วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๒๐



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล

 



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            คุณหญิงรัดเกล้าและคณะกรรมการจัดงานเดินแบบการกุศลฯ ต่างยิ้มรับคำชื่นชมในการจัดงานคืนนี้อย่างหน้าชื่นตาบาน นับเป็นงานการกุศลที่ประสบความสำเร็จอีกงานหนึ่ง

            เริ่มตั้งแต่ชักชวนเจ้าของห้องเสื้อ นายแบบ นางแบบมืออาชีพระดับแนวหน้ามาร่วมทำงาน อีกทั้งยังได้นายแบบ นางแบบกิตติมศักดิ์ลูกหลานนักธุรกิจใหญ่ ชาวไฮโซทั้งหลายมาร่วมเดินแบบเป็นเกียรติในงานอย่างคับคั่ง เรียกเสียงปรบมือดังกราวไม่หยุด

            กระบวนนางแบบกิตติมศักดิ์ทั้งหลาย ไม่มีใครโดดเด่นเกิน ‘เกรซ’ ลูกสาวนักธุรกิจคนสำคัญ มีมารดาเป็นเชื้อสายตระกูลผู้ดีเก่า สามารถเดินแบบได้อย่างกลมกลืน แนบเนียนราวกับมืออาชีพ ท่วงท่ากิริยา ความงามข่มนางแบบทั้งแคตวอล์กให้ถูกลืมได้ในพริบตา เรียกเสียงปรบมือกึกก้องมากกว่าใคร

            ไฮไลต์อีกอย่างของงานคือ ‘มาตา’ นักร้องหญิงชื่อดังได้ขึ้นเวที ขับขานบทเพลงขับกล่อมผู้ร่วมงานอย่างไพเราะ จับใจ สร้างความชื่นชมประทับใจล้นหลาม

            ยอดเงินที่ได้จากการประมูลเสื้อผ้า เครื่องประดับและอื่น ๆ พุ่งสูงทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นับเท่าตัว สร้างความพอใจกับทุกคน รวมถึงทำให้ผู้จัดถึงกับหน้าบาน ยิ้มรับคำชมไม่หยุดหย่อน

            หลังงานเดินแบบ มีงานเลี้ยงแสดงความขอบคุณผู้ร่วมงานทุกคน เหล่านางแบบ นายแบบตัวจริง และกิตติมศักดิ์อยู่เกือบครบทุกคน รวมถึงนักร้องคนดังอย่างมาตาก็ให้เกียรติร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย

            ขณะนี้คุณหญิงรัดเกล้า มาตา เกรซ เลียบเมือง และคุณหญิงที่เป็นกรรมการจัดงานอีกคน กำลังยืนคุยกันด้วยเรื่องต่าง ๆ ทั้งสัพเพเหระ ทั้งชื่นชม เยินยอกันเอง จนกระทั่งวกเข้าเรื่องเกี่ยวกับงาน

            “อาทิตย์หน้า พวกเราจะนำเงินไปมอบให้กับพวกเด็กด้อยโอกาสที่ต่างจังหวัด ไม่ทราบว่าน้องมาตาจะไปกับพวกพี่ได้ไหมคะ” คุณหญิงที่เป็นกรรมการจัดงานถามขึ้น

            “ตาอยากไปนะคะ แต่ยังไงต้องขอดูคิวก่อนว่าจะตรงกับวันที่ไปหรือเปล่า” มาตาตอบแบบไม่ปฏิเสธ แต่ก็ยังไม่รับปากแน่นอน

            “แค่วันเดียวเองค่ะน้องมาตา พวกพี่อยากให้น้องไปร้องเพลงให้เด็ก ๆ ฟังด้วย” คุณหญิงคนนั้นพยายามชวนต่อ

            “วันไหนหรือคะ” มาตาถาม

            “วันพุธหน้า น้องมาตาไปได้ไหมคะ นั่งเครื่องบินแป๊บเดียวเอง”

            “ขอตาเช็คคิวอีกทีนะคะ แล้วจะโทรมาบอกคุณพี่โดยด่วนเลยค่ะ” นักร้องดังยังแบ่งรับแบ่งสู้เช่นเดิม

            “แหม ฟังแค่นี้พี่ก็ชื่นใจแล้ว ขอบใจจริง ๆ นะจ๊ะ” พูดจบคุณหญิงกรรมการก็หันไปทางเกรซ เลียบเมือง และคุณหญิงรัดเกล้า

            “อ้อ...ตาเลียบ หนูเกรซ แล้วก็คุณน้องด้วยนะ ขาดไม่ได้เชียว”

            “ผมคงต้องขอตัวครับ พุธหน้าผมมีบิน ยังไงฝากให้เกรซไปแทนแล้วกัน” เลียบเมืองออกตัวอย่างสุภาพ

            ถึงตรงนี้แล้วคุณหญิงรัดเกล้าควรจะรับปากทันที การที่เกรซมาร่วมงานนี้ก็เพราะเลียบเมือง ถ้าชายหนุ่มให้หญิงสาวไปแทนตัวเอง คุณหญิงก็ควรไปเป็นเพื่อนหล่อน

            ขณะที่คุณหญิงจะหลุดปากรับคำ คำพูดของลูกสาวตัวน้อยก็ดังก้องในหู

            “...แม่อย่าเดินทางไกลนะ...”

            ใจหายวูบ เหมือนมีสัญญาณระวังภัยเตือนขึ้นมาชั่วแวบ ทำให้รับคำไม่ออก

            “เราจะเดินทางยังไงคะคุณพี่” คุณหญิงรัดเกล้าถามเหมือนถ่วงเวลา

            “ขึ้นเครื่องบินเที่ยวเช้า แค่ชั่วโมงเดียว จากนั้นก็จะมีรถมารับเราไปส่งถึงที่เลยจ้ะ ทำพิธีมอบกันไม่นานหรอก เสร็จแล้วถ้าใครมีธุระด่วนจะกลับเที่ยวบ่ายก็ยังทัน ส่วนพวกคณะคงจะอยู่เที่ยวต่อ แล้วก็พักค้างคืนที่นั่น กลับกรุงเทพเที่ยวเช้าของวันต่อไป...” คำอธิบายยืดยาว เห็นภาพชัด

            “อ๋อ...” คุณหญิงยิ้มอย่างเข้าใจ พลางหันมาคุยกึ่งถามหญิงสาวข้างตัว “หนูเกรซสนใจไปแทนตาเลียบมั้ยจ๊ะ”

            “ก็...น่าสนุกดีนะคะ” หญิงสาวไม่เรื่องมาก “เกรซเป็นพวกว่างงานอยู่แล้ว ไปไหนก็ได้ไม่ลำบากหรอกค่ะ”

            “หรือจ๊ะ...” คุณหญิงหยุดคิดก่อนพูดชั่วครู่ “อืมม์...หนูเกรซจ๋า หนูจะว่าอะไรไหม ถ้าน้าจะขอให้ช่วยไปแทนน้าด้วยอีกคนนึง...”

            “อ้าว!” คนที่อุทานอย่างแปลกใจที่สุดกลับเป็นคุณหญิงกรรมการ ไม่ใช่เกรซ

            หญิงสาวแค่มองคุณหญิงรัดเกล้าอย่างสงสัย พลางเบนสายตาไปทางชายหนุ่ม ซึ่งเลียบเมืองไม่มีคำตอบให้ เขาเองยังแปลกใจที่มารดาตนปฏิเสธไม่เดินทางด้วยเช่นกัน

            คุณหญิงรัดเกล้าพยายามหาคำอธิบายโดยด่วน ให้สมเหตุสมผลพอ ไม่ฟังดูน่าเกลียด เหมือนเป็นการผลักไสหน้าที่ ไม่เห็นความสำคัญ

            “คือ...คุณหมอของน้องปันปันเขาบอกว่า อาทิตย์หน้าจะให้น้องเขากลับบ้านได้ ยังไงน้าก็ต้องอยู่ดูแลลูกก่อน ขืนปล่อยให้ตาเลียบจัดการเองอาจจะไม่เรียบร้อย ปันปันอาจงอแงได้จ้ะ”

            เลียบเมืองขยับปากจะค้านบอกว่า...หมอน้ำทิพย์ให้ปันปันกลับบ้านอาทิตย์หน้าได้ก็จริง แต่ไม่กำหนดว่าต้องเป็นวันพุธ จะถือเอาวันสะดวกวันไหนก็ได้...แต่พอเห็นสายตาของมารดาตนแล้วก็ต้องนิ่ง

            เหตุผลนี้ฟังดูอ่อนจนเกรซรู้สึก แต่ไม่เห็นความจำเป็นที่ตนต้องคัดค้าน คนที่เสนอทางออกกลับเป็นคุณหญิงกรรมการ

            “เอาอย่างนี้สิคะคุณน้อง ถ้าหนูปันปันจะออกจากโรงพยาบาลวันพุธหน้า เราค่อยมารับแกตอนบ่าย ๆ ก็ได้ ตอนนั้นคุณน้องก็ลงจากเครื่องมารับแก ไม่เสียงานด้วย”

            คุณหญิงรัดเกล้าพยายามหาเหตุผลอื่น...จะอ้างเรื่องงานที่บริษัทดี หรือเรื่องการติดต่อกับคู่ธุรกิจต่างชาติดี...

            คนที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้คุณหญิงกลับเป็นบุคคลที่เธอคาดไม่ถึง

            “น้องปันปันอายุเท่าไหร่คะ” ผู้ตั้งคำถามคือมาตา

            คุณหญิงรัดเกล้าได้จังหวะจึงยิ้มโล่งใจ รีบตอบคำถามทันที...

            “หกเจ็ดขวบเองค่ะ”

            “อุ๊ย ยังเล็กอยู่เลย เด็กขนาดนี้ท่าจะยังติดแม่นะคะ”

            “ใช่ค่ะน้องมาตา ...ปันปันแกติดพี่มาก ตั้งแต่คุณสันติเสีย แกก็เหลือแค่พี่กับตาเลียบเท่านั้นเอง”

            “แกป่วยเป็นโรคอะไรหรือคะ”

            “โรคหัวใจค่ะ ต้องผ่าตัดตั้งสองครั้ง แล้วตัวก็แค่นี้เอง”

            “โถ...น่าสงสารนะคะ วันนั้นคุณเลียบก็ต้องไปบินด้วย ถ้าคุณพี่ไม่อยู่อีกสักคนแกคงว้าเหว่น่าดู แกยังเด็กขนาดนี้ แล้วเป็นโรคนี้ด้วย ไม่ควรมีเรื่องให้แกรู้สึกเสียใจหรอกนะคะ” คราวนี้มาตาหันมาพูดกับคุณหญิงกรรมการ

            “เอ่อ...” คุณหญิงกรรมการไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร

            “ถ้างั้นเกรซไปแทนเลียบกับคุณน้าหญิงก็ได้คะ” หญิงสาวเป็นคนสรุป

            “เอาอย่างนั้นเหรอ...” คุณหญิงกรรมการไม่รู้จะพูดอย่างไร “แล้วน้องมาตาล่ะคะ”

           พอโดนไล่เลียงเข้าตัวขนาดนี้ มาตาจำเป็นต้องเปลี่ยนคำตอบบ้าง

           “เอาเป็นว่าตาขอรับไว้ก่อนนะคะ ถ้าไม่มีงานด่วนสำคัญจริง ๆ จะไปให้ค่ะ”

           “เฮ้อ...อย่างนี้พี่ค่อยโล่งอกหน่อย” คุณหญิงกรรมการยอมรับในที่สุด




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            เลียบเมืองพาเกรซกลับไปส่งบ้านเมื่องานใกล้จะเลิก ส่วนคุณหญิงรัดเกล้าเพิ่งมีโอกาสขอบคุณมาตาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวที่ช่วยพูดให้ตนเอง

            “พี่ต้องขอบใจน้องมาตาจริง ๆ ที่ช่วยพูดให้นะคะ”

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพี่...ตาเข้าใจดี เรามันคนหัวอกเดียวกัน” มาตาตอบ

            “เอ...พี่ไม่เข้าใจจริง ๆ เราหัวอกเดียวกันยังไงคะ” คุณหญิงสงสัย

            “แหม...คุณพี่ก็มีลูก ห่วงลูก ตาเข้าใจ เพราะตาก็มีลูกชายที่ต้องคอยให้เป็นห่วงเหมือนกัน” พูดพลางเจ้าตัวอดถอนใจไม่ได้

           “เอ่อ...” คราวนี้คุณหญิงรัดเกล้าแปลกใจ...จริงอยู่ ข่าวของชาวไฮโซ ที่คุยเรื่องการแต่งงาน มีลูกของนักร้องคนนี้เมื่อยี่สิบปีก่อน ก็ยังมีคนพูดถึงอยู่...แต่ไม่คิดว่าเจ้าหล่อนจะกล้าพูดเรื่องนี้กับคนไม่สนิทสนมอย่างเธอ

            “ลูกชายของตาแกทำตัวให้น่าเป็นห่วง ชวนไม่สบายใจหลายเรื่อง แต่เมื่อวันก่อน เขาโทรศัพท์มาอวยพรวันเกิด แล้วบอกว่า...เข้าใจความรักของตาแล้ว...ทั้งที่ตาไม่เคยดูแลแกจริง ๆ จัง ๆ เลย มันทำให้ตาตื้นตันมาจนถึงวันนี้ รู้สึกดีจังเลยที่มีเขาเป็นลูก...”

            คุณหญิงรัดเกล้าเข้าใจ เป็นคนเข้าใจของคนที่มีหัวอกความเป็นแม่เช่นเดียวกัน ถึงจะรู้...




- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -




            งานเลี้ยงขอบคุณแสดงความยินดีเลิกแล้ว มาตากำลังเดินออกจากงานไปที่ลานจอดรถ พอดีพบกับผู้จัดการส่วนตัวของตน ยืนกระวนกระวายรออยู่หน้างาน

            “พี่แหม่ม ทำไมยังอยู่อีกล่ะ ไหนบอกตาว่าจะรีบกลับบ้าน”

            “พี่แหม่ม” ผู้จัดการส่วนตัวสาวใหญ่ ร่างท้วม ผิวคล้ำผิดกับชื่อ ท่าทางคล่องแคล่ว ทำหน้าที่ดูแลงาน และเรื่องส่วนตัวให้เกือบทุกเรื่อง

           “พี่ก็กลับไปแล้ว แต่มีเรื่องด่วนต้องรีบกลับมาคุยกับเธอก่อน” น้ำเสียงพี่แหม่มบอกให้รู้ว่าเรื่องที่คุย ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา

            “เรื่องอะไรกันพี่” ได้ยินอย่างนี้มาตาชักรู้สึกไม่ค่อยดี

           “เราไปนั่งคุยกันในรถดีกว่า” พี่แหม่มพูดจบก็เดินนำหน้าหญิงสาวไปอย่างไม่รีรอ

            มาตาไม่มีทางเลือก นอกจากเร่งฝีเท้าตามผู้จัดการส่วนตัว เก็บความสงสัยไว้ในใจ...โชคดีที่ระยะทางจากหน้างานไปที่จอดรถไม่ไกลนัก หล่อนจึงไม่ต้องเก็บความอัดอั้นตันใจเนิ่นนานเกินไป

            พอนั่งในรถเรียบร้อย พี่แหม่มก็หยิบโทรศัพท์มือถือ กดเปิดภาพบางภาพออกมาให้มาตาดู อย่างไม่มีการเกริ่นนำ อธิบายให้เสียเวลา

            มาตามองภาพในโทรศัพท์มือถือแล้วขมวดคิ้ว พยายามนึกว่าภาพนี้มาจากไหน ความที่ภาพจากจอโทรศัพท์ค่อนข้างเล็ก หล่อนจึงเสียเวลาทบทวนความจำชั่วครู่ ก่อนอุทานเบา ๆ

            “อ๋อ...” อุทานได้อย่างนั้นหัวอกค่อยเบาลง

            “อ๋ออย่างนี้ได้ ก็คงรู้แล้วสิว่าเรื่องราวเป็นมายังไง” พี่แหม่มคาดคั้นกึ่งเหน็บแนม

            “ใครส่งรูปนี้มาให้พี่แหม่มล่ะ” มาตาถาม

            “อย่ารู้เลย มันไม่สำคัญหรอก ที่เขาส่งมาก็เพื่อ ให้เราเตรียมตัวรับมือกับภาพ - ข่าวที่ต้องลงแน่ ๆ”

            “โถ...พี่แหม่มดูไม่ออกเหรอว่ารูปใคร” หญิงสาวมีแก่ใจล้อ

            “ย่ะ...ฉันดูไม่ออกหรอก แม่คุณเล่นกอด หอมแก้มกับหนุ่ม ๆ หลายคนเหลือเกินนี่...แล้วไอ้หนุ่มผมยาว คนนี้มันเป็นใครกันล่ะยะ” คำพูดซักไซ้ คาดคั้นคำตอบจริง

            “โดมไงพี่...จำไม่ได้เหรอ” มาตาพูดปนขัน

            “หา...นี่นะโดม ลูกชายเธอ” พี่แหม่มอุทานเสียงไม่เบานัก “เห็นคราวก่อนยังไม่โตขนาดนี้นี่...”

            “อ้าว...นั่นมันกี่ปีแล้วพี่...เป็นยังไงหล่อใช่มั้ยละ ลูกชายของตา” คนเป็นแม่พูดอย่างภูมิใจ

            “จะบ้าเหรอมาตา...” พี่แหม่มดุเสียงหนัก “รูปนี่จะลงนิตยสารฉบับหน้าแล้ว เธอยังมามัวชื่นชมอยู่อีก”

            “ทำไมล่ะพี่แหม่ม...ตาจะกอด จะหอมแก้มลูกชายตัวเองแล้วมันผิดตรงไหน” หล่อนพูดอย่างไม่แคร์ “ใครจะเอาไปลงก็ลงซี่”

            “แล้วคุณชัชเขารู้มั้ยว่าเธอมีลูกชายโตขนาดนี้แล้ว...ไหนจะคุณหมอจอมเฮี้ยบ พ่อของโดมเขาอีกล่ะ คิดหรือว่าเขาจะยอมปล่อยให้ลูกชายเป็นข่าวแบบนี้...ถ้ารูปออกมาปัญหามันมีอีกยาวเลยนะ” พี่แหม่มแจกแจง

            “มีปัญหาก็มีไปสิพี่แหม่ม...ตาไม่เคยปิดใครเรื่องเคยแต่งงาน มีลูกนี่...หมอนภัทรเองต่างหากที่ไม่อยากให้ลูกเป็นข่าว ไม่อยากให้โดมได้ชื่อว่าเป็นลูกดารา นักร้องที่มีข่าวฉาวที่สุดคนนึงของเมืองไทย...ส่วนคุณชัชเขาก็รู้ว่าตาเคยแต่งงานมีลูกแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่เคยเจอหน้าโดมมาก่อนก็เถอะ...ตาเชื่อว่าเขาต้องไม่รังเกียจโดมแน่”

            “มองโลกแง่ดีเกินไปหรือเปล่าเธอ” พี่แหม่มอดไม่ได้ “อีตาชัชมันคงช็อกแน่ ถ้าเห็นลูกชายเธอโตเป็นหนุ่มขนาดนี้ แถมยังมาเป็นข่าว มีรูปคนรู้จักกันทั่วเมืองอีก พี่มั่นใจว่าเขาไม่ได้เตรียมใจรับสถานการณ์นี้แน่ ๆ”

            “ถ้าเขารักตาจริง ก็ต้องยอมรับได้สิพี่” มาตายืนยัน

            “เอ้า...ต่อให้อีตาชัชมันทำใจได้ เพราะโดมเขาคงอยู่กับพ่อ ไม่มายุ่งเกี่ยวกับเธอเท่าไหร่ แต่ต้นสังกัดต้องจัดงานแถลงข่าวเคลียร์ปัญหาแน่ ๆ เพราะรูปมันแรงขนาดนี้ ถ้าไม่บอกว่าเป็นลูก คนต้องคิดว่าเธอแอบมีกิ๊กใหม่อีก...คิดดู ถ้าเธอแถลงข่าวตามตรง ภาพพจน์ที่แฟนเพลงมองเธอก็ต้องเปลี่ยนไป อาจมีทั้งที่ชอบและไม่ชอบ แต่ที่สำคัญ อีตาหมอนภัทรเขาจะยอมให้เธอแถลงข่าวแบบนั้นไหม เขาเก็บโดมมาหลายปี ไม่อยากให้ลูกมายุ่งเกี่ยวกับเธอ กับข่าวเสีย ๆ ของเธอ...แล้วตัวโดมเองล่ะ ชีวิตเขาจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า ถ้าคนทั่วไปรู้ว่าเขาเป็นลูกของเธอ”

            มาตาถอนใจเมื่อได้ยินคำอธิบายยาวเหยียดจากพี่แหม่ม...ตั้งแต่เห็นรูปในจอมือถือ หล่อนก็รู้แล้วว่าต้องเกิดปัญหาตามมาแน่นอน แต่จะกลุ้มใจล่วงหน้าไปทำไม สู้อยู่รอรับความจริงไม่ดีกว่าหรือ

            เกือบยี่สิบปีที่เวียนว่ายอยู่ในวงการบันเทิง หล่อนยอมรับว่าไม่ได้ทำตัวเป็นคนดี จนลูกเกิดความภูมิใจได้ ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องข่าวคาวเป็นระยะ มีเรื่องเสียหายชวนอับอายไม่น้อย

            ถึงตอนนี้ เมื่อปัญหานั้นถูกลากโยงมาถึงลูกชายคนเดียว...หล่อนควรจะทำตัวอย่างไร...ทำอย่างไรถึงจะสามารถปกป้องโดม ไม่ให้ลูกชายต้องมามีส่วนแปดเปื้อนกับชีวิตของหล่อนได้







บทที่ ๑๓



           “เหนื่อยจัง...ผมโทรหาคุณได้มั้ย...จากโดม”

           ลานน้ำค้างอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ แล้วดูนาฬิกาบนโต๊ะ เห็นเวลาเลยเที่ยงคืนเล็กน้อย ตั้งใจเฉย ไม่ตอบข้อความ ปล่อยให้คิดว่าหล่อนหลับไปแล้ว...พออ่านทวนข้อความอีกครั้งก็นึกเห็นใจ...

            โดมคงอยากโทรศัพท์มาคุยด้วย พอเห็นเวลาดึกมาก จึงไม่กล้าโทรมาหา เลยส่งข้อความถามก่อน...คำที่บอกว่า ‘เหนื่อยจัง’ น่าจะบอกสภาพโดยรวมของเขาชัดเจน รู้อย่างนี้ก็ทำใจแข็งไม่ไหว

            หญิงสาวโทรศัพท์ไปหา แทนการส่งข้อความตอบ

            “เป็นยังไงบ้าง” ลานน้ำค้างรีบถามก่อน

            “ขอโทษที่รบกวนคุณดึกขนาดนี้...” น้ำเสียงอ่อนอ่อย แฝงความยินดี “ผมเพิ่งกลับจากห้องซ้อมตะกี้เอง”

            “ซ้อมดึกขนาดนี้เลยหรือ” ลานน้ำค้างแปลกใจ

            “ใช่...” โดมตอบ “หลังวันเซ็นสัญญา ทางบริษัทก็มีตารางซ้อม ตารางงานให้เกือบทุกวัน เหนื่อยจริง ๆ”

            “ดีแล้วน่า จะได้ใกล้ความฝันเข้าไปอีกนิด” หญิงสาวให้กำลังใจ

            “ให้ซ้อมร้องเพลง ซ้อมดนตรีเหนื่อยยังไงผมก็สู้นะ...แต่งานบางอย่างนี่ ผมไม่ชอบเลย” เขาบ่นเหมือนอยากพูดมานาน แต่หาคนรับฟังไม่ได้

            “อ้าว โดมไม่ชอบทำงานอะไร” ลานน้ำค้างถาม

            “ผมเบื่อเรื่องต้องไปถ่ายแบบ ถ่ายรูป ต้องไปแต่งหน้า แต่งตัว ทำผม โพสต์ท่า ทำหน้าหล่อ...ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา”

            “ถ่ายลงนิตยสารหรือปกอัลบั้มล่ะ” หล่อนถามอย่างคนไม่รู้เรื่องงานวงการบันเทิง

            “นิตยสาร...เป็นหนังสือในเครือบริษัทนั่นแหละ เขาบอกว่าให้มีรูปลงหนังสือ คนจะได้คุ้นหน้า พอออกซิงเกิล ออกอัลบั้มจะได้มีกลุ่มคนรู้จักบ้าง”

            ลานน้ำค้างฟังแล้วพอเข้าใจ นี่เป็นแผนการปั้นนักร้องอย่างหนึ่ง...รูปร่างหน้าตาอย่างโดม ต่อให้ไม่เป็นนักร้อง ก็เป็นนายแบบ ดาราสบายอยู่แล้ว

            “นี่เขายังบอกว่าจะให้ผมไปเล่นรับเชิญในละครซิทคอมอีกนะ แล้วจากนี้ไม่รู้ว่าต้องไปเป็นอะไรอีก...” โดมพูดอย่างเซ็งจัด ไม่เหมือนคนอยากเข้าวงการบันเทิง

            “แล้วยังไง...โดมไม่อยากเป็นดาราเหรอ”

            “ถ้าผมอยากเป็นดาราก็ได้เป็นนานแล้ว มีคนชวนตั้งหลายครั้ง แต่ผมชอบแค่ร้องเพลง เล่นดนตรี มันเป็นตัวผมที่สุด ไม่ได้เสแสร้งอะไร ผมไม่อยากฝืนเป็นอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง”

            “มันต้องอดทนนะโดม...” ลานน้ำค้างพูด “คิดว่านี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนได้มั้ย ไม่มีทางที่เราจะได้อะไรมาง่าย ๆ โดยไม่สูญเสียอะไรตอบแทนหรอก”

            “ผมแค่อยากร้องเพลง ออกอัลบั้มของตัวเอง ผมยอมเหนื่อยฝึกซ้อมทั้งวันทั้งคืนก็ได้เพื่อแลกกับความสามารถนั้น แต่ให้ไปปั้นหน้า ไปแสดงอะไรที่ไม่ใช่เรา ผมก็ไม่อยากทำ...” เด็กหนุ่มบ่น

            “แล้วยังไงล่ะ แค่เจองานที่ไม่ชอบ โดมก็จะเลิกไล่ตามฝันแค่นี้หรือ” หญิงสาวถาม

            เด็กหนุ่มอึ้ง ตอบไม่ถูก ลานน้ำค้างจึงพูดต่อตามที่ตนเองคิด

            “ลองมองในมุมคนเป็นเจ้าของบริษัทบ้างนะโดม...การที่เขาจะปั้นเด็กหนุ่มโนเนมขึ้นมาสักคน ให้เป็นนักร้องน่ะ มันต้องลงทุน มีความเสี่ยงสูงขนาดไหน...โดมร้องเพลงดี เล่นดนตรีเก่งพี่ยอมรับ ยิ่งถ้าได้ฝึกฝน เรียนรู้ต่อไปอีก ก็น่าจะเป็นมืออาชีพระดับแนวหน้าได้...แล้วโดมเคยเห็นไหม นักร้อง นักดนตรีที่เก่งกว่าโดมตั้งเยอะ แต่เพลงเขาไม่ดัง ยอดขายไม่ดี ทำให้บริษัทขาดทุนก็ยังมี...”

            “จริง...” โดมยอมรับ ลานน้ำค้างได้ทีรีบพูดต่อ

            “การที่เขาให้โดมถ่ายแบบ เล่นซิทคอม มันก็เป็นผลดีต่อโดม ต่อเขาด้วย...ตัวโดมเองก็มีรายได้ เป็นที่รู้จัก ถ้าละครที่โดมเล่นเกิดดังขึ้นมา ก็มีผลต่อเพลงที่เขาจะทำให้โดมอีก...เห็นไหมว่ามันมีขั้นตอนอย่างนี้ เราก็ต้องอดทน” หญิงสาวย้ำคำท้าย

            เด็กหนุ่มถอนใจยาว เข้าใจทุกคำพูด เข้าใจมากกว่าที่ลานน้ำค้างอธิบายด้วยซ้ำ ตัวอย่างที่เคยเห็นชัดเจนก็มี... บางครั้งแม่โดนข่าวแรง ๆ เขามักจะโทรไปถามอย่างเป็นห่วง แม่กลับตอบเสียงกลั้วหัวเราะสบายใจว่า...

            ... “ไม่เป็นไรหรอกลูก ให้แม่มีข่าวอย่างนี้ยังดีกว่าเงียบไปเลย...พวกศิลปินนี่ ปล่อยให้มีข่าวร้าย ๆ ออกมาบ้าง ยังดีกว่าไม่มีใครพูดถึงเลยนะ” ...

            เขาขัดใจ ไม่เห็นความจำเป็นต้องยอมแบบนั้น แค่แม่ร้องเพลงให้เพราะ...คนฟังพอใจ ก็น่าจะพอแล้ว ทำไมต้องยอมเปลืองตัวเป็นข่าว เพื่อให้ผู้คนจดจำอีก

            “ผมรู้...” โดมพูดสียงแผ่ว เข้าใจลึกซึ้ง

            ลานน้ำค้างสะท้านเยือกในอก ความที่รู้เบื้องหลังเขา ทำให้นึกเห็นใจ โดมกำลังเดินบนเส้นทางที่มาตาเคยผ่าน...หล่อนไม่รู้ว่าเขาอยากเป็นนักร้องเพราะอะไร แต่เมื่อก้าวย่างเป็น ‘คนของประชาชน’ ก็ต้องยอมแลก...ยอมสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองส่วนหนึ่ง ความชอบ ความพอใจอีกส่วนหนึ่ง และที่สำคัญ ต้องสูญเสียความเป็นอิสระส่วนตัวเกือบสิ้นเชิง

           “เอาน่า...สู้สู้นะโดม” หญิงสาวปลุกปลอบให้กำลังใจ “แค่ยกแรกก็ยอมแพ้แล้วเหรอ...ถามตัวเองสิ เราอยากเป็นนักร้องเพราะอะไร แล้วเพื่อเป้าหมายนั้น เราจะยอมเอาความเพียรพยายาม ความอดทน ความชอบ ไม่ชอบ ส่วนตัวเข้าแลกมั้ย”

            โดมอึ้ง โดนคำถามกระแทกใจ...เขาอยากเป็นนักร้องเพราะเหตุใด มันเป็นคำถามที่ยากจะตอบ เพราะเขาไม่กล้าเผชิญความจริงในใจตัวเอง

            “โดมรู้มั้ย” ลานน้ำค้างพูดเสียงปลอบประโลม “หลายคนอยากมีรูปร่าง หน้าตาหล่ออย่างโดม อยากเล่นดนตรีเก่ง ร้องเพลงเพราะอย่างโดม อยากมีโอกาสเข้าค่ายเพลงยักษ์ใหญ่อย่างโดม อยากได้งานเป็นนายแบบ เป็นดารา อย่างโดม...เพื่อทุกสิ่งที่โดมมีในปัจจุบัน พวกเขากล้าเอาชีวิตทั้งชีวิตเข้าแลก...แล้วทำไมโดมถึงท้อแท้ เบื่อหน่าย ตั้งแต่ก้าวแรกอย่างนี้เลยล่ะ”

            เด็กหนุ่มตอบไม่ได้...บางสิ่งสำหรับเขาได้มาง่ายดาย จนไม่เห็นคุณค่า ความสำคัญของมัน พอต้องฝืนใจ อดทนทำอะไรที่ขัดกับนิสัยส่วนตัวเช่นนี้ เขากลับบ่น อ่อนแอ

            “ ผมจะสู้ต่อ” โดมบอกในที่สุด

            “ต้องอย่างนั้นสิ พี่เอาใจช่วยนะ จะรอโหลดซิงเกิล ซื้ออัลบั้มโดมเป็นคนแรกเลย”

            “ขอบคุณ...” เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา ในใจมีความอบอุ่นที่สุด

            หากก่อนหน้านี้ เขามีเหตุผลใดที่ต้องการเป็นนักร้องก็ตามที ปัจจุบันเหตุผลอีกข้อที่เขาต้องเป็นนักร้องให้ได้ก็เพื่อผู้หญิงคนนี้...คนที่บอกว่าจะรอฟังเพลงของเขา



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP