ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

หลิททิกานิสูตร ว่าด้วยหลิททิกานิคฤหบดี


กลุ่มไตรปิฎกสิกขา



[๑๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง ท่านพระมหากัจจานะอยู่ ณ ภูเขาชันข้างหนึ่ง ใกล้กุรรฆรนคร แคว้นอวันตี
ครั้งนั้นแล คฤหบดีชื่อว่าหลิททิกานิเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะถึงที่อยู่
อภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะท่านพระมหากัจจานะว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระภาษิตนี้ในมาคัณฑิยปัญหา
อันมีในอัฏฐกวรรคว่า


มุนีละที่อยู่แล้ว ไม่มีที่พักเที่ยวไป
ไม่ทำความสนิทสนมในบ้าน เป็นผู้ว่างจากกามทั้งหลาย
ไม่มุ่งถึงกาลข้างหน้า ไม่ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่น
ดังนี้.


ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เนื้อความแห่งพระพุทธวจนะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อนี้
จะพึงเห็นได้โดยพิสดารอย่างไร?


[๑๒] พระมหากัจจานะได้กล่าวว่า
คฤหบดี รูปธาตุเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ
ก็แหละมุนีใดมีวิญญาณพัวพันด้วยราคะในรูปธาตุ
มุนีนั้นท่านกล่าวว่า มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี เวทนาธาตุเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ
ก็แหละมุนีใดมีวิญญาณพัวพันด้วยราคะในเวทนาธาตุ
มุนีนั้นท่านกล่าวว่า มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี สัญญาธาตุเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ
ก็แหละมุนีใดมีวิญญาณพัวพันด้วยราคะในสัญญาธาตุ
มุนีนั้นท่านกล่าวว่า มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี สังขารธาตุเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ
ก็แหละมุนีใดมีวิญญาณพัวพันด้วยราคะในสังขารธาตุ
มุนีนั้นท่านกล่าวว่า มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี มุนีชื่อว่าเป็นผู้มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไป ด้วยประการอย่างนี้แล.


[๑๓] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไปอย่างไร
คฤหบดี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน
ความทะยานอยาก ความเข้าถึง และความยึดมั่น
อันเป็นที่ตั้งมั่นถือมั่นและที่อยู่อาศัยแห่งจิตเหล่าใดในรูปธาตุ
ความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว
ทรงตัดรากขาดแล้ว ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน
ความทะยานอยาก ความเข้าถึง และความยึดมั่น
อันเป็นที่ตั้งมั่นถือมั่นและที่อยู่อาศัยแห่งจิตเหล่าใดในเวทนาธาตุ
ความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว
ทรงตัดรากขาดแล้ว ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน
ความทะยานอยาก ความเข้าถึง และความยึดมั่น
อันเป็นที่ตั้งมั่นถือมั่นและที่อยู่อาศัยแห่งจิตเหล่าใดในสัญญาธาตุ
ความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว
ทรงตัดรากขาดแล้ว ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน
ความทะยานอยาก ความเข้าถึง และความยึดมั่น
อันเป็นที่ตั้งมั่นถือมั่นและที่อยู่อาศัยแห่งจิตเหล่าใดในสังขารธาตุ
ความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว
ทรงตัดรากขาดแล้ว ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน
ความทะยานอยาก ความเข้าถึง และความยึดมั่น
อันเป็นที่ตั้งมั่นถือมั่นและที่อยู่อาศัยแห่งจิตเหล่าใดในวิญญาณธาตุ
ความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว
ทรงตัดรากขาดแล้ว ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน
ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่อาศัยเที่ยวไป
คฤหบดี มุนีชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยเที่ยวไปอย่างนี้แล.


[๑๔] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้มีที่พักเที่ยวไปอย่างไร
คฤหบดี มุนีท่านกล่าวว่า เป็นผู้มีที่พักเที่ยวไป
เพราะซ่านไป และพัวพันในรูป อันเป็นนิมิตและเป็นที่พัก
คฤหบดี มุนีท่านกล่าวว่า เป็นผู้มีที่พักเที่ยวไป
เพราะซ่านไป และพัวพันในเสียง อันเป็นนิมิตและเป็นที่พัก
คฤหบดี มุนีท่านกล่าวว่า เป็นผู้มีที่พักเที่ยวไป
เพราะซ่านไป และพัวพันในกลิ่น อันเป็นนิมิตและเป็นที่พัก
คฤหบดี มุนีท่านกล่าวว่า เป็นผู้มีที่พักเที่ยวไป
เพราะซ่านไป และพัวพันในรส อันเป็นนิมิตและเป็นที่พัก
คฤหบดี มุนีท่านกล่าวว่า เป็นผู้มีที่พักเที่ยวไป
เพราะซ่านไป และพัวพันในโผฏฐัพพะ อันเป็นนิมิตและเป็นที่พัก
คฤหบดี มุนีท่านกล่าวว่า เป็นผู้มีที่พักเที่ยวไป
เพราะซ่านไป และพัวพันในธรรมารมณ์ อันเป็นนิมิตและเป็นที่พัก
คฤหบดี มุนีเป็นผู้มีที่พักเที่ยวไป อย่างนี้แล.


[๑๕] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้ไม่มีที่พักเที่ยวไปอย่างไร
คฤหบดี กิเลสเป็นเหตุซ่านไป และพัวพันในรูป อันเป็นนิมิตและที่พัก
อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว
ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่พักเที่ยวไป
คฤหบดี กิเลสเป็นเหตุซ่านไป และพัวพันในเสียง อันเป็นนิมิตและที่พัก
อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว
ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่พักเที่ยวไป
คฤหบดี กิเลสเป็นเหตุซ่านไป และพัวพันในกลิ่น อันเป็นนิมิตและที่พัก
อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว
ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่พักเที่ยวไป
คฤหบดี กิเลสเป็นเหตุซ่านไป และพัวพันในรส อันเป็นนิมิตและที่พัก
อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว
ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่พักเที่ยวไป
คฤหบดี กิเลสเป็นเหตุซ่านไป และพัวพันในโผฏฐัพพะ อันเป็นนิมิตและที่พัก
อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว
ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่พักเที่ยวไป
คฤหบดี กิเลสเป็นเหตุซ่านไป และพัวพันในธรรมารมณ์ อันเป็นนิมิตและที่พัก
อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว ทรงตัดรากขาดแล้ว
ทรงทำให้เป็นดังตาลยอดด้วน ทรงกระทำให้ไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น พระตถาคตอันบัณฑิตจึงกล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีที่พักเที่ยวไป
คฤหบดี มุนีชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีที่พักเที่ยวไปอย่างนี้แล.


[๑๖] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้สนิทสนมในบ้านอย่างไร
คฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ เป็นผู้คลุกคลีกับพวกคฤหัสถ์อยู่
คือเป็นผู้พลอยชื่นชมกับเขา พลอยโศกกับเขา
เมื่อพวกคฤหัสถ์มีสุขก็สุขด้วย มีทุกข์ก็ทุกข์ด้วย
เมื่อพวกคฤหัสถ์มีกรณียกิจที่ควรทำเกิดขึ้น
ก็ขวนขวายในกรณียกิจเหล่านั้นด้วยตนเอง
คฤหบดี มุนีเป็นผู้สนิทสนมในบ้านอย่างนี้แล.


[๑๗] คฤหบดี ก็มุนีไม่เป็นผู้สนิทสนมในบ้านอย่างไร
คฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้คลุกคลีกับพวกคฤหัสถ์ คือ
ไม่พลอยชื่นชมกับเขา ไม่พลอยโศกกับเขา
เมื่อพวกคฤหัสถ์มีสุขก็ไม่สุขด้วย มีทุกข์ก็ไม่ทุกข์ด้วย
เมื่อคฤหัสถ์มีกรณียกิจที่ควรทำเกิดขึ้น
ก็ไม่ขวนขวายในกรณียกิจเหล่านั้นด้วยตนเอง
คฤหบดี มุนีไม่เป็นผู้สนิทสนมในบ้าน อย่างนี้แล.


[๑๘] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้ไม่ว่างจากกามทั้งหลายอย่างไร
คฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ยังเป็นผู้ไม่ปราศจากความกำหนัด ความพอใจ
ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในกามทั้งหลาย
คฤหบดี มุนีเป็นผู้ไม่ว่างจากกามทั้งหลายอย่างนี้แล.


[๑๙] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้ว่างจากกามทั้งหลายอย่างไร
คฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ปราศจากความกำหนัด ความพอใจ
ความรัก ความกระหาย ความกระวนกระวาย ความทะยานอยากในกามทั้งหลาย
คฤหบดี มุนีเป็นผู้ว่างจากกามทั้งหลาย อย่างนี้แล.


[๒๐] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้มุ่งถึงกาลข้างหน้าอย่างไร
คฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า
ในกาลข้างหน้า ขอเราพึงเป็นผู้มีรูปอย่างนี้ มีเวทนาอย่างนี้
มีสัญญาอย่างนี้ มีสังขารอย่างนี้ มีวิญญาณอย่างนี้
คฤหบดี มุนีเป็นผู้มุ่งถึงกาลข้างหน้า อย่างนี้แล.


[๒๑] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้ไม่มุ่งถึงกาลข้างหน้าอย่างไร
คฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ไม่มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า
ในกาลข้างหน้า ขอเราพึงเป็นผู้มีรูปอย่างนี้ มีเวทนาอย่างนี้
มีสัญญาอย่างนี้ มีสังขารอย่างนี้ มีวิญญาณอย่างนี้
คฤหบดี มุนีเป็นผู้ไม่มุ่งถึงกาลข้างหน้า อย่างนี้แล.


[๒๒] คฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่นอย่างไร
คฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ทำถ้อยคำเห็นปานนี้ว่า
ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้
ไฉนท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติผิด เราเป็นผู้ปฏิบัติชอบ
คำที่ควรกล่าวก่อน ท่านกล่าวทีหลัง คำที่ควรกล่าวทีหลัง ท่านกล่าวก่อน
คำของเรามีประโยชน์ คำของท่านไม่มีประโยชน์
ข้อที่ท่านเคยประพฤติมาผิดเสียแล้ว เรายกวาทะแก่ท่านแล้ว
ท่านจงประพฤติเพื่อปลดเปลื้องวาทะเสีย
ท่านเป็นผู้อันเราข่มได้แล้ว หรือจงปลดเปลื้องเสียเอง ถ้าท่านสามารถ
คฤหบดี มุนีเป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่น อย่างนี้แล.


[๒๓] คฤหบดี ก็มุนีไม่เป็นผู้ทำคำแก่งแย่งกับชนอื่นอย่างไร
คฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่ทำถ้อยคำเห็นปานนี้ว่า
ท่านย่อมไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้
ไฉนท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติผิด เราเป็นผู้ปฏิบัติชอบ
คำที่ควรกล่าวก่อน ท่านกล่าวทีหลัง คำที่ควรกล่าวทีหลัง ท่านกล่าวก่อน
คำของเรามีประโยชน์ คำของท่านไม่มีประโยชน์
ข้อที่ท่านเคยปฏิบัติมาผิดเสียแล้ว เรายกวาทะแก่ท่านแล้ว
ท่านจงประพฤติเพื่อปลดเปลื้องวาทะเสีย
ท่านเป็นผู้อันเราข่มได้แล้ว หรือจงปลดเปลื้องเสียเอง ถ้าท่านสามารถ
คฤหบดี มุนีไม่เป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่น อย่างนี้แล.


[๒๔] คฤหบดี พระพุทธวจนะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในมาคัณฑิยปัญหา
อันมีในอัฏฐกวรรคว่า


มุนีละที่อยู่แล้ว ไม่มีที่พักเที่ยวไป
ไม่ทำความสนิทสนมในบ้าน เป็นผู้ว่างจากกามทั้งหลาย
ไม่มุ่งถึงกาลข้างหน้า ไม่ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่น
ดังนี้.


คฤหบดี เนื้อความแห่งพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อนี้แล
พึงเห็นโดยพิสดารอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.


หลิททิกานิสูตร จบ



(หลิททิกานิสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๒๗) 



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP