วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เถ้าน้ำค้าง ๑๘



Tao Nam Kang - front re


ชลนิล




(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            เสียงกีตาร์พลิ้วหวาน บรรเลงคลอเสียงนุ่ม ๆ ของนักร้องหนุ่ม สามารถสะกดผู้ฟังให้ตกอยู่ในห้วงเคลิ้มสุข ล่องลอยตามเสียงเพลงไปไกลแสนไกล

            วันนี้โดมไม่ได้ปล่อยผมยาวรุงรังอย่างเคย เส้นผมถูกรวบ ตลบมัดเป็นมวยหลวม ๆ ทิ้งปอยผมเคลียต้นคอ คล้ายเจ้าตัวไม่ใส่ใจกับมันสักเท่าใด ใบหน้าที่ไร้เส้นผมรุงรังปกปิด เผยให้เห็นผิวขาวสะอาดตา คิ้วเข้ม ดวงตาคม จมูกโด่ง ริมฝีปากเรียวบางสีแดงสดโดยไม่มีการแต่งแต้ม

            เด็กหนุ่มทำตัวง่าย ๆ ไม่ใส่ใจรูปร่างหน้าตา มันกลับทำให้เขาเด่นสะดุดตากว่าทุกคืนที่เคยร้องเพลง

            เสียงเพลงมีทั้งตามคำขอ และตามใจคนร้อง บทเพลงบรรเลงหลากหลายแนว ทั้งเพลงไทย เพลงสากล เพลงเก่า เพลงใหม่ ทุกเพลงที่เขาร้องสร้างความพอใจแก่ผู้ฟังเต็มที่

            เสียงปรบมือดังกราวทุกครั้งที่เพลงจบ โดมมีรอยยิ้มบาง ๆ เกลื่อนบนใบหน้า เริ่มพูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ กับผู้ฟัง ขณะพูด สายตามักทอดมายังโต๊ะด้านหน้าใกล้เวที ซึ่งมีบูรพา ลานน้ำค้าง และพี่มุกดามารับประทานอาหาร ฟังเพลงของเขาอย่างให้กำลังใจ

            “ไอ้หมอนี่มันเก่งกว่าที่คิดนะ” บูรพาคุยกับลานน้ำค้าง หลังจากพี่มุกดาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

            “อือ...แหม อยากให้แม่ได้มาฟังจัง ยิ่งชอบเพลงเก่า ๆ อยู่ด้วย โดมร้องอย่างได้ใจเลย”

            “ช่วยไม่ได้นิ อยากไปงานเลี้ยงรุ่นผู้เฒ่าเอง” บูรพาล้อ

            “นี่...มาล้ออย่างนี้ เดี๋ยวฉันจะเอาไปฟ้องแม่”

            “จ้า...เชิญเลย อย่างกับเราเพิ่งแซวแม่เธอครั้งแรกนี่” บูรพาท้า ตัวเขาเป็นเหมือนลูกชายจอมซนคนหนึ่งของคุณดาริกาเช่นกัน

            ลานน้ำค้างหัวเราะ

            “ช่างเถอะ เอาไว้โดมมีอัลบั้มของตัวเองเมื่อไหร่ค่อยซื้อไปฝากแม่ก็ได้” หล่อนพูดถึงเด็กหนุ่มอย่างมีความหวัง

            “อะไรกัน เขาเพิ่งเซ็นสัญญาเอง นี่พูดถึงเรื่องออกอัลบั้มแล้ว” บูรพาเบรก

            “ฉันเชื่อฝีมือเขานะ ฝีมือระดับนี้ หน้าตาระดับนี้ ถ้าค่ายไหนได้ไปแล้วยังใจเย็นอยู่ล่ะก็ เรียกว่าตาไม่ถึงของ”

            บูรพายิ้มขัน เหลือบตาดูเด็กหนุ่มบนเวที

            “ก็อาจเป็นได้นะ ฝีมือระดับนี้ หน้าตาระดับนี้ แล้วก็...คนหนุนหลังระดับนี้!” ท้ายเสียงมีร่องรอยประชด

            ลานน้ำค้างมองไปทางห้องน้ำ คาดว่าพี่มุกคงยังไม่ออกมาเร็วนัก จึงถอนใจเบา ๆ พยายามหาคำพูดเริ่มต้น เพื่อบอกเรื่องราวบางอย่างแก่บูรพา

            ข้อมูลจากอินเตอร์เนตเกี่ยวกับนายแพทย์นภัทร ทำให้พอรู้ภูมิหลังของโดมไม่น้อย หล่อนเชื่อว่าหลายสิ่งในตัวเด็กหนุ่ม มันมีมากพอที่จะเป็นศิลปินได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบารมี หรือให้ใครมาหนุนหลัง

            “โดมเป็นลูกชายคนเดียวของมาตา!” ลานน้ำค้างบอกง่าย เล่นเอาคนฟังแทบสำลักน้ำ

            “หา! อะไรนะ พูดใหม่สิ”

           หญิงสาวมองหน้าเพื่อนหนุ่ม แววตาไม่มีร่องรอยล้อเล่น น้ำเสียงที่พูดช้า ชัดเจนทุกคำ

            “เมื่อคืนฉันเข้าไปดูในเนต หาข้อมูล ประวัติของมาตา และสามีเก่าของเธอ นายแพทย์นภัทร ทำให้รู้ว่า โดมเป็นลูกชายคนเดียวของเธอกับคุณหมอ ที่หย่ากันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว”
 
            “เฮ้ย จริงน่ะ?” บูรพาอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ

           ลานน้ำค้างถอนใจ ก่อนเริ่มเล่ารายละเอียดเท่าที่ตนเองทราบ ยิ่งพูดถึงประวัติของมาตา และที่มาของโดมมากเท่าไหร่ ก็รู้สึกเหมือนใกล้ชิด เข้าใจเด็กหนุ่มมากขึ้นเท่านั้น

           “โอ้โห พ่อเป็นถึงคุณหมอเจ้าของโรงพยาบาล ท่าจะไฮโซน่าดู แต่ก็เก่งนะ ที่เก็บลูกชายไว้จากตากล้องพวกนักข่าวได้ตั้งนาน” บูรพาพูดพลางหันไปมองเด็กหนุ่มผู้เป็นเป้าการสนทนาขณะนี้

            “แล้วรู้มั้ยว่าคุณหมอนภัทรเป็นเจ้าของโรงพยาบาลอะไร?” ลานน้ำค้างถามหยั่งเชิง

            บูรพาชะงัก หยุดคิดนิดนึง ก่อนดวงตาจะกระจ่างใส ได้คำตอบ

            “โรงพยาบาล...” เขาบอกชื่อโรงพยาบาลที่โดมไปนอนรักษาตัว และเป็นโรงพยาบาลที่หมอน่านทำงานอยู่

            “เก่งนี่อุตส่าห์คิดได้” หญิงสาวชมแกมประชด

            “ไม่น่าจะคิดยากอะไรนี่ ตอนที่เขาเข้าไปนอนโรงพยาบาลอย่างไม่ตั้งใจ ก็คงรู้ว่าถ้าอยู่นานพยาบาลก็ต้องมาถามชื่อนามสกุลจริง แล้วตำรวจก็จะมาสอบสวนต่ออีก เขาไม่มีทางเลี่ยง เรื่องอาจถึงหูพ่อได้ เลยจำเป็นต้องหนี”

            “ตอนพามาโรงพยาบาลแกไม่ได้ค้นกระเป๋าหาบัตรเขาให้พยาบาลเหรอ” ลานน้ำค้างถาม

            “เปล่า...มันยุ่ง ๆ อยู่ เลยตั้งใจรอให้เขาฟื้นก่อนแล้วค่อยให้เขาบอกเอง” บูรพาตอบพลางตั้งคำถามกลับ

            “เธอคิดว่าเพราะอะไร คุณชายไฮโซคนนี้ถึงต้องมาทำตัวซอมซ่อ ตกระกำลำบาก หาบ้านอยู่ไม่ได้แบบนี้ล่ะ...ปลอมตัวหารักแท้หรือไง?”

            ลานน้ำค้างอดยิ้มให้กับคำพูดตอนท้ายของบูรพาไม่ได้

            “นั่นมันนิยายน้ำเน่าแล้ว สมัยนี้เห็นแต่ยาจกอยากเป็นเศรษฐีย่ะ...ยุคไอที การสื่อสารไร้พรมแดนอย่างนี้ เจ้าชายที่ไหนก็คงปลอมตัวลำบากแน่”

            “งั้นเจ้าหมอนี่ก็คงเป็นเด็กเอาแต่ใจตัวเอง อยากเป็นนักร้อง นักดนตรี แต่พ่ออยากให้เรียนหมอเหมือนตัวเอง เลยทะเลาะกันจนต้องหนีออกจากบ้าน” ถึงเรื่องที่บูรพาพูด ดูจะเป็นเหมือนนิยายน้ำเน่าอีกเรื่อง แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าเรื่องทำนองนี้ไม่ได้มีอยู่จริง

            ลานน้ำค้างถอนใจกึ่งระอา การคาดหมายแต่ละอย่างของบูรพา ชวนให้นำไปทำละครหลังข่าวได้ทั้งนั้น

            “ฉันว่าไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เท่าที่อ่านบทสัมภาษณ์หมอนภัทร พ่อของโดมน่ะ เขาบอกว่าไม่เคยคิดจะขีดเส้นบังคับให้ลูก ๆ เป็นหมออย่างตัวเอง แต่พยายามให้ลูกได้รู้จัก ใกล้ชิดกับโรงพยาบาล สอนให้ลูกฝึกหัด เรียนรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เผื่อลูกจะมีใจรักทางนี้บ้าง...”

            “มันก็กึ่ง ๆ บังคับอยู่ดีแหละ” ชายหนุ่มออกความเห็น

            “มันก็ไม่แน่หรอก ฉันเคยเห็นโดมช่วยปฐมพยาบาลมอเตอร์ไซค์รับจ้างหน้าปากซอย ดูคล่องแคล่วคุ้นเคยมาก จนคิดว่าเขาคงไม่ได้ถูกบังคับให้เรียนหรอก ...คนเรามันต้องมีใจด้วยแหละ”

            “เอ๋...เรื่องนี้ฉันไม่ยักรู้เลย” บูรพาพูดพลางทำท่าสนใจ

            ลานน้ำค้างจำเป็นต้องเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้เพื่อนหนุ่มฟังอย่างละเอียด

            “อืม...เข้าใจล่ะ มันก็ต้องมีเหตุอย่างอื่น...หมอนภัทรแต่งงานใหม่หรือเปล่า?” บูรพาถามอีก

            “แต่ง...” ลานน้ำค้างตอบ “เขาแต่งงานหลังจากหย่ากับมาตาไม่นาน มีลูกอีกสามคน คนโตเป็นผู้ชาย อายุน้อยกว่าโดมสองสามปี แต่เรียนเก่งระดับเหรียญทองมัธยมเชียว คนนี้อาจเป็นตัวแทนรับช่วงกิจการโรงพยาบาลของหมอนภัทรต่อได้”

            “ฟังดูอาจเป็นเรื่องนี้ก็ได้นะ” บูรพาออกความเห็น “ฟังดูเหมือนเขาโดดเดี่ยว ไม่มีใครสนใจ”

            ดวงตาลานน้ำค้างอ่อนโยนลง มีแววสงสาร เห็นใจ บูรพาหันไปมองโดมบนเวที เกิดความรู้สึกปรารถนาดีขึ้นมาในใจ

            “เธอคิดว่าทางบริษัทเขาจะรู้มั้ยว่าโดมเป็นลูกของมาตา” บูรพาถาม

            “ตอบยากนะ ถ้าโดมเขาอยากปิดบังประวัติตัวเอง มันก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนี่” หล่อนตอบง่าย “แต่เรื่องนี้ จะช้า จะเร็วมันก็ต้องถูกเผยแพร่แน่ ๆ จำตากล้องคนนั้นได้มั้ยล่ะ?”

            “อือ” บูรพาพยักหน้า “ถ้าพวกปาปารัชชี่เอารูปนี้ไปขายหนังสือพวกซุบซิบดารานะ รับรองว่าเจ้าโดมต้องเป็นข่าวดังแน่ ”

            ลานน้ำค้างเห็นด้วย และยังคิดบางอย่างไกลเกินกว่านั้น ขณะกำลังจะพูดความคิดนี้ออกมา พี่มุกดาก็กลับมาที่โต๊ะพอดี

            “คุยอะไรกันจ๊ะหนุ่มสาว ดูน่ารักเชียว”

             สองหนุ่มสาวมองหน้ากัน นึกไม่ออกว่าเรื่องที่คุยกันนี่ มันน่าสนุกจนทำให้พวกเขาดูน่ารักขึ้นมาได้อย่างไร

            ยังดีที่พี่มุกดาไม่สนใจฟังคำตอบ เพราะสายตามองไปบนเวที ความชื่นชมเต็มเปี่ยมในดวงตา

            “แหมน้องนักร้องคนนี้หล่อจังเลยนะจ๊ะ เสียงก็เพราะซะด้วย” พูดพลางหันมาถาม “ใช่คนที่น้องลานตั้งใจมา ฟังเขาร้องเพลงหรือเปล่า?”

            “ใช่ค่ะ” ลานน้ำค้างตอบ

            “ถ้างั้น ช่วงพักเขาก็มานั่งคุยกับเราได้ล่ะสิ... ดีจังพี่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดว่าที่คนดัง”

            ได้ยินพี่มุกพูดอย่างนั้น ลานน้ำค้างต้องแอบลอบยิ้มให้บูรพา เด็กหนุ่มนักร้องคนนี้ ไม่ใช่ “ว่าที่คนดัง” แน่ ๆ เขาน่าจะเป็น ‘คนดัง’ ตั้งนานแล้ว ในฐานะลูกชายคนเดียวของซูเปอร์สตาร์หญิงของเมืองไทย

            โดมร้องจบอีกเพลง คราวนี้แทนที่เขาจะพูดคุยกับแขก กลับมีเซอร์ไพรซ์เล็ก ๆ

            “วันนี้ ผมอยากจะขอเชิญแขกท่านหนึ่งขึ้นมาร้องเพลง ไม่ทราบจะมีใครรังเกียจมั้ยครับ”

            คำพูดผ่านไมค์ของเด็กหนุ่ม ปลุกความสนใจลานน้ำค้าง

            “ผมมาร้องเพลงที่นี่หลายเดือนแล้ว คิดว่าตัวเองพอจะเล่นและร้องเพลงได้หลายแนว...” โดมพูดเรื่อย ๆ “แต่คืนหนึ่ง มีแขกอยากขึ้นมาร้องเพลงให้เป็นของขวัญวันเกิดแม่ของเธอ...ซึ่งเพลง ๆ นั้นผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยในชีวิต”

            คำพูดฟังคุ้น บูรพายิ้มล้อเลียนลานน้ำค้าง ก่อนที่หญิงสาวจะพูดจาอะไร โดมก็เอ่ยปากเรียกชื่อหล่อนออกมา แล้ว

            “ขอเชิญคุณลานน้ำค้าง ขึ้นมาร้องเพลง ‘ดวงใจ’ ครับ”

            เสียงปรบมือกราว แม้ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่มสาว แต่มีไม่น้อยอยู่ในวัยกลางคน ซึ่งเคยฟังเพลงลูกกรุงอมตะอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปีเพลงนี้มาแล้ว

            หญิงสาวไม่มีทางเลือก พี่มุกดาทั้งปรบมือเชียร์เสียงลั่น ออกแรงผลักดันให้ลุกขึ้น ทำให้ยากจะอิดเอื้อนจึงยิ้มรับก่อนลุกขึ้นไปบนเวที

            “เยี่ยมเลยน้องลาน สู้เขา” เสียงพี่มุกดายังแว่วตามหลัง

            โดมยื่นไมโครโฟนมาให้พร้อมรอยยิ้มสดใส ผิดจากโดมคนก่อนที่เคยรู้จัก

            “ที่จริงผมไม่ตั้งใจให้คุณร้องเพลงนี้หรอก แต่ไม่รู้ว่าคุณร้องเพลงอะไรได้บ้าง ถ้าถามก่อนเดี๋ยวจะไม่แปลกใจ เลยเลือกเพลงนี้ เพราะเป็นเพลงแรกที่ทำให้เราได้รู้จักกัน”

            ลานน้ำค้างสัมผัสถึงความอบอุ่น ความหวานจากแววตาเขา และคำพูดที่คล้ายจะบอกบางอย่างเป็นนัย

            โดมพยักหน้า ให้สัญญาณ กรีดสายกีตาร์ เริ่มท่วงทำนองเพลง...

            เพียงแค่ขึ้นอินโทร ลานน้ำค้างต้องหันไปมองเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ เขาเปิดดนตรีด้วยท่วงทำนองเดิมตามต้นฉบับ แสดงว่าต้องกลับไปหาต้นฉบับเพลงนี้มาฟังแล้วแกะทำนอง เพื่อจะได้เล่นดนตรีเข้าคู่กัน ในแบบที่แปลกกว่าคราวก่อน



            “ดวงใจ...ทุกคนมีสิทธิจะรักกันได้...

            ถึงอยู่ห่างไกล ก็ยังส่งใจไปถึง...



            ลานน้ำค้างถ่ายทอดบทเพลงด้วยน้ำเสียงหวานใส คิดถึงใบหน้ามารดา ซึ่งไม่ได้มาฟังในคืนนี้...



            “อ้อมแขนของฉัน คอยสัมพันธ์รักอันตราตรึง...

            คอยวันสุขซึ้ง จากดวงใจ ที่จริงจังมั่นคง...



            ร้องมาถึงท่อนนี้ ลานน้ำค้างก็เห็นแขกที่มาใหม่ พอสบตากัน ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้าทักทาย แล้วเลื่อนเก้าอี้ให้สาวสวยที่มาด้วยกัน

            เลียบเมืองกับเกรซ...

            เห็นอย่างนี้ ลานน้ำค้างแทบลืมเนื้อเพลง...นี่หล่อนลืมไปได้อย่างไร ว่าคืนนี้ทั้งคู่นัดเพื่อนมารับประทานอาหารที่ร้านนี้...คิดพลางหันไปมองทางโต๊ะตนเอง ภาวนาขออย่าให้พี่มุกดาเห็นลูกชายประธานบริษัทเลย...

            ช้าไปเสียแล้ว สองหนุ่มสาวที่โดดเด่นขนาดนั้น ไปไหนย่อมเป็นเป้าสายตาผู้คน มุกดาจึงเห็นแทบจะทันทีที่ ทั้งคู่เดินเข้ามาในร้าน...

            จากนั้นไม่น่าแปลกใจ ที่เลขาท่านประธานจะรีบลุกจากโต๊ะไปทักทายลูกชายประธานบริษัท ปล่อยให้ ชายหนุ่มร่วมโต๊ะอย่างบูรพามองตามอย่างงวยงง

            ลานน้ำค้างหันมาสนใจกับเพลงที่ร้อง ไม่ปล่อยใจแตกกระสานซ่านเซ็นนานนัก ไม่อย่างนั้นอาจพานักดนตรีล่มในท่อนสุดท้าย



           “ฉันได้จุมพิตจากเธอ...ฉันภูมิใจและสุขใจทุกคืนวัน...ลา...ลา...



            หญิงสาวทอดเสียงสุดท้ายหวานใส คลอเสียงกีตาร์พลิ้วพราย เรียกเสียงปรบมือชื่นชมจากผู้ฟังรอบร้าน...

            “ขอบคุณที่มาช่วยผมร้องเพลงนะครับ”

            โดมบอกลานน้ำค้างด้วยสีหน้าสดใส สายตาหญิงสาวกลับมองไปทางโต๊ะแขกที่เข้ามาใหม่ เด็กหนุ่มมองตามสายตานั้น สะดุดกับสองหนุ่มสาวที่โดดเด่น เป็นเป้าสายตาผู้คน สีหน้าเขาเปลี่ยนไป หันกลับมามองหญิงสาวที่อยู่ใกล้...ไม่รู้เพราะเหตุใด ถึงได้หลุดคำถามหนึ่งออกมา

            “เขา...ใช่มั้ย” คำถามลอย ๆ ไม่ชี้ชัดว่า ‘เขา’ เป็นใคร หรืออะไร

            ลานน้ำค้างนิ่ง เข้าใจคำถามโดยไม่ต้องรอคำอธิบาย...อาจเพราะโดมเป็นคนเดียวที่หล่อนเคยบอกความในใจ ว่ามีผู้ชายที่แอบชอบอยู่แล้ว แม้ความรู้สึกนั้นจะเป็นแค่ความหลงใหล ไม่ต่างจากการปลื้มดาราซูเปอร์สตาร์ก็ตามที

            หญิงสาวเลือกที่จะไม่ตอบ... การไม่ตอบ มันก็คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

            ลานน้ำค้างยิ้มแห้ง ๆ คืนไมโครโฟน ใบหน้าเฝื่อนเมื่อเห็นแววตาวับอย่างคนรู้ทันจากโดม หล่อนเดินกลับโต๊ะด้วยท่าทางกระดากเล็กน้อย



            ถึงเวลาพักของโดมพอดี เขาเก็บกีตาร์ ตามหญิงสาวไปที่โต๊ะ ตั้งใจคุยต่ออีกหน่อย ยังไม่ทันถึงที่หมาย ก็เห็นมุกดาฉุดมือลานน้ำค้างไปยังโต๊ะสองหนุ่มสาวคู่นั้นเสียแล้ว

            เด็กหนุ่มทำได้แค่นั่งร่วมโต๊ะเป็นเพื่อนบูรพา...

            “วันนี้เล่นได้เยี่ยมเลยโดม” บูรพาชม

            “ขอบคุณครับพี่” โดมตอบอย่างแห้งแล้ง สายตามองไปยังโต๊ะเป้าหมาย ใจไม่อาจอยู่กับคู่สนทนาได้

            บูรพาเห็นอย่างนั้นก็มองตามสายตาของโดม ประกายบางอย่างในดวงตาเขาบอกถึงความสงสัย และการคาดคะเน...



            ที่โต๊ะของเลียบเมือง...

            ลานน้ำค้างไม่อาจขัดมุกดา เมื่อเธอเข้ามาดึงมือ เกือบจะลากไปยังโต๊ะเลียบเมืองและเกรซ

            “เร็ว...ไปทักทายคุณเลียบเมืองกันหน่อย”

            ใจจริงอยากปฏิเสธ แต่หากทำเช่นนั้น คงเสียมารยาท จำเป็นต้องตามมุกดาเหมือนเด็กนักเรียนถูกครูบังคับ ให้เข้าห้องครูใหญ่

            “คุณร้องเพลงได้เพราะมาก อย่างนี้เป็นนักร้องอาชีพได้สบายเลยครับ” เลียบเมืองทักทายกึ่งชมเชย

            “ชื่อเพลง “ดวงใจ” ใช่มั้ยคะ คุณแม่ของเกรซท่านชอบฟังเพลงนี้มากเลย” สาวสวยร่วมโต๊ะเลียบเมืองกล่าวเสริม คุยอย่างเป็นกันเอง

            “ขอบคุณมากค่ะ” ลานน้ำค้างไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้ ยามอยู่ต่อหน้าสองหนุ่มสาว หล่อนกลายเป็นหนูน้อย ตัวกระจิด ไม่เป็นตัวของตัวเอง

            “ย้ายโต๊ะมานั่งคุยด้วยกันมั้ยครับ เดี๋ยวพวกเพื่อน ๆ ผมคงจะมากันแล้ว กินกันหลายคนสนุกดี” เลียบเมืองชวนอย่างมีน้ำใจ

            “อุ๊ย ไม่หรอกค่ะ” คราวนี้ลานน้ำค้างรีบตอบทันที

            “จริงด้วย มุกไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัวของคุณเลียบกับเพื่อน ๆ หรอกค่ะ อยู่คุยกันเฉพาะเพื่อนฝูง แบบนี้น่าจะสนุกกว่า” มุกดารู้มารยาทพอจะเลี่ยงออกมา

            คุยกันไม่กี่คำ พวกเพื่อนของเลียบเมือง และเกรซก็เริ่มทยอยมากัน มุกดากับลานน้ำค้างได้โอกาสขอตัวกลับมาที่โต๊ะ

            ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้หายใจหายคอ ก็พบสายตาสองคู่ มองมาเป็นเครื่องหมายคำถามชัดเจน ดวงตาของโดมแสดงออกดุจคลื่นลมในทะเล มีความปั่นป่วนของอารมณ์ภายในยากอธิบาย ส่วนบูรพามีความสงสัย ต้องการคำตอบโดยยังไม่คิดรีบเร่ง

            บรรยากาศอึดอัดกำลังจะเริ่มขึ้น ถ้าไม่ได้พี่มุกดาช่วยคลี่คลายโดยไม่รู้ตัว...

            “น้องชื่อโดมใช่มั้ยคะ” เห็นใบหน้ายิ้มบานขนาดนี้ ไม่ต้องบอกว่าพี่มุกปลื้มหนุ่มน้อยขนาดไหน

            “ครับ” โดมจำเป็นต้องตอบ หันมาให้ความสนใจกับหญิงสาวร่วมโต๊ะอีกคน

            “รู้มั้ย น้องร้องเพลงเพราะมาก เล่นกีตาร์เก๊ง...เก่ง อย่างนี้ต้องดังแน่ ๆ พี่ขอลายเซ็นก่อนได้มั้ยจ๊ะ”

            “ครับ” เด็กหนุ่มกลายเป็นคนพูดน้อยฉับพลัน เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องอึดอัดใจ

            สายตาบูรพายังอยู่บนใบหน้าลานน้ำค้าง ราวกับกำลังรอ...รอคอยให้หล่อนเป็นฝ่ายเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง

            พี่มุกหยิบสมุดเล่มเล็กให้โดมเซ็น ปากก็พูดเรื่อยเจื้อยทั้งกับโดมและบูรพา...

            “น้องโดมเซ็นให้พี่เป็นคนแรกหรือเปล่าคะ...พี่จะได้เอาไปคุยอวดเลย” พี่มุกพูดโดยไม่รอคำตอบ ก็หันไปหาบูรพา แล้วพยักเพยิดไปที่โต๊ะกลุ่มของเลียบเมือง

            “นี่ไงน้องบูรพา รู้จักคุณเลียบเมืองมั้ย เขาเป็นลูกชายคนเดียวของคุณหญิงรัดเกล้าเจ้านายของพี่เองนะ”

            โดมชะงักมือที่เซ็น เขาเห็นใบหน้าชายหนุ่มคนนั้นชัดเจน ไม่แปลกใจเลยที่ลานน้ำค้างแอบชอบตั้งแต่ได้เห็นแค่รูปถ่าย...ยิ่งคิดมือที่กำปากกายิ่งเกร็งแน่น...ใจคับอกแทบระเบิดแล้ว

            บูรพาพยักหน้ารับคำพูดของพี่มุก สายตามองไปทางเลียบเมือง แล้วหันกลับมายังเพื่อนสาว เห็นหน้าเจ้าหล่อน ก็พอเข้าใจหลายส่วน...ตั้งแต่รู้จักกันมา ลานน้ำค้างไม่เคยแสดงท่ากระดากอายต่อผู้ชายคนไหน หล่อนเป็นผู้หญิงเก่ง มั่นใจตัวเอง ถ้าหากแสดงความรู้สึกเช่นนี้ต่อใคร แสดงว่าผู้ชายคนนั้นต้องมีความพิเศษต่อตัวเธอ

            เพียงแค่คิด หัวใจก็เจ็บแปลบ ความหึงหวง ริษยาพลุ่งโพลงขึ้น ยิ่งเห็นผู้ชายคนนั้นมากเท่าไหร่ ยิ่งเห็นความแตกต่างระหว่างเขากับตนเองมากเท่านั้น

            “คุณเลียบ...เป็นนักบินจ้ะ สาว ๆ รุมตอมกันเกรียว แหม...หนุ่มโสด หล่อ ไฮโซ แถมเป็นนักบินอย่างนี้ สาวที่ไหนไม่ปลื้ม ไม่หลงบ้าง...”

            มุกดาสาธยายคุณสมบัติของเลียบเมืองต่อตามประสาคนช่างพูด หารู้ไม่...ยิ่งพูดมากเท่าใด แววตาบูรพา โดม ยิ่งฉายประกายวับมากขึ้นเท่านั้น

               “นักบิน” คำพูดนี้สะท้อนในใจบูรพา เขารู้มานานแล้วว่า ผู้ชายในฝันของลานน้ำค้างเป็นนักบิน อาชีพเดียวกับพ่อของเธอ...

            บูรพาเคยพยายามที่จะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่สำเร็จ...มาวันนี้เธอพบผู้ชายสำเร็จรูปอย่างที่ต้องการแล้ว หัวใจเขาจะเป็นเช่นไร...

            คำพูดของมุกดาสะท้อนในใจโดมเช่นกัน เขาไม่แปลกใจที่ลานน้ำค้างมีใจให้ผู้ชายคนนั้น เพียงรู้สึกเจ็บใจ ที่ไม่สามารถเป็นผู้ชายอย่างที่หญิงสาวต้องการได้

            “แต่ตอนนี้ คุณเลียบเมืองของพวกเรา เห็นทีจะโดนคุณเกรซจับจองเสียแล้ว” พี่มุกดาพูดพลางหลิ่วตาไปทาง โต๊ะเลียบเมือง...

            “นั่นก็ไม่ใช่ธรรมดานะคะ เป็นนักเรียนนอก ลูกคุณหญิงเหมือนกัน พ่อเป็นนักธุรกิจใหญ่ คุณเกรซเป็นลูกสาวคนเดียว สวย รวย ฉลาด แถมไฮโซสมกันอย่างนี้ คงไม่แคล้วกันหรอก”

            บูรพาเพิ่งได้สติเมื่อได้ยินประโยคท้าย อดมองเพื่อนสาวไม่ได้ ความริษยาเลียบเมืองจางหาย

            ลานน้ำค้างเคยบอกโดมว่าเลียบเมืองมีผู้หญิงสมกันอยู่ใกล้ชิดตั้งแต่แรก...ซึ่งเธอเองก็ยินดี ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด อกหักอะไร ส่วนลึกเขาก็ยังไม่แน่ใจในวาจานั้น...

            มันเป็นเพราะเหตุใด...เพราะเขารักเธอมากไปใช่ไหม?

            ยิ่งรักมาก...ยิ่งหวาดระแวง

            เด็กหนุ่มเกลียดความรู้สึกเช่นนั้นของตนเอง...มันทำให้เขากลายเป็นใครอีกคนที่ตนไม่รู้จัก เขาไม่อยากระแวงเธอ เขาอยากรักลานน้ำค้างด้วยหัวใจบริสุทธิ์...มีความรักให้โดยหัวใจเขาและเธอไม่เจ็บปวด...

            หัวใจข้างในมันไม่ยอมฟัง มันยังสร้างความเจ็บปวดให้ ไม่สามารถสั่งให้เป็นไปตามต้องการ

            ใจมันจะเป็นทุกข์...เพราะความรัก...เขาห้ามมันไม่ได้!



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP