สารส่องใจ Enlightenment

การคบเพื่อนเพื่อทำปริญญาในจิตใจ (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม
วัดแพร่ธรรมาราม อ.เด่นชัย จ.แพร่



การคบเพื่อนเพื่อทำปริญญาในจิตใจ (ตอนที่ ๑)(คลิก)


การสร้างความดีสร้างบารมีมันก็ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากเป็นธรรมดา
ถ้าไม่ยากไม่ลำบากก็ไม่ชื่อว่าเป็นการสร้างบารมี

เราอยู่ที่บ้านอยู่ที่ถิ่นถือว่าคนขยันมันมีน้อย คนที่เป็นตัวอย่างมันมีน้อย
ให้เราระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นบุคคลที่ขี้เกียจไม่เป็น
ต้องระลึกถึงท่านไว้ให้ดี ๆ ตั้งมั่นในพระพุทธเจ้าไว้



เวลามันมีจำกัด เราจะเอาเวลาไปดูทีวี คุยโทรศัพท์ ฟังเพลง ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนไม่ได้นะ
ไม่อย่างนั้นเทพเจ้าที่ไหนจะมาช่วยเราไหว
ไม่อย่างนั้นครูบาอาจารย์ที่ไหนจะมาช่วยเราไหว เพราะตัวเราไม่ช่วยเหลือตัวเอง



การที่จะเป็นคนดีได้มันต้องทวนกระแส
คนที่ไม่ทวนกระแสแสดงว่าเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถ ไม่มีศักยภาพ
เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจ ไม่รู้จักแก้ไขตัวเอง



อย่าให้เวลาเราหมดไปโดยเปล่าประโยชน์
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอาใจใส่ในตัวเอง เอาใจใส่ในหน้าที่การงานของตัวเอง



การที่เราตัดบาปตัดกรรมได้นั้น เราต้องมาเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองนะ
ถ้าเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรมเราก็จะเป็นคนบาปไปเรื่อย
อย่างพระของเรานี้ พระพุทธเจ้าท่านให้ดูแลตนเองว่าให้คิด ให้พูด ให้ทำแต่สิ่งที่ดี
ให้ขยัน ให้อดทนทำความดี ๑๕ วัน ให้ลงอุโบสถปาฏิโมกข์ครั้งหนึ่ง
เพื่อจะได้ดูความบกพร่องของตนเองว่า
ตนเองทำผิดพระวินัยข้อไหนบ้าง หรือความบกพร่องด่างพร้อยอะไร
จะได้รู้ตัวเองว่าเราได้ทำความผิดอะไรไปบ้าง
เพื่อจะได้แก้ไขตัดกรรมตัดเวรที่ตัวเองทำผิดพลาดไว้ จะได้ไม่ทำความผิดอีก



เราต้องแก้ไข เราถึงได้ดีนะ
คนอื่นบอกเรา สอนเรา บังคับเรา แล้วเราก็ต้องบอกเราสอนเรายิ่งๆ ขึ้นไป
ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ชีวิตของเราจะแย่ตกต่ำไปทุกวัน ไม่มีอะไรดีขึ้น
เราไม่อยากทุกข์มันก็ต้องทุกข์ เราไม่อยากจนเราก็ต้องจน
เพราะกรรมคือการกระทำของเรามันทำให้เราทุกข์ ทำให้เรายากจน
พ่อแม่ของเราท่านก็เป็นคนธรรมดา ส่วนใหญ่ก็ถือว่ายังขี้เกียจอยู่
ความขี้เกียจนี้คืออบายมุข ถ้าติดขี้เกียจคือติดอบายมุข
โอกาสต่อไปเราก็ให้ถือว่า เราจะไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ติดอบายมุขอีกแล้ว
เราจะเป็นอภิชาตบุตร
เป็นบุตรที่พัฒนาตัวเองให้ยิ่งๆ ขึ้นไปได้มากกว่าพ่อแม่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล
เราจะปรับปรุงสายพันธุ์ใหม่เพื่อเกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อสังคมยิ่งๆ ขึ้นไป



จงอย่าปล่อยโอกาสให้มันสายเกินไป
ที่มันจะแก้ไขไม่ได้ก็เพราะมันสายเกินไป
แล้วก็ได้แต่มานั่งคิดนอนคิดว่าเราจะทำมาหากินอะไรเลี้ยงครอบครัว!



คนเราถ้ามันทำดีมากๆ จิตใจมันมีกำลัง จิตใจมันมีความสุข
ถ้าความดีเรามีน้อย ความเสียสละเรามีน้อย จิตใจมันมีความทุกข์นะ
จิตใจไม่มีกำลัง จะเป็นเหตุให้จิตใจเศร้าหมอง
สาเหตุมันเนื่องมาจากจิตใจของเราที่เป็นคนไม่เสียสละ
ระวังนะ การปล่อยวางกับขี้เกียจน่ะมันจะหลงกัน
เราจะเอาความขี้เกียจเป็นการปล่อยวางมันไม่ถูก
การปล่อยวางต้องเป็นการปล่อยวางความขี้เกียจออกจากใจเรา



ความขี้เกียจนี้มันก็คิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว แค่นี้ก็ดีแล้ว
เราจะกระตือรือร้นไปทำไม ตายไปแล้วเอาอะไรไปด้วยก็ไม่ได้
ความคิดนี้มันคนไม่มีสติปัญญา มันเป็นความคิดของกิเลสนะ
แสดงว่ากิเลสมันเก่งกว่าเรา มันจะเอาความขี้เกียจมาเป็นการปล่อยวาง อย่างนั้นไม่ได้
เจ้าตัวนี้คือกิเลส มันใหญ่โตมาก ตัวเป็นขนให้รู้มันนะ


นักปฏิบัติอย่าได้พากันเข้าใจผิด เอาตัวขี้เกียจมาเป็นการปล่อยวาง
ทำตามกิเลส คิดว่าตัวเองเป็นคนปล่อยวาง
อย่าได้ทำตามความยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง
อะไรก็เอาแต่ไม่ยึดมั่นถือมั่น ศีลก็ทิ้งไปหมด ธรรมก็ทิ้งไปหมด วินัยก็ทิ้งไปหมด
เรามันปล่อยวางไม่ถูก ไปปล่อยวางพระธรรมวินัยทิ้งไปหมด
เดี๋ยวจะเป็นคนไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีข้อวัตรปฏิบัติ



คนบ้ามันก็ปล่อยวางเก่งเหมือนกันนะ เสื้อผ้าไม่ใส่มันก็ไม่อาย
ใส่เสื้อผ้าขาดๆ สกปรก มอมแมม เดินเก็บขยะอยู่ตามถนนหนทาง
คนบ้าไม่อายใครหรอก เพราะว่ามันปล่อยวาง เรียกว่าปล่อยวางอย่างคนบ้า
คนบ้านี่ถ้าเอาอาหารมาไว้ข้างหน้าหลายๆ อย่าง ทั้งที่อร่อยและไม่อร่อย
คนบ้าจะเลือกกินแต่ของที่อร่อยๆ แสดงว่ามันเป็นคนเห็นแก่ตัวจนเป็นคนบ้า
การที่เราทำตามใจตนเองเป็นเชื้อสายของคนบ้านะ


พระพุทธเจ้าท่านให้เรารักษาโรคบ้าโดยการไม่ทำตามใจตนเอง
คนเรานี่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพียงแต่ทำตามพระพุทธเจ้าสอน
ทำตามศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ นะ
เพียงแต่ทำตามไม่ต้องคิดอะไรมาก เราจะได้ดีเอง ไม่ต้องลังเลสงสัย
อย่าได้ลูบๆ คลำๆ อยู่นั่น อย่าไปสงสัยว่าถูกหรือเปล่า
ถ้าทำตามพระพุทธเจ้าก็ต้องถูกแน่นอน
ไม่ต้องไปคิดไปค้นคว้าให้มันเหนื่อย ให้มันเสียเวลา ทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้
มันไม่มีอะไรสลับซับซ้อนที่ให้เราคิด ให้เราวุ่นวาย
เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านค้นคว้าให้เราแล้ว มันเป็นสูตรสำเร็จรูปอยู่แล้ว
เพียงแต่เราประพฤติปฏิบัติตาม ความเจริญ ความงอกงามก็จะเกิดขึ้นกับเราเอง



พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างไร เราเอาอย่างนั้น
เราก็จะได้ไม่ผิดพลาดผิดหวังในชีวิต
ได้ถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ

ปัจจัย ๔ ข้าวของเงินทอง ลาภยศสรรเสริญมันจะตามเรามาเอง
พร้อมทั้งเราได้ปรับปรุงสายพันธุ์ของเรา เราจะได้มีอริยทรัพย์ยิ่งๆ ขึ้นไป
ชีวิตของเราก็จะมีแต่ความสุข ความสงบ ความร่มเย็น



การศึกษาหาความรู้มันควบคู่กับคุณธรรมนะ มันจะแยกกันไม่ได้
ถ้าแยกกันแล้ว ประเทศชาติบ้านเมืองจะเดือดร้อน
เพราะไปมุ่งแต่ทางวัตถุ ทิ้งเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องคุณธรรม
พระพุทธเจ้าท่านให้กลับมาปรับปรุงแก้ไข กาย วาจา ใจ
ถึงจะเป็นคนที่น่าเคารพนับถือ กราบไหว้ตนเองได้ คนอื่นก็ไว้วางใจ
ที่เรามีปัญหาทุกวันนี้เพราะความดีความเสียสละยังไม่เพียงพอ ยังน้อยอยู่
ความขี้เกียจขี้คร้านของเรายังมีมาก แล้วใครจะมารักเรา ใครจะมาเคารพนับถือเรา
?


คนที่ต้องการความเจริญนั้นต้องก้าวไปด้วยความดี ด้วยการประพฤติปฏิบัติ
เราอยู่ที่อยู่ไหน สถานที่นั้นคือสถานที่ประพฤติปฏิบัติของเรา
เราอยู่ที่บ้านของเรา นั่นแหละคือสถานที่ปฏิบัติธรรม
เราอยู่ที่ทำงานอยู่ที่สำนักงาน ที่นั่นแหละคือที่ปฏิบัติธรรมของเรา
ให้เราทำความดี ให้เราเสียสละ
เราอยู่กับบ้านอยู่กับที่ทำงาน มันมีสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เราหลงไปตามอยู่มาก
ไม่ว่ารูปสวยๆ เสียงเพราะๆ มีทั้งสิ่งที่ดีไม่ดีเยอะแยะมากมายเลย



พระพุทธเจ้าท่านให้เราเป็นตัวของตัวเอง
ให้ทำดี ทำงานให้มีความสุข อย่าไปตื่นเต้นตามสิ่งแวดล้อม
ในโลกนี้มันเป็นอย่างนี้แหละ มันมีสิ่งที่ดีสิ่งที่ไม่ดีปะปนกันไป
มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มันไม่มีอะไรไปมากกว่านี้
ช่วงนี้แหละ จังหวะนี้แหละ เป็นการรักษาศีล เป็นการทำสมาธิของเรา
เป็นการเจริญสติ เจริญปัญญาของเรา
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราปล่อยโอกาสปล่อยเวลาให้เพลิดเพลินกับสิ่งต่างๆ



พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
เราอย่าไปติดอกติดใจ เสียใจกับสิ่งนั้นๆ
ให้เราถือโอกาสประพฤติปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันของเราไปเรื่อยๆ



เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญของเรา อย่าได้ปล่อยโอกาส ปล่อยเวลา
โดยที่ไม่ปรับปรุงแก้ไขให้ตัวเองมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
นี่แหละเขาเรียกว่าการประพฤติปฏิบัติธรรม มันถึงทำได้ทุกหนทุกแห่ง
เรามีโอกาส มีเวลา เราค่อยมาเพิ่มปัญญาบารมี สมาธิบารมี ศีลบารมีที่วัด
เหมือนที่เรากำลังกระทำกันอยู่



พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้จักความสงบนะ
ความสงบมันอยู่ที่ใจของเรา ถ้าเราคิดเป็นคิดถูกต้อง
ในสิ่งที่มันไม่ดีก็ทำใจให้ดี มีปัญญา สิ่งที่มันดีก็ทำให้ใจของเราไม่หลง
เราปฏิบัติไปอย่างนี้ ทำอย่างนี้นะ เราก็จะได้ปฏิบัติตัวเองไปโดยอัตโนมัติ
เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งเราปลูกไว้ เราให้น้ำให้ปุ๋ยมันก็โตวันโตคืน
เราไม่รู้ว่ามันโตเมื่อไหร่ แต่มันโต สุดท้ายมันก็เป็นต้นไม้ใหญ่
เราฝึกพื้นฐานของเราไปเรื่อยๆ
เราเดิน นั่ง นอน ก็ให้ใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว
เราทำงานก็ให้ใจของเราอยู่กับการทำงาน
คนเรานะถ้าใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว
จิตใจมันมีความสุขมีความสงบ มันไม่มีความฟุ้งซ่าน



เราฝึกบ่อยๆ จิตใจของเรามันจะสงบ จะเย็น จะเป็นคนมีสมาธิ มีปัญญา
ฝึกพื้นฐานไว้ดีๆ ฝึกหายใจเข้าหายใจออกให้สบายๆ ไว้
เราอยู่ที่ไหนก็ฝึกหายใจเข้าสบายไว้ออกสบายไว้
เรามีความสุขในการทำงาน มีความสุขกับการหายใจเข้าสบายออกสบาย



เมื่อใดเราไม่ได้อยู่กับลมหายใจ
เราก็อยู่กับการทำงาน การเดิน การนั่งให้มันสงบ
ฝึกไปอย่างนี้แหละ ฝึกทุกๆ วัน
วันไหนก็ทำแต่สิ่งเก่าอย่างนี้แหละ เดี๋ยวมันก็ชำนาญขึ้นเอง
แต่ก่อนมันเป็นความรู้เฉยๆ แต่เมื่อเราทำบ่อยๆ มันก็ชำนาญขึ้น



การปฏิบัติธรรมการทำความดีนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเราว่า
อย่าได้เบื่อเหมือนคนเรานี้มันต้องหายใจเข้าหายใจออก
เราจะไปเบื่อหายใจไม่ได้
ถ้าเราเบื่อหายใจ แสดงว่าเราต้องตายนะ!
ความดีเป็นสิ่งที่เราต้องทำถ้าเราไม่ทำแสดงว่าเราตายจากความดี
ทำไปเรื่อยๆ ดูความขาดตกบกพร่องของตัวเอง



สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่น เราต้องตั้งใจมั่นตลอดกาล
เป็นผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนในความดี เป็นผู้ที่เดินหน้าอย่างเดียว ไม่หยุด ไม่กลับหลัง
เขาเรียกว่าเข้าถึงกระแสของความดี เข้าถึงกระแสของ
พระนิพพาน
ถ้าเราทำไปเดี๋ยวก็หยุดอะไรอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติธรรมมันก็ไม่ได้ผล
เมื่อเราไม่เข้าถึงความดี ตนเองก็เคารพนับถือตนเองไม่ได้ ทุกอย่างมันขัดข้องไปหมด
ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงวิทยฐานะเราได้ นอกจากเราเป็นคนดี เป็นคนเสียสละ



ชีวิตของเรามันก็เหมือนที่เขาไปเข้าโรงเรียนนี้แหละ
เขาไปเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก
แต่นั่นมันเป็นการเรียนหนังสือ แต่นี่มันคือการปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมเป็นการทำปริญญาในจิตใจ
การทำปริญญาทางหนังสือนี่ก็ยังลำบาก
แต่การทำปริญญาในการประพฤติปฏิบัติธรรมมันลำบากกว่ากันตั้งเยอะ



พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านยังท้อพระทัยเลยว่า
ธรรมะที่เราตรัสรู้นี้มันทวนกระแส มันเห็นตรงกันข้ามกับโลกที่เป็นอยู่
เราจะไปเทศน์ไปสอนให้ใครเข้าใจได้
เพราะมันเป็นธรรมะที่ไม่ตามใจใคร มันทวนกระแส ต้องอด ต้องทน ต้องฝืน
พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพระบารมีมามาก
ท่านอาศัยความเมตตา ความกรุณา
ท่านก็ได้มาระลึกนึกถึงดอกบัว ๔ เหล่า ท่านถึงได้ทรงเมตตาสั่งสอนเวไนยสัตว์



ให้ทุกท่านทุกคนนี้จงเข้าใจคำว่าปฏิบัติธรรม
มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ทุกๆ คนปฏิบัติได้ ทุกๆ คนทำได้
มันยากมันลำบากก็จริงอยู่ แต่ว่ามันมีคุณค่ามากๆ
มันนำความสุขความดับทุกข์มาให้เราในอนาคตได้แน่นอน ไม่ต้องสงสัย



หวังว่าทุกท่านทุกคนจะได้นำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐอันมีค่าหาประมาณมิได้
ไปประพฤติปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ...



พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่องค์พ่อแม่ครูอาจารย์เมตตาให้นำมาบรรยาย
เช้าวันเสาร์ที่ ๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๕



- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - - - - - - - - - - - - - - -


คัดจาก สมบัติของพ่อ เล่มที่ ๒พระธรรมเทศนา โดย หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP