วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๒๗



Tao Nam Kang - front re

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            บ้านหลังนั้นร่มรื่นน่าอยู่ เป็นสัดส่วน ยากที่คนภายนอกจะสอดสายตาแอบมองเข้ามาได้ กำแพงสูงทึบปลูกไม้เลื้อยเกาะ ดูไม่แข็งกระด้างเกินไป มีต้นไม้ใหญ่สูงแผ่กิ่งก้าน ให้ความร่มเย็น ด้านสวนไม้ดอกถูกตกแต่งสวย เหมือนจำลองรีสอร์ทเล็ก ๆ ไว้ในบ้าน

            นี่คือบ้านของแม่...

            โดมเดินตามป้าแหม่มเข้าบ้านเหมือนคนแปลกหน้า ทั้งที่ไม่ใช่เพิ่งเคยมาครั้งแรก เจ้าของบ้านนี้มักขยัน ตกแต่งเปลี่ยนแปลงภายในบ้านอยู่เรื่อย ๆ ตามความพอใจ จนคนที่นาน ๆ มาสักครั้งแทบจำไม่ได้

            เข้ามาถึงห้องรับแขก ชะงักเท้าหยุดยืนมองดูรูปของแม่...ภาพถ่ายของมาตา ซูเปอร์สตาร์คนดังที่มองออกมาจากในรูปไม่เหมือนแม่ที่เขาเคยรู้จัก ผู้หญิงในภาพสวยจัด เปล่งประกายเสน่ห์เหลือล้น จนใครที่เดินผ่านอดไม่ได้ต้องเหลียวมองซ้ำ

            “ไปดูห้องของโดมเลยมั้ย” เสียงป้าแหม่มเรียกให้เขาละสายตาจากภาพ

            “ผมต้องอยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ?” คำพูดคล้ายถาม รำพึงกับตัวเอง

            “ถ้าพ่อโดมรู้ว่า เราอยู่ห้องเช่าโทรม ๆ นั่น เขาจะไม่ลากตัวเรากลับบ้านเหรอ” คำพูดป้าแหม่มคือสิ่งคาใจ เป็นปัญหาที่เขาจำเป็นต้องหาหนทางแก้ไข

            โดมไม่อยากคิดว่าเวลานี้ พ่อกำลังก้าวเข้ามาแทรกในชีวิตอิสระของเขาแล้ว...หลังจากปล่อยให้ทำตามใจตัวเองเป็นปี


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            หลังออกจากห้องไอซียู มาตาก็ยังไม่ฟื้น มีสภาพใกล้กับเจ้าหญิงนิทรา ทางเจ้าของค่ายเพลงรับดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา โดยให้ป้าแหม่มเป็นคนติดต่อประสานงาน

            เรื่องแรกที่จะทำคือ ย้ายคนป่วยมารักษาโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลที่ถูกเลือก ก็ไม่เกินความคาดหมายของทุกคน...

            นายแพทย์ที่เดินทางมารับคนป่วย มีตำแหน่งเป็นถึงระดับผู้อำนวยการ...หมอนภัทร!

            โดมพบหน้าพ่อหลังจากไม่ได้เจอกันเป็นปี...พ่อยังเหมือนเดิม ร่างสูงตรง ใบหน้าเคร่งขรึม หางตามีรอยยับย่นกว่าเดิม ดวงตายังดุ จนทำให้คนอยู่ใกล้นึกขยาดเช่นเดิม
   
            โดมยืนอยู่ข้างเตียงแม่เพียงลำพัง ขณะพ่อเดินเข้ามาหา เวลานั้นไม่มีใคร นอกจากคนในครอบครัว สายตาพ่อมองเขาปราดเดียว รู้สึกเหมือนเดินผ่านเครื่องเอ๊กซ์เรย์ สามารถเก็บรายละเอียดเกี่ยวกับตัวลูกชายได้ทั้งหมด เพียงแค่การมองชั่วแวบสั้น ๆ

            คำแรกที่คนเป็นบิดาพูดต่อลูกชายก็คือ

            “ตั้งแต่ออกจากบ้าน แกก็เข้าร้านตัดผมไม่เป็นเลยหรือไง” คำพูดเรียบสนิท แฝงคำตำหนิชนิดคนที่ใกล้ชิดหมอนภัทรได้ยินแล้วแทบจะไปโกนหัวทันที

            โดมกลับนิ่ง ไม่พูดจาโต้ตอบ

            หมอนภัทรหยิบบันทึกผู้ป่วยมาอ่าน หมดความสนใจบุตรชายตนเองเพียงเท่านี้ สักครู่ป้าแหม่มพานายแพทย์ที่ดูแลอาการมาตาตั้งแต่แรก เข้ามาปรึกษา

            โดมถอยหลังเป็นคนฟัง เข้าใจรายละเอียดในคำสนทนาระหว่างหมอเกือบทั้งหมด จนนึกหวั่นอาการของแม่...เขาเคยช่วยงานในโรงพยาบาลมาก่อน พอจะรู้อาการป่วย ฟังศัพท์ทางการแพทย์เป็น รู้ว่าอาการของแม่ยังไม่น่าไว้วางใจ จำเป็นต้องรีบย้ายเข้ากรุงเทพฯโดยด่วน...

            หลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำเนินไปตามคำแนะนำของนายแพทย์นภัทร โดยที่คนเป็นลูกชายไม่เอ่ยปากแสดงความเห็นใด ๆ

            ทั้งหมดเดินทางเข้ากรุงเทพฯด้วยเครื่องบินลำเดียวกัน สองพ่อลูกพูดจาต่อกันน้อยยิ่งกว่าน้อย ราวกับว่ายิ่งถนอมปากคำเท่าไหร่ จะช่วยให้การเดินทางและสัมพันธภาพราบรื่นเท่านั้น

            ถึงกรุงเทพฯ มาตาถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลทันที มีทีมแพทย์เฉพาะทางรอรับดูแลรักษา เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม

            ช่วงเวลาโกลาหลวุ่นวายเช่นนี้ โดมรู้สึกเป็นส่วนเกิน จึงถอยมานั่งรออยู่ห่าง ๆ ไม่ยอมให้แม่อยู่ไกลจากความรับรู้ของเขา นั่งรอ...รอโดยไม่พูดจากับใคร ไม่ทำตัวให้เป็นที่สังเกตของเหล่านักข่าว จนกระทั่งป้าแหม่มเข้ามาหา เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

            “กลับไปอาบน้ำอาบท่าที่บ้านก่อนดีมั้ยโดม เดี๋ยวป้าจะไปส่ง” โดมเงยหน้ามองหญิงผิวคล้ำที่เรียกตัวเองว่าป้าอย่างไม่ขัดเขิน ทำให้เขารู้สึกเหมือนหล่อนเป็นญาติสนิทโดยไม่รู้ตัว

            “ผมจะรอจนกว่าแม่ได้เข้าห้องพักฟื้นแล้ว” เขาบอก

            “คงอีกนานแหละโดม...ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ที่นี่เขามีทั้งหมอทั้งพยาบาลพร้อม จะไปกลัวอะไร...อย่าดื้อสิ” คำท้ายเหมือนกำลังดุเด็กสามขวบ

            โดมหันมามองผู้อาวุโสกว่า เข้าใจความจริงใจที่ผู้หญิงคนนี้มีให้...ความที่กำลังเคว้งคว้าง จึงรู้สึกดี ที่มีใครสักคนอยู่ใกล้ ๆ มาคอยดุ คอยสั่งสอน

            “ก็ได้ครับ”

            ป้าแหม่มฟังแล้วยังแปลกใจ เคยรู้กิตติศัพท์ความดื้อรั้นของลูกชายมาตาไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าเขาจะยอมเชื่อฟังง่าย ๆ ด้วยคำพูดไม่กี่คำ

            โดมอาศัยรถป้าแหม่มไปที่ห้องเช่า พอมาถึงผู้สูงวัยเดินมาส่ง เห็นสภาพต่าง ๆ ในห้องแล้วอดออกปากไม่ได้

            “อยู่เข้าไปได้ยังไงน่ะโดม...ไปอยู่ที่บ้านแม่เราเถอะ”

            เด็กหนุ่มใช้อาการนิ่งแทนการตอบปฏิเสธ อีกฝ่ายจึงพยายามชักชวน

            “ไปเถอะน่า...” ป้าแหม่มยังชวนต่อ “ไปเถอะโดม อยู่ที่นี่ไม่ไหวหรอก”

            เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเซ้าซี้ไม่เลิก โดมจึงตอบบ้าง

            “ผมไม่ไปหรอก”

            “ทำไมล่ะโดม...” ป้าแหม่มสงสัย “มีปัญหาอะไรกับบ้านแม่เราล่ะ สมัยก่อนยังเคยไปนอนค้างได้นี่”

            ป้าแหม่มพูดถึงสมัยเขายังเป็นเด็กตัวกระเปี๊ยก

            “สมัยนั้นแม่เขายังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอย่างนี้นี่ครับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างเหลืออด

            ได้ยินอย่างนี้ป้าแหม่มค่อยโล่งใจ

            “โธ่เอ๊ยโดม นึกว่าเรื่องอะไร...อีตาชัชไม่ได้มาอยู่บ้านเดียวกับแม่เราซะหน่อย”

            ป้าแหม่มชะงักเมื่อเห็นเด็กหนุ่มมองกลับมาอย่างรู้ทัน จึงพยายามตอบแบบอ้อมแอ้ม...

            “เอ่อ...ถึงจะมาก็เป็นครั้งคราว ลูก ๆ เขาก็มี ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ถาวรหรอก...”

            “ก็อาทิตย์ละสามสี่วันไม่ใช่เหรอ” โดมพูด

            “นั่นมันตอนที่แม่เราอยู่...ตอนนี้มาตานอนโรงพยาบาล เขาคงจะไปอยู่ดูแลที่โรงพยาบาลมากกว่า ไม่ได้มาที่บ้านนี้หรอก”

            โดมไม่พูดอะไรมาก เขาเห็นชัชเพียงครั้งสองครั้งที่โรงพยาบาล ตอนแม่ยังนอนสลบไสลก่อนเข้ากรุงเทพฯ ดูท่าทางเป็นห่วงอย่างจริงใจ ตั้งใจรับดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา แต่ป้าแหม่มคัดค้าน บอกให้เขาดูอยู่ห่าง ๆ เพราะเรื่องการคบหาระหว่างชัชกับมาตายังไม่เป็นที่เปิดเผยมากนัก ปล่อยให้ทางเจ้าของค่ายเพลงจัดการดีกว่า ส่วนชัชคอยดูแลแบบเดิมดีแล้ว

            โดมไม่คิดพูดจาเสวนากับแฟนคนปัจจุบันของแม่ พยายามหลบเลี่ยงการเผชิญหน้าตลอดเวลา ประกอบกับชัชมีงาน ธุรกิจต้องรับผิดชอบ ไม่สามารถอยู่ได้นาน จึงเข้ากรุงเทพฯก่อนมาตาจะย้ายโรงพยาบาล

            พอเห็นโดมเงียบ ไม่มีข้อโต้แย้ง ป้าแหม่มก็สรุปรวบรัด

            “ตกลง โดมย้ายของเข้าบ้านแม่เราเลยนะ”

            เด็กหนุ่มไม่มีท่าทางแข็งขืน เพียงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

            “ผมอยู่ที่นี่ก็สบายดีแล้วครับ”

            ป้าแหม่มอยากตีเด็กหนุ่มตรงหน้าสักผัวะให้สมกับความดื้อรั้น รู้ทันทีว่าเจ้าโดมได้นิสัยแบบนี้มาจากใคร

            “ที่บ้านแม่เราอยู่ใกล้โรงพยาบาลกว่านะ โดมจะได้ไปดูแลสะดวก อีกอย่าง...” ป้าแหม่มพยายามหาเหตุผลที่เด็กหนุ่มปฏิเสธไม่ได้...

            “ถ้าตาหมอนภัทร...เอ๊ย...พ่อของโดมมาเห็นว่าเราอยู่ห้องเช่าโทรม ๆ แบบนี้ เขาจะยอมเหรอ”

            ดูท่าชื่อหมอนภัทรจะมีอิทธิพลเกินคาด ป้าแหม่มเริ่มเห็นแววลังเลใจ ในดวงตาเด็กหนุ่มเป็นครั้งแรก จึงรีบต้อนสำทับต่อ

            “คิดดูนะ ตอนที่โดมออกจากบ้าน แล้วพ่อเขายอมปล่อย ทำเป็นไม่สนใจเราได้น่ะ ก็เพราะคิดว่าโดมต้องมาอยู่กับแม่ใช่ไหม...แต่ถ้าเขารู้ว่าโดมมาอยู่แบบนี้ จะว่ายังไง...”

            นอกจากสีหน้าลังเลใจแล้ว ป้าแหม่มยังได้ยินเด็กหนุ่มถอนใจเป็นครั้งแรก

            “ให้ผมไปดูที่บ้านแม่ก่อนได้มั้ย” นี่เป็นข้อต่อรองสุดท้าย

            “ได้สิ...ไปเลย ป้าจะพาไปเดี๋ยวนี้แหละ”

            ป้าแหม่มพูดอย่างยินดี ความที่รู้จักนิสัยแม่ของเด็กหนุ่ม พอคาดหมายได้ว่า การที่คนเป็นลูกชายยอมลงให้ขนาดนี้ ก็คือคำบอกตกลงเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            โดมเดินดูรอบบ้านแม่อย่างคนแปลกหน้า มีป้าแหม่มทำตัวเหมือนมัคคุเทศก์นำทาง สิ่งต่าง ๆ ในบ้านสร้างความรู้สึกไม่คุ้นเคย ยกเว้นเปียโนตัวใหญ่ที่ตั้งกลางห้องโถง เห็นแล้วอดคิดถึงสมัยเด็ก ๆ ที่เคยปีนเก้าอี้ขึ้นไปเล่นเปียโนไม่ได้ แม่ยังเก็บสิ่งนี้ไว้เหมือนเดิม

            “ไปดูห้องโดมกันมั้ย” ป้าแหม่มเอ่ยขึ้น เด็กหนุ่มหันมามองอย่างแปลกใจ

            “แม่ยังเก็บไว้อยู่หรือครับ” เขานึกสงสัย ในเมื่อแม่ขยันจัดบ้านใหม่แบบนี้ จะยังคงรักษาห้องเดิม ที่เขาเคยมานอนสมัยเด็ก ๆ ไว้ได้อย่างไร

             “ไปดูกันสิ” ป้าแหม่มเดินนำหน้าโดยไม่พูดอะไรมากกว่านั้น

            โดมเดินขึ้นบันไดตามไปยังชั้นสอง ค่อยมีความรู้สึกคุ้นเคย...

            ประตูบานเดิมที่หน้าห้อง ถูกเปิดกว้าง ป้าแหม่มหันมายิ้มแล้วบอกกับโดม

            “ห้องนี้มาตาเขาหวงมาก ไม่ยอมให้ใครเข้ามาได้ง่าย ๆ แม้แต่อีตาชัชก็ไม่เคยเหยียบเข้าไปได้เลยนะ”

            เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องของตนเองอย่างไม่รู้สึกตัว นัยน์ตาพร่าพรายเมื่อผู้นำทางรูดม่านหน้าต่างออก ปล่อยแสงสว่างส่องเข้ามาเต็มที่

            โดมยืนอึ้งอยู่กลางห้องกว้าง มองโต๊ะ เตียง ของเล่นเก่า ๆ ตั้งแต่สมัยเขายังเด็ก ถูกเก็บวางอย่างเป็นระเบียบเช่นเดิม ราวกับไม่เคยมีใครเข้ามาเคลื่อนย้ายมันเลย...ภาพวันวานเก่า ๆ หวนย้อนคืนมาเป็นฉาก ๆ อ้อมอกอุ่นของแม่...เสียงเพราะหวานใสที่ขับขานบทเพลงให้ลูกชาย กลิ่นหอมคุ้นเคยที่ติดกายแม่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในห้อง เสมือนหนึ่งมันไม่ยอมจากไปไหนไกล...

            บนฝาผนังมีรูปถ่ายติดไว้มากมาย เป็นรูปของโดมในแต่ละช่วงเวลาสำคัญ ที่เขาไม่เคยคิดว่าจะมีใครยินดีอยากบันทึกมันไว้

            ภาพของเด็กชายตัวน้อยกำลังเล่นเปียโนตัวใหญ่อย่างเพลิดเพลิน ภาพตอนได้รับรางวัลแข่งขันเปียโนระดับเยาวชน รูปตอนแข่งขันวงดนตรีร่วมกับเพื่อน ๆ สมัยม.ต้น และมีภาพที่กำลังชูรางวัลด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน

            แต่ละภาพบอกถึงช่วงเวลาต่าง ๆ ที่โดมไม่คิดว่าจะมีใครในบ้านของพ่อสนใจจดจำ แม่แอบเก็บภาพต่าง ๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว กระทั่งภาพเขาทำงานอยู่ในโรงพยาบาล จนถึงรูปที่เขาไว้ผมยาวเล่นดนตรีในร้านอาหาร...เขาไม่อาจรู้เลยว่าแม่คอยติดตามเสมอ โดยมองผ่านเลนส์ ปล่อยให้ทำทุกอย่างตามใจโดยไม่กะเกณฑ์ ขัดฝืน แม่รักทุกอย่างที่เป็นเขา แม่ยินดีทุกเรื่องที่เขาพอใจกระทำ แม่มีความสุข กับความสุขของเขา

            โดมไม่เคยรู้เลยว่า...แม่จะรักเขามากถึงขนาดนี้...

            “โดมรู้มั้ย...” เสียงป้าแหม่มเหมือนแว่วมาจากที่แสนไกล “มาตาเขาไม่เคยลืมลูกชายตัวเองเลย...เขาเฝ้าดูการเติบโตของโดมมาตลอด เขายินดี ชื่นชมกับทุกเรื่องที่โดมทำ ถึงแม่เขาจะเปิดเผยตัวมากไม่ได้ แต่เขาไม่เคยหนีหายไปไหน...รูปของโดมแต่ละรูป เขาเป็นคนถ่ายไว้ แล้วเอามาขยายติดข้างฝา...

            เวลาเขาเป็นทุกข์ มีปัญหา เขาจะเข้ามาในห้องนี้ นั่งดูรูปของโดม มองรอยยิ้มของโดมในรูป แล้วก็ยิ้มตอบอยู่คนเดียว...มาตาเคยบอกว่า ไม่ว่าเขาจะลำบากสักแค่ไหน ทุกข์ใจเพียงใด แค่ได้มาเห็นหน้าของโดม ได้เห็นรอยยิ้มของลูกชายตัวเอง เขาก็มีความสุขแล้ว มีกำลังใจพอที่จะสู้ต่อไป

            มาตาอยากเห็นโดมเติบโตไปในเส้นทางที่โดมเลือก มีความสุขที่ได้ทำ...ห้อง ๆ นี้ เขาไม่ยอมให้ใครเข้ามา ง่าย ๆ เพราะนี่คือโลกส่วนตัวของเขา เป็นโลกที่เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากที่สุด...เพราะว่าเขาได้เป็นแม่ของใครสักคนอยู่จริง ๆ

            โดมเงียบ ยืนมองภาพตนเองบนฝาผนัง ราวกับจะแลให้ทะลุถึงความรู้สึกของผู้ถ่ายภาพ...เขาเห็นสีหน้าแววตาตนเองมีความสุขยามเล่นดนตรี รอยยิ้มเปิดกว้าง ดวงตาพราวระยับยินดีอย่างที่ไม่ค่อยมีบ่อย ๆ

            แม่แอบถ่ายรูปตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ทุกรูปที่ถ่ายออกมานั้นบอกถึงความรู้สึก ความรักของคนกดชัตเตอร์ที่มีต่อเจ้าของภาพอย่างชัดเจน

            “ป้าออกไปก่อนได้มั้ย...” โดมพูดเสียงเบา สายตายังจับจ้องอยู่ที่ผนัง

            “ได้สิ...เดี๋ยวป้าจะไปรอที่ห้องรับแขกนะ” ป้าแหม่มรู้สึกว่าตนเองพูดยาวเกินความจำเป็นเสียแล้ว

            โดมยืนนิ่ง แสดงอาการรับรู้...ผู้สูงวัยถอยออกไป และงับประตูปิดตาม

            เมื่ออยู่คนเดียว ท่ามกลางความเงียบ และบรรยากาศที่มีไออุ่นของแม่...น้ำตาของโดมก็ไหลพรากออกมาโดยไม่อาจสะกดกลั้น...หยาดน้ำใสไหลพรั่งพรูออกมาจากใจที่เต็มตื้น จากความรู้สึกที่เอ่อท้นล้นหัวใจ
  
            ความรักของแม่สัมผัสถึงใจเขาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้นึกสลด เสียใจที่ตนหมางเมิน ทำเย็นชาต่อแม่มาตลอด...แม่รักเขามากกว่าที่เขาเคยรับรู้...

            เด็กหนุ่มปล่อยให้น้ำตารินไหล แทนความรู้สึกเศร้าที่โอบล้อมรอบหัวใจ...อยู่ในห้องนี้เขาไม่จำเป็นต้องอายใคร ไม่มีใครเห็นว่าเขากำลังร้องไห้...ที่นี่มีแต่เขากับแม่เท่านั้น...
 
              จะผิดอะไร หากสองแม่ลูกจะร้องไห้ร่วมกัน...

- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ด้านหลังโรงพยาบาลมีสนามหญ้า ต้นไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่น ใช้เป็นที่พักผ่อนสำหรับผู้ป่วยและเจ้าหน้าที่ ลานน้ำค้างมักเดินมารับอากาศบริสุทธิ์ตอนบ่ายเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่อุดอู้อยู่แต่ในห้องคนป่วยอย่างเดียว

            ถัดจากสนามหญ้าไปอีกหน่อย จะมีศาล ตั้งหุ่นปั้นพระพรหมไว้เป็นที่สักการบูชา และมักจะมีคนไข้ ญาติผู้ป่วยมาบูชา ขอพรให้ปลอดภัย หายป่วยอยู่เสมอ

            ลานน้ำค้างเลือกนั่งตรงเก้าอี้ยาว ใต้ต้นไม้ใบหนา ไม่ห่างจากบริเวณศาลมากนัก มองเห็นผู้คนทยอยมากราบไหว้ นำพวงมาลัยบูชา แก้บนเป็นระยะ กลิ่นธูป กลิ่นดอกมะลิลอยตามลมมาแตะจมูก

            หญิงสาวไม่เคยคิดบนบาน ขอพรอะไรจากศาลเจ้าแบบนี้ หล่อนมีความเคารพในระดับหนึ่ง แต่ไม่เคยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะให้คุณประโยชน์อะไรได้ นอกจากเป็นที่พึ่งทางใจ

            นั่งดูอยู่ครู่หนึ่งเห็นผู้คนเริ่มบางตา บริเวณศาลค่อยเงียบสงบ แต่ความคิด ความรู้สึกหลายอย่างในหัวของหล่อนกลับอึงอล วุ่นวาย ยากจะสงบลงได้

            “ปีนี้ดร็อปเรียนก่อนดีไหมลูก...รักษาหายแล้วค่อยกลับไปเรียนใหม่” แม่ถามเชิงปรึกษาตั้งแต่เห็นผลข้างเคียงหลังให้ยา ประกอบกับมีข้อปฏิบัติตัวหลายอย่างอาจขัดต่อการไปเรียน จึงคิดว่าควรจะพักการเรียนสักปี

            ลานน้ำค้างไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แม่พูดอย่างนี้หมายถึงมีเจตนาให้หล่อนหยุดเรียนจริง ๆ ด้วยเหตุผลเรื่องเวลาเรียน ช่วงสอบที่อาจตรงกับช่วงเวลารับยา รวมถึงการระวังตัวเกี่ยวกับเรื่องควรหลบเลี่ยงสถานที่แออัด อากาศไม่ถ่ายเท อย่างเช่นในโรงภาพยนตร์หรือรถเมล์

            แม่พิจารณาเหตุผลต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบแล้วถึงเอ่ยปากออกมา ลานน้ำค้างไม่กล้าปฏิเสธ พอ ๆ กับไม่อยากตอบรับ ในใจนั้นคัดค้านสุดกำลัง หล่อนอยากรีบเรียนให้จบ ไม่อยากเสียเวลาอีกเป็นปี หล่อนมั่นใจว่าตัวเองสามารถไปเรียนด้วยความระมัดระวังตัวได้ เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะเรียนจบแล้ว ชั่วโมงฝึกงานก็ทำครบ วิชาเรียนก็เหลืออีกไม่เท่าไหร่ เหมือนมองเห็นอนาคตอยู่ข้างหน้าแต่ไม่อาจคว้าไว้ได้ จิตใจจึงเกิดอาการต่อต้านรุนแรง

            พอในใจเกิดความแข็งขืน ดื้อดึง ความทุกข์ใจ เคร่งเครียดก็ตามมา ทำให้ทนนอนอุดอู้ ฟุ้งซ่านอยู่ในห้องไม่ได้ ต้องเดินออกมานั่งรับลม รับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก

            เมื่อแม่ยังไม่ได้คำตอบ ก็ไม่รบเร้า เซ้าซี้ ปล่อยให้ลูกสาวใช้เวลาตัดสินใจ พิจารณาไตร่ตรองเอาเอง

            วันนี้รับยาเป็นวันสุดท้ายของการรักษาครั้งแรก เว้นไปอีกเกือบเดือนถึงจะมารับยารอบที่สอง ตอนนั้นหญิงสาวคิดว่าตนเองคงจะคุ้นชินมากขึ้น



            นั่งเล่นรับลม ผ่อนคลายความฟุ้งซ่านอยู่นาน จนลืมสังเกตว่ามีใครอีกคนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน พอรู้สึกก็หันไปมอง พบชายชราตัวอ้วนกลม ท่าทางใจดี ใบหน้าผ่องใสอิ่มเต็มกำลังหันมายิ้มตาหยีให้

            “สวัสดีค่ะอาแปะ” ลานน้ำค้างเอ่ยปากทักทายตามความรู้สึก ไม่แน่ใจว่าชายชรานี้จะเป็นคนจีนแบบเจ้าของห้องเช่าข้างบ้านบูรพาหรือเปล่า...ใช้คำเรียกขานเหมือนกันคงไม่เป็นไร

            “ว่าไงอีหนู...มานั่งทำอะไรคนเดียว...” ถึงน้ำเสียง คำพูดไม่มีสำเนียงแปร่ง ๆ แต่ดูเจ้าตัวจะพอใจกับคำเรียกขานนั้น

            “แล้วอาแปะล่ะคะ” หญิงสาวย้อนถามแทนการตอบ

            อาแปะหันไปพยักเพยิดทางศาล ดวงหน้าเกลื่อน เปื้อนรอยยิ้ม ผมหงอกขาวเป็นประกายเงาละเลื่อม

            “จะมาไหว้ศาล บนเรื่องอะไรหรือคะ” ลานน้ำค้างเอ่ยถาม

           “บนเรื่องอะไรดีล่ะ” อาแปะย้อนถามบ้าง

            “อ้าว แล้วแต่อาแปะสิคะ” หญิงสาวตอบงง ๆ “ถ้าอาแปะมีปัญหา อยากได้อะไรก็บนเอาสิ”

            “ถ้าไม่มีล่ะ” อาแปะถาม

            “ไม่มีก็ไม่ต้องบนให้เปลืองพวงมาลัยสิคะ”

            คำตอบนี้เรียกเสียงหัวเราะขำขันจากอาแปะเต็มที่...พอหยุดหัวเราะแกก็หันมาถาม

            “แล้วหนูคิดอยากบนอะไรมั้ย”

            “บนแล้วได้จริงเร้อ” หญิงสาวสงสัย

            “อืม...” อาแปะทำท่าคิด มือลูบพุงกลม ๆ อย่างสบายใจ “ก็แล้วแต่เนอะ...”

            “คนที่เขามาไหว้ สักการบูชาที่ศาลนี้ มีเยอะเหมือนกันนะคะ พวงมาลัยเต็มเชียว อาจจะศักดิ์สิทธิ์จริงเหมือนกัน” ลานน้ำค้างตั้งข้อสังเกต

            “พวกเขาคงมาหาที่พึ่งทางใจมากกว่า” อาแปะมองดูเหล่าพวงมาลัยเต็มศาลด้วยแววตามีรอยยิ้ม “เรื่องจะศักดิ์สิทธิ์จริงหรือเปล่า คงพิสูจน์กันยาก”

            พูดจบก็วกกลับมาถามหญิงสาวอีกครั้ง

            “สมมุติถ้าหนูขอพรจากศาลนี้ได้ หนูอยากได้อะไร?”

            ลานน้ำค้างหันไปมองทางศาล มีความรู้สึกอยากได้บางอย่างอ้อยอิ่งในใจ

            “พระพรหมที่ศาล ท่านจะบันดาลให้ได้จริงหรือคะ” ถามด้วยความลังเล มองรูปปั้นพระพรหมอย่างสองจิตสองใจ

            “เฮ้ย...อีหนู...” อาแปะร้องค้านตกใจกึ่งขัน “ศาลเล็ก ๆ อย่างนี้พระพรหมท่านไม่มาอยู่หรอก...อย่างเก่งจะมีก็แค่เทวดาปลายแถว...”

            “ถ้าเทวดาท่านช่วยได้จริง” หญิงสาวพูดช้า ๆ “หนูคงขอให้หายป่วยมั้งคะ จะได้รีบไปเรียนให้จบสักที ปีสุดท้ายแล้ว”

            อาแปะนิ่ง มองหล่อนด้วยแววเมตตา บรรยากาศรอบตัวมีความอบอุ่น เป็นสุข

            “ถ้าเทวดาช่วยให้หายป่วยไม่ได้ หนูจะโกรธเขามั้ย”

            “โกรธทำไมล่ะคะ...” ลานน้ำค้างยิ้มให้อาแปะ “แค่ท่านมีความปรารถนาดีให้ หนูก็ขอบคุณมากแล้ว”

            “นั่นสิเนอะ” นัยน์ตาของอาแปะเป็นประกายยิบ ๆ “จะโกรธทำไม...มีอะไรตั้งหลายอย่างที่เทวดาก็ทำไม่ได้ แถมยังมีกรรมเป็นของตัวเองไม่ต่างจากมนุษย์เหมือนกัน”

            ได้ยินอย่างนี้ลานน้ำค้างรู้สึกอบอุ่นใจ เหมือนได้พบเพื่อนร่วมทาง ร่วมทุกข์ในวัฏสงสาร

            “แต่คนเขาก็อยากเป็นเทวดากันนะคะ”

            “เป็นเทวดาแบบไหนดีล่ะ” อาแปะถามกึ่งล้อเลียน “เป็นแบบที่มีคนขยันมากราบไหว้ รับฟังปัญหา ความทุกข์ของผู้คน ได้เห็นความอยากได้ อยากมี อยากเป็น แบบไม่รู้จบของมนุษย์นี่ดีมั้ย...”

            ลานน้ำค้างรับฟังเข้าใจ

            “แล้วหนูรู้มั้ย...” อาแปะพูดต่อติดลม “ตอนที่เทวดาตนไหนจะจุติ เอ่อ...ตายน่ะ พวกเพื่อน ๆ เทวดาด้วยกัน เขามักอวยพรให้ไปเกิดเป็นมนุษย์นะ”

            “อ้าว...” หญิงสาวอุทานอย่างแปลกใจ

            “ฟังแล้วหนูชักเริ่มรู้สึกแล้วใช่มั้ย ว่าเป็นเทวดาก็ไม่ยักดีเท่าไหร่” อาแปะถามกึ่งเล่นกึ่งจริง “อย่างนี้แล้วใครควรสงสารกว่ากัน ระหว่างเทวดาปลายแถวกับเหล่ามนุษย์ลูกช้างที่มาขอให้เทวดาช่วย”

            คำถามนี้ลานน้ำค้างรู้สึกยากที่จะตอบ...หรือบางที...มันไม่มีความจำเป็นต้องตอบ

            มันคือคำถามที่จุดประกายความเข้าใจบางอย่างขึ้นมา...

            “ตะกี้แปะบอกว่า เทวดาก็ยังมีกรรมเป็นของ ๆ ตน...มนุษย์เราก็มีกรรมที่ต้องชดใช้เหมือนกัน ถ้าจะถามว่าใครน่าสงสาร...ก็คงจะเป็นคนที่ไม่ยอมรับความเป็นจริงของกฎแห่งกรรมมั้งคะ

            อาแปะยิ้มใส สว่าง ชวนให้เกิดความสุข ปีติ มีกลิ่นหอมบางอย่างลอยเอื่อยจาง ๆ

            “นั่นสิ...ถ้าถึงเวลาที่กรรมส่งผลแล้ว เราควรทำยังไงดี” อาแปะตั้งคำถาม

            “ก็คงต้องยอมรับสิคะ ให้หนีไปคงไม่พ้นอยู่ดี” ลานน้ำค้างตอบอย่างชาวพุทธทั่วไป

               “แค่ก้มหน้ารับกรรมอย่างเดียว ใครก็พูดได้ แต่จะมีสักกี่คนทำได้จริง...เพราะถ้ายอมรับจริง จิตใจต้องเข้าใจเหตุและผล ที่มา ที่ไปของผลกรรมวิบากที่ได้รับด้วย ...บางคนปากบอกว่ายอมรับ แต่ใจมันค้าน ข้างในมันไม่ยอม ใจมันไม่เชื่อ ถึงต้องมาบนบานศาลกล่าวให้เทวดาช่วยอย่างนี้ไง

            ได้ยินอย่างนี้ หัวใจลานน้ำค้างกระตุกวาบ เห็นความรู้สึกบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ...จริงสิ พอรู้ว่าป่วยเป็นโรคนี้ หล่อนก็มีทีท่ายอมรับ ไม่ตีโพยตีพายมากมาย เข้ารักษาตัวอย่างคนจิตใจเข้มแข็ง

            หากมองถึงความรู้สึกภายในจริง ๆ หล่อนจะเห็น ความไม่อยากเป็น’ อยู่เต็มหัวใจ

            หล่อนไม่อยากป่วย ไม่อยากเข้าโรงพยาบาล ไม่อยากหยุดเรียนเสียเวลาอีกปี

            การที่จิตใจฟุ้งซ่าน วุ่นวายเป็นทุกข์ขนาดนี้ เพราะใจมันไม่ยอมรับความจริง

            มัวแต่ย้ำคิด คร่ำครวญอยู่ว่า...ทำไมฉันต้องป่วยด้วย...ทำไมฉันถึงต้องหยุดเรียน ทำไมฉันถึงต้องพลาดโอกาสจบพร้อมเพื่อน ๆ เพื่อนที่กอดคอเรียนร่วมมาด้วยกันตลอด...

            ถ้าขอพรได้...ขอให้หล่อนหายป่วยเดี๋ยวนี้ได้ไหม!

               “เวลาที่กรรมส่งผล คนฉลาดเขาจะยอมรับมันจากข้างใน...ยอมรับเพราะเห็นจริงว่าทุกสิ่งเกิดจากเหตุ... จะเป็นเหตุที่เรารู้ หรือไม่รู้ก็ตามที พอมีเหตุ ย่อมมีผลตามมารองรับ...พอหมดกำลังของเหตุ ผลมันก็ดับ เป็นเรื่องของมัน ของเหตุและผลเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มทุกข์ให้กับตัวเอง ด้วยการมาคาดหมาย คาดหวังอะไร ลม ๆ แล้ง ๆ ที่ขัดจากหลักของเหตุและผลหรอก...” อาแปะอธิบายช้า ๆ นัยน์ตามองตรงผู้ฟังอย่างเมตตา

            ...การหวังให้หายป่วย โดยขอพรเทวดา แล้วไม่คิดรักษาตามขั้นตอน...ก็เป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เหมือนกัน...ลานน้ำค้างบอกต่อตนเอง

            ยามที่จิตใจเกิดยอมรับความจริงขึ้นมา ลานน้ำค้างรู้สึกจิตใจฉ่ำชื่นขึ้นชั่วขณะ..เจ็บปวดก็รักษากันไป ถ้าอยากจะหายก็ต้องทำตามคำแนะนำของหมอ อะไรที่ทำไม่ได้ ก็ยอมรับว่าทำไม่ได้ จะมาคิดขัดฝืนให้ใจเกิดทุกข์โดยเปล่าประโยชน์ทำไม...

            “คำพูดของอาแปะนี้ หนูถือว่าเป็นพรได้มั้ยคะ” หญิงสาวมองอาแปะด้วยแววตาซ่อนนัย “แต่หนูไม่มีพวงมาลัยมาให้นะคะ”

            คราวนี้อาแปะหัวเราะจนตาหยี มีความสว่างไสวฉายออกมาจนคนข้าง ๆ รู้สึกได้

            “เฮ้ย...ไม่ต้องก็ได้...” พูดจบก็ยิ้มสว่าง ฉายความอบอุ่น ชื่นใจ “ถ้าคนอื่นเขาเข้าใจได้เร็วอย่างหนูนี่ก็ดีนะ”

            ลานน้ำค้างยิ้มรับ ละสายตาจากอาแปะไปมองทางศาล พอเบือนหน้ากลับมาอีกครั้งก็ไม่พบร่างอาแปะอีกแล้ว...หญิงสาวยกมือไหว้ด้วยความเคารพ ใจคุ้นเคยกับสิ่งแปลกปลอมคนละมิติ จนพอรู้ตั้งแต่แรกว่าอาแปะไม่ธรรมดา เพียงแต่กระแสที่กระจายรอบอาแปะ แตกต่างจากพวกที่หม่นซึมลอยไปลอยมาอย่างที่เคยเห็นประจำ

            อาแปะมีกระแสสว่าง อบอุ่น อยู่ใกล้แล้วสบายใจ มีความสุข...ลานน้ำค้างไม่คิดให้คำจำกัดความใดแก่อาแปะ แม้จะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับ ‘ผู้อยู่คนละโลก’ ในลักษณะนี้

            มันบอกได้ว่า...โลกหลังความตาย มีความลึกลับที่หล่อนไม่รู้ ซ่อนไว้อีกมากมาย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP