียใจเข้ามาซ้ำเติม...
   
            ...จิตใจที่ถูกปิดกั้นไม่ยอมรับความทุกข์เช่นนั้น มันก็ย่อมไม่อาจสัมผัสความสุขได้เช่นกัน...

            วันนี้ปันปันมางานสวดศพกับพี่ชายตามปกติ มีหลายคนเข้ามาพูดจา ทักทายยิ้มแย้มชวนคุยเช่นเคย เจ้าตัวเล็กเพียงนั่งฟังนิ่ง ๆ ไม่ตอบรับ แววตาฉายถึงอาการรับรู้ อย่างน้อยก็รู้ว่าคืนนี้พี่เกรซติดธุระ ไม่สามารถมาได้ ส่วนคุณน้าคนเดิมมาถึงงานก่อนแล้ว และเข้ามาหาทันทีที่เห็นสองพี่น้อง

            “สวัสดีค่ะคุณเลียบเมือง” คุณน้าเป็นฝ่ายทักทายชายหนุ่มก่อน ทั้งที่อายุมากกว่า

            “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มรับคำทักทายตามมารยาท ก่อนจะก้มตัวพูดกับน้องสาว “ปันปันนั่งรอพี่อยู่ตรงนี้ก่อนนะ”

            เด็กหญิงมีท่าทีแข็งขืนปฏิเสธ อยากเดินตามพี่ชาย เลียบเมืองจึงต้องอุ้มน้องสาวลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วทรุดตัวลงอธิบายด้วยวาจาอ่อนโยน

            “พี่ต้องไปดูแลความเรียบร้อย คอยรับแขกผู้ใหญ่อยู่แถว ๆ นี้ ไม่ไปไหนไกลหรอก ปันปันคอยตามพี่จะเบื่อ เมื่อยขาเปล่า ๆ นะจ๊ะ”

            “เดี๋ยวน้าจะอยู่เป็นเพื่อนน้องปันปันเอง” คุณน้าพูดขึ้น ทำให้ดวงตาของเลียบเมืองทอประกายบางอย่างเป็นความไม่พอใจ

            “ปันปันอยู่คนเดียวได้” เด็กหญิงตอบ พร้อมกับพยักหน้าให้พี่ชายคลายใจ

            เลียบเมืองยิ้มให้ก่อนขยับตัวลุกขึ้นทำหน้าที่ของตน รู้ว่าจะมีสายตาของน้องสาวคอยมองตามเขาอย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา

            แขกทยอยมาในงานมากขึ้น ปันปันไม่สนใจคุณน้าที่นั่งเคียงข้าง ไม่ว่าเธอจะพยายามชวนคุย ชวนกินขนมแค่ไหนก็ตาม สายตาคอยมองพี่ชายที่กำลังยืนคุย ต้อนรับแขกผู้ใหญ่ ทำหน้าที่เจ้าภาพไม่ขาดตกบกพร่อง

            พอเด็กหญิงเริ่มเบื่อก็เปลี่ยนสายตามองไปรอบ ๆ งาน จนได้พบบางคนที่เห็นชัดถนัดตา...คน ๆ นั้นทำให้เธอลืมพี่ชายไปได้ชั่วขณะ...

            ผู้หญิงคนนั้นแต่งชุดดำเช่นเดียวกับแขกคนอื่น เดินเคียงข้างมากับชายหนุ่มหุ่นนักกีฬา สูงเด่นสะดุดตา ปันปันไม่สนใจผู้ชายที่เดินตาม สายตาของเธอจ้องเขม็งยังหญิงสาว ราวกับกลัวว่านั่นเป็นเพียงภาพลวงตา... พอแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝัน เด็กน้อยก็รู้ว่า...คนที่เธอรอคอยมาถึงแล้ว เวลานี้เธอไม่ได้เหลือเพียงพี่ชายคนเดียวอีกต่อไป...เธอยังมีพี่สาวอีกคน พี่สาวที่ผูกพัน สนิทใจ ทั้งที่เคยพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง

            เจ้าตัวน้อยรีบลงจากเก้าอี้ วิ่งไปทางเป้าหมาย ไม่สนใจคำถาม เสียงทักท้วงจากคุณน้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

            “ปันปัน...หนูจะไปไหนลูก...”

            ปันปันไม่ตอบ สายตาเธอไม่ได้อยู่ที่พี่ชาย แต่จับจ้องพี่สาวคนนั้น...เด็กหญิงพยายามแทรกผู้คนอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาน้อย ๆ จะพาไปได้

            อีกนิด...ใกล้เข้าไปอีกนิด พี่สาวคนนั้นอยู่ใกล้ จนปันปันสามารถโผเข้าไปกอด...กอดจนแน่นแล้วร้องไห้...ร้องไห้สะอึกสะอื้นเต็มที่...ให้สมกับที่สะกดกลั้นมานาน

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ลานน้ำค้างตั้งใจมาฟังสวด เคารพศพคุณหญิงรัดเกล้าเงียบ ๆ แล้วจะหลบไปช่วยงานพี่มุกดาด้านหลัง อาจต้องอยู่จนถึงหลังงานเลิก จึงชวนบูรพามาเป็นเพื่อนแทนแม่ที่ติดธุระมาด้วยไม่ได้

            ใจจริงหญิงสาวต้องการเลี่ยงพบปะกับเพื่อนหนุ่ม เพราะไม่อยากตอบคำถามของเขา พอรู้ว่าถึงอย่างไรก็หนีบูรพาไม่พ้น จึงชวนมาด้วยเสียเลย

            มาด้วยกันครั้งนี้บูรพามีเรื่องให้แปลกใจตั้งแต่ลานน้ำค้างชวนนั่งแท็กซี่แทนการซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้ว ระหว่างทางเขาพยายามพูดคุย ถามปัญหาที่ยังคาใจทั้งทางตรงและทางอ้อม หญิงสาวก็เลี่ยงการตอบโดยชวนคุยเรื่องงานศพ เรื่องปันปัน จนถึงเรื่องของโดม...เจอเข้าอย่างนี้ ชายหนุ่มไม่เซ้าซี้ร่ำไรอีก

            ถึงงานก่อนเวลา คิดว่าไม่ค่อยมีแขก แต่ผิดคาด ผู้คนมาเคารพศพเร็วกว่าที่คิด หาทางเลี่ยงขึ้นบันไดด้านข้างเพื่อไปเคารพศพสะดวกโดยไม่ผ่านเจ้าภาพ ทว่าลานน้ำค้างก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมากอดขาหล่อนเสียแน่น

            ก้มลงมองแทบตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของปันปัน แหงนเงยขึ้นมาพร้อมกับเรียกชื่อหล่อนปนสะอึกสะอื้น...

            “พี่ลาน...ฮือ...ฮือ...พี่ลาน” เจ้าตัวเล็กพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง ลานน้ำค้างรีบทรุดตัวลงไปกอดตอบ มือโอบกระชับอบอุ่น ถ่ายทอดความอ่อนโยนจากหัวใจ

            “คุณแม่ตายแล้ว...พี่ลาน...คุณแม่ปันปันตายแล้ว...ทำไมพี่ลานเพิ่งมา...ทำไมพี่ลานถึงเพิ่งมาหาปันปัน” เด็กหญิงพูดจาต่อว่าปนร้องไห้สะอื้น ราวเก็บกดความอึดอัด ความทุกข์ ความเศร้ามาหลายวัน...

            ความเศร้า ทุกข์ใจของหนูน้อยถูกบรรจุใส่ถุงเอาไว้ด้วยความกลัวพี่ชายจะเสียใจถ้าเห็นมัน ไม่มีใครสามารถเจาะถุงความเศร้านี้ออกมาได้

            หลายวันมานี้ เธอกำลังรอใครบางคนอยู่...คนที่เธอสามารถบอกกล่าวกับเขาได้ทุกเรื่อง คนที่เธอมั่นใจว่า สามารถร้องไห้กับเขาได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร...ร้องไห้ได้อย่างไว้วางใจ

            “โอ๋...ปันปันจ๋าอย่าร้องไห้นะ...พี่อยู่นี่แล้ว...อย่าร้องไห้นะคนดี...” ลานน้ำค้างปลอบโยนด้วยความรู้สึกผิด น้ำเสียงอบอุ่น นุ่มละมุนที่สุด เท่าที่หญิงสาวเคยพูดกับใคร...

            น้ำเสียงและกิริยาอ่อนโยนนี้ ทำให้บูรพาที่ยืนเคียงข้างเห็นแล้วนึกถึงภาพลานน้ำค้างในวัยเยาว์...เด็กผู้หญิงใจกล้า ที่เคยเข้ามาปกป้องเด็กผู้ชายตัวอ้วน อ่อนแอ จอมแหยคนหนึ่ง

            สายตาผู้คนในงานเริ่มหันมามองด้วยความแปลกใจ ใครจะคาดคิด เด็กผู้หญิงที่ชอบนั่งนิ่งเป็นหุ่น ไม่พูดจากับใคร คอยเดินตามพี่ชายต้อย ๆ จะโผเข้ามากอดและร้องไห้กับหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้จักเลย

            ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน...เธอมีอะไรพิเศษในตัวกันแน่...

            ลานน้ำค้างไม่สนใจสายตาผู้คน ไม่ใส่ใจว่าจะมีสักกี่คนมองมา เวลานี้ทั้งโลกมีเพียงตนเองกับเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังเคว้งคว้าง เศร้าเหลือเกิน...

            เจ้าตัวเล็กเหมือนกำลังลอยอยู่ในอากาศ เท้าไม่ติดพื้น รายล้อมด้วยเมฆหมอกของความทุกข์เศร้า หวาดกลัว เท่าที่เด็กวัยนี้เคยได้รับ

            หญิงสาวอยากช่วย อยากฉุดเรียกเจ้าตัวน้อยให้รู้สึกตัว ให้เท้าทั้งคู่สัมผัสพื้นอีกครั้ง...สิ่งที่ทำได้ยามนี้คือ โอบกอดร่างที่สะท้านเศร้า ด้วยความรัก ความหวังดี... คำพูดอ่อนหวานรินไหลจากใจอันอ่อนโยน จากความรักเต็มหัวใจ ซึ่งไม่ต่างจากพี่น้องคลานตามกันมา

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เลียบเมืองแว่วเสียงร้องไห้ของปันปันเข้ามาในหู รีบหันขวับไปดูด้วยความเป็นห่วง กลัวจะมีใคร ‘บางคน’ มาพูด หรือทำอะไรให้สะเทือนใจดวงน้อย นึกโมโหตัวเองที่ไม่น่าปล่อยปันปันให้อยู่กับ ‘คุณน้า’ คนนั้น

            พอเห็นภาพที่ปรากฏต่อหน้า ต้องนิ่งอั้น ไม่เชื่อสายตา...ปันปันกำลังอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งเขาพอจะรู้จัก แต่ไม่คุ้นเคย ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือเด็กหญิงกำลังร้องไห้...ร้องไห้ราวกับได้พบแหล่งพักพิงให้กับหยาดน้ำตา กิริยาร่ำร้อง สะอึกสะอื้นเหมือนเธอกำลังเล่าขานความทุกข์แก่คนที่สนิทสนม ไว้วางใจที่สุดในชีวิต...

            ชายหนุ่มมองหญิงสาวคนนั้นอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก...เธอคนนี้มีอะไรดี ปันปันจึงรักและไว้วางใจขนาดนี้... ที่ผ่านมา นอกจากเขา ปันปันไม่ยอมร้องไห้กับใคร ไม่ยอมให้ใครมากอด มาปลอบโยน...เจ้าตัวน้อยเก็บน้ำตา ซ่อนความเสียใจไม่ยอมให้ใครรับรู้...ไม่ยอมให้ใครเข้าถึงหัวใจ แม้กระทั่งกับผู้หญิงอีกคน... ‘คุณน้า’ ที่พยายามเหลือเกินที่จะฝ่ากำแพงความเงียบงันของปันปันให้ได้...

            ‘คุณน้า คือปัณรสี...แม่แท้ ๆ ของปันปัน ที่เคยมาบริจาคเลือดช่วยชีวิตเธอไว้เมื่อคราวก่อน

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ถึงจะทุลักทุเลบ้าง แต่ลานน้ำค้างก็สามารถเข้าไปจุดธูป เคารพศพคุณหญิงได้ตามที่ตั้งใจ มีหนูน้อยปันปันคอยตามเป็นเงา เลียบเมืองเข้ามาทักทาย พูดคุยตามมารยาทเจ้าภาพ เขาพยายามดึงตัวเด็กหญิงกลับเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่แขกร่วมงาน เจ้าตัวน้อยกลับดึงดันจะอยู่กับพี่ลาน ไม่ยอมไปไหน จนพี่ชายอ่อนใจ...ยอมแพ้

            ด้านในคนค่อนข้างเต็ม ลานน้ำค้าง บูรพา และปันปันจึงออกไปนั่งรอฟังพระสวดที่เต้นท์นอกศาลา โดยมีพี่มุกดาตามไปนั่งคุยสมทบด้วยทีหลัง

            “เหนื่อยมากมั้ยคะพี่มุก” ลานน้ำค้างถามอย่างเห็นใจ

            “นิดหน่อยจ้ะ...แค่นี้พี่ไหวอยู่แล้ว” พี่มุกตอบด้วยสีหน้าอิดโรย ก่อนก้มลงถามเด็กหญิงที่นั่งตักลานน้ำค้าง “ว่าไงคะน้องปันปัน รู้จักพี่ลานเขาตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ มาถึงก็วิ่งร้องไห้มาหาเลย”

            ปันปันทำหน้าบึ้ง ไม่ยอมตอบ ลานน้ำค้างจึงเป็นฝ่ายตอบเสียเอง

            “รู้จักกันตอนน้องเขาอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ เคยคุยกันสนุกดี”

            “อ๋อ...” พี่มุกพยักหน้าเข้าใจ “แล้วน้องลานล่ะ หายไปไหน เพิ่งมาฟังสวดวันนี้ พี่โทรหาก็ไม่ติดสักที”

            คำถามนี้ทำให้บูรพาที่นั่งข้าง ๆ เกิดอาการตั้งใจอยากฟังคำตอบด้วย

            “ลานติดธุระค่ะ” หญิงสาวตอบง่าย ๆ แล้วรีบพูดต่อ ราวกับกลัวจะโดนถามถึงรายละเอียดของ “ธุระ” นั้น

            “พี่มุกมีอะไรให้ลานช่วยมั้ย ดูท่าทางจะยุ่งกันน่าดู”

            “งานที่จะให้ช่วยมีเยอะแยะเลยนั่นแหละน้องลาน ทั้งงานศพ ทั้งงานบริษัท...แต่ไม่ต้องหรอก พี่เกรงใจ ตอนนี้น้องลานก็ต้องไปเรียนแล้วด้วย”

            ผู้พูดไม่อาจรู้ว่า ประโยคท้ายจะทำให้คนฟังรู้สึกแสลงใจขึ้นมาทันที

            “ลาน...” หญิงสาวยั้งวาจา...เหมือนหาคำพูดที่เหมาะสม “ลานพอจะมีเวลาช่วยค่ะ”

            “งั้นพี่ลานอยู่กับปันปันได้มั้ย...ปันปันเหงาจังเลย” เด็กน้อยที่นั่งตักเงียบ ๆ มาตลอดค่อยเอ่ยปากออกมา

            คำขอร้องของปันปันไม่มีใครกล้าคัดค้าน ทั้งที่ต่างก็รู้แก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้

            “งั้นพี่จะมาหาน้องปันปันบ่อย ๆ ดีมั้ยจ๊ะ ปันปันจะได้ไม่เหงา” หญิงสาวตอบรับกึ่งเลี่ยง

            บูรพามองหญิงสาวแล้วรู้สึกแปร่งแปลกใจ วาจา บทสนทนาเหล่านั้น ลานน้ำค้างพูดเหมือนมีอะไรคาอยู่ในใจตลอดเวลา และดูท่าเจ้าตัวจะไม่ยอมเปิดเผยสิ่งคาใจนั้นง่าย ๆ เสียด้วย

            ปันปันรู้สึกดีกับคำตอบที่ได้รับ จึงไม่เซ้าซี้ ร่ำไร

            “งานที่บริษัทเป็นยังไงบ้างคะพี่มุก” ได้ยินพี่มุกพูดถึงบริษัทแล้วนึกเป็นห่วง อย่างไรเสียก็เคยร่วมงานด้วย เป็นเดือน

            “โหย...ยุ่งเอามาก ๆ เลยน้องลานเอ๊ย...” พี่มุกพูดอย่างคนอยากหาที่ระบาย “ตอนนี้ทุกคนหัวหมุน งานล้นมือไปหมด คุณเลียบต้องไปสานงานแทนคุณหญิง พวกลูกค้าต่างประเทศก็ไม่ค่อยไว้ใจ...แต่ก็อย่างว่านั่นแหละนะ คนไม่เคยทำงานนี้มาก่อน ต้องมาเริ่มศึกษา เรียนลัดเอา ต่อให้เก่ง ฉลาดแค่ไหนก็แย่เหมือนกัน พี่เองก็ช่วยเต็มที่ แต่งานล้นมือ ไม่ไหว จะหาคนที่พอรู้งานมาเป็นผู้ช่วยก็ไม่มี...ตอนนี้ทุกคนที่บริษัทมีงานตึงมือกันหมด เห็นแล้วก็สงสาร ไม่รู้จะพูดยังไง”

            ลานน้ำค้างได้ยินแล้วก็นึกเป็นห่วง รู้สึกเหนื่อยแทนไปด้วย

            “น่านับถือพี่มุกจริง ๆ นะคะ ทั้งทำงานที่บริษัท แล้วยังมาช่วยคุณเลียบเมืองที่งานศพอีก”

            “พี่ตั้งใจทำให้ท่านเป็นครั้งสุดท้ายนั่นแหละ เหนื่อยก็ทนเอา...ยังดีที่แฟนพี่เขายอมขับรถมารับ-ส่งตลอด” พี่มุกพูดแล้วนึกถึงบางเรื่องได้ “แล้วน้องลานกับเพื่อนมากันยังไงจ๊ะ”

            “มาแท็กซี่ค่ะ” ลานน้ำค้างตอบอย่างไม่เห็นสำคัญ

            “อุ๊ย...ดีเลย อยู่คุยกันก่อน เสร็จงานแล้วค่อยกลับพร้อมพี่...น้องบูรพาคงไม่ขัดข้องนะคะ” พูดจบพี่มุกก็หันไปถามชายหนุ่มเหมือนอยากหาแนวร่วม

            บูรพายิ้มเฉย ๆ โดยไม่เอ่ยปากตอบรับหรือปฏิเสธ

            “รบกวนพี่มุกแย่เลย” ลานน้ำค้างรีบออกตัว

            “โธ่...อย่าเห็นเป็นเรื่องรบกวนอะไรเลย...จำได้ว่าบ้านน้องลานก็อยู่ทางเดียวกับบ้านพี่ด้วย...งั้นตกลงตาม นี้นะจ๊ะ”

            ลานน้ำค้างไม่ทันเอ่ยปากค้าน พระก็เริ่มสวด แต่ละคนจึงเงียบ พนมมือฟังสวด ปล่อยให้เสียงประสานของพระภิกษุเป็นกำแพงกั้นการสนทนา และเป็นฉากเลี่ยงการตอบคำถามของหญิงสาว

            บูรพาฟังสวด นัยน์ตาอดเหลือบมองหญิงสาวข้าง ๆ ไม่ได้ ลานน้ำค้างแปลกไปกว่าเดิมจนเห็นได้ชัด มีร่องรอยการปกปิด ซ่อนเร้น อึดอัด อย่างเช่นคนคุ้นเคยสามารถสัมผัสได้ เขารู้ว่ายังไม่ควรเร่งรัด ซักไซ้เวลานี้ ความที่คบกันมานาน รู้จักนิสัยว่าหล่อนเป็นคนปากแข็งขนาดไหน จำเป็นต้องรอเวลาให้เธอยอมเป็นฝ่ายพูดเอง

            จากเต้นท์นอกศาลา บูรพาไม่สามารถเห็นใบหน้าชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าภาพ แต่ก็พอมองเห็นศีรษะที่ตั้งตรงดูเด่นกว่าใคร ๆ นึกถึงใบหน้าที่เคยคมคายสะดุดตา บัดนี้มีริ้วรอยความทุกข์พาดผ่านชัดเจน หมอกดำแห่งความหม่นหมองเคลือบจาง ๆ ทั้งสีหน้าและแววตา กิริยาท่าทาง การพูดจาแม้จะสุภาพ สำรวม แต่เหมือนหุ่นยนต์ที่ขยับตามโปรแกรมตั้งไว้ ไม่น่าเชื่อว่า ผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบขนาดนี้ จะถูกความทุกข์เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นอีกคนหนึ่งได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP