วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๒๓



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            หลังจากรับยา ติดต่อห้องเสร็จ ลานน้ำค้างยังไม่ได้กลับบ้านทันที หล่อนจำที่รับปากกับปันปันได้ แม้เวลานี้จะไม่อยากพบหน้า พูดจากับใครเลย แต่ด้วยความไม่อยากให้เด็กรอเก้อ จึงฝืนใจกลับมาห้องคนป่วยอีกครั้ง

            คุณดาริกาเดินเคียงข้างลูกสาว ตามไปห้องปันปันโดยไม่ขัด ไม่มีทีท่าจะประคับประคอง ห่วงใยออกหน้าออกตา ลานน้ำค้างไม่แสดงอาการป่วยออกมาภายนอกมากนัก เธอดูแข็งแรงเหมือนคนปกติ ผิดแต่ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม

            กำลังใจคนป่วยเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากคิดว่าตนเองอ่อนแอ ร่างกายก็จะทรุดลงรวดเร็ว แต่ถ้าใจสู้ จิตใจมั่นคง หนักแน่น อาการป่วยก็จะไม่กำเริบเกินกว่าที่ควรจะเป็น

            ใกล้ถึงห้องปันปัน บรรยากาศรอบตัวลานน้ำค้างเริ่มแปลกเปลี่ยน หล่อนมองเห็นคนป่วยเดินสวนไปมามากผิดปกติ แต่ละคนมีสีหน้าเลื่อนลอย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว บางทีก็ปรากฏภาพแบบวูบวาบ

            เพียงเท่านี้ก็ตอบตนเองได้ ว่าคนป่วยเหล่านั้นอยู่ในสภาวะใด

            ลานน้ำค้างมอง ‘พวกเขา’ ด้วยแววตาเห็นใจ เข้าใจแล้วว่า เหตุใดช่วงนี้ตนเองถึง ‘เห็น’ พวกเขาบ่อยขึ้น และชัดเจนกว่าเคย อาจเป็นเพราะชีวิตหล่อนหมิ่นเหม่ ใกล้ชิดความตาย หรือไม่ก็สภาวะอาการป่วยทางกาย มีผลต่อจิตใจ ทำให้สัมผัสพิเศษว่องไวกว่าเดิม

            ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด หญิงสาวล้วนไม่เก็บมาใส่ใจ ไม่คิดมาก ไม่อยากกลุ้มใจจนทำให้อาการป่วยทางกายทรุดหนักโดยไม่จำเป็น

            เดินมาถึงหน้าห้องปันปัน ต้องชะงักเท้า...หน้าประตูห้องนั้นมีชายกลางคนกำลังยืนรอ...ชายผู้นั้นไม่ใช่คนแปลกหน้า พบเห็นจนคุ้นเคย...

            ‘คุณสันติ’ พ่อของปันปัน

            “มีอะไรหรือลูก...หยุดทำไม” คุณดาริกาถามลูกสาว

            ลานน้ำค้างหันมาฝืนยิ้ม ไม่รู้จะตอบอย่างไร หากพูดความจริงแม่คงกลัว ... ถ้าโกหก ตนเองก็ไม่สบายใจ

            “ไม่รู้ว่าน้องเขายังรออยู่ในห้องหรือเปล่านะคะ” หญิงสาวเลี่ยงการตอบ

            “เข้าไปดูก็รู้ แม่ก็อยากคุยกับแกเหมือนกัน” คุณดาริการู้เรื่องปันปันจากลูกสาว ฟังแล้วชวนเอ็นดู อยากพูดคุยมากกว่าเดิม

            ลานน้ำค้างเดินไปยังประตูห้องสองสามก้าว นัยน์ตาสบกับดวงตาผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตู ทั้งร่างชาวาบ เย็นวูบ หัวจดเท้า

            คุณสันติขยับปาก พยายามพูดคำบางคำ แต่ไม่มีเสียงก้องเข้าหูลานน้ำค้างอย่างเคย

            หญิงสาวขมวดคิ้ว พยายามเปิดรับสัมผัสให้แผ่กว้าง แต่ไร้ผล หนำซ้ำยิ่งทำให้ตนเองเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ตาลาย ภาพตรงหน้าเลอะเลือน

            “ชะ...ช่วย...” กระแสเสียงต่างภพแว่วมาเพียงเท่านี้

            ชายกลางคนพยายามยกมือไขว่คว้า ทำท่าเรียกร้อง ฝืนดึง ฉุดรั้งบางสิ่งที่มองไม่เห็น...

            “ลาน...เป็นอะไรไปลูก หน้าซีดเชียว” คุณดาริกาคอยสังเกตบุตรสาวตลอด จึงเห็นลานน้ำค้างหน้าเผือด ขาวซีดกว่าเดิม พอจับมือก็เย็นเฉียบ
 
            “เป็นอะไรไปลูก...ไหวมั้ย...กลับไปหาน่านกันก่อนมั้ย หรือถ้ายังไงก็นอนโรงพยาบาลวันนี้เลย” คนเป็นแม่รักษาน้ำเสียงไม่ให้ตื่นตกใจ ทำให้ลูกสาวขวัญเสีย ทั้งที่ในใจตนเองกำลังเต้นเร่า หวาดกลัวเต็มที่

            ลานน้ำค้างถอยหลังพิงผนัง เห็นร่างคุณสันติเริ่มเลือนหาย พร่าจางพร้อมกับเหล่าผู้ป่วยที่อยู่คนละภพภูมิทั้งหลาย หูแว่วเสียงมารดาพูดชัดเจนทุกคำ จึงฝืนใจตอบออกไป

            “อย่าเพิ่งเลย...ลานไม่เป็นอะไรมากหรอก กลับบ้านก่อนเถอะค่ะ” หญิงสาวอ่อนเพลีย ทรงตัวแทบไม่ไหว ไม่รู้ว่าเกิดจากอาการเจ็บป่วย หรือเหนื่อยด้วยสาเหตุอื่น

            “แม่ว่าให้น่านเขาตรวจดูอีกครั้งดีกว่านะลูก เผื่อจำเป็นจะได้เริ่มให้ยาวันนี้เลย”

            หญิงสาวจับมือมารดาบีบแน่น เสียงหนักแน่นขึ้น

            “อาการอย่างนี้เดี๋ยวก็หายค่ะ ลานรู้...เคยเป็นมาก่อนแล้ว แม่ไม่ต้องห่วง”

            คุณดาริกาพยักหน้าตามใจลูกสาว ถึงกระนั้นก็ตั้งใจแล้วว่า เมื่อกลับถึงบ้านจะโทรศัพท์ถามหมอน่านอีกครั้งแน่

           ด้วยเหตุนี้ ลานน้ำค้างจึงไม่ได้เข้าไปหาปันปัน อีกทั้งยังคาใจกับการแสดงออกของคุณสันติ โดยที่ไม่รู้จะหาคำตอบได้อย่างไร...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            ถึงวันนี้มาตาจะอยู่บ้านทั้งวัน แต่ชีวิตหล่อนไม่ได้สงบ สบายอย่างต้องการเท่าใดนัก...

            หลังจากพี่แหม่มมาบอกเรื่องงานแถลงข่าววันพรุ่งนี้ ก็มีโทรศัพท์สายพิเศษ ส่วนตัวโทรเข้ามา คนที่โทรคือ “ชัช” แฟนคนปัจจุบันของมาตา

            ทั้งสองยังไม่ถึงขั้นอยู่กินร่วมบ้านเดียวกัน เพราะชัชเป็นพ่อม่ายลูกติด มีภาระต้องคอยดูแลลูกวัยรุ่น ไม่อาจทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ได้ ถึงอย่างนั้น เขาก็มักเป็นฝ่ายมาค้างที่บ้านมาตาสัปดาห์ละสามสี่วันเป็นปกติ

            เหตุผลที่เขาโทรมาวันนี้ คือต้องการถามไถ่ความคืบหน้าเรื่องข่าว และถามว่าคืนนี้จะมาค้างได้หรือไม่?

            มาตาไม่คิดอยู่ร่วมบ้านกับลูกเขา ชัชจึงเป็นฝ่ายแบ่งเวลามาหา ก่อนมาจะโทรถามเวลาสะดวกก่อน เพราะบางทีหล่อนอาจติดงาน เดินทาง หรือมีภาระติดพันไม่อยู่บ้าน...

            คำตอบที่มาตาให้ชัชวันนี้คือ “ไม่ว่าง” เขาไม่ควรมาหาหล่อนเวลานี้

            ชัชเข้าใจเหตุผล เขารู้เรื่องของโดม อีกทั้งทำใจยอมรับได้ เพียงขอให้มีระยะห่างของความสัมพันธ์บ้าง
 
            กับข่าวที่ออกมา เขาได้ทราบความจริงตั้งแต่วันแรกที่หนังสือวางแผง และไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ น่าวิตกอะไร โดมอาจโตเป็นหนุ่ม อายุมากกว่าลูกของเขา แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาน่าห่วง ถ้าต่างฝ่ายไม่ได้ร่วมบ้านเดียวกัน

            หลังวางโทรศัพท์จากชัช...มาตาคิดว่าคงไม่มีใครโทรมาอีกแล้ว โทรศัพท์มือถือเครื่องที่ใช้รับงานตามปกติถูกปิด โทรศัพท์บ้านถูกถอดสาย ที่ยังเปิดเบอร์พิเศษไว้ ก็หวังให้โดมโทรมาหา ซึ่งเขาไม่ยอมโทรมา หรือรับสายหล่อนเลย ตั้งแต่มีรูปข่าวลงในนิตยสารฉบับนั้น

            มาตาคิดผิด...ต่อให้ปิดการสื่อสารทางโทรศัพท์ แต่หล่อนไม่สามารถย้ายบ้านหนี ฉะนั้น...ในตอนเย็น หญิงสาวจึงตกตะลึง พูดแทบไม่ออก เมื่อแม่บ้านถือนามบัตรของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งมาเยือนถึงหน้าประตู เพื่อขอเข้าพบ

            ในนามบัตรนั้นลงชื่อชัดเจน... ‘นายแพทย์นภัทร’ ... พ่อของโดม

            “บอกให้เขารอก่อน” มาตารีบพูดทันที “ขอเวลาฉันอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วค่อยเชิญเขาเข้ามา”

            มาตาไม่ต้องการให้อดีตสามี มาเห็นตนเองอยู่ในสภาพ ‘ตามสบาย’ เกินไป จึงต้องรีบจัดการตัวเองให้ เรียบร้อย รวดเร็ว และสวยสมบูรณ์แบบที่สุด







บทที่ ๑๕



            ห้องเช่าแคบ ๆ ของโดมตกอยู่ในเงาสลัว ยามเย็นย่างมาถึง แสงสว่างจากประตูด้านหลังลดลง มองเห็นร่างเด็กหนุ่มนั่งพิงกรอบประตูเป็นเงาดำ ตัดกับแสงสนธยา

            โดมนั่งอยู่ในท่านั้นนานเท่าใด เจ้าตัวคร้านจะจดจำ วันสองวันที่ผ่านมา เขาขังตัวเองไม่ต่างจากนักโทษ ปิดโทรศัพท์ ไม่รับการติดต่อจากใคร และไม่ยอมโทรหาใครเช่นกัน

            ภาพเพียงไม่กี่ภาพที่ลงปกนิตยสารแนวซุบซิบดารา เป็นเสมือนการต้อนรับจากวงการบันเทิงไทยสำหรับเขา

            ภาพเหล่านั้นทำให้เขาต้องเข้าพบผู้บริหารระดับสูงของบริษัท พร้อมกับคำถามที่ไม่อยากตอบ

            “โดมพอจะบอกได้มั้ย ว่าเป็นอะไรกับมาตา” แม้คำเรียกขานจะฟังดูแสดงความคุ้นเคย สนิทสนมเช่นคนร่วมค่าย แต่ก็มีการรักษาระยะห่างระหว่างกับเจ้านายกับลูกจ้าง

            “ผมจำเป็นต้องอธิบายด้วยหรือครับ” โดมตอบ

            “พี่อยากได้ยินคำพูดจากปากโดมมากกว่ารู้จากคนอื่น...” บอสใหญ่มักเรียกแทนตัวเองว่า “พี่” กับศิลปินในค่ายเกือบทุกคน พอเห็นศิลปินฝึกหัดหน้าใหม่ยังนิ่ง ไตร่ตรองหาคำตอบ เขาจึงพูดอีกประโยคที่ทำให้เด็กหนุ่มจำต้องเปิดปาก

            “ที่จริงพี่ก็คุยกับทางค่ายโน้นแล้วเหมือนกัน...กับคุณแหม่มน่ะ โดมรู้จักมั้ย เขาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของมาตา... เลยพอรู้อะไรบ้าง แต่ใจพี่ยังอยากฟังจากปากโดมอยู่ดี”

            “ถ้าอย่างนั้น” โดมเงยหน้า ตอบอย่างไม่เกรงใจ “พี่อยากฟังความจริงอะไรจากปากผมอีก”

            “คนเราหนีความจริงไม่พ้นหรอกนะโดม” บอสใหญ่ย้ำ

            โดมกัดฟัน เขารู้ อย่างไรก็หนีความจริงไม่พ้นแน่...

            “ใช่...มาตาเป็นแม่ของผม พี่อยากได้ยินอย่างนี้ใช่มั้ย” เขาตอบในที่สุด

            เท่านี้ บอสใหญ่ก็ยิ้มอย่างพอใจ มองเด็กหนุ่มตรงหน้าราวกับต้องประเมินคุณค่าใหม่

            “จะอธิบายมั้ย ว่าทำไมถึงไม่บอกแต่แรก” หลังคำถามนี้คืออาการนั่งนิ่งของโดม

            เขานิ่งเสมือนยืนยันว่าจะพูดเพียงแค่นั้น บอสใหญ่จำเป็นต้องพูดต่อเอง...

            “พี่เข้าใจ...โดมคงไม่อยากอาศัยความดังของแม่เข้าวงการ ถึงจงใจมาสมัครที่นี่ แต่ตอนนี้เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว...โดมเข้าใจใช่มั้ย”

            เด็กหนุ่มมองคนพูด ต้องการรู้ว่าจะมาไม้ไหน

            “พี่ว่า...แผนการเปิดตัวโดม คงต้องร่นเข้ามาให้เร็วกว่าเดิมแล้วล่ะ ตะกี้ฟังจากพวกครูที่สอนโดม เขาก็ชมว่าโดมเก่ง เบสิกดีมาก พอจะปล่อยเดี่ยวได้แล้ว...เอาอย่างนี้มั้ย พี่ได้ซิงเกิ้ลเพลงแรกของโดมมาแล้ว ลองเอาไปฟังดู ถ้ายังไงจะได้ให้โดมอัดเสียง ตัดเป็นซิงเกิ้ลเปิดตัวก่อนเลย...”
 
            จากนั้นแผนการโปรโมตจากบอสใหญ่ก็ถูกขยายยืดยาว ทว่ามันไม่เข้าหูโดมเลยแม้สักคำ จนกระทั่งมาถึงประเด็นสุดท้าย

            “...เห็นทางนั้นว่าจะมีการแถลงข่าว เขาอยากให้โดมไปร่วมด้วย...พี่ไม่ขัดข้องนะ โดมไปได้เลย ติดต่อกับคุณแหม่มแล้วกัน ยังไงก็เตรียมคำพูดดี ๆ หน่อย...แต่คงไม่ต้องห่วงหรอกมั้ง ค่ายนั้นเขาเก่งเรื่องดูแลภาพพจน์ของศิลปินอยู่แล้วล่ะ”

            พูดจบ บอสใหญ่หัวเราะเบา ๆ โดมไม่ขันด้วย เขาออกจากห้องผู้บริหารอย่างเคว้งคว้าง ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ความต้องการตัวเอง ไม่รู้อยากทำอะไร ไม่รู้กำลังทำอะไรอยู่



            กลับห้องเช่าทั้งที่ยังมีชั่วโมงเรียนร้องเพลง แม่โทรศัพท์มาหานับสิบครั้ง เขาไม่ยอมรับสาย รำคาญมากก็ปิดโทรศัพท์ จึงไม่รู้ว่านอกจากแม่โทรมาแล้ว ยังมีหญิงสาวอีกคนที่เป็นห่วง ต้องการให้กำลังใจเขาเช่นกัน

            หมกตัวอยู่ในห้องเป็นวันสองวัน ไม่ยอมทำอะไร เบื่อไปหมด อยากอยู่กับความเงียบ ความอ้างว้างให้สะใจ... สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความฟุ้งซ่าน อึงอลในหัวโดยไม่ยอมหยุดพัก

            ยิ่งเงียบ ยิ่งฟุ้งซ่านมาก สารพัดเรื่องราวประเดประดังจนล้นสมอง รู้สึกทุกข์ทรมานเหมือนตกในกระทะร้อนเร่า เป็นไฟร้อนที่เขาจุดเผาตัวเอง

            สนธยาลาลับ วันคืนล่วงผ่านอีกรอบ โดมเงียบซึม วังเวงบอกไม่ถูก แล้วจู่ ๆ มีคำถามผุดขึ้นในหัว

               “นี่เรากำลังทำอะไรอยู่!”

            คำถามเรียกสติให้ทำงานชั่วครู่ เด็กหนุ่มขยับตัว มองไปรอบ ๆ

            ...ใช่...นี่เขากำลังทำอะไร ปล่อยเวลาแต่ละขณะให้ล่วงเลยไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ...

            ห้องมืดลง มองอะไรแทบไม่เห็น คร้านจะลุกขึ้นเปิดไฟ มองเห็นโทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้ ไม่รู้ว่าแม่ยังกระหน่ำโทรอยู่หรือเปล่า...คิดแล้วใจอ่อน ความสงสารรวยรินผ่านหัวใจ เอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มาเปิด ตั้งใจโทรไปบอกแม่คำเดียวว่า...ไม่ต้องเป็นห่วง...แล้วจะปิดโทรศัพท์ดังเดิม

            เมื่อเปิดโทรศัพท์ เห็นข้อความขึ้นมามากมาย เด็กหนุ่มเปิดอ่านข้อความ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากมารดาตน อีกส่วนมาจากทางบริษัท ถามถึงเหตุผลที่เขาไม่ไปเรียน และอีกข้อความมาจากคุณแหม่ม ผู้จัดการส่วนตัวของแม่ ส่งข้อความบอกวันเวลาแถลงข่าว โดยทิ้งท้ายด้วยความหวังว่าเขาจะไปร่วมแถลงข่าวด้วย

            โดมผ่านข้อความนั้นไป ไม่สนใจ จนพบข้อความหนึ่ง มาจากหญิงสาวที่เขาระลึกถึง

            “พี่เข้าใจโดม...อย่าท้อนะ นี่แค่การรับน้องใหม่ของวงการบันเทิงเท่านั้นเอง...ต่อไปโดมจะเจอมากกว่านี้อีกเยอะ...พี่จะคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ อย่ากลัว สู้นะ! ...รอฟังซิงเกิ้ลและอัลบั้มแรกของโดมอยู่จ้ะ...ลานน้ำค้าง”

            ข้อความไม่กี่ประโยค ทะลุเข้าถึงหัวใจ โดมรู้สึกราวสิ่งที่อัดอั้นค้างคาในใจหลุดออกไป มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจน

            ลานน้ำค้างพูดถูก...นี่แค่การรับน้องใหม่...ต่อไปเขาต้องเจออะไรมากกว่านี้อีกเยอะ ถ้าคิดจะอยู่วงการนี้ต่อไป

            ถามว่าชอบไหม? ...แน่นอน เขาไม่ชอบ...ไม่ชอบเอาเสียเลย

            ในเมื่อไม่ชอบ เหตุใดถึงต้องการเข้ามา ทั้งที่มีตัวอย่างใกล้ตัวให้เห็น

            โดมมองกีตาร์ที่วางพิงผนังเป็นเงาตะคุ่มในห้อง...เรื่องเก่า ๆ ที่ไม่อยากคิดถึงย้อนคืนกลับมา...

            กีตาร์ราคาแพงตัวนี้ แม่เป็นคนซื้อให้ มันไม่ใช่เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่เขาเล่น เปียโนตัวใหญ่ที่อยู่บ้านแม่ต่างหาก คือเครื่องดนตรีแรกที่ได้สัมผัส

            ตอนนั้นพ่อกับแม่แยกทางกันแล้ว แต่แม่สามารถพาโดมไปค้างที่บ้านได้เกือบทุกสุดสัปดาห์ โดยสัญญาว่าจะไม่ให้นักข่าวถ่ายรูป

            เขายังเด็ก ซุกซนตามประสา เห็นเครื่องดนตรีชิ้นใหญ่วางกลางห้องก็สนใจ ลองใช้นิ้วจิ้มคีย์เปียโน ได้ยินเสียงเพราะใส ไม่ทราบด้วยเหตุใด เขาถึงปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ ใช้นิ้วกดบนคีย์ไล่ฟังทีละเสียงที่แตกต่าง เกิดความสนุกสนานไล่กดคีย์สลับไปมา ปลดปล่อยเสียงใส ๆ ดังต่อเนื่องตามประสาเด็ก

            แม่ได้ยินเสียงเปียโน รีบเข้ามาดู พอเห็นเขานั่งเล่นอยู่ แทนที่จะดุ กลับยิ้มอย่างชื่นชม...

            “เพราะจังลูก เพลงอะไรนี่...”

            โดมเรียนเปียโนตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ ฝีมือพัฒนารวดเร็ว พรสวรรค์ด้านดนตรีชัดเจน โดดเด่น พอหันมาเล่นดนตรีชิ้นอื่น ก็สามารถทำได้ดีไม่แพ้กัน แม่สนับสนุน แต่พ่อไม่สนใจ ไม่เคยมอง ไม่เคยฟังดนตรีที่เขาเล่นด้วยซ้ำ ขนาดโดมชนะเลิศเปียโนระดับเยาวชน พ่อก็ไม่ไปร่วมงานรับรางวัล ไม่ยิ้ม ไม่ชมสักนิด

            พอโตขึ้นมา โดมก็เข้าใจโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก พ่อไม่ต้องการให้เขาเป็นนักดนตรี ไม่ต้องการให้เดินตามรอยของแม่ แต่พ่อไม่คัดค้าน รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะทำอย่างนั้น

            พ่อมีโรงพยาบาล ต้องการให้ลูกดำเนินรอยตามในสายนี้มากกว่า ถึงอย่างนั้น ก็ไม่เคยยัดเยียดความคิด ความหวังของตนเองใส่หัวลูก

            หมอนภัทรมีวิธีที่ฉลาด สร้างทางเลือกแบบไม่จงใจ ให้ลูกเลือกเดิน...

            ช่วงปิดเทอม หมอนภัทรจะเปิดโอกาสให้ลูกหารายได้พิเศษ ด้วยการไปทำงานในโรงพยาบาลแห่งแรกของตน เป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เหมาะสมกับความสามารถ...

            โดม และน้องต่างมารดาล้วนเคยทำงานพิเศษในโรงพยาบาลแห่งนี้มาแล้ว

            เด็กหนุ่มไม่เคยรังเกียจงานของหมอ พยาบาล เขาสนุกกับการปฐมพยาบาลคนป่วย ช่วยนางพยาบาลทำแผล พยาบาลคนป่วยที่อาการไม่หนักนักอย่างคล่องแคล่ว คุ้นเคย เขาเคยชอบงานในโรงพยาบาลพอ ๆ กับขึ้นเวทีประกวดวงดนตรีสมัยมัธยม

            น่าเสียดายที่มีคนชอบงานในโรงพยาบาลมากกว่าเขา และมีความสามารถ พรสวรรค์เกี่ยวกับการดูแลคนป่วยได้ดีกว่า นั่นคือ “นัฐ” น้องชายต่างมารดา ที่ฉายแววความฉลาดออกมาโดดเด่น จนพ่อมีความหวัง ขยายกิจการ สร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่อีกแห่ง เพื่อหวังให้ลูกชายคนนี้ได้สืบทอด

            โรงพยาบาลแห่งนั้น โดมเคยไปใช้บริการตอนโดนวินมอเตอร์ไซค์รุมทำร้ายนั่นเอง!

            เด็กหนุ่มถอนใจ ห้องมืดสนิทจนไม่เห็นกระทั่งเงากีตาร์ตัวนั้น

            ความมืด มันมืดเสมือนจิตใจเขาช่วงหนึ่ง...ช่วงเวลาที่เขาต้องเลือกเส้นทางเดินชีวิตหลังจบมัธยม

            พ่อไม่เคยบอกว่าเขาต้องเรียนแพทย์ แต่พ่อไม่เคยแสดงสีหน้าพอใจเลยเมื่อเห็นเขาเล่นดนตรี...ไม่มีรอยยิ้มสักนิด แม้กระทั่งตอนวงดนตรีของเขากับเพื่อนขึ้นรับรางวัล...เท่านี้ ก็เป็นการประกาศชัดเจนแล้วว่า เขาควรเลือกเรียนอะไร เพื่อให้พ่อพอใจ

            เสียดายที่คะแนนสอบของเขาไม่มากพอที่จะเสี่ยงเลือกลงคณะแพทย์ โดมถามพ่อคำเดียว...

            “ผมเลือกเรียนคณะอื่นดีมั้ยพ่อ”

            พ่อตอบหลังจากดูคะแนนของเขาแล้ว

            “ปีหน้าสอบใหม่ดีกว่า!”

            คำตอบนี้ทำให้รู้ว่าปีต่อไปเขาต้องมุ่งมั่น ทุ่มเทขนาดไหน เพื่อจะสอบเข้าแพทย์ให้ได้...แค่คิดก็เหนื่อย... เหนื่อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วยังตอบตนเองไม่ได้ว่า...

            เขายอมเหนื่อยขนาดนั้น เพื่อแลกกับสิ่งที่ตนเองต้องการจริงหรือไม่?

            เวลาเพียงสองสามเดือนที่พ้นวัยมัธยม มาเป็น “เด็กรอเอ็นทรานซ์ใหม่” มีเรื่องราวเปลี่ยนแปลงมากมาย มันเป็นช่วงเวลาแห่งความกดดัน เจ็บปวด อึดอัด ทรมานใจ จนทำให้เขาต้องเลือกทางเดินของตัวเองใหม่...



            โดมลุกขึ้นยืน สลัดเรื่องราวเก่า ๆ ออกจากหัว เขาไม่อยากคิดถึงมันอีก ไม่ว่าช่วงเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้น...ปัจจุบันเขาก็มายืนอยู่ในจุดนี้แล้ว...จุดที่ไม่มีวันถอยหลังได้อีก

            เด็กหนุ่มเปิดไฟ เหลือบมองโทรศัพท์ ไตร่ตรอง ครุ่นคิดจะทำอย่างไรดี...พรุ่งนี้แม่ต้องไปแถลงข่าว เขาควรร่วมด้วยหรือไม่?

            ถ้าไป...จะเกิดอะไรขึ้น และถ้าไม่ไป แม่จะเป็นอย่างไร?

            ...แม่เอาตัวรอดได้อยู่แล้ว...โดมมีคำตอบให้ตัวเอง แค่บอกว่าเขาเป็นลูก...ก็จบ...ยิ่งทางนั้นคุยกับเจ้าของบริษัทเขาแล้วก็ไม่น่ามีปัญหา...

            ถ้าอย่างนั้นควรโทรไปหาแม่ตอนนี้หรือไม่?

           เขาตั้งใจโทรบอกแม่ว่า สบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง...แต่เท่าที่อ่านจากหลายข้อความที่ส่งมา เขาก็เห็นว่าไม่จำเป็น ที่จะต้องโทรไปบอก

            ถ้าอย่างนั้น...เวลานี้เขาอยากทำอะไร?

            โดมถามตัวเอง...แล้วภาพของลานน้ำค้างก็ปรากฏขึ้นในหัว นึกถึงข้อความที่หล่อนส่งมาให้...คิดถึงหญิงสาว ขึ้นมาจับใจ...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP