วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๒๔



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ลานน้ำค้างมองโทรศัพท์ที่สั่นเรียกเข้าอยู่หลายครั้ง เห็นชื่อโดม...แต่ยังไม่อยากรับสาย...เวลานี้ไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น

            โทรศัพท์หยุดลง และดังขึ้นใหม่ หญิงสาวเอื้อมมือตั้งใจปิดโทรศัพท์ ใจกลับแวบนึกถึงใบหน้าเด็กหนุ่ม นึกถึงแววตาหมอง นึกถึงเรื่องราวที่เขากำลังเผชิญ จนไม่กล้าตัดรอน รู้สึกสงสาร ทั้งที่ตนเองก็อยู่ในสภาวะชวนเห็นใจกว่าใคร

            “ว่าไงโดม” หญิงสาวรับสาย

            “ผมได้รับแมสเสจแล้ว ขอบคุณมากครับ” เด็กหนุ่มตอบ

            “เป็นอย่างไรบ้าง” ถึงจะถามตามมารยาท น้ำเสียงก็เจือความเป็นห่วง

            “ก็...แย่”

            เขาควรตอบว่า สบายดี” แต่ลำบากใจที่จะเสแสร้ง

            “พี่เข้าใจ ยังไงก็เข้มแข็งเข้าไว้ หนักแน่น อย่าท้อนะ”

            “พรุ่งนี้เขาจะแถลงข่าว” โดมบอก “มันน่าจะจบเรื่องได้”

            ลานน้ำค้างสัมผัสถึงความรู้สึกอึดอัด เป็นทุกข์ผ่านน้ำเสียงของโดมชัดเจน ใจเกิดความเมตตา อยากช่วยเหลือ อยากแบ่งเบาความทุกข์จากใจเขา...ทั้งที่ใจตนก็มีความกังวล เรื่องต้องเข้าโรงพยาบาลวันพรุ่งนี้เหมือนกัน

            “โดมไปด้วยหรือเปล่า”

            “ผมคงไม่ไป” เด็กหนุ่มตอบทันที “เขาน่าจะจัดการได้...แค่บอกว่าผมเป็นลูก!”

            ลานน้ำค้างอึ้ง ทั้งที่รู้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะบอกเรื่องสำคัญจากปากรวดเร็วขนาดนี้

            “ขอโทษที่ทำให้แปลกใจ” โดมพูดเนือย ๆ “ผมแค่อยากให้คุณได้ยินจากปากผม ก่อนได้ดูทางทีวี”

            “ขอบใจนะโดม ที่บอกเรื่องนี้กับพี่” คำขอบคุณ มิได้กินความหมายแค่การพูดความจริง แต่รวมถึงความไว้วางใจ ที่เขามีให้แก่ตน

            “ยังไงทุกคนก็ต้องรู้อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มพูดอย่างตัดใจ “แม่ไม่เคยปิดบังเรื่องผม มีแต่พ่อ ที่ไม่อยากให้ผมเข้าไปอยู่สังคมเดียวกับแม่”

            ลานน้ำค้างไม่อยากเอ่ยถามรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อของเขา...ถ้าอยากเล่า เขาคงพูดออกมาเอง

            “พ่อผมเป็นหมอ...” โดมเริ่มเล่าในสิ่งที่ลานน้ำค้างรู้แล้ว “พ่อแต่งงานกับแม่ไม่กี่ปีก็เลิกกัน แล้วพ่อก็ไปแต่งงานใหม่...ส่วนแม่...ก็เป็นอย่างที่ใคร ๆ รู้กัน”

            ท้ายเสียงเด็กหนุ่มมีความอัดอั้นในใจ อยากพูด อยากระบาย เหมือนเขื่อนกั้นทะเลทุกข์ถูกทำลาย สายน้ำที่ถูกกักเก็บหลั่งไหล พรั่งพรู มหาศาล

            “ผมอยู่กับพ่อ ไม่ลำบากอะไร แต่จะบอกว่ามีความสุขก็ไม่เต็มปาก...พ่อไม่ได้มีผมคนเดียว ยังมีคุณนา แม่เลี้ยงผม น้องผมอีกสามคน ความรักเลยต้องเฉลี่ยกันมั้ง” คำพูดเสียดเย้ย “คุณนาเขาไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้าย แต่เขาก็มีลูก ต้องดูแลถึงสามคน เขาต้องรักลูกตัวเองมากกว่าผมอยู่แล้ว...ส่วนเจ้านัฐ ลูกคนโตของเขา มันก็เป็นเด็กดี ฉลาดระดับอัจฉริยะสมกับที่เขารักซะด้วยสิ”

            ลานน้ำค้างนึกถึงลูกชายของหมอนภัทรกับภรรยาคนใหม่ ที่เรียนเก่งระดับเหรียญทอง...บางที นี่อาจเป็นแค่ความสามารถเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเด็กคนนี้ก็ได้ เพราะน้ำเสียงที่โดมพูดถึงมันปนเปทั้งภูมิใจ ทั้งริษยาอย่างบอกไม่ถูก...และใครที่มีลูกเก่งขนาดนี้ย่อมต้องทุ่มเทความรัก เอาใจใส่มากกว่าปกติอยู่แล้ว บางทีก็มากเกินไป จนลืมเลือนลูกอีกคน ที่ไม่มีมารดาอยู่ใกล้อย่างโดม

            “ผมเอ็นทรานซ์เข้าแพทย์ไม่ได้ พ่อให้ผมรอสอบเรียนใหม่อีกปี แทนการเลือกเรียนคณะอื่น ช่วงเวลานั้นผมรู้สึกเหมือนบ้านเป็นนรก ต้องถูกเปรียบเทียบความสามารถกับลูกของเขาตลอดเวลา ถึงแม้จะไม่มีใครพูดตรง ๆ แต่ทุกการกระทำของพวกเขาบอกอย่างนั้น ในบ้านมีแต่คนเก่งหมด ยกเว้นผมคนเดียว

            ผมหาทางออกจากบ้านด้วยการไปเรียนกวดวิชา ไปทำงานโรงพยาบาลของพ่อ...และที่นั่น ผมก็ได้รู้ข้อจำกัดของตัวเอง ผมรู้ว่าถึงจะพยายามแค่ไหน ผมก็คงเป็นหมอไม่ได้ ผมไม่รังเกียจอาชีพนี้ แต่ผมทำให้ดีอย่างลูกคนอื่นของพ่อไม่ได้...ผมเลยมองหาว่า มีอะไรบ้างที่ผมสามารถทำได้ดีกว่าลูกคนอื่นของพ่อ แล้วผมก็มองเห็นทางเดียว คือเรื่องดนตรี

            ที่ผมมาเล่นดนตรี ร้องเพลง ไม่ใช่ว่าผมรักมันมากมายกว่าสิ่งอื่น แต่มันคือสิ่งเดียวที่จะทำให้ผมมีตัวตนในสายตาของพวกเขา มันคือสิ่งเดียว ที่ผมจะใช้พิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้...ว่าผมก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร...

            โดมหยุดพูด...เงียบไปนาน นานจนเหมือนหมดวาจาที่จะเอ่ยต่อไป

            ลานน้ำค้างไม่ถามต่อ...ไม่รู้จะถามอะไร ทุกคำพูด ทุกความรู้สึกมันเหมือนมีปลายเปลวของความทุกข์ซึมแทรกเข้ามาถึง

            “...แล้วผมก็กลับไปถามพ่อในวันหนึ่ง...” โดมเริ่มเล่าต่อด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า

            “บอกว่า...ปีหน้า ผมไม่เลือกเรียนแพทย์ได้มั้ย...ผมอยากเรียนดนตรี!”

            ลานน้ำค้างแทบจะนึกใบหน้าของหมอนภัทร ในวันนั้นออก...คนที่บอกว่าไม่เคยตั้งความหวัง ขีดเส้นให้ลูกเดิน แต่ใจมีความคาดหมายอย่างยิ่ง จะรู้สึกอย่างไร เมื่อลูกมาขอในสิ่งที่ตนพยายามปฏิเสธมาตลอดเกือบยี่สิบปี

            “พ่อไม่ได้ด่าว่าผมเลย...” โดมพูดเหมือนเรื่องปกติ หากแฝงความปวดร้าวลึก “เราไม่ได้ทะเลาะกัน...ไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย พ่อไม่เคยตบตีผม...วันนั้น พ่อก็ไม่ได้ทำอะไร...แต่พูดด้วยเสียงเรียบสนิท แววตาหมางเมินอย่างที่ไม่เคยมองผมมาก่อน... ‘ถ้าอยากเรียนดนตรี ก็หาเงินเรียนเอง’ ...นี่คือคำพูดของพ่อ”

            วาจาของโดมเต็มไปด้วยความขมขื่น เจ็บปวด... คำพูดไม่กี่คำจากบิดาที่หมางเมินกันนั้น...มันไม่ต่างจากการตัดสัมพันธ์พ่อลูก

            “ผมถือว่านั่นคือการไล่ผมออกจากบ้าน...ไม่เป็นไร ในเมื่อผมเลือกทางนี้แล้ว ก็ต้องดูแลตัวเองได้” เด็กหนุ่มพูดอย่างเจ็บปวด “ผมก็แค่เก็บเสื้อผ้า กระเป๋ากีตาร์ออกจากบ้าน...พวกเขาคิดว่าผมคงมาอยู่กับแม่ เลยไม่สนใจ แต่ผมอยู่บ้านแม่ไม่ได้ เลยมาทำงานอย่างที่คุณเห็น...”

            โดมจบเรื่องง่าย ๆ ...ทว่า...ในเนื้อหาเรื่องราว สำเนียงของความรู้สึก บอกให้ทราบว่ามันมีความเจ็บปวด กดดันสะสมเป็นตะกอนในใจเนิ่นนานเพียงไร

            เขาเป็นเด็กอ้างว้าง โดดเดี่ยวท่ามกลางบ้านหลังใหญ่ ผู้คนมากมาย ไม่มีใครมองเห็นเขาเลย จนถึงวันที่เขาเสนอเลือกเส้นทางแปลกออกไป มันจึงมาถึงจุดแตกหักเอาง่าย ๆ

            “แล้วโดมจะทำยังไงต่อไป” ลานน้ำค้างเปิดปากถามครั้งแรก

            “ผมไม่รู้” คำตอบเหมือนเด็กหลงทาง “อยากอยู่นิ่ง ๆ สักพัก ไม่ต้องรับรู้อะไร”

            “พักได้ แต่อย่าหนีนะ” ลานน้ำค้างพูด และดั่งจะย้ำให้ตนเองฟังด้วย “คนเรามีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น เหนื่อย ก็พักได้ แต่อย่าหนี...ปัญหามีไว้ให้เราแก้ไข ไม่ใช่ให้มาทับถมใจเราจนเป็นทุกข์...”

            โดมเงียบไปนาน หญิงสาวหวั่นว่าตนเองจะพูดอะไรผิด กระทบจิตใจเขา...ทว่าความเงียบที่กั้นกลางชั่วครู่นี้ มันไม่ได้มีกระแสความอึดอัด ลำบากใจออกมา มีแต่ความรู้สึกอ้อยอิ่งบางอย่างซึ่งบอกไม่ถูก

            “คุณยังยืนยัน จะรอฟังซิงเกิ้ลและอัลบั้มแรกของผมอยู่หรือเปล่า” โดมเป็นฝ่ายย้อนถาม

            “ยืนยันสิ พี่ขอสมัครเป็นแฟนคลับหมายเลขหนึ่งของโดมเลยนะ”

            โดมนิ่งไปครู่ใหญ่ หัวใจที่แห้งผาก เริ่มมีสายน้ำใสเย็น รินไหลมาหล่อเลี้ยง ก่อให้เกิดความชุ่มชื่น อบอุ่น หวานกำซาบหัวใจ

            “ขอบคุณครับ” โดมพูดหนักแน่น น้ำเสียงผิดกับตอนแรกลิบลับ “ผมจะพยายามเต็มที่”


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เด็กหนุ่มวางสายไปนานแล้ว ลานน้ำค้างยังนั่งจ้องโทรศัพท์ ราวกับเห็นมันเป็นสิ่งแปลกประหลาด กำลังใจที่ให้แก่โดม ย้อนกลับมาสู่ตนเอง...คำพูดที่บอกแก่เขา ย้อนทวนกลับสอนตัวเอง...



               ...เหนื่อยก็พัก แต่อย่าหนี...ปัญหามีไว้แก้ไข ไม่ใช่เอามาทับถมจิตใจ..



            “หันหน้าสู้สิ” ลานน้ำค้างบอกกับตัวเอง...จะมากังวลกับเรื่องของวันพรุ่งนี้ทำไม เวลานี้อาการมันยังไม่กำเริบ รุนแรง แค่ตรวจพบว่ามีเชื้อมะเร็ง ก็แค่ไปรักษาเท่านั้นเอง...



            ...เจ็บป่วยก็รักษากันไป อย่าปล่อยให้ใจเป็นทุกข์...



            คิดได้อย่างนั้นก็นึกถึงหนังสือที่คุณหมอน้ำทิพย์ให้มา ... ธรรมะมือใหม่” ... หล่อนอ่านจบไปรอบหนึ่งแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีประโยคไหนก่อให้เกิดความเข้าใจลึกซึ้ง แต่อ่านแล้วรู้สึกสบาย ใจโปร่งเบา...เวลานี้นึกอยากหยิบ มาอ่านอีกสักรอบโดยไม่มีเหตุผล...



            ...ธรรมะไม่มีมือเก่า มือใหม่...

            ธรรมะอยู่ในกาย อยู่ในใจของพวกเรานี้เอง

            หากต้องการเรียนรู้ธรรมะ

            ก็แค่หันมาใส่ใจ...เรียนรู้กาย เรียนรู้จิตใจ...

            ...ตามความเป็นจริง...



            เพียงขึ้นต้นหนังสือ ก็ช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย เบาสบาย อ่านไปเรื่อย ๆ ยิ่งก่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิม ลานน้ำค้างจึงเปิดอ่านหนังสือต่อไป ด้วยจิตใจปลอดโปร่ง มีความสุข...


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ขณะที่ลูกสาวมีจิตใจโปร่งเบา พักวางปัญหา อาการป่วยไข้ชั่วคราว คนเป็นแม่กลับนั่งมองรูปสามีบนหัวเตียง จิตใจทุกข์ทน ทรมาน

            “แม่จะทำยังไงดีพ่อ...” คุณดาริกาพึมพำ อ่อนล้า “แม่ต้องเข้มแข็งใช่ไหม...เข้มแข็งเพื่อลูก”

            คำถามแสนอิดโรย หยาดน้ำตาพร่างพรู เป็นน้ำตาที่เอ่อท้นมาจากห้วงทะเลทุกข์ในใจ ล้นฝั่งออกมานอกดวงตา หลั่งไหลยากหยุดยั้ง จนแทบจะพาเจ้าตัวจมทะเลน้ำตาโดยไม่อาจขึ้นฝั่ง

            “แต่แม่ไม่ไหวแล้วจริง ๆ แม่กลัวเหลือเกินจ้ะพ่อ...กลัวจนบอกไม่ถูก ทั้งชีวิตแม่เหลือแค่ลานน้ำค้างเท่านั้น...ทำไม ทำไมต้องเป็นลูกของแม่ แกยังมีอนาคต แกไม่ควรป่วยเป็นโรคนี้ แม่กลัว กลัวจริง ๆ ว่าแกจะ รักษาไม่หาย กลัวจะสูญเสียแกไป...”

            คุณดาริกาพึมพำ พร่ำบ่นทั้งน้ำตา ภาพมารดาผู้เข้มแข็งเลือนหาย เหลือเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเจ็บปวด แม่ที่รักลูกเหลือเกิน รักจนกลัวที่จะสูญเสียบุตรสาวคนเดียวไป

            น้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่มีเสียงสะอึกสะอื้นดังเล็ดลอดถึงห้องบุตรสาว...

            ขอให้เธอแสดงความอ่อนแอครั้งนี้เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย จากนี้ไปเธอต้องยืนหยัดมั่นคงให้ได้ จะไม่ยอมอ่อนแอเช่นนี้อีกเลย

            หวังว่าทะเลน้ำตาคืนนี้ จะช่วยชะล้างริ้วรอยความเศร้า ความหวาดกลัวออกจากใจ และพายุฝนแห่งความทุกข์เหล่านี้ จะช่วยเลี้ยงต้นกล้าความเข้มแข็งให้เจริญงอกงาม

            คุณดาริกาเงียบงัน น้ำตายังหลั่งไหล...ไร้สรรพเสียง


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            คณะของเหล่าคุณหญิงคุณนายต่างขึ้นเครื่องบินเรียบร้อย ระยะเวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง และนั่งรถต่อไปยังโรงเรียนเด็กด้อยโอกาสอีกหนึ่งชั่วโมง

            ที่นั่งบนเครื่องบินถูกจัดสรรเรียบร้อยลงตัว คณะกรรมการจัดงานต่างมากันพร้อมหน้า มีแขกรับเชิญร่วมขบวน ช่วยให้คณะเดินทางมีสีสันเป็นที่น่าสนใจ

            คุณหญิงรัดเกล้าถูกจัดที่นั่งคู่กับมาตา นักร้องผู้เป็นแขกรับเชิญ ทั้งคู่แปลกใจที่เจอกันในคณะเดินทางเที่ยวนี้

            “คุณพี่มาด้วยหรือคะ ตาคิดว่ายังดูแลลูกสาวอยู่ที่โรงพยาบาล” มาตาทัก

            “ปันปัน...ลูกสาวพี่แกออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวานแล้วจ้ะน้องมาตา”

            “หรือคะ...แหม คุณพี่นี่ มีความรับผิดชอบจริง ๆ” ผู้พูดเอ่ยชมแบบไม่เสแสร้ง

            คุณหญิงยิ้มรับไม่เต็มหน้านัก จะบอกได้อย่างไร ว่าตนเองมาด้วยความจำยอม!

            เกรซไม่ว่าง คุณหญิงที่เป็นกรรมการก็ขอร้องแกมบังคับ คะยั้นคะยอจนเลี่ยงไม่ได้

            “ไม่เท่าไหร่หรอกจ้ะ” คุณหญิงตอบ “อย่างน้องมาตานี่สิ ถึงจะมีน้ำใจจริง ๆ งานออกเยอะแยะ ยังปลีกตัวมาช่วยงานบุญ งานกุศลอย่างนี้ได้”

            มาตาสะอึก เข้าใจว่าผู้พูดไม่จงใจเหน็บแนม แต่ตนเองรู้แก่ใจดีว่ามางานนี้เพราะอะไร?

            “ตาก็อยากทำอะไรดี ๆ บ้าง” หญิงสาวตอบกล้อมแกล้ม

            สองสาวผู้มีวัยต่างกัน ร่วมคณะเดินทางเดียวกัน บนเครื่องบินลำเดียวกัน จุดประสงค์การมากลับแตกต่างชนิดคนละเรื่อง ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็มั่นใจว่า คงไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด...


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ที่สนามบิน

            เลียบเมืองแต่งฟอร์มนักบินเดินเด่น สง่า สะดุดตา พาให้หลายคนต้องเหลียวหลังมองตาม ทั้งที่เจ้าตัวไม่มีเจตนาทำให้ตนเองเป็นเป้าสายตาขนาดนั้น เจอแบบนี้บ่อย ๆ นานไปก็เริ่มชิน จึงไม่ค่อยสนใจสายตาผู้คน

            “เลียบคะ ทางนี้”

            เสียงเรียกคุ้นหู เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวสวยจัด ร่างสูงเกินมาตรฐานหญิงไทย ใบหน้าสวยกริบจนคนพบเห็นไม่อาจถอนสายตาได้ง่าย ๆ

            “เกรซ...เตรียมขึ้นเครื่องเหรอ” ชายหนุ่มเดินเข้าไปทักทาย

            พอสองหนุ่มสาวยืนคู่กัน สายตาผู้คนบริเวณนั้นก็มองมาแทบเป็นจุดเดียว

            “ค่ะ บินไปปารีสกับคุณพ่อ...เที่ยวนี้ใครเป็นกัปตันเอ่ย” หญิงสาวหลิ่วตามองชายหนุ่มอย่างล้อเลียน

            “เขาว่ากัปตันเที่ยวบินนี้รูปหล่อมากเลย เกรซต้องหาโอกาสเจอให้ได้นะ” ชายหนุ่มบอก

            “รูปหล่อแล้วโสดด้วยหรือเปล่า ถ้าหล่อแล้วไม่โสดก็เปล่าประโยชน์” เกรซย้อนอย่างทันกัน

            “ผมว่าเขายังโสดนะ คงกำลังรอคนมาเป็นเจ้าของหัวใจอยู่น่ะ...ถ้าเกรซรีบยื่นใบสมัครก็น่าจะทัน”

            หญิงสาวหัวเราะขัน ยิ้มใส่ดวงตาพราวระยับของชายหนุ่ม รีบพูดจาเลี่ยงให้ห่างจากตัวเอง

            “ตะกี้เกรซเห็นคุณน้าหญิงขึ้นเครื่องไปแล้วค่ะ รู้สึกผิดจังเลย ที่ต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันแบบนี้”

            “ไม่เป็นไรหรอก วันนี้แม่ผมว่างจริง ๆ นั่นแหละ...แต่แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมท่านถึงทำท่าไม่อยากไปเอาเสียจริง ๆ ทั้งที่ทุกทีไม่เคยปฏิเสธงานพวกนี้”

            เรื่องนี้เลียบเมืองรู้สึกสงสัยตั้งแต่เมื่อวาน ที่เห็นมารดากระสับกระส่าย พยายามหาทางเลี่ยงเต็มที่ แต่แพ้การเกลี้ยกล่อม คะยั้นคะยอจากคุณหญิงที่มีวัยวุฒิสูงกว่า

            “นั่นสิ...อุ๊ย เกรซต้องรีบไปเช็คอินแล้ว ไม่งั้นคุณพ่อบ่นอุบเลย เดี๋ยวเจอกันนะเลียบ”

            “เจอกันบนเครื่องหรือที่ปารีสเอ่ย...” ชายหนุ่มก้มหน้า กระซิบถาม

            “ถ้าเจอกันที่ปารีส เกรซจะให้เลียบเป็นเจ้ามือ พาช็อปให้กระเป๋าฉีกเชียว” หญิงสาวหยอกแกมขู่

            “ไม่เป็นไร ผมมีบัตรทอง” เขายิ้มล้อเลียน “เกรซเถอะ จะหลบคุณพ่อไปเที่ยวกับผมได้หรือเปล่า คิวงานเยอะออก”

            “คิวใครเยอะกว่ากันเจ้าคะ” หล่อนย้อน “คิวของเลียบน่าจะเป็นทองยิ่งกว่าบัตรเครดิตเสียอีกละมั้ง”

            ชายหนุ่มหัวเราะ รู้สึกสบายใจที่มีหญิงสาวสามารถตามความคิด ความรู้สึกของเขาได้ทัน...ไม่แน่ เกรซอาจเป็นตัวจริง คนที่ใช่...ที่จะทำให้เขาไม่ต้องไปแจก ‘บัตรคิว’ ให้ใครอื่นอีกต่อไปก็ได้


- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            โดมไม่รู้ว่าการตัดสินใจเดินทางมาบริษัทค่ายเพลงที่มารดาสังกัดอยู่ เป็นความคิดที่ถูกหรือผิด...แต่เขาก็มาแล้ว เพื่อร่วมแถลงข่าวด้วย

            ยืนตรงทางเข้าตึกสูงหลายสิบชั้น ติดป้ายบริษัทตัวใหญ่เบ้อเริ่ม มองเข้าไปเห็นผู้คนขวักไขว่ น่าวุ่นวาย ยังดีที่ผู้จัดการส่วนตัวของแม่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ ชั้น ห้อง และเวลามาในข้อความมือถือชัดเจน เขาจึงเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล ทำตัวกลมกลืนกับพวกพนักงาน ไม่เป็นจุดเด่นให้คนสนใจ จึงไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายที่มีรูปเป็นข่าวดังกับมาตา ได้เดินทางมาถึงแล้ว

            เขาตั้งใจมาร่วมแถลงข่าวโดยไม่มีใครบังคับ แม่ไม่ได้ส่งข้อความมาขอร้อง มีแต่คุณแหม่ม ผู้จัดการส่วนตัว ที่ส่งรายละเอียดงานแถลงข่าวมาให้ พร้อมมีคำลงท้าย

            “ทางเราอยากให้โดมมาร่วมแถลงข่าวด้วย

            แรกทีเดียวเขาไม่ต้องการมา ไม่อยากเป็นข่าว ไม่เห็นความจำเป็นต้องพูดจาอะไร เชื่อว่าความจริงก็คือความจริง ไม่มีใครบิดเบือนได้

           หลังจากคุยกับลานน้ำค้างเมื่อคืน ทำให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจ...

            เขาจะปล่อยให้แม่เผชิญกับกองทัพนักข่าวอย่างโดดเดี่ยวเช่นนั้นหรือ?

            โดมรู้ว่าแม่ผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาหลายครั้ง แต่คราวนี้ไม่เหมือนกัน เพราะมีเขาเกี่ยวข้องด้วย เขาจะไม่ยอมให้แม่รับหน้าคนเดียวเด็ดขาด

            เด็กหนุ่มมาถึงหน้าห้องแถลงข่าวก่อนเวลาเล็กน้อย นึกแปลกใจที่ยังไม่เห็นนักข่าวมาสักคน มีแต่เจ้าหน้าที่ พนักงานบริษัทที่เดินเข้าออกห้อง เหมือนกำลังจัดสถานที่

            “ขอโทษครับ เขาเลื่อนเวลานัดแถลงข่าวหรือเปล่า” โดมถามพนักงานวัยกลางคนที่หน้าตาดูใจดีที่สุด

            “เขายกเลิกแล้ว...มาจากหนังสือฉบับไหนล่ะ” ฟังคำตอบแล้วงุนงง เขาได้รับข้อความเมื่อวาน ทำไมวันนี้ถึงยกเลิกแล้ว

            “เขายกเลิกทำไมหรือครับ” โดมถามต่อ

            “คุณมาตาเธอติดธุระน่ะสิ” พนักงานคนนั้นตอบพลางเงยหน้ามองโดมเต็มตา “เอ...หนุ่มนี่ หน้าตาคุ้น ๆ นะ”

            โดมโมโหปนขัน...ลุงจะไม่คุ้นหน้าผมได้ยังไง ในเมื่องานแถลงข่าววันนี้จัดขึ้นก็เพราะผม...

            ก่อนเด็กหนุ่มจะถามอะไรต่อ ก็โดนมือปริศนาฉุด และลากเข้าไปยังห้องเล็กอยู่ติดกับห้องแถลงข่าว

            คนที่ลากมือเขามาห้องนี้ เป็นสาวใหญ่ร่างท้วม ผิวคล้ำ ท่าทางคล่องแคล่ว ใจดี โดมพอจะคุ้นหน้า ถึงจำไม่ได้ชัด ก็เดาออกว่าเป็นใคร

            “คุณแหม่มใช่ไหมครับ” โดมทักถาม

            “เฮ้อ...โดม...ฉันเห็นเธอตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยก จะมาเรียกคุณนั่นคุณนี่ทำไม” สาวใหญ่เงยหน้ามองเด็กหนุ่ม แล้วพูดแกมบ่น “ตายแล้ว ไม่เจอกันกี่ปีนี่ ทำไมตัวสูงขนาดนี้”

            โดมนิ่ง เขาเคยพบผู้จัดการส่วนตัวของแม่มาบ้าง แต่ไม่สนิทสนม คุ้นเคยนัก

            “ทำไมวันนี้ถึงยกเลิกการแถลงข่าวล่ะครับ” เขาถาม

            “ก็แม่เธอนั่นแหละ” คุณแหม่มถอนใจหน่าย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง “นั่งก่อนสิโดม จะได้คุยกัน”

            โดมนั่งบนเก้าอี้ใกล้ ๆ มองผู้พูดอย่างรอคำตอบ

            “เมื่อคืนมาตาโทรมาหา บอกว่าวันนี้เธอติดงาน ต้องไปช่วยคณะคุณหญิงอะไรก็ไม่รู้ นำของไปมอบที่โรงเรียนเด็กด้อยโอกาส”

            “อยู่ที่ไหนครับ” เขาสงสัย

            “อยู่ต่างจังหวัดจ้ะ ไกลเหมือนกัน แต่นั่งเครื่องบินไปคงไม่เท่าไหร่”

            “แม่ก็เลยยกเลิกงานเสียเฉย ๆ แบบนี้...” โดมพูดกึ่งถาม

            “นั่นแหละ แม่ของเธอ...” ผู้พูดประชดแกมเบื่อหน่าย

            “แล้วงานทางนี้ว่ายังไงครับ”

            “ก็ต้องเลื่อนไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด” ฟังแล้วเหมือนจะไม่มีการแถลงข่าว

            “เหตุผลจริง ๆ คืออะไรครับ” โดมถามเข้าประเด็น

            คุณแหม่มมองหน้าโดมตรง ๆ ก่อนตอบ

            “ก็พ่อของโดมนั่นแหละ” สาวใหญ่มีท่าไม่ค่อยอยากพูด “เขามาหาแม่ของโดมเมื่อวาน ทำให้มาตาเปลี่ยนใจเรื่องการแถลงข่าว”

            “พ่อมาพูดอะไรกับแม่”

            “พี่...เอ๊ย ป้าไม่รู้สิ” ดูท่าคุณแหม่มจะเลือกใช้สรรพนามแทนตัวกับโดมลำบากสักหน่อย...จะเรียก ‘พี่’ ก็ใช่ที่...จะเรียก ‘ป้า’ ก็ฟังดูแก่ไป

            “ถ้าจะให้เดา” คุณแหม่มพูดต่อ “ก็คงเป็นเรื่องเดิมนั่นแหละ คุณหมอแกไม่อยากให้โดมเป็นข่าว เป็นที่รู้จัก ในฐานะลูกชายของมาตา นักร้องผู้มีชื่อเสีย...จนรับไม่ได้”

            โดมถอนใจ ภาพของพ่อชัดเจนในความทรงจำ...

            คุณหมอนภัทรผู้เข้มงวด พูดน้อย มักใช้การกระทำแสดงแทนคำพูด การที่เขามาหาอดีตภรรยาก็คงด้วย ปัญหาข้อตกลงเดิม โดมสามารถอยู่กับแม่ได้ แต่ห้ามเป็นที่รู้จัก...

            เด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าการที่พ่อไม่ยอมให้มีการแถลงข่าวเรื่องของเขากับแม่นั้น เป็นเพราะห่วงผลกระทบที่เขาจะได้รับ หรือห่วงประวัติของตนเองที่จะต้องถูกขุดคุ้ย ว่าเป็นสามีคนแรกของมาตา

            “แล้วแม่จะกลับเมื่อไหร่ครับ” โดมถาม

            “ตอบยากนะ” ผู้จัดการส่วนตัวยังไม่แน่ใจ “ที่มาตาทำอย่างนี้ ก็เพราะอยากเลี่ยงการแถลงข่าว ดูท่าแล้วก็คงต้องหาเรื่องหลบไปเรื่อย ๆ ก่อนนั่นแหละ จนกว่าข่าวจะซา...”

            โดมเข้าใจว่าแม่กำลังซื้อเวลา รอให้ผู้คนส่วนใหญ่ลืมไปเสียก่อน อีกไม่นานก็จะมีข่าวใหม่ ๆ เรื่องของดารา นักร้องคนอื่นมาเป็นประเด็นให้พูดถึงต่อไป แล้วเรื่องของแม่กับเขาก็จะซาเอง อาจมีการซุบซิบแบบวงในบ้าง แต่ไม่มีการยืนยัน เปิดเผย สุดท้ายมันจะถูกลบเลือนจากความทรงจำผู้คนในที่สุด...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP