วรรณกรรมนำใจ Lite Literature
เถ้าน้ำค้าง ๒๖
ชลนิล
(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
มือน้อยของปันปันเกาะเกี่ยวมือของพี่ชายไว้เหนียวแน่น ใจว่างโหวงวิบวับบอกไม่ถูก สองพี่น้องกำลังยืนรอแม่อยู่ที่สนามบิน การมารับแม่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่หนูน้อยเคยมา...แม่ไม่สามารถเดินยิ้มเข้ามาหา แล้วกอดเธอได้อีกแล้ว
เพราะแม่จะเดินทางอย่างสบาย นอนหลับตลอดทาง โดยไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีกเลย...
..........
“คุณแม่ตายแล้วนะจ๊ะปันปัน” พี่ชายบอกกับหนูน้อยอย่างนี้ หลังจากพยายามพูดอ้อมค้อมเสียนาน
ความตายคืออะไร? ... เด็กที่เคยอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือนเช่นปันปันย่อมรู้จักดี อีกทั้งยังมองเห็นความตาย และ ‘คนตาย’ เดินไปเดินมาจนเป็นเรื่องปกติ
ถึงอย่างนั้น ปันปันก็ไม่อยากให้แม่ตาย ไม่อยากเห็นแม่ในสภาพ ‘คนตาย’ เดินลอยไปลอยมาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
น้ำตาเด็กหญิงไหลพรากอย่างเกินระงับ ร้องไห้ด้วยความเสียใจที่สุดในชีวิต น้ำตาจากความหวาดกลัว จากความเสียใจสูญเสีย เอ่อล้นออกมาไม่ขาดสาย
อ้อมกอดพี่ชายอบอุ่นเหลือเกิน อ้อมอกอุ่นกว้างขวาง พร้อมจะซับน้ำตาทุกหยาดหยด ซึมซาบความทุกข์เศร้าโศกออกไปจากทุกอณูหัวใจ
“อย่าร้องไห้นะปันปัน...พี่ยังอยู่...พี่ไม่ไปไหน...พี่ไม่มีวันทิ้งปันปัน อย่ากลัวนะจ๊ะ” คำพูดปลอบโยนถ่ายทอดจากหัวใจถึงหัวใจ ความอบอุ่นจากหัวใจรักของพี่ชาย แผ่มาถึงหัวใจดวงน้อยจนเกิดความวางใจ
ปันปันร้องไห้สะอึกสะอื้นจนผล็อยหลับในอ้อมอกของเลียบเมือง แล้วจากนั้นเจ้าตัวน้อยก็แทบไม่รับรู้เรื่องราวใด นอกจากขอให้มีพี่ชายอยู่ใกล้ ๆ เกาะชายหนุ่มเป็นเงาตามตัว
จนถึงเวลาที่ต้องมารับแม่...
..........
สนามบินมีคนมากมาย แต่ปันปันมองไม่เห็นใครนอกจากพี่ชาย...พี่ชายที่จับมือเล็ก ๆ ไว้ ไม่ยอมปล่อยไปไหน...พี่ชายที่มีดวงตาแห้งผาก นับจากวันที่ได้ยินข่าวร้ายข่าวนั้น...
ใบหน้าเลียบเมืองนิ่งเฉยเหมือนหน้ากาก ร่างยืนหยัดตรงได้ด้วยแรงของความรับผิดชอบ...ตั้งแต่ได้ยินข่าวร้าย เขาไม่มีน้ำตาสักหยด ใจมันแห้งผาก แล้งและว่างเปล่า หัวใจถูกพายุความเศร้า ทะเลทุกข์ถาโถมรุนแรงชั่วขณะใหญ่
สติกลับมาอย่างเชื่องช้า ต้องฝืนสูดลมหายใจ เรียกเรี่ยวแรงกำลังใจ คิดถึงภาระ ความรับผิดชอบอีกมากมาย ที่เรียงรายรอคอย
เขาไม่มีเวลาเศร้าเสียใจนานนัก ไม่อาจร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนปันปัน ไม่มีคำพูดจาปลอบโยนจากใครที่สามารถสัมผัสถึงใจให้คลายทุกข์ได้ แม้กระทั่งคำพูดจากเกรซ...
“เกรซเสียใจด้วยจริง ๆ นะเลียบ...มีอะไรให้ช่วยก็บอกได้นะคะ เกรซอยากช่วยจริง ๆ ...เข้มแข็งไว้นะ”
เขารู้ว่าหญิงสาวมีความเสียใจจริงอย่างที่พูด มีเจตนาอยากจะช่วย พร้อมจะอยู่เคียงข้าง
แต่วันนั้นเขารู้สึกเหมือนตนเองกับหญิงสาวอยู่กันคนละโลก เกรซไม่สามารถเข้ามาถึงหัวใจที่กำลังร้องไห้ของเขา คำปลอบโยนของเธอไม่อาจซับน้ำตาที่รินไหลอยู่ภายในได้สักหยด
เลียบเมืองไม่เข้าใจว่ามันเป็นเพราะเหตุใด?
เกรซจริงใจกับทุกคำที่พูด กิริยา วาจาไม่มีการเสแสร้งหรือเป็นแค่มารยาทสังคม...ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีระยะห่างบางอย่าง
เมื่อไม่สามารถเข้าถึง...ก็คือไม่เข้าถึง...ไม่อาจบิดเบือน ฝืนให้เป็นอย่างที่คิดได้...
ชายหนุ่มรู้สึกโดดเดี่ยว เคว้งคว้าง ทำอะไรไม่ถูกระยะหนึ่ง จนได้เห็นใบหน้าน้อย ๆ ของน้องสาว...ปันปันมองเขาด้วยแววตาสะอาด สุกใส
เลียบเมืองรู้ทันทีว่าเขาต้องเข้มแข็งเพื่อใคร...เขาจะอ่อนแอไม่ได้ จะปล่อยให้ความเศร้าครอบงำจิตใจจน ขาดสติไม่ได้อีกแล้ว
แววตาที่ว่างเปล่าถูกบรรจุด้วยภาระหน้าที่ อ้อมแขนโอบกอดน้องสาวด้วยหัวใจรัก ผูกพันมากกว่าที่เคยมีมา...คำพูดที่ไม่กล้าหลุดจากปาก ก้องกังวานในจิตใจ
...ปันปัน...ต่อจากนี้จะเหลือแค่เราสองพี่น้องเท่านั้น...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
เครื่องบินลงมาแล้ว เลียบเมืองจูงปันปันไปรับแม่ด้วยกัน แต่ละก้าวเหมือนมีลูกตุ้มถ่วง สัมผัสระหว่างมือถ่ายทอดความรู้สึกจากหัวใจถึงหัวใจ...ทั้งสองรับรู้ร่วมกันว่า...เส้นทางที่เดินไปรับแม่นั้น มันเปียกชุ่มด้วยน้ำตา
แม่นอนอยู่ในโลงสวย มีคุณมุกดา เลขาของแม่เดินนำมาส่ง เหตุการณ์ขั้นตอนต่าง ๆ ดำเนินไปตามครรลอง เลียบเมืองทำตัวเหมือนหุ่นยนต์ พูดจา ทำตัวตามอัตโนมัติ รับรู้ แต่ไม่รู้สึก...
แววตาเขาแห้งกว่าที่เคยแห้ง มองโลงศพด้วยหัวใจร้าวรานใกล้จะพังภินท์ น้องสาวตัวน้อยที่ยืนเคียงข้างพยายามจะไม่ร้องไห้ อดทนได้ไม่นานก็ปล่อยโฮเสียเต็มกลั้น ร้องไห้ราวกับเป็นเครื่องผลิตน้ำตา
เลียบเมืองต้องก้มลงอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมา ลูบหลังเบา ๆ อย่างอ่อนโยน ปันปันซบหน้าลงบนไหล่เขา ร้องไห้สะอึกสะอื้นยากจะหยุดง่าย ๆ
“ขอบคุณมากนะครับพี่มุก ที่ช่วยทำทุกอย่างแทนผมขนาดนี้” ช่วงสองสามวันที่เขายังอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถกลับมาได้ทันใจต้องการ มุกดาเป็นคนติดต่อจัดการเรื่องราวทางนี้เองทั้งหมด ยิ่งกว่าเป็นญาติสนิท เลียบเมืองจึงเรียกขานเธอเช่นนี้ด้วยความสนิทใจ
“ไม่เป็นไรค่ะคุณเลียบ...ไม่เป็นไร” มุกดาพูดเสียงสั่น ๆ ดวงตายังแดงช้ำ จากการร้องไห้มาไม่น้อย
“ครับ...” เลียบเมืองพูดเสียงผะแผ่ว “ยังไง...ผมคงต้องรบกวน พึ่งพาพี่อีกเยอะเลย”
“ถึงคุณเลียบไม่บอกให้ช่วย...” คำพูดหล่อนขาดเป็นห้วง ๆ “ดิฉันก็ไม่ยอมทิ้งคุณหญิงหรอกค่ะ...ไม่ทิ้งแน่นอน...ต่อให้ไล่ก็ไม่ไป”
คราวนี้ชายหนุ่มไม่มีกระทั่งวาจาบอกขอบคุณ...หัวอกสะท้อน สัมผัสก้อนแข็ง ๆ ที่เอ่อขึ้นมาจุกตันลำคอ
คำพูดไม่มีประโยชน์อีกแล้ว...ดวงตาที่แห้งผากของเขาฉายแววขอบคุณที่ไม่สามารถเปล่งเป็นวาจาออก มาได้...บัดนี้เพิ่งประจักษ์
ในยามที่คนเราลำบากที่สุด จึงจะสามารถมองเห็นเนื้อแท้ ความจริงใจจากคนรอบข้าง
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ช่วงสองสามวันมานี้ ไม่ว่าบูรพาจะขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมาเวลาใด มักเห็นบ้านลานน้ำค้างปิดตลอดเวลา ด้วยความที่ช่วงนี้ต้องเร่งทำหัวข้อวิทยานิพนธ์เสนอเพื่อขอจบ เขาจึงไม่ค่อยมีเวลาสนใจนัก
จนกระทั่งเพิ่งได้ยินข่าวอุบัติเหตุของมาตา จากเพื่อนในมหาวิทยาลัย ถึงจะเป็นการรู้ข่าวที่ช้าสักหน่อย เขาก็ยังคิดโทรศัพท์ไปหาลานน้ำค้าง เพื่อบอกเล่าพูดคุย
แต่โทรศัพท์ของลานน้ำค้างปิด ไม่มีสัญญาณ นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เกิดบ่อยนัก ความที่คุ้นเคยมานาน พอรู้นิสัยกันดี...ลานน้ำค้างไม่มีนิสัยชอบปิดโทรศัพท์ ยกเว้นตอนนอน หรือชาร์ตแบตเตอรี่ หล่อนไม่เคยจงใจไม่รับสายใคร ไม่เคยแกล้งกดเบอร์ทิ้ง หากมีคนที่ไม่ต้องการคุยด้วยโทรมาหา หญิงสาวก็จะมีวิธีพูดตัดบทที่รวดเร็ว เด็ดขาด จนทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าโทรกลับมาเซ้าซี้
บูรพาพยายามโทรติดต่อหญิงสาวสองสามครั้ง ก็ไม่ได้ผลเช่นเดิม ลงทุนไปหาที่คณะ ปรากฏว่าเจ้าหล่อนขาดเรียนมาสองสามวันแล้ว
ความคิดที่จะคุยเรื่องของมาตาหายไป กลายเป็นห่วงหญิงสาวแทน...ลานน้ำค้างไปไหน ทำไมถึงขาดเรียนโดยไม่บอกใคร
เพื่อต้องการหาคำตอบ เขาจึงขับรถไปหาหญิงสาวถึงบ้าน เห็นบ้านยังปิดเหมือนสองสามวันที่ผ่านมา ความเป็นห่วงมากกว่าเดิม พ่วงด้วยความสงสัย ทำอะไรไม่ถูก นึกไม่ออกว่าจะหาคำตอบจากใคร
เกือบขับมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนคุณดาริกา ถ้าไม่ทันคิดว่าเวลานี้โรงเรียนเลิกแล้ว จึงตัดสินใจรออยู่หน้าบ้าน อย่างไรเสียคุณดาริกาต้องกลับมาที่บ้านแน่ ๆ
รอ...รอตั้งแต่เย็นยันค่ำก็ยังไม่มีวี่แววเจ้าของบ้านจะกลับ คิดจะเข้าบ้านตัวเองก่อน ค่อยมาอีกที ใจก็ยังพะวง กระวนกระวาย ทนอยู่บ้านคงไม่ได้
สุดท้ายบอกกับตัวเอง จะรอจนถึงเช้า...ให้มันรู้ไปว่าเจ้าของบ้านนี้จะไม่มากันสักคน!
โชคดีที่บูรพาไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ประมาณสองทุ่มเศษเขาเห็นคุณดาริกานั่งรถแท็กซี่มาลงหน้าบ้าน พร้อมด้วยกระเป๋าใบย่อม
ชายหนุ่มโล่งอก ถึงจะไม่เห็นหญิงสาวที่อยากเจอ แค่ได้พบแม่ของเธอก็นับว่าการรอคอยครั้งนี้ไม่เสียเวลาเปล่า
“สวัสดีครับแม่” บูรพายกมือไหว้ทักทาย
“จ้ะบู...มีธุระอะไรหรือ...แล้วนี่มารอแม่นานหรือยัง” คุณดาริกาสังเกตเห็นการจอดรถรอของเขา แน่ใจว่า ชายหนุ่มไม่ได้ผ่านมาทักทายเฉย ๆ
“ลานมันเป็นอะไรหรือครับแม่ ไม่ไปมหาลัยตั้งสองสามวัน ผมโทรศัพท์ไปหาก็ปิดเครื่อง”
ชายหนุ่มถามตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม คุณดาริกาชะงัก ไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่เลี่ยงด้วยการวางกระเป๋าแล้วทำเป็นไขประตูรั้วชะลอเวลา
“แม่ครับ...” บูรพาเรียกซ้ำอย่างต้องการคำตอบจริง ๆ
คุณดาริกาพยายามไขกุญแจให้ช้าที่สุดด้วยความอึดอัดใจ...ไม่รู้จะตอบอย่างไร ให้บอกว่าลูกสาวเป็นมะเร็ง กำลังรับยาอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างนั้นหรือ?
ถ้าเธอตอบตรงไปตรงมาเช่นนั้นจริง ๆ ...บูรพาจะรู้สึกอย่างไร?
บทที่ ๑๗
เปิดประตูรั้วสำเร็จ คุณดาริกายังไม่มีคำตอบให้บูรพา หากพูดความจริงเกรงชายหนุ่มจะใจเสีย ถ้ายอมโกหก เลี่ยงเอาตัวรอด เธอคงลำบากใจ ขัดต่อนิสัย สุดท้ายได้แต่บอกชายหนุ่มเบา ๆ
“ช่วยถือกระเป๋าเข้ามาให้แม่หน่อยสิจ๊ะบู”
“ครับ” บูรพาตอบรับโดยไม่กล้าถามเซ้าซี้อีก
ชายหนุ่มเดินตามแม่ลานน้ำค้างเข้าบ้าน ความสงสัยเต็มล้นหัวอก มีคำถามมากมายจ่อรอที่ริมฝีปาก เห็นกิริยาท่าทางของแม่เช่นนี้ย่อมรู้...คงไม่ได้คำตอบง่าย ๆ แน่
ลานน้ำค้างไปอยู่ไหน...เป็นอะไร แม่ถึงลำบากใจที่จะบอก...
หรือว่ามีปัญหา เกิดอันตรายอะไร?
ไม่ใช่แน่...บูรพาบอกกับตนเอง สังเกตจากสีหน้าของแม่ตอนนี้ ไม่มีวี่แววความวิตกกังวล หรือหวาดกลัว เศร้าหมอง แสดงว่าลานน้ำค้างปลอดภัยดี...ไม่มีปัญหาอะไร...
เท่านี้...เขาควรพอใจแล้วไม่ใช่หรือ
ขึ้นบันไดบ้าน คุณดาริกาหยิบกุญแจอีกดอกมาไขประตูจนเปิดออกเรียบร้อย แล้วหันไปรับกระเป๋าจากบูรพา
“ขอบใจจ้ะ...บูกินข้าวมาหรือยัง”
ชายหนุ่มรู้ว่าคำถามท้าย เป็นการพูดด้วยมารยาท ตามนิสัยคนมีน้ำใจ มากกว่าต้องการชวนจริง ๆ
“ยังครับ...แต่ไม่เป็นไรหรอกแม่” เขาตอบตามตรง คุณดาริกายิ้มละไม เข้าใจความคิดของชายหนุ่มรุ่นลูก
“บู...” เสียงเรียกขานอ่อนโยน “มีอะไรก็รอถามเจ้าลานมันเองนะ อีกสองสามวันก็คงไปเรียนได้แล้วล่ะ”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับ สะกดกลั้นความสงสัยเอาไว้ ไม่ยอมให้หลุดมาเป็นคำถามกวนใจอีก
เมื่อรู้เสียแล้วว่าแม่ลำบากใจที่จะตอบ เขาก็ควรหาคำตอบมาไขข้อข้องใจเอาเอง...อีกสองสามวันลานน้ำค้างจะไปเรียนแล้ว แสดงว่าคงไม่มีเรื่องหนักหนาอะไร ถึงเวลานั้นค่อยรอถามกับเจ้าตัวคงง่ายกว่า...
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
โทรศัพท์มือถือถูกปิด และสั่งห้ามเปิด ยกเว้นมีกรณีฉุกเฉิน เฉพาะโทรหาแม่เท่านั้น!
ลานน้ำค้างถูกสั่งห้ามโทรหาใคร อีกทั้งยังถูกปิดโทรศัพท์ไม่ให้ใครโทรหาด้วย ทั้งหมดนี้เป็นคำสั่งเด็ดขาดจากคุณดาริกา
หลังจากรับยาคีโมครั้งแรก หญิงสาวก็อาเจียนเสียจนหมดแรง เวียนหัวจนเห็นโลกหมุนคว้าง ๆ แทบไม่ได้สติ ใบหน้าเผือดซีดไม่สู้ดี ร่างกายอ่อนเปลี้ย เพลียไร้เรี่ยวแรง
พอหัวถึงหมอนก็นอนพักสลบไสลไม่รู้สึกตัวยันเช้า ตื่นมาพบสีหน้าแสดงความเป็นห่วงจากมารดา เจ้าหล่อนก็พยายามฝืนยิ้ม ทำเป็นเก่ง...
“อรุณสวัสดิ์ค่ะแม่” เสียงทักทายแหบโหย รอยยิ้มอ่อนล้า จนทำให้คนเป็นแม่หวั่นหวาด
“เป็นยังไงบ้างลูก” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“สบายดีค่ะ” เจ้าตัวตอบ ทั้งที่แม่รู้ดี...มันไม่จริงสักนิด
“พักผ่อนเยอะ ๆ นะลูก ไม่สบายตรงไหนบอกแม่ เดี๋ยวคุณหมอก็มาแล้ว” แม่พูดได้เพียงเท่านี้
“ลานไม่เป็นไร...แข็งแรงดีจ้า” หญิงสาวพยายามยืนยัน
คนเป็นแม่มีสายตาที่มองเห็นอาการจริงของลูกสาว ไม่พูดคัดค้านอะไร ตอนสาย ๆ คุณหมอนภัทรมาตรวจ พร้อมให้คำแนะนำต่าง ๆ
หลังจากคุณหมอกลับไป ลานน้ำค้างพยายามโทรศัพท์ถามข่าวคราวของมาตา และคอยรับโทรศัพท์จากมุกดาเป็นระยะ พอคุณดาริกาเห็นลูกสาวทำตัววุ่นวายอย่างนี้จึงดุเอา มีประกาศิตห้ามโทรหาใคร และสั่งปิดโทรศัพท์ ในที่สุด
“ตอนนี้ห่วงตัวเองก่อนดีกว่าลูก!”
ลานน้ำค้างยอมทำตาม... ถึงหล่อนจะเป็นห่วงคนเหล่านั้นแค่ไหน...สุดท้าย ก็ยังเป็นห่วงความรู้สึกของแม่มากกว่า...
ปิดโทรศัพท์ ไม่รับการติดต่อ ไม่โทรหาใคร แต่ยังเปิดทีวีคอยตามข่าวเป็นระยะ รู้ข่าวว่า มาตายังมีชีวิตอยู่ พ้นขีดอันตราย แต่ยังไม่ฟื้น นอนพักรักษาตัวดูอาการเพื่อเตรียมย้ายมาโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ
ได้รู้ข่าวแค่นี้ก็ยังดี ถึงจะเป็นห่วงโดม ก็เชื่อว่าความทุกข์ของเขาเวลานี้ ไม่น่ามากไปกว่าเลียบเมืองและปันปัน
- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -
ลานน้ำค้างค้างแทบไม่อยากเชื่อว่าคุณหญิงรัดเกล้าเสียชีวิตแล้ว...
ความตาย...เหมือนเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน สำหรับคนที่อยู่ในวัยสาวอย่างลานน้ำค้าง จนกระทั่งมันได้ก้าวมาเยือนคนรู้จัก คุ้นเคยอย่างคุณหญิงรัดเกล้า...
ด้วยวัยเพียงห้าสิบเศษเช่นนั้น สมัยนี้ยังไม่นับว่าแก่ ทำไมความตายถึงมาพรากชีวิตเร็วนัก
พอย้อนคิดถึงตนเองที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง มันก็เหมือนยื่นขาข้างหนึ่งเข้าไปในแดนมรณะ ถ้ารักษาไม่หาย ก็ตาย...ตายทั้งที่วัยเพียงยี่สิบต้น ๆ
มันทำให้มองเห็น...ความตายไม่มีวัย ไม่มีช้าหรือเร็ว มันอยู่ใกล้ตัวเกินกว่าใครคาดคิด...
เมื่อคุณหญิงรัดเกล้าเสียชีวิต คนที่อยู่ข้างหลังย่อมเศร้าโศก เสียใจ หนูน้อยปันปันคงร้องไห้แทบไม่หยุด กระทั่งผู้ชายที่ดูเข้มแข็งอย่างเลียบเมือง ยังอาจแอบร้องไห้คนเดียว
คนข้างหลังเหล่านั้นล้วนจ่อมจม ตกอยู่ในห้วงทะเลทุกข์ เปียกปอนพิรุณน้ำตา จะมีใครสักคนฉุกคิดบ้างไหมว่า คนที่ตายล่วงหน้านั้น กำลังใช้ชีวิตตน สอนบทเรียนแก่คนข้างหลังเป็นครั้งสุดท้าย...
นั่นคือ...ทุกคนต้องตาย!
ความคิดนี้ปรากฏ ลานน้ำค้างรู้สึกเหมือนมีดวงไฟสว่างวาบกลางหัว เกิดความเข้าใจบางอย่างชัดเจนกว่าเคย
เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา...ไม่มีใครหนีพ้น
เหตุใดไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันอย่างผู้กล้าเข้าใจความจริง
เมื่อก่อน หญิงสาวเป็นเช่นคนอื่น ไม่เคยคิดถึงความตาย มองมันเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งที่ตนเองก็ ‘เห็น’ ชีวิตหลังความตายอยู่เสมอ
จนรู้ว่าเป็นโรคร้าย เข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาล ต้องทนทรมานในผลข้างเคียงหลังการรับยา ทำให้มองเห็นความตายเป็นแค่ประตูอีกบาน ที่เปิดรออยู่เบื้องหน้า...
หากเป็นคนอื่นเห็นเช่นนี้ คงกลัวแทบเป็นบ้า พยายามดิ้นรน หลีกหนี ไม่ยอมคิดถึงความตายอีก...แต่กับลานน้ำค้าง มันไม่ใช่ หล่อนคิดว่าจะกลัวไปทำไมให้ใจเป็นทุกข์โดยเปล่าประโยชน์...แค่ป่วยด้วยโรคนี้ก็ทำให้ทุกข์พอแล้ว...ทำไมต้องมาเพิ่มทุกข์ให้ตัวเองด้วยความกลัวตายอีก...
คิดมาก ทุกข์มาก...ยอมรับเสีย มันก็ทุกข์น้อยลง...สุข ทุกข์ มันอยู่ที่ใจเท่านั้นเอง...
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนประตูห้องคนป่วยจะเปิด ลานน้ำค้างขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ปล่อยความคิดผ่านเลยจากไป ช่วงเวลากลางวัน แม่ไปสอนหนังสือ แต่ลานน้ำค้างไม่ค่อยเงียบเหงานัก เพราะหมอน่านแวะมาดูแล อยู่เป็นเพื่อนยามที่เขามีเวลาว่าง
คนที่เข้ามาเวลานี้ไม่ใช่หมอน่าน เป็นหมอผู้หญิงอีกคน ที่ลานน้ำค้างคุ้นเคย รู้สึกสนิทใจไม่ต่างจากพี่สาวคนหนึ่ง
“สวัสดีค่ะพี่ทิพย์” ลานน้ำค้างทักทายเสียงใส ช่วงสองสามวันที่นอนโรงพยาบาล คุณหมอน้ำทิพย์ก็เป็นอีกคนที่มักมาเยี่ยมเยียน ถามไถ่อาการไม่น้อยกว่าหมอน่าน
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ...ดูหน้าตาสดใสขึ้นแล้วนี่” คุณหมอสาวมาพร้อมยื่นขนมถุงเล็ก ๆ น่ารับประทาน
“ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ...อุ๊ยขนมน่ากินจังเลย” ลานน้ำค้างรับขนม พลางถามอย่างล้อเลียน “นี่ไม่ใช่ขนมต้องห้าม...ลานกินได้ใช่มั้ยเอ่ย”
ที่พูดอย่างนี้เพราะหล่อนโดนควบคุม ระวังเรื่องอาหาร ของกิน จนนึกอึดอัดที่ต้องอดกินของที่ชอบไปหลายอย่าง
“กินได้จ้ะ” หมอน้ำทิพย์ตอบพลางลากเก้าอี้มานั่งคุยอารมณ์ดี
สองสาวนั่งรับประทานขนม คุยกันสนิทสนมออกรส บรรยากาศรอบตัวสดใส น่ารื่นรมย์จนแทบนึกไม่ถึงว่าเป็นห้องผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ลานน้ำค้างคุยกับหมอน้ำทิพย์ได้ทุกเรื่อง ราวกับรู้จักกันมานานเป็นปี ๆ คุยไปคุยมาก็วกมาพูดถึงเรื่องความตาย ที่ลานน้ำค้างกำลังคิดถึง ก่อนหมอน้ำทิพย์จะเข้ามาในห้อง
“พี่ทิพย์รู้จักคุณหญิงรัดเกล้ามั้ยคะ”
“ไม่รู้จักจ้ะ เป็นใครหรือคะ” หมอน้ำทิพย์ตอบตรง ๆ
“เป็นเจ้านายคนแรกของลานค่ะ คือลานไปฝึกงานที่บริษัทของคุณหญิง แล้วนี่เพิ่งทราบข่าวว่าเธอเสียชีวิตเมื่อวันก่อนนี่เอง”
หมอน้ำทิพย์รับฟังเงียบ ๆ ไม่เอ่ยปากถามอะไร
“คุณหญิงท่านอายุยังไม่มากเลยนะคะ น่าจะห้าสิบกว่า ๆ เธอดูสาวและแข็งแรงมากเลย ไม่อยากเชื่อว่าจะเสียเร็วขนาดนี้”
“ได้ข่าวนี้แล้วน้องลานรู้สึกยังไงคะ” คุณหมอถาม
“ใจหายค่ะ...แล้วก็...” ลานน้ำค้างทำท่าลังเล ก่อนที่จะรีบพูดต่อให้จบ “ลานรู้สึกว่า ความตายมันอยู่ใกล้ตัวจัง...อย่างลานนี้ ถ้ารักษาไม่หายก็คงต้องตายใช่มั้ย”
หมอน้ำทิพย์นิ่งฟังหญิงสาวครู่หนึ่ง หากเป็นคนอื่นคงต้องรีบพูดจาให้กำลังใจ ไม่ให้คิดถึงความตาย แต่คุณหมอกลับมองหญิงสาวตรงหน้า ราวกับจะสัมผัสความรู้สึกจริง ๆ ว่า ผู้พูดรู้สึกอย่างไรในเวลานี้...
“น้องลานกลัวตายมั้ยคะ” เป็นคำถามที่หมอทั่วไปคงไม่กล้าถามต่อคนไข้โรคมะเร็งแน่ ๆ
ลานน้ำค้างอึ้งพักใหญ่ ถามความรู้สึกตัวเองอย่างจริงใจก่อนตอบ...
“กลัวค่ะ” หญิงสาวตอบ ก่อนอธิบายเพิ่ม “ยิ่งกว่านั้น ลานกลัวแม่จะเสียใจ เราเหลือกันแค่สองคน ถ้าลานเป็นอะไรไปแล้วแม่จะอยู่ยังไง...”
ถึงจะมีคำตอบเช่นนั้น สีหน้าหญิงสาวก็ไม่มีร่องรอยความหวาดหวั่นใด ๆ ความกลัวที่หล่อนพูดถึงนั้น มันยังหลบเร้นอยู่ภายใน ไม่แสดงตัวสร้างความทุกข์ในเวลานี้
“น้องลานเป็นคนเข้มแข็งนะคะ” คุณหมอยิ้มให้พร้อมคำชม “แล้วก็กล้าที่จะยอมรับความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเอง”
“ก็...ไม่รู้จะโกหกทำเก่งไปทำไมนี่คะ” ลานน้ำค้างตอบ
“อ่านหนังสือที่พี่ให้ไปคราวก่อนจบกี่รอบแล้วเอ่ย” หมอน้ำทิพย์พูดถึงหนังสือ ‘ธรรมะมือใหม่’ ที่ให้ลานน้ำค้างไปคราวมาเจาะไขกระดูกครั้งแรก
“สองสามรอบแล้วค่ะ อ่านเข้าใจง่าย ตรงใจลานเลย ช่วยให้ลานมีมุมมองที่ดีกับปัญหาในเวลานี้ได้ด้วย”
หมอน้ำทิพย์ยิ้มพอใจ
“ตอนนี้มีมุมมองที่ดีกับปัญหายังไง พอจะบอกพี่ได้มั้ย”
“ก็...ถ้ามีปัญหา...สิ่งที่ควรทำคือแก้ไข ไม่ใช่ปล่อยให้มันเข้ามาสร้างความทุกข์ใจ”
คราวนี้คุณหมอน้ำทิพย์ไม่มีคำพูด ...วาจานอกจากนี้ไม่จำเป็น หากหญิงสาวตรงหน้าเข้าใจในสิ่งที่ตนเองพูด และวางใจได้ถูกตรงตามนั้น ก็พอจะเชื่อได้...ไม่ว่าเจ้าหล่อนพบปัญหา อุปสรรคเรื่องราวใดก็ตาม มันจะไม่ทำให้เธอทุกข์มากเกินไปกว่าที่ควรเป็น...
(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)
< Prev | Next > |
---|