วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๒๒



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๑๔



            “สวัสดีครับ” เลียบเมืองเป็นฝ่ายทักทายก่อน

            ลานน้ำค้างเพิ่งได้สติ รีบยกมือไหว้ตามความเคยชิน

            “สวัสดีค่ะ” พูดจบไม่รู้จะหาเรื่องอะไรคุยต่อ นอกจากหาทางเลี่ยงออกจากห้องโดยเร็ว

            “ปันปันพูดถึงคุณบ่อยมาก” เลียบเมืองชวนคุย กิริยาเป็นกันเองกว่าเดิม “ไม่คิดว่าจะอยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”

            “พี่ลานอยู่บ้านใกล้เราเหรอคะ” ปันปันฟังไม่เข้าใจจึงถามแทรก

            “ไม่ใช่จ้ะ” กับน้องสาวตนเอง เขาจะพูดอ่อนโยน พร้อมรอยยิ้มสวย “พี่ลานเขาเป็นผู้ช่วยเลขาของคุณแม่เชียวนะ”

            “จริงเหรอ ปันปันดีใจจังเลย งั้นปันปันก็เจอพี่ลานได้บ่อยแล้วสิ” เด็กหญิงหันมาทางลานน้ำค้าง ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

            “ตอนนี้หมดวันฝึกงานแล้วค่ะ ต้องไปเรียนต่อ” หญิงสาวตอบแบบไม่เจาะจงพูดกับใคร

            “อ้าว” ปันปันหน้าเสีย ผิดหวัง

            เลียบเมืองมองหล่อนอย่างแปลกใจ ก่อนนึกขึ้นได้

            “จริงสิ ผมก็ลืมไป คราวก่อนเรายังเคยเจอกันที่ร้านอาหาร ตอนคุณมุกดาพาคุณไปเลี้ยงส่ง”

            “ค่ะ” ลานน้ำค้างไม่แปลกใจที่เขาจำไม่ได้ว่าหล่อนเป็นนักศึกษาฝึกงาน ที่เพิ่งออกจากบริษัท

            “เอ่อ...” ถึงตอนนี้หญิงสาวต้องรีบหาทางปลีกตัวแล้ว “ดิฉันต้องขอตัวก่อนนะคะ พอดีพาคุณแม่มาโรงพยาบาล ต้องรีบไปแล้ว”

            เลียบเมืองไม่ขัด ส่วนปันปันคิดว่าเดี๋ยวพี่ลานก็กลับมา จึงไม่เหนี่ยวรั้งไว้...ดีเสียอีก ระหว่างนี้จะได้พยายามช่วยเชียร์ ให้คะแนนพี่ลานกับพี่ชายตนเองอย่างสะดวกใจ
 
  

            ลานน้ำค้างออกจากห้องคนป่วยมาได้ค่อยรู้สึกโล่งอก กลับมาคิดดูยังนึกแปลกใจตนเองไม่หาย...ก่อนหน้านี้หล่อนคิดว่าคงทำตัวไม่ถูก ถ้าได้พบเลียบเมืองต่อหน้าปันปัน พอเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่คิดไว้เลย

            คนเรามักปรุงแต่ง วาดภาพความน่ากลัวล่วงหน้าเกินความเป็นจริง จนภาพที่ถูกปรุงแต่งนั้นมาผูกมัด หลอกลวงใจตนเองให้หลงเชื่อ สุดท้ายตัวเองก็ติดกับดักตัวเอง

            ระหว่างเดินไปบนระเบียง หญิงสาวไม่อาจรู้เลยว่า ตนเองกำลังจะได้เผชิญหน้ากับความจริงบางอย่างที่ไม่น่ากลัวเลย หากมีสติมั่น มีใจกล้ายอมรับ...แต่มันจะน่ากลัวที่สุด หากใจจะปรุงแต่งวาดภาพมัน...

            เพราะภาพปรุงแต่งที่คนทั้งโลกวาดให้มันนั้น ดูร้ายแรง น่ากลัวเกินกว่าจะยอมรับได้




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -





            บ้านของมาตาล้อมด้วยกำแพงสูงทึบ ป้องกันคนภายนอกสอดส่อง ลอบมอง ส่วนภายในร่มรื่นด้วยต้นไม้ ดอกไม้ มีบริเวณกว้าง ตกแต่งสวนสวย มีสไตล์ เหมาะสำหรับพักผ่อน ไม่ต่างจากรีสอร์ตตามต่างจังหวัด

            เจ้าของบ้านอยู่ในเสื้อผ้าตัวหลวมโคร่ง ใส่สบาย ใบหน้าไร้เครื่องสำอาง ผมรวบง่าย เดินท่อม ๆ อยู่ในครัว ต้มกาแฟดื่มโดยปราศจากลูกจ้าง

            เสียงรถจอดดังขึ้นที่หน้าบ้าน จากนั้นไขกุญแจประตูเข้ามา หญิงสาวได้ยินเสียงเหล่านั้น แต่คร้านจะสนใจ มีคนเดียวเท่านั้นที่มีกุญแจบ้านหล่อน สามารถเข้าออกได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

            “ตายแล้วมาตา นี่เธออยู่บ้านคนเดียวเหรอ พวกแม่บ้าน เด็ก ๆ หายไปไหนกันหมด” เสียงพี่แหม่มดังมาถึงก่อนตัว

            หญิงสาวกดกาแฟออกจากหม้อต้ม ไม่สนใจตอบคำถามผู้มาใหม่ อีกมือหยิบจานขนมปังปิ้งมาวางบนโต๊ะอาหาร ก่อนจะนั่งกินและดื่มกาแฟอย่างไม่มีพิธีรีตอง

            “นี่มันใกล้เที่ยงแล้ว... อาหารเช้าของเธอหรือยะ” พี่แหม่มถามแกมบ่น นั่งแปะบนเก้าอี้ง่าย ๆ

            “ประชุมที่บริษัทเป็นยังไงบ้าง” มาตาเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม

            “ทำไมไม่ไปเข้าประชุมเอง” พี่แหม่มย้อนถาม

            “มันก็มีค่าเท่ากัน” มาตาพูดเหยียด ๆ “สุดท้ายตาก็ต้องทำตามคำสั่งที่ประชุมอยู่ดี ไม่มีอุทธรณ์”

            พี่แหม่มถอนใจ มองผู้หญิงตรงหน้า นึกสงสารแกมรำคาญ รู้จักกันมาหลายปี ทำงานเจอเรื่องแย่ ๆ ร่วมกันไม่น้อย มาตายังคงเป็นมาตา...ดูคล้ายผู้หญิงสวย ไม่มีสมอง ไม่รู้จักคิด อยากทำอะไรก็ทำ ไม่เคยไตร่ตรองหน้าหลัง ผลดี ผลเสีย ทำอะไรตามใจ ตามสบายจนไม่มีใครตักเตือน ห้ามปรามได้ ...

            ภายใต้กิริยาภายนอกเหล่านั้น มาตาเป็นผู้หญิงเข้มแข็งเหลือเชื่อ ใจเด็ดยิ่งกว่าผู้ชายบางคน เรื่องไหนทำผิดพลาด หล่อนกล้ายอมรับต่อทุกกระแสที่จะมาถึงโดยไม่หวั่นเกรง ยิ้มได้ทั้งที่ถูกประณามซึ่งหน้า

            กับเหตุการณ์ครั้งนี้ เจ้าหล่อนทำเหมือนเป็นเรื่องขี้ผงอย่างหนึ่งในชีวิต

            “บริษัทจะนัดแถลงข่าว” พี่แหม่มบอกมติที่ประชุม เป็นเรื่องที่มาตาไม่แปลกใจ “บอกความจริงเรื่องโดมไปเลย”

            มาตาพยักหน้า เรื่องเหล่านี้หล่อนไม่เห็นเป็นปัญหาสำคัญอยู่แล้ว

            “เธอต้องติดต่อให้โดมไปร่วมแถลงข่าวพรุ่งนี้ด้วย” พี่แหม่มพูดปิดท้าย

            “ไม่ได้!” มาตาค้านทันที “นี่มันเรื่องส่วนตัวของตา อย่าให้ลูกมาเดือดร้อนด้วยเลย”

            “มันไม่ได้หรอก” พี่แหม่มพูดห้วน ๆ “รู้มั้ย โดมน่ะไปเซ็นสัญญาเป็นนักร้องกับค่ายคู่แข่งของเราแล้ว...ถ้าไม่พาเขามาพูดด้วย คนต้องสงสัยกันแน่ ว่าเป็นแม่ลูกกันยังไง ถึงเป็นนักร้องกันคนละค่ายแบบนี้”

            มาตาฟังอย่างสงสัย แปลกใจ หล่อนรู้ว่าลูกชายเล่นดนตรีตามร้านอาหาร เปิดหมวกตามสวนสาธารณะ คิดว่าเป็นการหาเลี้ยงชีพชั่วคราว ระหว่างใช้ชีวิตนอกบ้าน ไม่นึกว่าโดมจะสนใจอยากเป็นนักร้องจริงจัง ถึงขนาดยอมสังกัดค่ายเพลงอย่างนี้

            พอเห็นนักร้องสาวนิ่งอั้น พี่แหม่มก็พอเดาออก

            “นี่แสดงว่ายังไม่รู้ล่ะสิ ว่าลูกชายอยากเป็นศิลปิน”

            “ใช่” มาตาตอบง่าย ๆ “ตอนที่เขาหนีออกจากบ้าน บอกตาแค่ทะเลาะกับพ่อ เบื่อแม่เลี้ยง เบื่อพวกน้อง ๆ ทนอยู่ด้วยไม่ได้...”

            พูดจบหล่อนนิ่งไปนาน พึมพำอย่างไม่แน่ใจ

            “แล้วมาทำอย่างนี้ พ่อเขาจะยอมหรือ...”

            “เธอนี่มันยังไงกันน้า...” พี่แหม่มบ่นอย่างอดไม่ได้ “แล้วตกลงยังไง จะติดต่อโดมเอง หรือให้พี่โทรให้”

            “ไม่ต้องโทรหรอก” มาตาพูดเรียบ ๆ “โดมปิดโทรศัพท์ตลอด โทรเท่าไหร่ก็ไม่ติดพักอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เขาไม่เคยบอกตาสักที”

            “ตายจริง...แล้วจะทำยังไง เธอไปแถลงข่าวคนเดียวอย่างนี้ มันไม่มีน้ำหนักเลยนะ”

            “ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลยนี่พี่แหม่ม” มาตาพูดฉุน ๆ “นักข่าวถามอะไรมาก็ตอบ ๆ ไปเท่านั้นเอง ตอบจริงบ้าง แต่งเรื่องบ้างก็เรียบร้อย ...พูดอย่างกับไม่เคยทำมาก่อน”

            “เอ้า...ถ้านักข่าวถามว่า ทำไมลูกชายถึงไปเซ็นสัญญากับอีกค่าย เธอจะตอบว่ายังไง” พี่แหม่มลองตั้งปัญหา

            “จะยากอะไร ก็บอกว่า โดมเขาอยากพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง ไม่ต้องการใช้ชื่อเสียงของแม่เป็นใบเบิกทางเข้าวงการ...เป็นยังไง แค่นี้ก็ฟังดูดีจะตาย”

            พี่แหม่มยิ้มกึ่งเยาะนิด ๆ

            “เอาเถอะ ถึงเวลาจริงก็เอาตัวให้รอดไปตลอดนะ อย่าลืม พรุ่งนี้วันพุธ แถลงข่าวตอนสิบโมงเช้าที่บริษัท... จะไปเองหรือให้พี่เอารถมารับ”

            “ตาไปเองได้น่า ไม่ต้องห่วง” มาตาตอบ

            ได้ยินอย่างนี้พี่แหม่มค่อยคลายใจลงบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่โล่งใจเสียทีเดียว อาจเพราะรู้สึกว่าเหตุการณ์ต่าง ๆสามารถพลิกผัน เปลี่ยนแปลงตลอด...โดยเฉพาะจิตใจศิลปินคนดังอย่างมาตา...

            นอกจากจิตใจเธอจะเปลี่ยนแปรง่ายแล้ว เธอยังมักทำอะไรตามใจตัวเองเสมอเสียด้วย




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            บรรยากาศในห้องตรวจของน่านถูกบรรจุด้วยความเงียบ ปีกแห่งความวังเวงหวาดกลัวสยายออกเชื่องช้า ย่างก้าวของความกดดัน บีบรัด คืบคลานเข้าใกล้ จนคนทั้งสามยากจะทนทาน ฝืนรับได้

            ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากคำ ๆ หนึ่งหลุดจากปากหมอน่าน

            “โรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาวครับ

            ผลการตรวจเจาะไขกระดูกยืนยันชัดเจน ประกอบกับผลการตรวจอื่น ๆ ทำให้เขาไม่สามารถวินิจฉัยเป็นอื่น และเมื่อต้องพูดออกมา เขายังใจเย็นรอให้ลานน้ำค้างเข้ามาในห้องก่อน เพื่อจะได้บอกพร้อมกันทีเดียว

            คุณดาริกาเตรียมใจไว้แล้ว ตั้งแต่เข้ามาตามลำพัง หมอน่านชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้รอเวลาให้ลานน้ำค้างมาสมทบ ขนาดเธอหลอกล่อหรือกระทั่งตามตรง ๆ ลูกชายเพื่อนสนิทก็ยังไม่ยอมหลุดปากบอกก่อน นั่นย่อมแสดงว่าอาการป่วยของลูกสาวตนไม่ธรรมดา

            เมื่อได้ยินชื่อของโรค คุณดาริกาตัวชาวาบ บังเกิดความหวาดกลัวแผ่ซ่านทั่วร่าง นั่งนิ่งเหมือนหุ่น พูดอะไรไม่ออก เตือนตนให้มีสติ...มีสติ...อย่าหวั่นไหว

            ลานน้ำค้างเข้าห้องตรวจโดยไม่เตรียมตัวอย่างใด คิดแค่พามารดามาตรวจร่างกายตามปกติ พอเห็นใบตรวจเลือดที่มีชื่อตนเองก็เริ่มชะงัก สงสัย ยิ่งเห็นสีหน้าหมอน่าน มารดา ก็ยิ่งหวั่นลึก

            เมื่อได้ยินชื่อโรค ลานน้ำค้างเหมือนหูดับชั่วขณะ รู้สึกราวกับได้ยินเรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับตนเอง เพียงชั่วขณะเดียวก็ได้สติ บอกว่าเรื่องที่ได้ยินไม่ใช่การล้อเล่น ไม่ใช่ความฝัน...

            มันคือความจริงที่หล่อนต้องเผชิญ...

            ความกลัวอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนกระโจนพลุ่งพล่านเกินระงับ ใจหายวูบ หวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก มีแรงที่มองไม่เห็นกดทับจนอึดอัด แน่นหน้าอก...

               ...เธอกลัวตาย!...

            เมื่อรู้เป็นโรคนี้ก็เหมือนมองเห็นความตายยืนห่างแค่ชั่วกระจกกั้น...เธอยังอยากมีชีวิตอยู่ มีเรื่องมากมายยังไม่ได้ทำ...เธอยังเรียนไม่จบ ยังไม่ได้ทำงานเลี้ยงแม่เพื่อตอบแทนบุญคุณ และยังไม่ได้ทำอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่คนวัยสาวจะได้ทำ

               ทำไม? ทำไมความตายถึงมาเยือนเร็วนัก!

            คนที่สามารถเปล่งวาจาเป็นคนแรกคือคุณดาริกา น้ำเสียงพูดราบเรียบ หนักแน่น เฉกเช่นคนที่สามารถตั้งสติได้ไว

            “น่าน...” คำเรียกขานคุณหมอ คุ้นเคย ใกล้ชิด “โรคของน้องสามารถรักษาหายได้ใช่ไหม”

            ชายหนุ่มก้มดูผลเลือด ทั้งที่จดจำข้อมูลได้หมดทุกตัว ก่อนจะเงยหน้าพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

            “ผมเชื่ออย่างนั้นครับ”

            คุณดาริการะบายลมหายใจยาว...นี่คือสิ่งที่เธอต้องการฟัง...

            ขอให้มีโอกาส...โอกาสสักหนึ่งในล้าน เธอก็จะพยายามทำมันให้เป็นจริง!

            “ถ้าอย่างนั้นเราจะรักษายังไง ให้น้องเข้าโรงพยาบาลเลยหรือเปล่า” คุณดาริกาถาม

            “วันนี้ผมจะให้กลับบ้านไปเตรียมตัวก่อน พรุ่งนี้มาเข้าโรงพยาบาลเลย เพื่อรับยาคีโม...”

            หมอน่านอธิบายขั้นตอนการรักษาอย่างละเอียด ด้วยน้ำเสียงชัดเจน และหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นแววตานักสู้จากคุณดาริกา

            ถ้าการเผชิญหน้ากับโรคร้าย คือการเข้าสู่สนามรบ หมอน่านก็พร้อมจะร่วมรบกับสองแม่ลูก เฉกเช่นนักสู้เสมอกัน ไม่ยอมท้อถอย ถอดใจ...

            “ดี...” คุณดาริกายิ้มออกมาเป็นครั้งแรก รอยยิ้มเช่นนี้มาจากใจห้าวหาญ...คำพูดสามีในความฝันยังดังก้องในหู

            ...เธอต้องเข้มแข็ง เป็นหลักให้ลูก...

            ใช่...หากเธออ่อนแอเสียแล้ว ลานน้ำค้างจะยืนหยัดได้อย่างไร

            “ลาน...” คราวนี้หมอน่านพูดกับหญิงสาว

            ลานน้ำค้างหันมามองด้วยแววตารับรู้ เธอได้ยินทุกคำพูด ระหว่างมารดากับหมอน่าน เพียงแต่เวลานี้ปากหนัก พูดอะไรไม่ออก

            “พรุ่งนี้เตรียมตัวมานอนโรงพยาบาล ต้องระวัง รักษาสุขภาพให้ดี” หมอน่านแนะนำ “พักผ่อนให้เพียงพอนะ”

            ชายหนุ่มพูดถึงข้อปฏิบัติตัวของผู้ป่วยอีกยืดยาว ลานน้ำค้างนิ่งฟัง และเอ่ยปากเมื่อเขาจบประโยคสุดท้าย

            “ค่ะ”

            เมื่อจบคำพูดเหล่านี้ ทั้งสามไม่มีคำพูดอื่นใดจำเป็นต้องเปล่งวาจาออกมาอีก หมอน่านก้มหน้าเขียนใบสั่งยาพร้อมแนะนำเรื่องการจองห้องกับคุณดาริกา

            “เข้าใจแล้วจ้ะ...ถ้างั้นน้าไปรับยา แล้วติดต่อเรื่องห้องก่อนนะ” ท้ายเสียงพูดยังฟังอ่อนโยนดุจเดิม

            หมอน่านยิ้มฝืน มองดูใบหน้าหญิงสาวที่เป็นเหมือนน้องสาว

            “ลาน” น้ำเสียงเขาคราวนี้ชัดเจน หนักแน่น “เราจะสู้ด้วยกัน พี่ไม่ทิ้งลานแน่ ๆ”

            ลานน้ำค้างกลืนก้อนแข็ง ๆ ลงลำคอ สบตอบคุณหมอหนุ่มด้วยนัยน์ตาหล่อรื้นหยาดน้ำใสที่เอ้อท้นขอบตา

            คำพูด ‘ขอบคุณ’ ไม่สามารถหลุดจากปาก...เจ้าตัวรู้...หากเปล่งวาจาใดออกมา น้ำตาจะร่วงพรูติดตามไม่ขาดสาย



            สองแม่ลูกเดินออกจากห้องตรวจด้วยกิริยาปกติ จังหวะก้าวเชื่องช้า มั่นคง เดินไปยังห้องรับยา ยื่นใบสั่งยา จากนั้นกลับมานั่งรอ โดยแทบไม่พูดจากันเลย

            ระหว่างรอรับยา คุณดาริกามองลูกสาว รอยยิ้มอบอุ่นยื่นให้ มืออันอ่อนโยนเอื้อมมาบีบกระชับ พร้อมคำถามแรก

            “กลัวไหมลูก” คำถามเหมือนวาจาปลอบประโลม หากนัยน์ตาคนเป็นแม่เด็ดเดี่ยว มั่นคงนัก

            “เมื่อกี้...ลานกลัว...มาก” ลานน้ำค้างตอบเสียงแผ่ว “แต่มีแม่อยู่ข้าง ๆ อย่างนี้ ลานไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”

            หญิงสาวพูดเท่านี้ หยาดน้ำตาที่สะกดกลั้นไว้ก็ร่วงเผาะ สะอื้นไหวจนตัวโยน โดยไม่คิดข่มกลั้น ปล่อยให้ความอ่อนแอครอบคลุมใจ

            ...ร้องไห้เสียให้พอ...และนับจากนี้ หล่อนจะไม่อ่อนแออีก ไม่มีวันร้องไห้แสดงความกลัวตายให้ใครเห็น...

            ลานน้ำค้างมีแม่ที่เข้มแข็งขนาดนี้ แม่ที่ไม่ยอมแสดงท่าทางลนลาน ขวัญเสีย เมื่อรู้ว่าลูกสาวเป็นโรคร้ายยากรักษา...แม่ที่มีสติมั่นคง เป็นหลักให้พิงซบอย่างอบอุ่น วางใจ

            แม่เป็นนักสู้ดุจแม่เสือผู้กล้าหาญ...แล้วหล่อนจะเป็นเพียงลูกกวางน้อยผู้ขลาดกลัวได้อย่างไร...

            แม่คือนักสู้...ลูกก็ต้องเป็นนักสู้แท้...ที่ไม่แตกต่างกัน




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            “ทำไมพี่ลานไม่มาสักทีล่ะ” ปันปันเริ่มบ่น หลังจากสาธยายความดี ความน่ารักของพี่สาวคนนี้ให้พี่ชายฟังจนหมดข้อมูลแล้ว

            “พี่เขามีธุระอื่นอยู่มั้ง” เลียบเมืองบอกน้องสาวอย่างไม่เห็นสำคัญ

            “แต่พี่ลานบอกว่าจะมานี่” เด็กหญิงหน้าง้ำ ก่อนพูดอุบอิบ “ถึงจะไม่ได้เกี่ยวก้อยสัญญากันก็เถอะ”

            ที่จริง ทั้งสองเกือบเกี่ยวก้อยสัญญากันแล้ว ถ้าเลียบเมืองไม่เข้ามาในห้องเสียก่อน หลังจากนั้นลานน้ำค้างก็หาโอกาสปลีกตัวออกไป โดยไม่ยืนยันว่าจะกลับมาอีกรอบ

            ประตูห้องคนป่วยเปิดออก ปันปันเตรียมร้องเรียกชื่อ “พี่ลาน” อย่างยินดี แต่ผิดคาด คนที่เข้ามากลับเป็น คุณหญิงรัดเกล้า มารดาตนเอง

            “แม่มาแล้ว...ไชโย...แม่มาแล้ว” ปันปันเปลี่ยนจากอารมณ์กระเง้ากระงอด เป็นยินดีทันทีที่เห็นมารดามาถึง

            “ร้องดีใจใหญ่เชียวปันปัน...รู้ว่าจะได้กลับบ้านล่ะสิ” คุณหญิงหยอกลูกสาว

            “ปันปันยังไม่รีบกลับก็ได้” เด็กหญิงบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

            “เอ...มีแผนอะไรหรือเปล่า ทุกทีรบเร้าขอกลับบ้าน คราวนี้บอกว่าไม่รีบ...”

            “ปันปันจะรอพี่ลานก่อน” เจ้าตัวน้อยเฉลย

            “พี่ลาน” คุณหญิงทวนชื่อพลางหันไปมองลูกชาย

            เลียบเมืองยิ้มขัน ก่อนอธิบายให้มารดาเข้าใจ

            “ก็พี่ลานที่เขาให้ผมตามหายังไงครับ”

            “อ๋อ” คุณหญิงนึกได้ “ตายแล้ว...นี่ถ้าพี่ปอนของเราหาพี่ลานไม่เจอ ปันปันจะไม่ยอมกลับบ้านหรือจ๊ะ”

            พอโดนมารดาถามกึ่งล้อเลียนเช่นนี้ เจ้าตัวเล็กก็นั่งแปะบนเตียง ทำท่าเหมือนเจอปัญหายากขบคิด เลียบเมืองเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะเบา ๆ อธิบายเพิ่มเติม

            “เขาเจอกันแล้วครับแม่...ท่าทางจะเห่อพี่สาวคนนี้น่าดู พอเขาออกจากห้องไปไม่เท่าไหร่ ปันปันทั้งเชียร์ ทั้งบรรยายสรรพคุณให้ผมฟังเสียยกใหญ่”

            “อ้าว เจอกันแล้วก็หมดปัญหาได้นี่จ๊ะ” คุณหญิงรัดเกล้าเห็นเป็นเรื่องของเด็กที่ไม่สำคัญนัก

            “ก็ปันปันลืมขอเบอร์พี่ลานนี่...บ้านอยู่ไหนก็ไม่รู้ คราวหน้าจะเจอกันได้ยังไงล่ะ” นี่คือปัญหาสำคัญของเจ้าตัวน้อย

            “จริงสิ พี่ก็ลืมนึกไป” เลียบเมืองทำหน้าล้อเลียนน้องสาว “ปันปันต้องรอขอเบอร์พี่ลานเขาใช่ไหม แต่ถ้าพี่ลานเขาไม่มา จะทำยังไงดีน้า...”

            พอโดนพี่ชายหยอกเข้าแบบนี้ ปันปันก็ทำหน้าเครียด ใจเหี่ยว นึกโทษตัวเองที่มัวแต่คุยจนลืมถามที่อยู่ ขอเบอร์โทรศัพท์

            คุณหญิงรัดเกล้าเห็นลูกสาวทำท่าอย่างนั้นก็นึกขัน ชักอยากเห็นหน้าพี่ลานขึ้นมารำไร จึงแอบกระซิบถามลูกชายเบา ๆ

            “แล้วพี่ลานตัวจริงเป็นยังไง เลียบเจอมั้ย”

            “เจอครับ” เลียบเมืองตอบ รอยยิ้มพราวระยับในดวงตา “ก็ลานน้ำค้าง ผู้ช่วยเลขาของแม่ไง”

            พูดอย่างนี้คุณหญิงค่อยนึกออก ภาพหญิงสาวที่พูดถึงปรากฏชัดในห้วงสำนึก...ลานน้ำค้าง สาวหน้าใส ผมหยักศกยาวเคลียไหล่ ไม่ใช่คนสวยสะดุดตาอย่างเกรซ แต่มีดวงตาแจ่มใส ดวงหน้าผุดผาดชวนมอง ใครใกล้ชิด พูดคุยแล้วจะรู้สึกสบายใจ มีความน่ารักอย่างเป็นธรรมชาติ จึงไม่แปลกหากปันปันจะติดใจพี่สาวคนนี้
 
            ก่อนคุณหญิงจะบอกกับลูกสาวว่าไม่ต้องห่วงเรื่องที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของพี่ลาน...โทรศัพท์มือถือของหล่อนก็ดังขึ้นมาก่อน พอหยิบมาดูก็เห็นชื่อหน้าจอว่า ‘เกรซ’

            “เกรซโทรหาแม่” คุณหญิงบอกลูกชายอย่างนั้น เลียบเมืองสงสัย

            “ว่ายังไงจ๊ะหนูเกรซ” คุณหญิงกรอกเสียงสดใสรับสาย

            “สวัสดีค่ะคุณน้าหญิง” เสียงที่ตอบกลับมาไม่สดใสเท่าไหร่นัก

            “มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” ความที่คุ้นเคยจึงสะดุดใจในน้ำเสียง

            “เกรซมีเรื่องจะขออภัยอย่างแรงเลยค่ะ” ขึ้นต้นอย่างนี้ คุณหญิงก็พอเดาได้ “คือเรื่องที่ให้เกรซไปกับคณะ พรุ่งนี้...”

            “มีปัญหาอะไรหรือจ๊ะ” คุณหญิงถามแบบผู้ใหญ่ใจดี

            “เกรซไปไม่ได้แล้วค่ะ คุณพ่อท่านมีธุระใช้ให้เกรซเดินทางไปปารีสพรุ่งนี้พร้อมกับท่านด้วย เรื่องงานของบริษัทน่ะค่ะ”

            “อ๋อ...” คุณหญิงรับฟังอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไรจ้ะ น้าเข้าใจ เดี๋ยวจะบอกคุณหญิงท่านให้เองนะ เกรซไม่ต้องห่วง”

            “ขอบคุณคุณน้าหญิงจริง ๆ เลยค่ะ” หญิงสาวพูดอย่างโล่งอก

            “ไม่เป็นไร...เออนี่...เลียบเขาก็อยู่ใกล้ ๆ น้านะ จะคุยด้วยมั้ยจ๊ะ” คุณหญิงหันมายิ้มกับลูกชาย

            “ค่ะ...ขอคุยสักหน่อยก็ดี ขอบคุณคุณน้าหญิงมากค่ะ”

            เลียบเมืองรับโทรศัพท์จากมารดาโดยไม่อิดเอื้อน

            คุณหญิงแอบถอนใจเบา ๆ เหลือบมองลูกสาวตัวน้อยที่นั่งมองผู้ใหญ่ตาแป๋ว...ถึงตอนนี้เธอไม่มีข้ออ้างเลี่ยงการเดินทางวันพรุ่งนี้อีกแล้ว ปันปันออกจากโรงพยาบาลวันอังคาร คณะคุณหญิงเดินทางวันพุธ...ถ้าเกรซไม่ติดธุระ คุณหญิงยังแกล้งทำเฉย ไม่ร่วมเดินทางได้...แต่เกรซไปไม่ได้ เลียบเมืองต้องทำงาน หากคุณหญิงทำเฉยก็จะกลายเป็นดูดาย ไม่ให้ความร่วมมือ ทั้งที่ตนเองเป็นกรรมการ

            ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ เห็นมารดามีสีหน้ายุ่งยากใจ อดออกปากถามไม่ได้

            “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับแม่”

            “นิดหน่อยจ้ะ” คุณหญิงไม่โกหก พลางถามลูกสาวตัวน้อย “เราจะกลับบ้านกันหรือยังจ๊ะปันปัน”

            เลียบเมืองรู้ว่าแม่เลี่ยง ไม่ยอมอธิบายปัญหาของตน

            “รออีกเดี๋ยวไม่ได้เหรอ...ปันปันขอรอพี่ลานก่อน”

            “ก็ได้จ้ะ ถ้างั้นแม่ไปคุยกับคุณหมอก่อนนะ ถ้าเจอพี่ลานของปันปันกลางทาง แม่จะบอกให้มาหาที่นี่ แต่ถ้าไม่เจอ ปันปันต้องกลับบ้านพร้อมแม่นะ”

            เด็กหญิงพยักหน้าอย่างจำยอม รู้ว่าแม่กับพี่ปอนไม่มีเวลาว่างมากนัก ให้มารอพี่ลานด้วยคงไม่ได้...อีกอย่าง เจ้าตัวน้อยก็พอรู้ นานป่านนี้ หากพี่ลานยังไม่มา ก็แสดงว่ากลับบ้านไปแล้ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP